Dungeon Defense (WN) 308 เพียงสองคนเท่านั้นบนทวีปนี้ (4)
บทที่ 308 – เพียงสองคนเท่านั้นบนทวีปนี้ (4)
* * *
เอิร์ลเบอร์ซี่ตั้งใจทำงานแต่เช้า
ยศของเขาเลื่อนขึ้นจากบารอนกลายเป็นเอิร์ล
แถมเขายังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการของจักรวรรดิ
ตำแหน่งที่ปรึกษานั้นอยู่รองลงมาจากจักรพรรดิและนายกรัฐมนตรี ดังนั้นถือว่า เขาได้รับแจ็คพอตใหญ่ในทันที
ยิ่งไปกว่านั้น ฟรานเคียในตอนนี้ไม่มีทั้งจักรพรรดิและตัวนายกรัฐมนตรี หลังจากที่จักรพรรดิเฮนรี่สิ้นพระชนม์ลง
แต่เดิมเฮนริเอตต้าถือครองตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีชั่วคราว แต่เธอก็ไม่อยู่ที่ฟรานเคียแล้วเช่นกัน
จักรพรรดินีโดวาเจอร์ถึงยังอยู่ก็จริงแต่เธอนั้นเป็นเพียงหุ่นไล่กาที่มีค่าเพียงเชิงสัญลักษณ์ทั้งยังแก่มากแล้ว
ไม่ว่าใครต่างก็เห็นว่า ตอนนี้เอิร์ลเบอร์ซี่ต่างก็เห็นตรงกันว่า เขาเป็นผู้นำของภาครัฐด้วยกันทั้งนั้น
การเลื่อนตำแหน่งจากบารอนธรรมดาๆขึ้นมาเป็นหนึ่งผู้ที่รับผิดชอบบริหารจัดการฟรานเคียทั้งประเทศ
……. หากจะบอกว่า เป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลของเขาก็ว่าได้
แต่ถึงอย่างไรก็ดี เอิร์ลเบอร์ซี่ก็มิได้ดีอกดีใจกับเรื่องนั้น
“จักรพรรดิมาอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง……?”
เอิร์ลเบอร์ซี่กำลังกุมหน้าผากขณะที่เปิดอ่านเอกสารมากมาย
สภาพของฟรานเคียที่ชี้แจงในเอกสารนั้นบ่งบอกถึง สภาพของประเทศที่ย่ำแย่
ทั้งการเงิน,การบังคับใช้กฏหมาย และทางการทหารเองก็ปั่นป่วนเละเทะไปหมด
เลวร้าย อย่างมาก
สองคำนี้โผล่ขึ้นในหัวสมองของเอิร์ล
“แบบนี้ไปต่อไปไม่ไหวแน่”
เอิร์ลเบอร์ซี่วางเอกสารในมือลง
เขารู้สึกเลยว่า หากยังอ่านเอกสารต่อไป หัวของเขาต้องระเบิดออกมาแน่ๆ
นี่มันกี่วันแล้วนะ ที่เขานอนเพียงแค่สามชั่วโมงต่อวันติดต่อกัน?
ห้าหรือ ไม่สิ หกวัน……. เอิร์ลเบอร์ซี่พอเห็นว่า มันเกินครึ่งเดือนก็เลิกนับ
“นี่ข้ากำลังทำอะไรอยู่?”
ท่านเอิร์ลกำลังเหยียดหยันตน ดูเหมือนเขากำลังจะสติแตก…….
เอิร์ลเบอร์ซี่ทิ้งแผ่นหลังตัวเองให้มันจมลงไปกับพนักเก้าอี้ที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้า
พักสักหน่อยดีกว่า เขาคิดแบบนั้นก่อนจะหลับตาลง
ผ่านไปนานเท่าไหร่กันแล้วนะ?
คนต้อนรับนอกออฟฟิศส่งเสียง
“ท่านครับ , ฝ่าบาทจักรพรรดินีโดวาเจอร์มาถึงแล้วครับ”
“อืม”
ดวงตาของเอิร์ลเบอร์ซี่เบิกโพลง
เขารีบเช็ดหน้าตัวเองด้วยผ้าเช็ดหน้าก่อนจะลุกขึ้นมาปรับกระดุม ขยับเสื้อผ้าให้เรียบ
ทั้งหมดที่ว่ากินเวลาเพียง 5 วินาที และเขาใช้เวลาอีก 2 วินาที ในการกระแอมเพื่อเคลียร์คอให้โล่ง
“รีบให้ท่านเข้ามา”
เขาขยับเคลื่อนไหวในจังหวะที่พอเหมาะพอดี
ยามเมื่อประตูเปิดออกและหญิงชรามาอยู่ที่หน้าออฟฟิศ
เอิร์ลเบอร์ซี่ก็ได้ปรากฏกายในสภาพที่กำลังคุกเข่าอยู่ แต่หญิงผู้นั้นโบกมือให้เขาพร้อมรอยยิ้ม
“เรื่องธรรมเนียมน่ะข้ามไปก่อน ,ท่านเอิร์ล ทุกอย่างมันทำให้เราเหนื่อยกันมากพอแล้ว”
“ขอประทานอภัยครับ”
จักรพรรดินีโดวาเจอร์เดินก้าวเข้ามา แล้วนั่งเก้าอี้ตรงหน้าที่เอิร์ลเบอร์ซี่จัดแจงเตรียมไว้ให้เธอ
แม้ตามปกติหญิงชาววังที่มีชาติกำเนิดสูงพอยิ่งแก่ก็จะยิ่งเคร่งกับธรรมเนียมปฏิบัติ หากแต่จักรพรรดินีโดวาเจอร์เป็นข้อยกเว้น
ชาติที่แล้วเธออาจเคยเกิดมาเป็นหญิงชาวเผ่าอะเมซอนก็ได้
“สถานการณ์เป็นอย่างไร?”
เข้าประเด็นเลยอย่างนั้นสินะ?
เอิร์ลเบอร์ซี่ยิ้มแหย
“ว่ากันตามตรงแล้ว เลวร้ายมากครับ”
“เฮ่อ นายเป็นชายที่ไม่รู้จักวิธีสงวนท่าทีสินะ”
“ขออภัยด้วยครับ”
จักรพรรดินีขมวดคิ้วด้วยท่าทางรำคาญหากแต่เธอไม่ได้รู้สึกรำคาญจริงๆหรอก
สิ่งที่ยืนยันก็คือ การที่บรรยากาศเป็นกันเองแผ่นไปทั่วออฟฟิศ
เดือนที่ผ่านมา เอิร์ลเริ่มเข้าใจอุปนิสัยของจักรพรรดินีโดวาเจอร์
เธอนั้นรังเกียจธรรมเนียมมารยาทที่ไม่จำเป็นและยังเปี่ยมไปด้วยความทระนงตนแม้เธอจะพูดจาหยาบกระด้าง……. นี่แหละตัวตนของจักรพรรดินีโดวาเจอร์ผู้ให้กำเนิด จักรพรรดิสามพระองค์
แคเธอรีน เดอ เมดิชี
“ฝ่าบาทครับ แล้วพวกเหล่าชนชั้นสูงเป็นอย่างไร?”
“อย่าไปเอ่ยถึงพวกมันเลย
โปรดมอบดินแดนคืนให้พวกข้าด้วย ได้โปรดมอบตำแหน่งคืนให้ครอบครัวข้าด้วย
…….ตอนบริททานี่บุกเข้ามาไอ้หมูพวกนี้มันก็นิ่งเงียบ พอมาตอนนี้กล้ากำแหงขึ้นมาทันที!”
เอิร์ลเบอร์ซี่ได้แต่หัวเราะ
จริงอยู่ที่พระนางพูดด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความเคารพและสูงส่ง แต่ถ้อยคำที่ออกมานี่เต็มไปด้วยความดิบหยาบ ซึ่งมันก็เหมาะกับเธออย่างน่าประหลาด
จักรพรรดินีโดวาเจอร์ช่างเป็นคู่สนทนาที่สร้างความเพลิดเพลินอย่างที่เขาไม่ได้เจอมานานแสนนาน
จักรพรรดินีดูจะไม่พอใจ
“เหมือนข้าพูดเล่นหรือยังไงกัน ? ข้าไม่ได้ล้อเล่น
ทุกวันข้าต้องได้รับเรื่องร้องเรียนมากมาย ไม่ว่าจะ ทอมเอย ดิ๊กเอย หรือจากเฮนรี่
เอิร์ลเอ๋ย, นี่มันกระทำทารุณกรรมต่อผู้สูงวัยกันชัดๆ”
“มันเป็นเรื่องที่โหดร้ายมากที่หลายต่อหลายครอบครัวต้องบ้านแตกสาแหรกขาดเพราะการยื่นมือเข้ามายุ่งของพวกบริททานี่,ฝ่าบาท”
“เรื่องนั้นข้าก็รู้อยู่”
ดวงตาของเธอจริงจัง
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เอิร์ลเอ๋ย , ข้าไม่คิดจะมอบคืนตำแหน่งตระกูลให้ไอ้พวกคนถ่อยพวกนั้น ไอ้พวกนั้นมันเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ตอนที่ราชวงศ์กำลังประสบภัย”
“เช่นนั้นแล้ว…….”
“ความภูมิใจและดินแดนนั้นมิสมควรตกอยู่กับผู้ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี
เจ้าเห็นด้วยไหม?”
เอิร์ลเบอร์ซี่กลืนน้ำลาย
บริททานี่ได้ยึดดินแดนจากพวกชนชั้นสูงต่างๆมากมาย
โดยส่วนมากแล้วพวกนั้นกลับกลายเป็นสินทรัพย์ของราชวงศ์
หากเหล่าชนชั้นสูงพยายามปฏิวัติขึ้นมา ก็จะโดนกองทหารของบริททานี่บดขยี้
พอรัฐบาลปารีสใหม่ตั้งขึ้นได้ พวกชนชั้นสูงที่รอดมาได้ก็เริ่มทำการก่อกวนราชวงศ์เพื่อหวังที่จะทวงเกียรติยศ และสมบัติของตระกูลกลับมา
จักรพรรดินีโดวาเจอร์ปฏิเสธที่จะมอบให้
“ข้าไม่คิดว่า เจ้าจะทำสีหน้าสีตาจริงจังขนาดนั้น ข้าล่ะแปลกใจจริงๆกับการที่เจ้าเป็นพวกสาธารณรัฐนิยม”
“……ฝ่าบาท, ต้องขอประทานอภัย, แต่พวกเรามีคนไม่พอที่จะไปรับมือการกับปฏิวัติหากพวกชนชั้นสูงรวมตัวกันต่อต้าน”
ตอนนี้แม้แต่รักษาความปลอดภัยของปารีสยังอยู่ในมือของสาธารณรัฐบัทตาเวีย
พวกนั้นสัญญาว่า จะคอยคุ้มครองให้ฟรีๆเป็นเวงลาหนึ่งปี แต่หากเกิดการปฏิวัติต่อต้านขึ้นดูเหมือนเจ้าพวกนั้นจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว
“นี่ก็นานมากแล้วนับตั้งแต่สงครามกลางเมืองครั้งก่อนหน้านี้จะจบลงเสียที
ประชาชนแห่งฟรานเคียปรารถนาความสงบสุข
ชนชั้นสูงทั้งหลายต้องรับผิดชอบในการก่อร่างสร้างชาติขึ้นมาใหม่”
“ข้าจะปล้นชิงชีวิตส่วนตัวของเจ้าพวกนั้น”
จักรพรรดินีโดวาเจอร์พูดด้วยความหนักแน่น
“พวกกองทัพสาธารณรัฐย่อมจะยินดีเข้าร่วม หากพวกเราจะจ่ายให้มันเพิ่มให้”
“…….”
ความตั้งใจของพระนางนั้นเด็ดเดี่ยว
“เอิร์ลเอ๋ย ,หากเจ้ามองสถานการณ์นี้จากมุมอื่นดูบ้าง เจ้าจะเห็นว่า นี่คือโอกาส”
“โอกาสอย่างนั้นหรือครับ?”
“ฟรานเคียในตอนนี้ไม่มีดยุคเหลือแม้แต่คนเดียว พวกเขาโดนราชินีบริททานี่ฆ่าล้างกันไปหมดแล้ว
จำนวนเอิร์ลและบารอนเองก็มีน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก
นานแค่ไหนแล้วที่ฝ่ายขุนนางไม่ได้มีทีท่าที่อ่อนแอเช่นนี้?”
มันดูราวกับว่า จักรพรรดินีโดวาเจอร์มีเจตนาเคลือบแฝงอยู่ เช่นเดียวกับแนวคิดสาธารณรัฐนิยมของนาง
เอิร์ลเบอร์ซี่ตั้งใจฟัง
“ไม่ครับ ฝ่าบาท ตอนนี้ชนชั้นสูงรวมถึงขุนนางทั้งหลายอ่อนแอแล้วจริงๆ”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเรามอบคืนตำแหน่งและสมบัติให้กับพวกนั้น ณ ตอนนี้?
ยศฐาบรรดาศักดิ์ที่ถูกบริททานี่ปล้นเอาไป รวมถึงที่มาของแหล่งเงินและความมั่งคั่งอย่างเดียวของเจ้าพวกนั้น”
“……คนพวกนั้นจะรีดนาทาเร้นประชาชน”
จักรพรรดินีพยักหน้า
“เจ้าเข้าใจไหม ,เอิร์ล?
หากต้องการสันติความสงบอาจเป็นเรื่องดี
แต่ทว่า หากเราร่วมมือกับชนชั้นสูง ชาวบ้านมีแต่จะต้องทนทุกข์ และเมื่อเป็นเช่นนั้นชาวบ้านก็ย่อมต้องลุกขึ้นมาทำการปฏิวัติแทน”
“ไม่ว่าจะชนชั้นสูงหรือชาวบ้าน ก็จะลุกขึ้นมาก่อปฏิวัติอยู่ดี….แล้วมันต่างกันตรงไหน?”
เอิร์ลเบอร์ซี่ครางออกมา
ความคิดนั้นมันสมเหตุสมผลมาก ไม่ว่าจะชนชั้นสูงหรือสามัญชน ต่างใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็ใกล้จะถึงจุดปะทุขึ้นมาแล้ว
จุดนี้คงหลีกเลี่ยงการปฏิวัติไม่ได้
“และหากเกิดการปฏิวัติขึ้นมาทางใดทางก็ทางหนึ่ง อย่างน้อยพวกเราก็ควรจะระลึกนึกถึงอนาคตของฟรานเคีย”
“…….”
“ข้าจะไม่ปล่อยอนาคตพวกเราไปอยู่ในมือหมูโสโครกที่ไร้ซึ่งความจงรักภักดี”
นั่นเป็นแววตาที่คมกริบอันมาจากดวงตาของสุภาพสตรีวัยหกสิบปี
ม่านแห่งความเงียบครอบงำคนทั้งคู่
ไม่นานนัก จักรพรรดินีหันหน้าออกไปและบ่นกับตัวเธอเอง
“มันเป็นความผิดของข้าที่จักรวรรดิล่มสลายลงเช่นนี้”
“ฝ่าบาท?”
“ตอนที่ข้าออกมาจากซาร์ดิเนียเพื่อมาแต่งงานอยู่ในราชสกุลข้ามั่นใจในตัวเองมากว่า ข้าได้ให้กำเนิดจักรพรรดิผู้ยอดเยี่ยม ได้สร้างชาติและปราสาทที่เป็นที่อิจฉากันไปทั่วทั้งทวีป
……แต่สุดท้ายแล้ว ข้าก็กลายเป็นแม่ผู้ล้มเหลว”
น้ำเสียงของจักรพรรดินีนั้นฟังแล้วชวนระทม จึงทำให้เอิร์ลเบอร์ซี่ไม่กล้าพูดแทรก
“ข้าคิดว่า ตัวข้าเข้มงวดกับลูกชายเพื่อหวังจะเลี้ยงดูเขาให้เติบโตขึ้นมาเป็นนักปกครองผู้ชาญฉลาด แต่กลายเป็นว่า ลูกๆของข้าโตขึ้นมากลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาว นั่นเป็นเพราะข้าเข้มงวดจนเกินไป
……. ดังนั้นแล้วการที่ฟรานเคียตกอยู่ในสภาพเลวร้ายเช่นนี้ก็เพราะการอบรมเลี้ยงดูลูกที่ไม่ดีของข้านี่เอง”
“…….”
“ราชวงศ์ไม่อาจให้การสนับสนุนประเทศนี้อีกต่อไปได้
พวกชนชั้นสูงเองก็เหมือนกัน
ข้าเชื่อว่า ภารกิจสุดท้ายของข้าคือ การส่งต่อประเทศนี้ให้กับบุคคลอื่น ที่ไม่ใช้ราชสกุลผู้โง่เขลาหรือ ชนชั้นสูงที่คิดคด”
เอิร์ลเบอร์ซี่ก้มหน้าลง
ทำไมผู้หญิงตรงหน้าเขาถึงได้ดูทุกข์ใจขนาดนี้? เอิร์ลรู้สึกไม่ค่อยพอใจขึ้นมา มันไม่สมเหตุสมผลเลย
เธอนั้นเป็นบุคคลที่สมควรมีครอบครัวดีมีความสุข และมีข้ารับใช้ผู้สัตย์ซื่ออยู่ข้างกาย
เธอนั้นสูงส่งและคู่ควรพอกับสิ่งดีกว่านี้ด้วยซ้ำ
ณ ตอนนั้นเองที่ เอิร์ลเบอร์ซี่เอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับการก่อสงครามกลางเมือง
ในอดีต เขาโกรธแค้นจักรพรรดิและราชินีบริททานี่ก่อสงครามกลางเมืองขึ้น
มาคราวนี้เป็นตัวเขาเองเป็นผู้จุดไฟสงครามกลางเมืองขึ้นบ้าง
มันเป็นอย่างที่นักบวช จอน โบล พูดไว้จริงๆ ไม่มีทางที่จะเป็นแต่ผู้เฝ้าดูต่อไปได้อีกแล้ว เพื่อฟรานเคียและเพื่อผู้คน เขาจำต้องเสียสละตนเอง
ประวัติศาสตร์จะจารึกชื่อเขาไว้ในฐานะบุคคลผู้ก่อสงครามกลางเมืองในยามที่ความสงบกำลังมาถึง
ชนชั้นสูงทั้งหลายจะด่าทอเขาพร้อมน้ำตาและเลือด ในขณะที่ชาวบ้านจะเรียกเขาว่า เป็นทรราชย์ ช่างเป็นชื่อเสียงที่ฉาวโฉ่วสิ้นดี…….
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะก้มหน้าก้มตาไปตลอดกาล เขาให้เสียงในใจนำพาตัวเองไป
“เอิร์ล, เจ้าน่ะจะเข้าร่วมกับภารกิจสุดท้ายนี้ของข้าไหม?”
“ครับ,ฝ่าบาท ข้าขออุทิศชีวิตเพื่อมัน”
* * *
“ฮ่าาา, ฮิกกก……อาาาห์”
เสียงลมหายใจหอบหนักจนได้ยินได้ฟังชัดเจนอยู่นี่ เป็นเสียงของอิวาร์ ล็อดบรอคนั่นเอง
ผมกับอิวาร์ต่างเปลือยและกลิ้งอยู่บนเตียงที่ห้องส่วนกลางของบริษัทเคียนคุสก้า
พึ่งจบยกแรกไปหมาดๆ
ถึงจะเป็นแวมไพร์ก็เถอะ แต่อิวาร์ ออกจะแพ้ทางเรื่องบนสงครามกลางคืนจริงๆ
เธอถึงจุดสุดยอดไปเกือบสามสิบครั้ง ตาก็เลยเหม่อๆลอยๆ
ร่องน้ำลายเส้นบางๆไหลผ่านปากสีชมพูน้อยๆ นั่นเกิดขึ้นเพราะสิ่งที่ผมทำลงไปเมื่อครู่น่ะหรือ? แหม วันนี้ช่างให้สัมผัสดียอดเยี่ยมเสียจริง
“ฝ่า……ฝ่าบาท พอแล้ว,ฮิก ข้า ไม่ไหว”
“เป็นอะไรไปเล่า อิวาร์? เจ้าจะยอมแพ้แล้วอย่างนั้นรึ? ชื่อเล่นของเจ้าที่ชื่อว่า สัตว์ร้ายแห่งราตรีจะเสียใจเอานะ”
ผมพูดหยอกขณะขบติ่งหูของเธอ
“อ๊าา!”
ร่างเล็กๆของเธอนั้นสั่นเทา ดูเหมือนเธอจะถึงจุดออกมาแล้วครั้งหนึ่ง
กลีบร่องของเธอนั้นกระชับน้องชายของผมแน่นขึ้น
มันให้ความรู้สึกราวกับร่องของเธอนั้นพยายามที่จะดูดติดและรัดรึงผมไว้
หึ ผมเผลอส่งเสียงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นดั่งดนตรีเสียงประสานอันไพเราะ ร่างทั้งร่างของอิวาร์แสดงออกมานอกเหนือการควบคุมของเจ้าตัว
ผมประคองอิวาร์ไว้ในอ้อมแขนพลางกดสะโพกลง พวกเรานั้นต่างอยู่บนเตียงด้วยกันและผมกอดร่างอิวาร์ไว้จากข้างหน้า
ร่างเล็กๆของเธอนั้นขยัลขึ้นลงอย่างแผ่วอ่อนทุกครั้งที่ผมดันกระแทกเข้าไป
“ฝ่าบาท……ฝ่าบาท, ฮึกกก, ฝ่าบาทท…….”
อิวาร์ทั้งกอดรัดผมแน่นพลางหลั่งน้ำตา
เธอทำราวกับว่า ไม่อาจทน หรือกลั้นมันได้อีกต่อไป
ขาของอิวาร์พันโอบรอบเอวผม
น่ารักเสียจริงๆ
นี่เธอไม่รู้หรือไง ว่าน้องชายผมจะยิ่งเข้าไปลึกนะ หายเธอยังจะมาเกาะหนึบผมแบบนี้อยู่น่ะ? ผมยิ้มด้วยเจตนาร้าย
“หัวหน้าล็อดบรอค, เจ้ากำลังจะแตกอีกแล้วใช่ไหม?”
“ฮิก, ใช่……ข้ากำลัง……อึกก, ขะ-ข้า แตกไป หลาย รอบแล้ว……!”
“หากเจ้าตอบคำถามของข้าได้ถูกข้าจะยอมผ่อนลงหน่อย
ดูเหมือนตอนนี้รัฐบาลใหม่ของฟรานเคียจะเข้าไปทะเลาะกับพวกขุนนางทั้งหลาย”
อิวาร์มองผมด้วยดวงตาที่ชุ่มฉ่ำ
ลมหายใจร้อนๆพ่นออกมาอย่างแผ่วเบาจากปากของเธอ
“ใช่ อาาา ……อึกก!”
“ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลใหม่ของพวกนั้นขาดทุนทรัพย์
การใช้หนี้สงครามเป็นภาระหนักหนาของพวกนั้น
แล้วยังไงดีล่ะ? สนใจให้ให้พวกฟรานเคียกู้ยืมผ่านทางสาธารณรัฐบัทตาเวียไหม?”
“อ่าาา, อู่ววว……ฝ่าบาท, เดี๋ยวก่อน, ฮิกกก! อีกแล้ว, ฮึกก, ข้าแตก อีกครั้งแล้ว……!”
ผมเร่งสปีดจนอิวาร์ต้องร้องครางออกมา เธอถอนคอออกจนเผยให้เห็นต้นคอขาวซีดของเธอ
“อ่า, อ๊ะ, ฮีาาา! ไม่, อ๊าาา! ทำไม ทำไมท่าน……!”
“
หากพวกเราเป็นหนี้บุญคุณจักรวรรดิ
เราก็สามารถหาผลประโยชน์อื่นๆได้ ดังนั้นเราควรฉวยโอกาสนี้ไว้
เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ, ล็อดบรอค?”
“อู่ววว, ฮ่าาา, อือออ……อาาา……!”
ตัวของอิวาร์สั่นอย่างแรง
ยามที่กระแสประสาทไหลไปทั่วร่าง ร่างทั้งร่างของเธอก็สะดุ้ง
ผมจึงลองปล่อยเธอออกจากท่อนแขน
เด็กสาวผมบลอนด์ร่วงหล่นลงกับพื้นราวกับหุ่นเชิดที่ไร้เชือก เธอนอนแผ่หรากับพื้น
“…….”
อิวาร์ไม่อาจใช้ดวงตาเหม่อคู่นั้นมองอะไรได้อีก
แม้แต่ตอนนี้ร่างกายของเธอก็ยังท่วมท้นไปด้วยความพึงพอใจเข้มข้นที่เพิ่งได้รับ
(TTL : ข้างบนเขากำลังตึงเคร่งเรื่องการฟื้นฟูประเทศส่วนพรี่ดันก็ตึงเคร่งเรื่อง…อืมมมมม ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอีวาน สินะ! ขยันจริงๆ!)
Comments