Dungeon Defense (WN) 296 สงครามหุ่นเชิด (13)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 296 สงครามหุ่นเชิด (13) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 296 – สงครามหุ่นเชิด (13)

 

 

หลังจบการประชุมแล้วทุกคนก็กลับไปยังที่พักส่วนตัว

 

ไพมอนคว้ามือผม แล้วลากไปที่มุมห้อง มียามเฝ้าอยู่ด้านนอกของค่าย แต่ไพมอนโบกมือไล่ให้พวกเขาออกไป

 

พอไม่มีใครรู้ใครเห็นแล้ว ไพมอนก็จ้องมองมาที่ผม

 

“เรื่องนี้ข้าไม่ยอมรับ!”

 

ราวกับมีดวงไฟลุกโชนอยู่ในดวงตาของเธอ

แหมที่รัก หากเธอจะจ้องมองผมด้วยความเร่าร้อนแบบนั้น ผมก็เขินแย่เลยสิ

ผมแอบหวั่นไหวกับตาคู่นั้นของเธอ

 

“ที่บอกว่า ไม่ยอมรับหมายถึงอะไรน่ะ?”

 

“อย่ามาเล่นลิ้นนะ,ดันทาเลี่ยน

การฆ่าล้างนั้นเป็นการกระทำอันป่าเถื่อนรุนแรง”

 

“ป่าเถื่อน และรุนแรง อย่างนั้นหรือ……?”

 

ผมพูดทวนคำของเธอ ราวกับเป็นคำพูดของตัวเอง

ไพมอนหยิบขวดแก้วขนาดเล็กออกมากกระเป๋าก่อนจะปามันลงพื้น

ของเหลวสีม่วงในขวดสร้างวงเวทย์ด้วยตัวเอง

มันคงจะเป็นเวทย์มนตร์ป้องกันเสียงที่สร้างไว้ในขอบเขตรอบตัวพวกเรา

 

ถึงไพมอนจะเสียวงเวทย์ทั้งหมดไปแล้ว แต่เธอก็ยังคงสามารถสร้างน้ำยาเวทย์มนตร์ได้ ด้วยเหตุนี้ที่ที่เราอยู่จึงเป็นห้องส่วนตัว

 

ผมพูดอย่างเย็นใจ

 

“พวกเรามาไกลเกินกว่าจะทุกข์ใจกับการทำเรื่องโหดร้าย”

 

“เลดี้ผู้นี้พูดถึง ความป่าเถื่อน และรุนแรง ถ้าบิดคำพูดของข้า

หากมีเหตุอันชอบธรรม ข้าก็พร้อมก็จะเข้าใจกับการฆ่าล้าง

แต่ความชอบธรรมของแผนการนี้คืออะไรกัน?”

 

ไพมอนพูดอย่างเย็นชา

 

“แผนกวาดล้างในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อกดดันบริททานี่ให้จนมุม 

การฆ่าล้างครั้งนี้มีไว้เพื่อหวังชัยชนะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น!”

 

“ชัยชนะของฝ่ายสาธารณรัฐ ,ไพมอน”

 

“…….”

 

พวกเรายังคงจ้องตากันอยู่อย่างนั้น มันเป็นการสื่อสารกันโดยไม่ใช้คำพูด และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ผมคิดว่าเราน่าจะคุยกันจบแล้วล่ะ

 

 

– เผียะ!

 

เป็นเสียงที่ดังฟังชัด 

 

“…….”

 

“…….”

 

ไม่ทันรู้ตัว ใบหน้าผมก็หันไปทางหนึ่ง ผมหันกลับมาเผชิญหน้ากับไพมอนอีกรอบ ดวงตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยน้ำใสๆ

 

ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร มือไพมอนก็ขยับอีกครั้ง เสียงเนื้อกระทบเนื้ิอดังขึ้น

หน้าผมหันไปอีกทาง แล้วไพมอนก็ลงมืออีกรอบ

วนซ้ำอย่างนั้นเกือบหกรอบได้

 

 

“เจ้าคนเสแสร้ง……!”

ไพมอนกัดกราม

 

“นายวางแผนที่ให้ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดแบบนี้ออกมาได้ยังไงกัน!

ถ้านายคิดว่า ข้าไม่รู้ทัน ขอบอกเลยว่า นายคิดผิดมหันต์! ดันทาเลี่ยน นายมันคนเสแสร้งที่แสนต่ำช้า 

สงครามทำให้ผู้คนต้องตกตายมากมาย นั่นเป็นการกระทำที่ชั่วร้ายอย่างที่ไม่อาจให้อภัยได้ แต่อย่างน้อย พวกนั้นก็ยังมีข้อแก้ตัว……. ว่าทำไปก็เพื่อความยุติธรรม,เพื่อเทพเจ้า หรือเพื่อประเทศชาติของตัวเอง”

 

“…….”

 

“ในขณะที่นายน่ะ ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆเลยด้วยซ้ำ

สิ่งที่นายทำ มันเป็นความชั่วร้ายที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่มีข้ออ้าง ข้อแก้ตัวใดๆทั้งนั้น……. 

นายน่ะไม่ต้องการให้ใครเข้าใจ ทั้งยังไม่หวังการได้รับการอภัย

สิ่งที่นายทำนั้นมันคือ ความชั่วร้ายบริสุทธิ์!!”

 

ผมนวดแก้มตัวเอง

ครั้งสุดท้ายที่ผมโดนตบแก้มนี่มันนานแค่ไหนกันแล้วนะ? 

ไม่สิ ผมไม่เคยโดนตบหนักขนาดนี้ด้วยมั้ง แต่เอาถึงอย่างน้อยมันก็ทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

มันเป็นถ้อยคำที่ออกจากปากผมขณะที่ผมก็กำลังมองเหม่อออกไป

 

“แล้ว? สิ่งที่ข้าทำมันผิดรึ? 

ก็อย่างที่เธอรู้ ข้าเป็นผู้ทำให้การพันธมิตรมิตรเสี้ยวจันทราขึ้นมา

ทหารนับแสนต้องล้มตายลงไป เธอเข้าใจไหม? นับแสนน่ะ”

 

เด็ก,มนุษย์,มนุษย์สัตว์,ปีศาจ หรือแม้แต่จอมมาร

ทั้งหมดก็โดนฆ่าไม่ต่างกัน

 

“หรือข้าควรจะออกไปยืนตรงหน้าพวกเขาแล้วก็พูดว่า

‘ตัวข้า ต้องขอโทษด้วยนะ ,ข้าก็มีเหตุผลของข้าเอง ดังนั้นพวกเจ้าก็เลยต้องตาย? ’? 

นี่ข้าต้องไปพูดแบบนั้นจริงๆรึ? ไพมอนตอบข้ามาหน่อย เจ้าพวกนั้นจะฟังคำแก้ตัวของข้าหรืออย่างไร?”

 

“…….”

 

“หรือนั่นจะกลายเป็นเหตุผลข้ออ้างเพียงพอให้ข้าเข่นฆ่าผู้คนนับแสนได้อย่างนั้นหรือ? 

ฮ่าาา! มันช่างเป็นข้ออ้างที่ยอดเยี่ยมเสียจริง”

ผมยิ้มเยาะ

 

ผมไม่ได้ตั้งใจยิ้มแบบนั้นออกมา แต่น้ำเสียงกับใบหน้าของผมกลับหลุดการควบคุม และแสดงออกมาเอง

เอาเลย อยากปล่อยเท่าไหร่ก็ปล่อยออกมา โดนตบหน้าไปแบบนั้นแล้วไม่แย้งสักหน่อย มันย่อมเป็นอะไรที่ไม่น่าดู

 

 

“การพยายามที่ไปยืนต่อหน้าชีวิตนับหมื่นนับแสนแล้วบอกกับพวกเขาอย่างนั้น

 

พวกเจ้าต้องยอมสละชีวิตเพื่อชาตินะ, ดังนั้นความตายของพวกเจ้าจึงเป็นสิ่งจำเป็น

 

ถึงไม่พูดว่าเพื่อชาติ ก็อาจจะพูดแบบนั้นเพื่อความยุติธรรม เพื่อเทพเจ้า หรือเพื่อแนวคิดสาธารณรัฐ

เธออยากจะพล่ามจะพูดอะไรก็พูดไป…….

แต่มันไม่ใช่เลย!

ทั้งหมดนั้นมันก็แค่เรื่องเปล่าประโยชน์ทั้งนั้น! 

ไม่มีทางที่เจ้าพวกนั้นมันจะเข้าใจได้หรอก!”

 

ผมจับข้อมือของไพมอนแน่นด้วยความตั้งใจจะบดขยี้มัน

 

“มันไม่เคยมีหรอก ไอ้การที่ความตายของผู้คนนับแสนจะเป็นสิ่งจำเป็น

ไม่มีทาง! ลองไปพูดแบบนี้ต่อหน้าผู้สูญและเหล่าเหยื่อดูสิ……. แต่ข้าจะไม่ดูอยู่เฉยๆหรอก ข้าสาบานว่า ข้าจะฆ่าเหล่าผู้กดขี่ทุกคนบนโลกนี้!”

 

“…….”

 

“ในวันพรุ่งนี้ทุกเมืองที่ให้การสนับสนุนปารีสจะต้องถูกเผาทำลาย”

 

ไม่เกี่ยวกับเพศ ไม่เกี่ยวกับอายุ ผมไม่แบ่งแยกทั้งนั้นระหว่างคนดี คนเลว

แผนการทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อการกำจัดอกาเรสและเฮนริเอตต้า

 

“การกระทำของข้า ไม่ต้องการข้ออ้างใดทั้งนั้น ไม่ต้องการใครมาเข้าใจด้วย!

เธอเข้าใจไหม ,ไพมอน?

คนนับหมื่นนับแสนคนต้องตายเพราะข้า นั่นเป็นความจริงข้อเดียว เป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียว—และมันจะกลายเป็นความจริงที่ไม่แปรเปลี่ยน!”

 

“…….”

 

“ถึงเธอจะไม่อยากร่วมด้วยก็ไม่เป็นปัญหาอะไร

มันเป็นปัญหาของข้ากับชีวิตนับแสนที่ข้าฆ่าไป 

หากไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยก็ตามสบาย”

 

ผมปล่อยข้อมือไพมอนซึ่งนั่นทำให้เธอทรุดตัวลง แม้แต่เรื่องกำลังร่างกายเธอก็ยังมีมากมายกว่าผมอยู่ดี

 

ร่างทั้งร่างผมกรีดร้องอยากให้ผมดูดบุหรี่ ผมล้วงมือไปในผ้าคลุมแล้วชักไปป์ออกมา

ผมพยายามกดยาเส้นลงไปในปลายท่อไปป์ แต่ไปป์กลับลื่นหลุดมือแล้วกลิ้งบนพื้น

แม้ผมจะหยิบมันขึ้นมา มันก็หลุดจากมืออีก

 

“แม่งเอ๊ย”

 

ผมมือสั่น จนบอกไม่ได้ว่า มันเป็นเพราะอาการอยากยาหรือความโกรธที่มี

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจได้นั่นก็คือ ผมอารมณ์ไม่ดี ผมหยิบไปป์แล้วทำตกอยู่อย่างนั้นห้าครั้ง 

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้งั่ง ไม่สิ ผมเป็นอยู่แล้วนี่นา……. ผมหัวเราะเยาะตัวเอง

 

 

ผมเอาเท้าเหยียบไปป์ มันเป็นชิ้นงานสุดล้ำค่าที่พวกช่างฝีมือชาวแซคซอนนี่ทำให้ผม มันไม่พังง่ายๆหรอก

มันแค่จมดินลงไป แต่การทำแบบนั้นแทนที่ผมจะคลายความรำคาญ มันกลับทำให้ผมยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีก

 

 

“ฟู่ววว”

 

ผมจะคลั่งไม่ได้ การคลั่งขึ้นมาตอนนี้จะกลายเป็นข้ออ้าง ผมรู้ตัวดี…….กดข่มอารมณ์โกรธไว้

 

ผมปิดตาแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ 

พอมานึกดูแล้วการทำแบบนี้มันทำให้มือหยุดสั่นได้

ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่า ผมปล่อยให้คนทั้งหลายสรุปกันเองว่า คนที่ฆ่าคนนับแสนนั้นเป็นเพียงคนบ้าคลั่งคนหนึ่ง

 

การกลายเป็นคนบ้าคลั่งนั้นไม่เป็นไร 

เพียงแต่

ผมไม่มีสิทธิ์ในการเป็นแบบนั้น…….

 

พอผมใจเย็นลงเล็กน้อย ผมก็หันหลังให้ไพมอนแล้วเดินจากไป

มีอะไรบางอย่างเกาะกุมผ้าคลุมของผมอยู่ มันคงจะเป็นมือของไพมอนนั่นแหละ

 

ถึงอย่างนั้นผมไม่ปล่อยให้สิ่งนั้นรั้งผมไว้ได้ สิ่งที่เกาะกุมชายผ้าของผมก็หลุดไป

ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น พอรู้ตัวอีกทีผมก็อยู่ในที่พักของตัวเองแล้ว

เดซี่กำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้อง เธอทำหน้าแปลกๆตอนที่เห็นผม ผมไม่สนใจแล้วนอนลงที่ที่นอนของตัวเอง

 

“ท่านเมายาอยู่หรือ,ท่านพ่อ?”

 

เดซี่ถามผม ขณะที่ผมหันหลังให้เธอ

ผมตอบกลับไปทั้งที่ยังหลับตาอยู่

 

“ข้าเลิกยาแล้ว”

 

“หากจำไม่ผิด ฉันจำได้ว่า ท่านอ้างว่าเลิกยาไปห้าสิบหกครั้งแล้ว

พวกเขาพูดกันว่า แม้แต่หมาทำผิดทำพลาดก็ยังไม่เกินสามครั้ง ดังนั้นชีวิตที่แสนสั้นจึงควรมีข้อจำกัดในการ…….”

 

“ข้ารู้ว่า เจ้าเก่ง ,ดังนั้นหุบปากไปซะ”

 

เงียบลงทันที

เสียงเดซี่เปิดหน้ากระดาษเป็นเสียงเดียวในห้อง

ผมนอนอยู่บนเตียงแต่หลับไม่ลง

นั่นเป็นอีกครั้งที่ผมเกลียดการเป็นจอมมารเพียงเพราะไม่ต้องการการหลับ

ผมอาจจะอารมณ์ดีขึ้น หากได้หลับสักงีบ มันให้ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งอก

ผมพึมพัมและบ่นไปด้วย

 

“……เหล้า”

 

“เฮ่ออ”

 

ผมถอนใจ ผมไม่รู้สึกโกรธอะไรอีกต่อไปแล้ว

 

เดซี่ก็พูดขึ้นมา

“ท่านพ่อ, แผนการของท่านนั้นมีประสิทธิภาพมากไม่มีใครเถียงก็จริง แต่ท่านจำต้องไปยุ่งกับโครงสร้างสังคมเรื่องพวกนิยมสาธารณรัฐกับพวกนิยมกษัตริย์ด้วยหรือ? 

การที่ปีศาจเข่นฆ่าล้างมนุษย์ไปมากมายไม่เลือกหน้าแบบนั้น แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอให้กดดันผู้ปกครองของบริททานี่ให้รับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองแล้ว”

 

“……โง่ชะมัด หากเราทำแบบนั้น ชาติอื่นก็จะเข้ามายุ่งด้วย”

 

การกดดันบริททานี่มิใช่เป้าหมายของพวกเรา เป้าหมายสูงสุดของพวกเราคือ การโดดเดี่ยวราชินีเฮนริเอตต้า

 

“พวกนิยมสาธารณรัฐจะหาทางแก้แค้นเอาคืนพวกนิยมกษัตริย์

หากเรามีความชอบธรรมในเรื่องนั้น เราก็ลดโอกาสที่ประเทศอื่นจะเข้ามาวุ่นวายด้วย แต่หากฝ่ายปีศาจเป็นผู้ฆ่าล้างเสียเอง มีหวังพวกนั้นก็ต้องรวมกลุ่มสร้างกองทัพต่อต้านกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราขึ้นมาอีกครั้ง…….”

 

“เข้าใจแล้วค่ะ หากไม่นับเบอร์นิเซีย และซาร์ดิเนียแล้ว 

แล้วราชอาณาจักรแคสเทิ่ลล่ะ?”

 

“นั่นก็ไม่เป็นปัญหา หากพวกแคสเทิ่ลมาเกี่ยวด้วย สงครามนี้จะขยายระดับกลายเป็นความขัดแย้งระดับชาติ 

พวกนั้นจะร้องขอความช่วยเหลือจากซาร์ดิเนียและเบอร์นิเซีย คราวนี้ฟรานเคียก็ตกสู่ความอลหม่าน……. ไม่ใช่สภาพที่แย่เลย…….”

 

แต่ก็แน่นอน ไม่ใช่สภาพที่ดีที่สุดเช่นกัน

หากมันเป็นเช่นนั้นจริง สงครามจะนอกเหนือการควบคุมของผม 

คาสเทิ่ล,เบอร์นิเซีย และซาร์ดิเนีย

ผมไม่มีเครือข่ายสายสัมพันธ์กับประเทศชาติพวกนั้น สถานการณ์ตอนนี้สมบูรณ์แบบมากแล้วที่มีแต่สาธารณรัฐบัทตาเวีย…….

 

“ด้วยเหตุนี้ ถือว่าที่มากที่จะเอาตัวจักรพรรดิหรือจักรพรรดินีโดวาเจอร์มาไว้ในมือ……. พวกเรามีข้ออ้างที่ชอบธรรมหนักแน่นมากพอ…….”

 

“พอเป็นอย่างนั้น ทั้งสองฝ่ายก็คง…….”

 

เดซี่ยังคงถามต่อไป ผมเองก็เป็นฝ่ายตอบ แต่สัมปชัญญะของผมชักเริ่มเลือนลางลง

ดวงตาผมปรือจนเกือบปิด แต่ดูคล้ายกับมีเปลือกตาอีกชั้นหนึ่งคอยปิดหุ้ม

เสียงยังเข้ามาในหูผม แต่ยากที่จะเข้าใจความหมายแล้ว

ในคืนนั้น เป็นครั้งแรกที่แสนยาวนาน ที่ผมสามารถหลับลึกโดยไม่ฝัน

 

 

* * *

 

 

วันต่อมา เป็นวันตัดสินใจว่า จะดำเนินแผนการฆ่าล้างโดยแสร้งเป็นว่า ทำการปล้นชิง

 

การปล้นชิงเสบียงเป็นเรื่องปกติในยุคนี้แต่ถึงอย่างนั้น กองทัพเราไปไกลกว่านั้น ผู้ชายพวกเราก็ฆ่า ผู้หญิง และเด็กพวกเราก็ฆ่าเช่นกัน

เสียงมนุษย์ร้องขอชีวิตดังขึ้น แต่คำตอบของพวกเรายังคงหนักแน่นเช่นเคย

 

“ผู้คนที่พวกเจ้าฆ่าไปเมื่อสี่ปีก่อน ก็พูดเช่นเดียวกันกับพวกเจ้านี่แหละ”

 

ไม่จำเป็นต้องไต่ถามอะไรอีกต่อไป

 

มนุษย์ทั้งหลายโดนจับมัดแล้วนำตัวออกมาจากหมู่บ้านและเมืองรอบปารีส

ทั้งหมดโดนมัดไว้กับแท่งไม้ แล้ววางไว้ที่ประตูทางใต้ของปารีส

ยามของบริททานี่ถึงกับหน้าซีดยามที่มองลงมาจากกำแพง

 

 

“เจ้าพวกนี้คือ อาชญากรสงครามที่ทำการฆ่าล้างประชาชนผู้บริสุทธิ์เพียงเพราะอ้างว่า อีกฝ่ายนั้นเป็นผู้นิยมสาธารณรัฐ ในช่วงสี่ปีก่อน

ไม่ว่าอย่างไรราชินีแห่งบริททานี่ก็เป็นผู้วางแผนร้ายก่ออาชญากรรมในครั้งนั้น”

 

ผมเร่งเสียงตัวเองขึ้นด้วยอุปกรณ์เวทย์

 

“เจ้าผู้ปกครองบริททานี่เอ๋ย!

หากเจ้ายังมีสามัญสำนึกหลงเหลืออยู่ในหัวใจบ้าง

หากเจ้ามีความกล้าหาญพอที่จะยอมรับความผิดที่กระทำต่อผู้คนตรงหน้า จงเปิดประตูแล้วยอมแพ้เสีย

หากเจ้าไม่ตอบรับภายในห้าชั่วโมง ผู้คนเหล่านี้จะต้องชดใช้ความผิดที่ก่อขึ้น”

 

จะพูดว่า เป็นไปตามที่ผมคาดไว้ได้ไหมนะ?

ผ่านไปห้าชั่วโมงก็ไม่มีการตอบกลับมา

ยามบนเชิงเทินกำแพงเมืองก็วิ่งกันให้วุ่น แต่ราชินีเฮนริเอตต้าก็ไม่ออกมา่

 

“……นั่นคือ คำตอบของเธอหรือ,องค์ราชินี?”

 

ผมมองไปที่มนุษย์ 50 คน ที่ถูกมัดกับเสาไม้

พวกเขานั้นสิ้นหวัง บางคนก็หลับตาสวดภาวนาไม่หยุด และก็มีบางคนที่คอตกหมดหวังที่จะดิ้นรนอีกต่อไปแล้ว พวกเขาแสดงสีหน้าหลากหลาย

 

ผมถ่ายทอดคำสั่งให้ทหารที่เฝ้าพวกเขาอยู่ด้านล่าง

 

“ทำการประหาร”

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด