Dungeon Defense (WN) 295 สงครามหุ่นเชิด (12)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 295 สงครามหุ่นเชิด (12) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 295 – สงครามหุ่นเชิด (12)

 

 

 

 

“ใช้ความเกลียดชังของพวกนั้น? กรุณาอธิบายด้วยครับ”

มาร์บาสถามผมด้วยท่าทางสงบเหมือนเช่นทุกที

 

หากจะให้เลือกจอมมารที่มีมุมมองทางการเมืองมากที่สุด ย่อมต้องเป็นอดีตจอมมารลำดับ 5 อย่างมาร์บาส เขาน่าจะเป็นบุคคลที่เข้าใจผมได้ดีที่สุด ผมหวังอย่างนั้นและยังอธิบายต่อ

 

“ท่านมาร์บาสครับ พูดง่ายๆก็คือ ในฟรานเคียนั้นมีสองรัฐบาล”

 

พวกแรก คือ มีทั้งนิยมกษัตริย์และนิยมสาธารณรัฐ เท่านั้นยังไม่พอ พวกนิยมกษัตริย์เองยังแบ่งออกเป็นสองฝ่าย

มีทั้งฝ่ายนิยมกษัตริย์ที่เป็นศัตรูกับบริททานี่และฝ่ายนิยมกษัตริย์ที่เป็นมิตรกับบริททานี่ ผู้คนมักจะนิยามฝ่ายแรกว่าเป็นผู้รักชาติและนิยามฝ่ายหลังว่าเป็นคนทรยศ

กลุ่มนิยมสาธารณรัฐเองก็แบ่งแยกเป็นกลุ่มต่างๆมากมาย แต่ให้แบ่งหลักๆก็เป็นสองกลุ่มคร่าวๆ ถ้าอยู่ๆผมใส่หนักเรื่องรายละเอียดซับซ้อนตั้งแต่แรกเริ่มมีหวังจอมมารคนอื่นๆคงตามไม่ทันแน่

 

“ผู้คนจำนวนหนึ่งในฟรานเคียต่างสนับสนุนฝ่ายนิยมกษัตริย์ 

น่าจะราวๆห้าสิบเปอร์เซ็นของประชากรเลยก็ว่าได้ล่ะมั้ง?

ในขณะที่ฝ่ายนิยมสาธารณรัฐเองก็ได้รับการสนับสนุนราวสามสิบเปอร์เซ็น หากจะเทียบสัดส่วนกัน ฝ่ายนิยมกษัตริย์ออกจะได้เปรียบอย่างท่วมท้น

……ทว่า หากนับรวม ฝ่ายที่ผู้พิทักษ์ด้วย ทุกก็ย่อมไม่เหมือนเดิม”

 

“ฝ่าย ผู้พิทักษ์(Safeguarding factions)อย่างนั้นหรือ?”

 

“เริ่มจาก ฝ่ายสาธารณรัฐนิยม แทบจะพูดได้เลยว่า กลุ่มนั้นในฟรานเคียโดนกวาดล้างไปมาก

ทางเหนือจึงเป็นสถานที่ที่พวกผู้รอดชีวิตมารวมตัวกัน แต่ก็ยังมีกำลังคนไม่เพียงพอจะสร้างกองทัพ

 

และยังมีเมืองอิสระทางเหนือ ต่อให้นำเมืองพวกนั้นมารวมๆกัน ก็ยังเป็นเพียงฝ่ายเล็กๆไม่มีโอกาสที่จะสู้กับประเทศชาติขนาดใหญ่ได้”

 

 

“แต่ถึงอย่างนั้น พวกนั้นก็มีงานถุงเงินถัง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นกุมจุดสำคัญทางภาคเหนือของฟรานเคียเท่านั้น หากแต่ยังเป็นยุ้งฉางเก็บข้าวปลาอาหาร

พวกชนชั้นสูงจึงใช้เงินตราที่มีเพื่อสร้างแนวป้องกันของตัวเอง”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว ทหารรับจ้างเองสินะ”

มาร์บาสพูดขึ้น ผมก็พยักหน้าให้เขา

 

“ถูกครับ ,ทหารรับจ้าง แถมทหารรับจ้างส่วนใหญ่ยังมาจากสาธารณรัฐบัทตาเวียอีกด้วย

พูดว่า สาธารณรัฐบัทตาเวียเป็น ฝ่ายผู้พิทักษ์ป้องกันให้กับพวกสาธารณรัฐนิยมก็ไม่ผิดนัก”

 

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ผมเสียดสีเจ้าพวกที่ถูกเรียกว่า เป็นผู้รักชาติ 

การทำแบบนั้นมันก็แทบไม่ต่างจากองค์จักรพรรดิที่นำกองทหารต่างชาติอย่างบริททานี่เข้ามาเลย ซึ่งเป็นเรื่องน่าประณามเป็นอย่างมาก 

พวกนั้นต้องการจะพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้ทำพลาดเหมือนอย่างองค์จักรพรรดิด้วยการนำบัทตาเวียเข้ามาเป็นภัยต่อตัวเองด้วยเนี่ยนะ? 

ดูอย่างไรมันก็เป็นภาพซ้ำของประวัติศาสตร์อยู่ดี

 

ฟรานเคียจึงจบลงตรงที่กลายเป็นสมรภูมิสงครามตัวแทน(proxy war)ไปในทันที 

 

ถึงจะพูดให้สวยหรูว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่าง ฝ่ายจักรพรรดิกับฝ่ายจักรพรรดินีโดวาเจอร์ แต่ความจริงก็กลับกลายเป็นการสู้กันระหว่างฝ่ายบริททานี่,ผู้ถืออุดมการณ์นิยมกษัตริย์ และฝ่ายบัทตาเวีย ,ผู้นำแห่งฝ่ายสาธารณรัฐนิยม

ไม่ว่าจะทางไหนก็โดนอำนาจต่างชาติกลืนกินด้วยกันทั้งนั้น

 

 

“ต่อไปเป็นฝ่ายนิยมกษัตริย์ก็อยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นกัน 

ตัวจักรพรรดิที่ควรจะปกป้องพวกเขากลับด้อยความสามารถ

เหล่าชนชั้นสูงที่เป็นตัวแทนอย่างดยุคกุยกลับโดนฆ่าล้างจนสุดท้ายก็แตกเป็นสองฝ่าย…….”

 

คอของผมเริ่มแห้งผาก

ณ ตอนนั้นเองที่องค์รักษ์ควบตำแหน่งข้ารับใช้อย่างเดซี่ก็ส่งแก้วน้ำให้ผมด้วยความเคารพ

ผมรับมาแล้วดื่มอึกใหญ่

มาร์บาสลูบหนวดแล้วถาม

 

“ดันทาเลี่ยน,ในสองฝ่ายที่ว่านั่น ท่านกำลังบอกว่า มีทั้งฝ่ายที่ให้การสนับสนุนราชินีแห่งบริททานี่และฝ่ายที่ไม่สนับสนุนอย่างนั้นหรือ?”

 

“ครับ ถูกแล้ว”

 

สมกับเป็นมาร์บาส เขาไม่เคยทำลายความคาดหวังในทางบวกที่ผมมีต่อเขาจริงๆ เขาจับสังเกตถึงเรื่องที่ผมอยากจะบอกเขาอ้อมๆได้

 

“จึงมีคนมากมายในกลุ่มนิยมกษัตริย์ที่ไม่รังเกียจที่จะรับใช้บริททานี่

ผู้ที่ไม่แคร์ว่าจะต้องไปเข้าพวกกับใคร ตราบใดที่สงครามกลางเมืองอันแสนเลวร้ายนี้จะจบลงเสียที…….  และฝ่ายดังกล่าวนั้นก็ได้รับการหนุนหลังจากราชอาณาจักรบริททานี่”

 

พวกเขาอยากให้จักรพรรดิและราชินีอภิเษกสมรสกันและขับเคลื่อนประเทศชาติไปด้วยกัน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ การร่วมราชสกุล

 

“สุดท้ายแล้ว พวกนิยมกษัตริย์ที่ต่อต้านราชินีบริททานี่ ผู้เต็มไปด้วยศักดิ์ศรีหากแต่ขาดความเข้าใจความเป็นจริง จึงไม่มีผู้หนุนหลัง”

 

 

“ดังนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิยมสาธารณรัฐหรือฝ่ายนิยมกษัตริย์ต่างก็มีกองกำลังต่างชาติคอยหนุนหลังด้วยกันทั้งสิ้น

 

นี่คือ ประเด็นที่ท่านชี้ให้เห็นอย่างนั้นสินะ”

 

“แม่นแล้วครับ”

 

มันอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะเรียกว่าเป็นประเทศปกติแล้ว มันเป็นสถานการณ์ที่พวกเหล่าชนชั้นสูงต่างผลักดันประเทศตัวเองไปสู่สภาพแบบนี้กันเอง

จักรพรรดิโง่เง่าอย่างนั้นหรือ? วิธีการแก้ก็ง่ายๆ

ละทิ้งฝ่ายจักรพรรดิแล้วไปเข้ากับจักรพรรดินีโดวาเจอร์แทนสิ

หากสร้างผู้ปกครองที่เป็นหุ่นเชิดของตัวเองได้แล้ว ก็สามารถปกป้องการแทรกแซงของต่างชาติ ที่พยายามเอากองทัพเข้ามาได้

ทั้งยังกันท่าไม่ให้เฮนริเอตต้ายกความชอบธรรมใดๆมาออกอาละวาดได้อีกด้วย

แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าชนชั้นสูงกลับปล่อยให้ทั้งจักรพรรดิและจักรพรรดินีออกรับหน้า สู้ปะทะกันแทนพวกตัวเอง

ทำให้ไม่มีฝ่ายใดสามารถชนะขาด ทำไมพวกเขาจึงทำอย่างนั้นกันล่ะ?

ก็เห็นได้ชัดๆอยู่แล้ว หากราชวงศ์เข้มแข็ง พวกชนชั้นสูงก็ย่อมต้องอ่อนแอลง

และนั่นก็หมายความว่า ชนชั้นสูงจะแข็งแกร่งได้หาก ราชวงศ์อ่อนแอ…….

 

ทั้งจักรพรรดิและจักรพรรดินีต่างยืมกำลังของเหล่าชนชั้นสูง เมื่อขอการสนับสนุนจากตัวเองแล้วพวกนั้นก็เย่อหยิ่งถือดี เพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง

ในขณะที่แม่ลูกตีกันวุ่นในราชวัง เจ้าพวกชนชั้นสูงกลับยืนดูอยู่เฉยๆ

 

พวกนั้นก็คงจะนั่งอยู่ในอาคารที่แสนหรูหรา จิบไวน์สบายใจแล้วเม้ามอยกันว่า

 

“นี่ทั้งสองพระองค์ทรงทำอะไรกันอยู่เนี่ย?”

หรือไม่ก็  “จะดีกว่าไหมเนี่ย หากจักรพรรดินีโดวาเจอร์จะแสดงแสนยานุภาพแทน”

 

ให้พูดกันตามตรงนะ เจ้าพวกนั้นมันไม่ได้มีเศษเสี้ยวของความรักชาติเลยแม้สักกระผีกเดียว

มาอ้างว่าตัวเองเป็นผู้รักชาติ หากแต่กลับทำเหมือนกับชาติเป็นดั่งของเล่นในมือตน

ในขณะที่ชนชั้นสูงโง่เง่านั่นก็มัวแต่ทุ่มเถียงกันเรื่องนิยามของคนรักชาติด้วยคำพูดสวยหรู อีกฝ่ายหนึ่งก็ลุกขึ้นมาก่อสงครามกลางเมืองสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนอยู่

 

การฆ่าล้างของไว้ส์แมน บาร์โทโลมิว(Wiseman Bartholomew’s massacre)* เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้

ผู้คนล้มตายกันนับ  10,000 คน

แม้แต่เด็กอายุ 10 ขวบก็ยังถูกสังหาร 

พวกชนชั้นสูงมันกล้าพูดเรื่องพรรค์นั้นขณะที่เด็กๆโดนฆ่าได้อย่างไรกัน? 

ว่าพวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อประเทศชาติ?

นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นกันแล้ว

 

 

สุดท้ายแล้ว ผู้คนทั้งหลายต่างมีชีวิตเพื่อตัวเองและอุดมการณ์ของตัวเอง มิใช่แต่เพียงชนชั้นสูงเพียงอย่างเดียว

ราชินีเฮนริเอตต้าเองก็เช่นเดียวกัน

เธอเป็นราชินีแห่งบริททานี่และใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อความรุ่งโรจน์รุ่งเรืองของประเทศบริททานี่

จากมุมมองของพวกเรา ราชินีกับผู้รักชาติย่อมเป็นของที่มาคู่กัน

 

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พวกนั้นต่างก็โกหกด้วยกันทั้งเพ

เจ้าพวกนั้นโกหกตัวเองด้วยการพูดว่า การกระทำทั้งหมดเป็นความชอบธรรม เป็นไปเพื่อประเทศชาติ ด้วยการทำแบบนั้นก็จึงสามารถลวงผู้อื่นได้ด้วย…….

 

เฮนรี่ที่ 3 อาจจะรู้เรื่องนี้อยู่บ้างก็ได้ เขาเป็นชายผู้โง่เง่าเต่าตุ่นติดอันดับของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย เขาสูญเสียความสามารถสติปัญญาที่จะเข้าใจเรื่องพวกนั้น

 

ลองมาคิดๆดูแล้ว ข้ารับใช้ของหมอนั่นทุกคนต่างก็พูดว่า ตัวเองทำงานภายใต้ ‘ความต้องการของผู้คน’ และ ‘นี่ก็เป็นไปเพื่อองค์จักรพรรดิทั้งนั้น’ แต่ในความเป็นจริงแล้วเจ้าพวกนั้นก็ทำเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว

 

เขาคงจะหงุดหงิดใจน่าดู 

นี่ก็เป็นความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น ผมแค่คิดเอานะว่า เหตุผลที่เขาเรียกเฮนริเอตต้ามาก็เพื่อช่วยกำจัดกวาดล้างไอ้ชนชั้นสูงพวกนี้ให้หมดสิ้น

 

ทุกฝ่ายต่างคิดถึงแต่ตัวเอง…….พวกเขาจึงอ้างว่าทั้งหมดที่ทำไปก็เพื่อผู้คน

เลวร้ายหนักกว่านั้น ผู้คนกลับไม่ตั้งคำถามหรือสงสัยเลยว่า พวกนั้นอาจจะกำลังโกหกอยู่

 

ผู้ก่อการน่ะต้องรับผิดชอบเรื่องหน้าไหว้หลังหลอกอยู่แล้ว แต่คนในชาติเองก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนั้นด้วย ในรูปแบบของการโดนฆ่าล้าง นี่แหละ สาเหตุที่ว่า ทำไมทุกอย่างมันยุ่งเหยิงพังยับกันไปหมด

 

เอาล่ะๆ ถึงจะพอรู้ดีอยู่แล้วว่า โลกใบนี้นี่มันเป็นแดนแห่งความฉิบหาย มันไม่ใช่หัวข้อที่ควรจะลงลึกสักเท่าไหร่นัก 

 

 

ต่อจากนี้จะเป็นตัวปัญหาจริงๆ

ความคั่งแค้นของผู้คนที่โดนฆ่าล้างจะไปอยู่ที่ไหนกัน?

โอเค ทุกคนต่างก็ลวงหลอกด้วยกันทั้งนั้น

จะเป็นชนชั้นสูงก็ดี ,เฮนริเอตต้าก็ดี,จักรพรรดิเองก็ดี หรือแม้แต่ประชาชนทั้งหลายก็ดี ต่างลวงหลอกด้วยกันทั้งสิ้น

ชนชั้นสูงกลับไม่ใช่กลุ่มเดียวที่โดนฆ่าล้าง

เอาเข้าจริงแล้ว คนธรรมดาสามัญชนนี่แหละที่จะฆ่าคนธรรมดาด้วยกันเอง

 

พวกเขาไม่ได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่า การที่ต้องมาฆ่าแกงกันนี่มันเกิดขึ้นจากการไปหลงเชื่อคำลวง 

การที่พวกเขาลุกขึ้นสู้โดยเชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเกิดขึ้นจากพวกนิยมกษัตริย์หรือพวกนิยมสาธารณรัฐ

เจ้าพวกนั้นไม่คิดที่จะรับผิดชอบต่อการเข่นฆ่ากันเองด้วยซ้ำ

 

แล้วความพยาบาทเคียดแค้นของผู้ที่ต้องเสียสละก็จะค่อยๆจางเลือนไป ยามที่ทุกคนต่างแสร้งทำเป็นลืม ไม่รู้ไม่เห็น

แค่เพียงสองชั่วอายุคน ผู้คนทั้งหลายก็จะพูดถึงราวกับมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเองแล้ว

ไม่มีใครสามารถทวงคืน ความเป็นธรรมหรือล้างแค้นให้พวกเขาอีกต่อไปแล้ว…….

 

เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยที่ผมจะเป็นดั่งตัวแทนความพยาบาทคั่งแค้นของพวกนั้น

มันเป็นความเคียดแค้นที่พร้อมจะถูกลืมไปได้ทุกเมื่อ ความเคียดแค้นที่ไม่มีใครยอมรับผิดชอบต่อ

หากมันเป็นสิ่งที่พร้อมจะโดนทอดทิ้งหลงลืมไปเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นก็ไม่เป็นปัญหาอะไรเลยนี่ หากผมจะหยิบยกมันขึ้นมาไม่ต่างจากก้อนกรวดข้างทาง

 

ผมยิ้มออกมา

“บริททานี่ตอนนี้อยู่ในสถานะเฝ้าระวัง พอพวกนั้นสูญเสียเสบียงอาหารไป พวกนั้นก็มีทางเลือกสองอย่างคือ ปกป้องเมืองหลวงหรือถอยทัพ

เป้าหมายของพวกนั้นคือ จำกัดการกระทำที่พวกนั้นสามารถเลือกได้”

 

“จำกัดการกระทำ อย่างนั้นหรือ?”

มาร์บาสยังคงมองมาพลางลูบหนวด ดวงตาที่แข็งทื่อเย็นชา ในขณะที่พยายามอ่านเจตนาของผม

“นั่นหมายความว่าอย่างไรกัน?”

 

“ง่ายๆเลยครับท่าน พวกเราจะฆ่าล้างชาวเมืองฝ่ายของพวกนิยมกษัตริย์”

 

จอมมารต่างตื่นตกใจ พี่เบเลธ,สิตริและจอมมารตนอื่นๆที่หาวหวอดๆด้วยความเบื่อหน่ายกลับหันหน้าหาผมพร้อมๆกัน

โดยเฉพาะแววตาของพี่เบเลธที่เหมือนอยากจะพูดจะขอให้ผมอธิบายให้ไว

 

เขาที่ง่วงหลับขณะที่คุยกันเรื่องการเมืองมาโดยตลอด จู่ๆกลับสนใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ฆ่าล้าง’ 

พอเห็นความเถรตรงของเขาแบบนั้นแล้วก็ได้แต่หัวเราะ

 

“ฆ่าล้างหรือ? ดันทาเลี่ยน ข้าไม่เข้าใจ”

 

สงสัยเสียงหัวเราะของผมมันไม่น่าฟังล่ะมั้ง? 

 

ไพมอนจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่กังวล

 

“อย่างที่ข้าพูดไปแล้ว เราจะเริ่มฆ่าล้างชาวบ้านและชาวเมืองที่อยู่บริเวณรอบข้าง ฆ่าล้างพวกนิยมกษัตริย์ทั้งหลายโดยไม่แบ่งแยก พวกเราจะจำลองเหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อนขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้เป็นอีกฝ่ายหนึ่งบ้าง”

 

“แต่ทำไมพวกเราถึงต้องทำแบบนั้น…….”

 

“นี่คือการสร้างข้างแบ่งขั้วน่ะ, ฝ่าบาท”

 

ไพมอนเอ๋ย , ผมน่ะรู้ดีว่าเธอน่ะชื่นชอบมนุษย์มากกว่าใครๆ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับเธอเลย

 

“หากกองทัพฝ่ายเราสังหารหมู่พวกนิยมกษัตริย์ เช่นนั้นแล้วเธอคิดว่า พวกชนชั้นสูงกับสามัญชน ที่อยู่ฝ่ายนั้นจะมีปฏิกริยาตอบรับกับเรื่องนี่้อย่างไร? 

พวกเขาย่อมต้องต่อต้านอย่างรุนแรงอยู่แล้ว

ดังนั้นเมื่อมีกำลังคนไม่เพียงพอจะมาสู้กับพวกเรา”

 

“…….”

 

“จึงมีทางเลือกเหลือเพียงทางเดียวนั่นคือ พวกนั้นย่อมต้องไปขอความช่วยเหลือจากราชินีบริททานี่ ผู้อ้างตนว่าเป็นผู้พิทักษ์เหล่านิยมระบอบกษัตริย์

ไม่ว่าจะออกหัวหรือก้อย ราชินีเองก็ต้องคิดหนักกับการตัดสินใจในครั้งนี้”

 

สำหรับเฮนริเอตต้าแล้ว จริงอยู่ที่พวกนั้นให้การสนับสนุนเธอ หากเธอไม่สนใจพวกเขาก็จะกลายเป็นว่า เธอหมดสิ้นจุดยืนทางการเมืองไป

“นอกจากนี้ ปารีสเองก็นับเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้นิยมกษัตริย์ และยังเป็นที่ที่พวกเราจะกวาดล้างมากที่สุดด้วย 

นั่นคือ จุดสำคัญของพวกเราที่ว่า……ราชินีแห่งบริททานี่จะยอมละทิ้งปารีสไปง่ายๆไหม?”

 

“……!”

 

มาร์บาสกำหมัดแน่น

 

“ท่านกำลังจะบอกว่า นางไม่สามารถทิ้งเมืองไปได้โดยง่ายอย่างนั้นรึ!”

 

อยู่ๆจอมมารทั้งหลายต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง เห็นแบบนั้นก็ทำเอาผมรู้สึกดีขึ้นมา

 

“ถูกต้องแล้ว หากเธอละทิ้งปารีส ก็กลายเป็นว่า ราชินีนั้นทรยศต่อฝ่ายที่สนับสนุนตน ต่อให้หนีรอดไปได้สำเร็จ นางย่อมโดนประณามจากการทอดทิ้งหน้าที่ของตนแบบนั้น”

 

คราวนี้ผู้ประณามไม่ใช่มีแต่เพียงชาวฟรานเคียเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงชาวบริททานี่อีกด้วย

 

หากเทียบกันแล้วก็ไม่ต่างจากช่วง ขาขึ้นของกองทัพทหารอิสลามที่หนีไปเมื่อรู้ว่าเมืองของตัวเองโดนยึด และฆ่าล้างโดยกองกำลังของพวกคาธอลิก

 

ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว กองทหารพวกนั้นมันจะมีไว้ทำไมกันเล่า หากไม่ยอมปกป้องกลุ่มผู้นิยมกษัตริย์ด้วยกันเอง……?  

เสียงก่นด่าราชินีจะแพร่ไปทั่ว

 

“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ศัตรูเราเลือกที่จะไม่หนีก็ไม่เป็นอะไร

พวกนั้นย่อมต้องอยู่ในวงล้อมไปไม่จบไม่สิ้น

โดยที่ไม่มีกองเสบียง ซึ่งการทำแบบนั้นจะยิ่งเป็นผลดีกับฝ่ายเรา”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว…….”

 

มาร์บาสถึงกับตื้นตันใจ เขาพยักหน้าช้าๆขณะที่สัมผัมความเอร็ดอร่อยจากแผนของผม

 

“ไม่ว่า นางจะเลือกทางไหน อนาคตก็มืดมนหมดหวังสิ้นเชิง”

 

รุกฆาตแล้วล่ะ,เฮนริเอตต้า

 

หากเธออยากถนอมกำลังรบ ก็ต้องทอดทิ้งผู้สนับสนุน หากต้องการรักษาผู้สนับสนุนก็ต้องทิ้งกำลังรบ

ถึงเธอจะรักและหวงแหนทั้งกองกำลังและฝ่ายนิยมกษัตริย์ แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

 

เธอจะมาเหยียบเรือสองแคม เอาทั้งสองอย่างโดยไม่ทิ้งอะไรไปสักอย่างหนึ่งไม่ได้

 

หรือต่อให้เธอละโมบ และพยายามจะคว้าเค้กสองก้อนที่ว่าแล้วกินพร้อมกัน ผมก็จะใช้โอกาสนี้มอบบทเรียนสำหรับทางเลือกนั้นให้

เอาล่ะ ไม่ต้องเป็นกังวลไปนักหรอกนะ ผมไม่ได้หวังจะเลคเชอร์อะไรให้มันมากมายนัก เพราะผมนั้นเป็นชายผู้สุภาพอ่อนโยนยังไงล่ะ…….

 

 

*การสังหารหมู่วันเซนต์บาโทโลมิว

เหตุการณ์ต่อเนื่องของสงครามศาสนาในฝรั่งเศส โดยฝูงชนชาวฝรั่งเศสผู้นับถือ นิกายโรมันคาทอลิก ไล่สังหารชาวฝรั่งเศสที่เรียกตัวเองว่า อูเกอโนต์ (Huguenots) หรือผู้ที่นับถือ นิกายโปรเตสแตนต์ เริ่มเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1572 ซึ่งเป็นวันสมโภชของ นักบุญบาร์โทโลมิว การสังหารหมู่ก็เริ่มทั่วไปในกรุงปารีสและขยายไปทั่วฝรั่งเศสเป็นเวลาหลายเดือน จำนวนผู้เสียชีวิตไม่เป็นที่ทราบแน่นอนแต่สันนิษฐานกันว่าอูเกอโนต์ตายไปประมาณหมื่นคนหรืออาจจะถึงแสนคน เหตุการณ์นี้ถึงจะไม่ใช่เหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นหากแต่เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้น

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด