Dungeon Defense (WN) 300 ฆาตกรผู้ฆ่าจักรวรรดิ (2)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 300 ฆาตกรผู้ฆ่าจักรวรรดิ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 300 – ฆาตกรผู้ฆ่าจักรวรรดิ (2)

 

 

* * *

กองทหารบริททานี่ได้ยินข่าวเมืองหลวงล่มสลายในภายหลังซึ่งทุกอย่างก็ช้าไป

 

จากรายงานของการสอดแนมทหารไวเวิร์น จู่ๆทหารฝ่ายศัตรูก็เร่งเดินทัพต่อเนื่องสองชั่วโมงรวด

การทำแบบนั้นเป็นเครื่องยืนยันว่า พวกเขาพยายามหนีการไล่ล่าของพวกเรา

 

ดังนั้นแล้วลอร่าจึงไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป

 

“หน่วยไวเวิร์น ภารกิจการสอดแนมจบลงแล้ว รีบไปไล่กัดท้ายเจ้าพวกศัตรูดื้อด้านนั่น”

 

หลังลอร่าออกคำสั่ง ไวเวิร์น 300 ตัว เปลี่ยนจากหน่วยสอดแนมกลายเป็นทีมไล่ล่า

ไวเวิร์นได้รับภารกิจว่า ให้ทิ้งตัวกระแทกจงอย่างรวดเร็วที่ตรงไหนซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดในการรับมือเลยล่ะ

หากศัตรูซุกซ่อนตัวเองอยู่ในป้อมปราการก็ไม่เท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้พวกเขากำลังเดินทัพแบบไร้หัว ดังนั้นจึงไม่สามารถเตรียมหน่วยพลธนูเพื่อโต้กลับได้ ความเร็วในการเดินทัพจึงช้าลง

 

การโจมตีแบบไล่ล่าฝ่ายเดียวเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าจนค่ำ จวบจนขึ้นเช้าวันใหม่

 

มอนสเตอร์อาจจะอึดกว่ามนุษย์แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่เหนื่อยเลยหลังจากเดินทางติดต่อกันสองวัน ทหารก็เริ่มอ่อนล้าหมดแรง

แต่ถึงอย่างนั้นลอร่าก็ยังสั่งให้ไล่ล่าต่อไป

 

“ขนาดกองทัพเรายังเหนื่อยยากลำบากขนาดนี้ แล้วลองนึกสภาพกองทัพศัตรูจะเหนื่อยยากขนาดไหน 

ความแข็งแกร่งของกองทัพเป็นสิ่งสัมพันธ์กัน 

แม้พวกเราจะสูญเสีย แต่ตราบใดที่ศัตรูสูญเสียมากยิ่งกว่า สุดท้ายแล้วชัยชนะจะกลายเป็นของพวกเรา”

 

เมื่อมีจอมมารผู้หนึ่งร้องขอให้พักลอร่าก็ตอบปฏิเสธไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

กองทัพจอมมารเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็ว โดยที่พักให้น้อยที่สุด ก็มีทหารบางส่วนโดนทิ้งไว้ คราวนี้ไม่มีใครสนใจ

 

วันที่สี่

ณ จุดนี้กองกำลังของเราไล่ตามจนทันกองทหารของบริททานี่แล้ว

ความต่างเดียวคือเรื่องที่พวกเราอยู่ทางฝั่งใต้ของแม่น้ำซีเคียนน่า ขณะที่ศัตรูอยู่ทางฝั่งเหนือ ทั้งสองกองทัพต่างไปถึงแม่น้ำ

 

 

หรือพวกเขาจะอดทนต่อไปไม่ไหวแล้วกันแน่? พวกเขานั้นพยายามจะข้ามแม่น้ำตรงดินแดนที่ชื่อ  ปง เดอ ลาช (Pont de l’Arche)

 

อย่างไรก็ดีสะพานแคบเป็นอย่างมาก ทหารของพวกเราสามารถไปดักรอปิดกั้นทางเข้าออกบนสะพานได้โดยสมบูรณ์ 

ทหารม้าบริททานี่วิ่งพยายามทลายกระบวนทัพของพวกเรา พุ่งเข้ามาชนอย่างจัง

หากเป็นเหล่าอัศวินกุหลาบเขียวคงสำเร็จภายในครั้งเดียวไปแล้ว

ทหารฝ่ายเรานั้นเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัดหลังเดินทัพสี่วันติด

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางที่เหล่าอัศวินจะสามารถทะลวงผ่านขบวนทหาร   25,000 นายได้หากไม่ใช่สัตว์ประหลาดอย่างอัศวินกุหลาบเขียว

เจ้าพวกนั้นล้มเหลวในการข้ามแม่น้ำ บริททานี่สูญเสียทหารม้าที่สูงค่าก่อนจะหนีไป

 

ในวันที่หก ความพยายามที่จะบุกป้อมปราการเมือง โรวเอน(Rouen) ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ

 

เมืองส่วนมากทางเหนือของฟรานเคียนั้นประกาศตัวเป็นสาธารณรัฐนิยม ซึ่งเป็นผลพวงจากสงครามกลางเมืองก่อนหน้า;

แต่ถึงอย่างนั้น โรวเอ็นก็ตั้งอยู่ทางใต้สุด ของทวีปเหนือซึ่งก็มีความสัมพันธ์อันดีกับปารีส ดังนั้นอิทธิพลของบริททานี่จึงมีผลกับเมืองนี้ 

 

พวกเขานั้นเติมเสบียงและพยายามข้ามแม่น้ำอีกครั้งหลังจากฟื้นฟูกำลังใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว—แต่ก็ล้มเหลวอีก

 

พวกเขาสูญเสียทหารจำนวน  3,000 นาย ระหว่างการปะทะ ทหารบาดเจ็บและเสียชีวิตพอกันทั้งสองฝ่าย

 

ความจริงเรื่องที่สูญเสียไล่ๆกันแม้ทหารบริททานี่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบแสดงให้เห็นแล้วว่า กองกำลังทหารของบริททานี่มีความสามารถมากเพียงใด……แต่ล้มเหลวก็คือ ล้มเหลว

 

วันที่ สิบเอ็ด การต่อสู้เกิดขึ้นอีกครั้งที่โรวเอ็น

เหมือนคราวนี้พวกเขาเริ่มรู้ตัวแล้ว จึงไม่เพียงแต่ใช้สะพานเพื่อข้ามเขายังพยายามใช้ท่าไม้ขนาดใหญ่เพื่อช่วย

 

แต่ถึงอย่างไรก็ดี ฝ่ายบุกของเราก็จมมันได้หมดขณะที่ข้ามได้เพียงครึ่งทาง

ราชาภูตน้ำใต้การบัญชาการของเวสซาโก้เป็นผู้จมมัน

ความพยายามข้ามแม่น้ำก็ล้มเหลว บริททานี่เสียคนไปนับพัน

เป็นความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง

 

กองทหารที่เคยเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘กองทหารที่ไม่รู้จักความพ่ายแพ้’ กำลังใจดิ่งตกสุดขีด

ไม่เพียงแต่พวกเขาทอดทิ้งปารีสแล้วหนีมาเท่านั้น หากแต่พวกเขายังสูญเสียนักบุญหญิงซึ่งเป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจด้วย 

การสูญเสียต่อเนื่องแบบนั้นทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง

 

 

เทียบกับกองทัพฝ่ายเรา ลอร่านั้นได้รับการบูชาเป็นไอด้อลในหมู่จอมมารด้วยกัน ถึงขนาดที่ว่าต่อให้ลอร่าพูดว่า จะทำชีสขึ้นมาจากเชื้อรา พวกนั้นก็ยังเชื่อ

 

(TTL : ไอ้พวกจอมมารนี่ก็เกินไป๊! โอชิน้องเกิ้น!!!)

 

“ครั้งที่แล้วราชาภูตดินของข้าก็ตาย มาคราวนี้ก็ราชาภูตลมก็ตายอีก

ไอ้ห่านี่ , นี่แกรู้ไหมว่า ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะชุบเลี้ยงภูตตนนึงขึ้นมาให้กลายเป็นระดับราชาได้น่ะ!?”

 

……หากไม่นับเวสซาโก้ที่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนต่อสู้เอาชีวิตรอดเพราะต้องเผชิญหน้ากับจอมมารอกาเรสทุกครั้งที่เจออะนะ

 

ผมจึงปลอบใจเขา

 

“น่า น่า ครั้งล่าสุดก็เจอกับอกาเรสกันสามคน แต่ไม่มีท่านบาร์บาทอสเข้าร่วมด้วยจริงไหม? อย่าวิตกมากไปเลยน่า”

 

“ข้ากำลังบอกให้เจ้าชดเชยให้ข้า ไอ้หนูสมองทึบเอ๊ย”

เวสซาโก้คงฉุนเพราะเสียราชาภูตที่แสนล้ำค่าไปถึงสองตน 

แต่เอาจริงๆนะ ดื้อด้านชะมัด สุดท้ายกว่าจะยอมใจเย็นลงได้ก็หลังจากที่ผมสัญญาแล้วว่า จะมอบดินแดนขนาดใหญ่ให้หลังจากสงครามจบลง

เขานี่ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่อาละวาดเพราะอยากได้ลูกอมเพิ่มเลยจริงๆ

 

เอาล่ะ ถึงจะมีปัญหาสะดุดนิดๆหน่อยๆ แต่ในกองทัพจอมมารเองก็ราบรื่นดี

ฝ่ายศัตรูแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า

พวกเขาอาจจะได้เติมเสบียงที่โรวเอ็นและได้พักหายใจหายคอบ้าง แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ดี 

 

กองทัพเรือของสาธารณรัฐบัทตาเวียยังคงปิดทางเข้าออกแม่น้ำ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เส้นทางเสบียงที่มาส่งที่โรวเอ็นโดนตัด 

เรื่องพื้นฐานอย่างเสบียงก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี

 

 

ผ่านไปครึ่งเดือน

สุดท้ายกองทหารโรวเอ็นเลิกอยู่ในโรวเอ็น แล้วถอนทัพอออกมา

 

พวกเขาปล้นทุกหนทุกแห่งเพื่อที่จะได้ฟื้นฟูเสบียง ดินแดนทางเหนือจึงกลายเป็นศัตรูกับบริททานี่กันหมด

ชาวเมืองต่างตัดสินใจซ่อนตัวในป่าแล้วลอบโจมตีเพื่อให้ทหารบริททานี่บาดเจ็บล้มตายมากขึ้น

 

สถานที่สุดท้ายที่กองทหารบริททานี่ไปถึงก็คือ เมืองท่าที่ชื่อว่า เลอฮาวี่ ( Le Havre) เป็นเมืองท่าที่ติดกับทะเล…….ก็เห็นชัดๆเลยนะ แต่พวกเขาไม่มีทางหนีแล้ว

 

“พวกเราจะใช้กำลังโอบล้อมศัตรูอยู่ที่นี่”

 

ก่อนจะเริ่มสงครามนี้ ลอร่าให้สัตย์ปฏิญาณแล้วว่าจะไม่เข้ารบแตกหักกับทหารบริททานี่

การกระทำนั้นเป็นดั่งคำทำนาย เพราะไม่มีการสู้รบเกิดขึ้นเลยสักครั้งเกือบเดือนที่พวกเราออกไล่ตาม

จะมีก็แต่การเข้าปะทะเล็กๆน้อยๆ

นานมากแล้วที่บริททานี่ยังหาโอกาสต่อสู้ปะทะดีๆไม่ได้พวกเขาโดนรุกฆาตก่อนตลอด

 

มาตอนนี้ทหารบริททานี่โดนบังคับให้ต้องตั้งรับ การปิดล้อมซึ่งพวกนั้นไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก 

กองทัพเรือสาธารณรัฐบัทตาเวียห้อมล้อมพวกเขาจากทางทะเล ส่วนกองทัพจอมมารก็ปิดล้อมพวกเขาจากทางบก

 

แต่มันไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว

 

“ฝ่าบาทเลราเจเข้าร่วมกับพวกเราครับ”

 

“พันธมิตรเมืองทางเหนือเข้าร่วมพร้อมกับทหารรับจ้าง 5,000 คน!”

พอเห็นชัดแล้วว่า ฝ่ายไหนชนะ กองกำลังที่จับตาดูอยู่เงียบๆก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

อดีตจอมมารลำดับ 14 เลราเจ ผู้มีปราสาทตั้งอยู่ในแดนดินฝั่งเหนือของฟรานเคีย อดีตจอมมารลำดับ  27 โรโนเว่ และกองทหารจากเมืองอิสระในทางภาคเหนือ

 

จำนวนทหารฝ่ายเราเพิ่มขึ้น  10,000นาย แต่พวกเราไม่ต้องห่วงกังวลเรื่องเสบียงอีกแล้ว 

กองเรือคอยส่งเสบียงทางทะเล ส่วนเมืองอิสระก็รับหน้าที่ส่งเสบียงทางบก

 

ผมทำการฆ่าล้างอีกรอบเหมือนที่เคยทำในปารีส พวกเราจับผู้คนที่อยู่รอบๆมามัดไว้กับแท่งไม้แล้วก็เผาอย่างโหดเหี้ยม

เพียงแต่คราวนี้ไม่ได้ทำให้มันใหญ่โตโอฬารอย่างครั้งที่แล้ว

วันละยี่สิบคนก็พอแล้วล่ะ เป้าหมายพวกเราคือ ทำให้ชาวเมืองหวาดกัน และทอนกำลังใจฝ่ายศัตรูก็แค่นั้น

 

35 วันนับตั้งแต่ที่พวกเราไล่ตาม

 

เกิดความสับวนวุ่นวายในเมือง เลอ ฮาวี่ เปลวเพลิงเป็นต้นเหตุทำให้เกิดเสียงการปะทะกันด้านในกำแพงเมือง

 

“นายท่าน,ท่านว่า ผู้คนกำลังลุกฮือขึ้นมาต่อต้านหรือเปล่า?”

 

“ไม่ใช่ ความวุ่นวายครั้งนี้อกาเรสเป็นคนก่อขึ้น”

 

“อกาเรส?”

 

ผมยิ้ม

 

“ในที่สุดกองทหารบริททานี่จะยอมจำนนเสียที แต่ไม่ใช่การยอมแพ้ราบคาบหรอก แต่จะขอยอมจำนนอย่างสมภาคภูมิ

เมื่อเป็นเช่นนั้น การยอมแพ้ครั้งนี้จะมีเงื่อนไขให้เราอนุญาตให้พวกเขากลับบริททานี่ไป

แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่า การถอยแบบนั้นจะไม่ต้องจ่ายอะไรเลย”

 

ผมไม่ได้อยากฆ่าราชินีเฮนริเอตต้า

แค่ผมบดขยี้ให้เธอไม่มีพื้นที่หยั่งเท้าอยู่บนทวีปก็พอใจแล้ว

 

นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมผมถึงไล่ให้เธอออกจากฟรานเคีย,ทำลายกองภาคีอัศวินของเธอ ทำให้ฝ่ายผู้สนับสนุนของเธอหันกลับมาแทงหลังเธอแทน…….

 

 

“การปราบปรามจอมมารอกาเรสเป็นเหตุผลในการรบครั้งนี้

พูดง่ายๆ การยอมจำนนอย่างมีเกียรติจะยอมรับก็ต่อเมื่อพวกนั้นส่งหัวของอกาเรสให้กับพวกเรา 

จึงเป็นไปได้ว่า ราชินีเฮนริเอตต้าอาจลอบโจมตีอกาเรส”

 

“และอกาเรสก็เดาเรื่องนี้ออก”

ผมพยักหน้า

 

 

“ถึงการลอบโจมตีจะประสบความสำเร็จ แต่อีกฝ่ายคือ อกาเรส

มันไม่เพียงพอที่จะเอาหัวของเธอมา 

ดังนั้นการปะทะกันในเมืองครั้งนี้จึงเป็นการปะทะกันระหว่างอกาเรสกับเหล่าอัศวิน”

ลอร่ายิ้มกรุ้มกริ่ม

 

“ถ้าอย่างนั้น นายท่าน นี่เป็นจังหวะที่ดีที่สุดในการจู่โจม”

 

“ถูกต้องแล้ว”

 

เราต่างมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน

 

พวกเราไม่ได้จะตอบรับการยอมจำนนของอีกฝ่าย พวกเราจะบุกโจมตีเข้าไปให้กองทหารของบริททานี่หมดสภาพ

ตามปกติ การปิดล้อมนั้นเกิดขึ้นเพราะบุกเข้าไปโจมตียาก แต่ตอนนี้ฝ่ายศัตรูเกิดการแตกแยกภายในแล้ว

ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่ดี

 

“หากราชินีต้องการยอมจำนนโดยรักษาศักดิ์ศรี ก็ให้เธอทำเถอะ

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องส่งกองทัพของเธอกลับไปด้วยอยู่ดี……

คึคึ ข้าอยากรู้นักว่า ผู้คนในบริททานี่จะทำเช่นไร เมื่อรู้ว่า ราชินีของตัวเองกลับมาลำพัง”

 

“ท่านนี่น่ารังเกียจเหลือเกิน นายท่าน”

 

“เจ้าก็เหมือนกันไม่ใช่รึ?”

 

ลอร่าแผ่รังสีอำมหิต

 

เธอยกคทาออกคำสั่งขึ้นและสั่งการ

 

“ทหารทุกนาย,โจมตี”

 

เพียงประโยคเดียวจากลอร่าก็เพียงพอที่จะเคลื่อนกองทหารทั้ง 35,000 นาย

 

เครื่องยิงหินโยนหินก้อนใหญ่ไปในอากาศ ในขณะที่รถพังประตูกำลังกระแทกประตูใหญ่ ออเกอร์ที่แบกซุงโขกทุบประตู ขณะที่ไวเวิร์นทิ้งตัวลงกระแทกกับยามที่อยู่บนกำแพงเมือง

 

ทหารบริททานี่ต่อสู้อย่างหาญกล้า จนแทบไม่รู้เลยว่า พวกเขาเผชิญความพ่ายแพ้มานับไม่ถ้วนแต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะการทำแบบนั้นมันทำให้เรารู้ว่า พวกเขาส่งอัศวินไปสู้กับอกาเรส

เกือบสองชั่วโมงที่พวกเรายึดมุมหนึ่งของป้อมไว้ได้

พลส่งสารฝ่ายเรานำข่าวดีมาให้

 

“ประตูเมืองทางใต้โดนทำลายแล้ว!”

 

“หน่วยออเกอร์ พุ่งเข้าไป!

ฝ่าบาทเบเลธและฝ่าบาทสิตริจะเป็นผู้นำทัพ!”

 

พอมุมหนึ่งพังทลาย กำแพงเมืองอื่นก็พังตามเหมือนโดมิโน่

กองทหารบริททานี่นั้นเชี่ยวชาญในการรบแตกหัก แต่จอมมารนั้นเชี่ยวชาญในการโอบล้อม

หลังจากสู้กับมนุษยชาติมาสองพันกว่าปี การยึดป้อมปราการเป็นอะไรที่พวกเขารู้ดีว่าควรต้องทำอย่างไร

ฝูงปีศาจแห่แหนเข้าเมืองเลอ ฮาวี่ราวกับคลื่นสึนามิ

 

“ทหารเรือบัทตาเวียยึดท่าน้ำได้แล้ว”

 

“พวกนั้นจะร่วมมือกับฝ่ายเรา เพื่อตีกระหนาบสองฝั่ง พวกนั้นกำลังสู้กันอยู่บนถนน!”

 

แถมเรายังมีทหารเรือมือเก๋าของบัทตาเวียมาอยู่ฝ่ายเราเสียด้วย

 

ศัตรูโดนกระหนาบประกบจากทั้งทางบกและทางทะเล แถมยังต้องรับมือกับอกาเรสที่อาละวาดอยู่ในเมือง 

ต่อให้เป็นอลิซาเบธเองก็เถอะคงไม่สามารถทำอะไรได้ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเราได้เปรียบในการรบบนถนนในเมือง

 

(TTL : ยังไม่จบศึกกับเฮนริเอตต้า ก็แอบแวบไปนึกถึงอลิซาเบธซะแล้ว เจ้าชู้จริงๆ พรี่ดัน (ฮา) )

 

และแล้ว

 

 

“พบตัวอกาเรสแล้ว! พบตัวอกาเรสอยู่ทางตะวันตกของเมือง! 

จากรายงานพบว่า—อกาเรสกำลังบาดเจ็บหนัก !

มีแผลทั่วทั้งร่าง!”

 

 

เราเจอกับจอมมารอกาเรสจนได้ เป้าหมายของสงครามครั้งนี้

ไม่ใช่แค่อกาเรสไม่อาจชนะพวกที่ซุ่มโจมตีได้ หากแต่ยังต้องรับการโจมตีรุนแรงจากพวกอัศวินอีกด้วย

 

พูดง่ายๆ นี่เป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราแล้ว อกาเรสกลายเป็นเสือเจ็บ ขณะที่บริททานี่สูญเสียอัศวินไปมากมาย

 

“เดซี่”

ผมเรียกชื่อเด็กสาวที่ยืนข้างกายผม

 

“ค่ะ, ท่านพ่อ”

 

“ไปเอาหัวอกาเรสมา ให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด”

ดาบที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของบาอัล มันเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในโลก แต่ตอนนี้มันกลับมาอยู่ในมือของเดซี่

เธออาจยังไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาเต็มตัวในฐานะฮีโร่ แต่อกาเรสก็บาดเจ็บหนัก

หากเดซี่ร่วมกับจอมมารตนอื่นก็สามารถกำจัดอกาเรสได้ไม่ยากนัก

 

 

เด็กสาวผมดำพยักหน้า

 

“ถ้านั่นเป็นคำสั่งจากท่านพ่อ”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด