Dungeon Defense (WN) 310 เพียงสองคนเท่านั้นบนทวีปนี้ (6)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 310 เพียงสองคนเท่านั้นบนทวีปนี้ (6) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 310 – เพียงสองคนเท่านั้นบนทวีปนี้ (6)

 

 

 

เมื่อยามเย็นมาถึงเนฟเฮม

 

“พอ-พอได้แล้วค่ะ! ฝ่าบาท, เท่านี้ก็มากเกินพอแล้ว!”

 

อิวาร์ตะโกนขึ้นมาด้วยสีหน้าเช่นเดียวกับพระอาทิตย์ยามเย็น

รูปร่างของเธอนั้นต่างกันคนละโลก ตอนช่วงออกจากบริษัท

ผิดไปตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

“แต่เรายังมีส่วนสำคัญของเธอ อย่างรองเท้าเหลืออยู่อีกนะ”

 

“ก่อนหน้านี้ท่านก็บอกว่า มีส่วนสำคัญอย่างกำไลข้อมือ และก่อนหน้าของก่อนหน้าท่านก็บอกว่า มีส่วนสำคัญอย่างต่างหูอีก

ผู้น้อยน่ะไม่โดนหลอกซ้ำอีกต่อไปแล้ว!”

 

อิวาร์หันมามองผมด้วยดวงตาที่คมกริบ

 

อ่าาา ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน—

ผมอยากจะซื้อให้เธออีก ผมอยากจะซื้อทุกอย่างบนโลกใบนี้ หมดโลกให้เธอเลย—

 

ไม่มีทางที่ผู้หญิงคนใดจะยอมเปิดกระเป๋าจ่ายเงินตัวเองง่ายๆหรอก

 

ต่อให้เป็นองค์เทพี หรือเทพธิดาองค์ใดจะจุติลงมาก็ไม่อาจนิยามตัวตนอย่างเธอได้

 

นี่แหละ คือ พลังของนางเอกเกมอย่างเป็นทางการ จากเกม <Dungeon Attack> ยังไงล่ะ……. พอมานึกๆดูแล้ว ผมที่กลายมาเป็น,ดันทาเลี่ยนผู้นี้ ,ผู้ซึ่งประกอบความผิด มีตราบาปที่ไม่อาจไถ่ถอนได้ แต่ยามที่มีตัวตนอย่างอิวาร์อยู่ข้างกาย กลับสามารถเยียวยาผมได้

 

มันช่างเป็นพลังการเยียวยาหัวจิตหัวใจอย่างไม่น่าเป็นไปได้เลยจริงๆ

 

 

“จริงๆแล้ว ข้าน่ะรวยกว่าฝ่าบาทด้วยซ้ำ”

อิวาร์ทำปากเบ้

“ข้าน่ะมีอัญมณีหายากมากมายในคลังส่วนตัว

แถมข้ายังมีเครื่องประดับที่ทำขึ้นด้วยช่างฝีมือเผ่ามังกร 

ฝ่าบาทคงจะเข้าใจผิดมากหากคิดว่าจะสามารถซื้อใจข้าได้ด้วยสินค้าแบบนั้น”

 

 

“อ้อ? ดูเหมือนเจ้าจะเข้าใจข้าผิดไปแล้ว”

ผมเขย่ามือ

 

“ของขวัญของข้านั้นหาได้มอบแก่บุคคลผู้มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในโลกปีศาจหรือ หัวหน้าของบริษัทเคียนคุสก้า

ข้าซื้อของขวัญให้เด็กสาวผู้มีนามว่า อิวาร์ ล็อดบรอค”

 

“ยังไงกัน?”

อิวาร์ ทำตาปริบๆหลายครั้ง ดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจเจตนาของผม

 

ผมแย้มยิ้มงามๆบนริมฝีปาก

 

“ผ่านมานับพันปี ร่างของเจ้านอนฝังตัวอยู่ในหิมะมาตลอดเวลา 

จนกระทั่งเจ้าได้พบกับข้า ความมั่งคั่งฟูฟ่าที่เจ้าเพียรเฝ้าสั่งสมมาไม่มีประโยชน์อันใด

ทั้งหมดนั่นมิได้เป็นไปเพื่อตัวเจ้าเองเลย

เจ้าเพียงต่อสะสมมันในฐานะ ‘ภาพลักษณ์ของเจ้าต่อหน้าผู้อื่น’  ”

 

เพื่อทำตนให้สมกับเป็นหัวหน้าของเคียสคุสก้า

แม้แต่ตอนนี้สาวน้อยแวมไพร์ที่รู้จักกันในนามว่า อิวาร์ ล็อดบรอค ย่อมถึงจุดที่ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่มีใครอาจเมินเฉยได้

 

ผมทอดสายตามองเนฟเฮม

ตัวเมืองถูกแสงสีอำพันกลืนยามพระอาทิตย์ตก

 

 

“วันนี้ เจ้าบอกกับข้าว่า ความหรูหรานั้นมีความหมายยามที่ผู้อื่นเห็น

แล้วตัวเจ้าล่ะ? 

 

ไม่สำคัญว่าคนอื่นจะเห็นเจ้าเป็นอย่างไร ทั้งหมดที่พวกเขาเห็นก็แค่หุ่นปลอมๆ”

 

“…….”

 

“ที่เจ้าบอกว่า ไม่เคยมีใครรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้านั่นหมายความว่าอย่างไร?”

 

เนฟเฮมนั้นเป็นเมืองแห่งความปรารถนาของเด็กสาวที่ชื่อว่า อิวาร์ ลอดบรอค

 

สถานที่ที่ทำกำไรของเหล่าพ่อค้า แม้แต่จอมมารเองก็ไม่สามารถแพร่อิทธิพลที่แห่งนี้ได้ ตั้งแต่ก็อบลินจนถึงเอลฟ์ เผ่าพันธุ์นับร้อยสายพันธุ์มารวมตัวกันที่นี่โดยไม่สนใจชนชั้นวรรณะ

 

แต่มันจะไม่ย้อนแย้งไปหน่อยหรือ?

 

เด็กสาวคนนั้นกลับไม่อาจอยู่ ในสถานที่แห่งนั้นได้ เพื่อเติมเต็มความปรารถนาขอตัว ไม่แม้แต่จะสามารถอยู่ในร่างกายที่แท้จริงได้

 

ในขณะที่เหล่าคนที่อาศัยอยู่ต่างแสดงความเชื่อของตนได้อย่างเสรีโดยไม่ตกอยู่ใต้การควบคุมของจอมมารตนใด 

 

แต่อิวาร์ ล็อดบรอค กลับเป็นผู้เดียวที่ไม่อยู่ในกลุ่มนั้น

เธอยังคงต้องแสดงละครต่อไปไม่จบไม่สิ้นในคราบขอตุ๊กตา

 

“อิวาร์

บาอัลก็ตาย อกาเรสก็จากไปแล้ว”

 

น้ำเสียงโทนนุ่มกลับออกมาเอง

 

 

“ตัวตนที่แข็งแกร่งทรงพลังผู้ควบคุมโลกปีศาจนั้นก็หายไปหมดแล้ว

นับแต่นี้ ความชอบธรรมทางการเมืองเท่านั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญหากจอมมารต้องการจะจัดการกับใครสักคน

ความชอบธรรมที่ว่า ย่อมขึ้นอยู่กับว่า พวกเขาปรารถนาจะแสดงออกอย่างไรกับสังคมปีศาจ

การบังคับควบคุมปีศาจอย่างไร้เหตุไร้ผลลดลงไปมากแล้ว”

 

“…….”

 

“เธอไม่ต้องใช้ชีวิตเหมือนตุ๊กตาอีกต่อไปแล้วล่ะ”

ผมลูบผมของเด็กสาวผมบลอนด์

 

“เธอยังไม่รู้ตัวใช่ไหม?

ว่าวันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอใช้ชีวิตเพื่อตัวเธอเอง”

 

“ใช้ชีวิตเพื่อตัวข้าเอง…….”

เธอพูดทวนคำด้วยแววตาที่เหม่อ

 

 

“อาจเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำในรอบสามพันปี

มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอกหรือ?”

 

ผมออกความเห็นพร้อมรอยยิ้ม

 

“แล้วเป็นยังไงล่ะ อิวาร์? 

รู้สึกยังไงบ้าง ที่ได้มาเห็นเมืองของตัวเองด้วยตาคู่นี้ของเธอเองน่ะ?”

 

“…….”

 

อิวาร์ ปิดปากแน่น

 

 

“อ่าา เอาจริงๆก็ยังมีเรื่องที่ข้าอยากขอโทษอยู่เหมือนกัน 

เดิมทีข้าก็วางแผนจะกำจัดเวสซาโก้ด้วย แต่หลักการใช้ชีวิตของหมอนั่นมันเคร่งครัดจนน่าทึ่ง ข้าเลยหาโอกาสฆ่าหมอนั่นไม่ได้เสียที 

แต่ข้าก็ทำให้ราชาภูตของหมอนั่นตายไปสามตัว ซึ่งก็คงทำอะไรไม่ได่ไปอีกหลายร้อยปีเลยล่ะ”

 

ผมเกาท้ายทอย

 

(TTL : รอดตัวไปนะ เวสคุง )

 

 

“ออกจะเป็นเรื่องน่าอายไปหน่อยสำหรับข้า แต่อภัยให้ข้าได้ไหม?”

 

อิวาร์ก้มหน้าลง

เงียบไปชั่วพักหนึ่งก่อนเธอจะพูดออกมาเบาๆ

 

“ท่านน่ะโหดร้ายมาก…….ท่านพูดแบบนี้ ในช่วงเวลานี้ หลังเหตุการณ์อย่างวันนี้ได้อย่างไรกัน? ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอภัยให้ท่านน่ะสิ…….”

 

ไหล่ของเด็กสาวสั่นน้อยๆ

 

 

“จอมมารน่ะ ขี้โกหกกันทั้งนั้น…… ข้าเชื่อแบบนั้นมาตลอด…… และต่อให้บาอัลกับอกาเรสตายแล้ว

แต่ท่านก็ยังรักษาสัญญา นั่นทำให้จิตใจข้าปั่นป่วน แล้วท่านยังจะมาพูดแบบนี้กับข้าอีก……ถ้าเช่นนั้น ถ้าเช่นนั้น…….”

 

เสียงกระซิกตามมา

 

เธอนั้นเป็นคนที่อุทิศทั้งชีวิตเพื่อมุ่งความเกลียดชังไปยังจอมมารทั้งหลาย

 

“หากข้าไม่สามารถเกลียดชังจอมมารได้อีกต่อไปแล้ว, แล้ว…… ข้าควรทำอะไรต่อไปดี……?”

 

“นั่นเป็นปัญหาที่เจ้าต้องคิดดู ต่อจากนี้น่ะ”

ผมตอบกลับไป

 

“มันไม่ใช่สิ่งที่จะให้ใครมาคิดแทนเจ้าได้ เจ้าหนีมันก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน

 

พูดง่ายๆ นี่เป็นปัญหาของตัวเจ้าเองคนเดียว

 

มันเป็นปัญหาที่มอบให้กับทุกผู้ทุกนามที่ต้องพบเจอ อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ต้องเฝ้าจัดการอย่างระมัดระวัง”

 

และผมเสริมท้ายไปด้วย

 

“ปัญหาทั้งหลายทั้งแหล่จะเริ่มมาใหม่ยามที่เธอทอดทิ้งตัวเองไป

หากเธอยังคงสวมหน้ากาก ทำตัวเป็นตุ๊กตา คำตอบที่ได้ก็จะมีคำตอบจากปากตุ๊กตาเท่านั้น

 

เธอน่ะเป็นเด็กสาวคนหนึ่งนะ อย่าลืมความจริงที่เรียบง่ายและใสซื่อข้อนี้ก็แล้วกัน”

 

“……ข้าน่ะ ทิ้งความปรารถนาที่จะใช้ชีวิตแบบเด็กสาวไปนานมากแล้ว”

 

“อ๋อ อย่างนั้นเองน่ะหรือ?”

 

ผมเชิดเชยคางของอิวาร์ขึ้น เธอไม่ต่อต้านใดๆ

ภาพที่ผมเห็นคือ ใบหน้าของเด็กสาวชุ่มด้วยน้ำตา

 

“แต่เธอก็ควรที่จะหาเหตุผลให้เก็บสิ่งที่เคยโยนทิ้งไปกลับมานี่”

 

“……ฝะ-ฝ่าบาทเองก็เป็นคนขี้โกหก!”

อิวาร์ตะโกนออกมา

คำพูดของเธอไม่ชัดราวกับพูดขณะที่กำลังร้องไห้ 

 

 

“หลอกลวงข้าด้วยคำหวานหู…… ข้าน่ะ ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าคู่นอนคืนเดียวของท่าน, แม้แต่ตอนนี้เองก็เถอะ…… ใช่ว่า ฝ่าบาทจะ ……จะรักข้าที่ไหน!”

 

“อืมมม”

 

“ข้ารู้ทุกอย่าง! จากรายงานของลาพิส ลาซูลิ การแลกเปลี่ยนน่ะต้องคุ้มค่าเท่าเทียม …….ต่อให้ข้าอุทิศชีวิตให้ฝ่าบาทก็เถอะ ,แต่ฝ่าบาทก็คงจะไม่ทำแบบเดียวกัน ดังนั้นแล้ว……!”

 

เมื่อเผชิญหน้าสถานการณ์แบบนี้เข้า

 

 

ผู้ชายแต่ละคนก็มีวิธีการโต้ตอบต่อเหตุการณ์แบบนี้ต่างกันออกไป

 

ชายผู้ใจดีและซื่อสัตย์ก็จะยืนยันถ้อยคำอีกฝ่าย

 

‘ข้าไม่สามารถรักเจ้าได้ ยกโทษให้ข้าด้วย’

 

มันอาจทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย ณ ตอนนั้นรุนแรงมาก แต่ในระยะยาวแล้ว ถือว่าดีกว่า

 

 

ผู้ชายชั่วร้ายก็จะแกล้งปฏิเสธคำพูดอีกฝ่าย

 

‘ไม่ใช่นะ ข้ารักเจ้าจริงๆ ข้าจะไม่รักหญิงผู้งดงามอย่างเจ้าได้อย่างไรกันเล่า?’ 

 

โดยไม่ปิดบังสันดานเดิมของตัวเอง

 

ผมเบิกตากว้างเผชิญกับรักแท้ ผมอยากจะปฏิบัติกับเธอเป็นดั่งบุคคลล้ำค่าของผม…….

 

และผู้ชายที่ชั่วร้ายจริงๆจะ…….

 

 

“……!”

 

 

จูบเธอ

 

 

ผมค่อยๆประคองหัวของอิวาร์ด้วยมือขวา แล้วยกเชิดคางเธอด้วยมือซ้าย

จากนั้นก็บรรจงจุมพิตแบบไม่ทันให้ตั้งตัวขณะที่มองเข้าไปในดวงตาสีม่วงของเธอ

 

ดวงตาของเธอนั้นเบิกกว้าง จนดูเหมือนอเมทิสม์ที่เปียก

 

ทีแรก อิวาร์พยายามผลักผมออกไป แต่พละกำลังใจอ้อมแขนของเธอกลับค่อยๆลดน้อยถอยลงจนกระทั่งเธอยอมหลับตาลง น้ำตาของเธอกลายเป็นเพียงเส้นร่องบางๆบนใบหน้า

 

แสงยามเย็นของเนฟเฮมนั้นค่อยๆฉายส่องบนร่างของพวกเรา

 

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นทำลายความเงียบ

 

「ค่าความชอบของอิวาร์ ล็อดบรอค เพิ่มขึ้น 9」

「ค่าความชอบของอิวาร์ ล็อดบรอค เพิ่มถึง 100」

「ความรักอันสูงส่งและบริสุทธิ์! อีกฝ่ายรับรู้ว่าคุณเป็นคนรักของเธอ  ฉายาใหม่จะมอบให้กับบุคคลที่มีรักมั่นคง」

 

ผมแอบยิ้มอยู่ในใจ

 

—ผมไม่แพ้เธอหรอกน่า

 

อิวาร์ ล็อดบรอคมิได้เป็นแต่เพียงผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกปีศาจ หากแต่เป็นบุคคลผู้นำบริษัทการค้าที่ยิ่งใหญ่

 

เธอก็ยังมีอำนาจมากทั้งจากตัวเกมเองเธอก็มีนิสัยที่จะจงรักภักดีกับบุคคลที่เธอรู้สึกดีด้วยโดยไม่มีเงื่อนไข

 

ความร่ำรวย,อำนาจ,ความแข็งแกร่ง และความจงรักภักดีจริงใจ

มีแต่ไอ้โง่เท่านั้นที่จะยอมปล่อยให้คนแบบนี้หลุดมือไปได้น่ะ

ผมดึงอิวาร์เข้ามาใกล้

พอทำแบบนั้นแล้ว ผมก็ไม่แน่ใจว่า เธอตั้งใจหรือไม่ แต่เธอก็โอบแขนผอมๆรอบหลังผม ผมสัมผัสได้ถึงนิ้วมือของเธอแตะกับแผ่นหลังตัวเอง

 

 

 

 

ภาพพระอาทิตย์ตกในเมืองเป็นฉากหลัง

 

 

 

 

(TTL : ใครก็ได้ จ้างปาปารัชซี่ ถ่ายภาพนี้ส่งไปให้สมาคมเมียปราสาทจอมมารพรี่ดันที!!! ) 

 

 

* * *

 

 

 

ผมได้กลับสู่ปราสาทจอมมารของตัวเองหลังเสร็จธุระที่เนฟเฮมเสียที

ผมใช้ม้วนคัมภีร์เทเลพอร์ทกลางดึก เนื่องจากไม่อยากเจอหน้าใครตอนกลางค่ำกลางคืน 

นับเป็นโชคดีมากที่ที่นอนของผมนั้นเงียบสงัด จึงสามารถถอนหายใจโล่งๆยาวๆขณะนอนเล่นที่เตียงได้

 

 

“…….”

 

ผมแอบอิจฉาอิวาร์ ล็อดบรอคพอสมควร

 

ต่อจากนี้ไปอนาคตข้างหน้าของเธอจะมีแต่สดใส เธอไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอีกต่อไปแล้ว

เธอสามารถออกไปดูโลกกว้างได้ด้วยร่างของเด็กสาว ในฐานะตัวตนที่แท้จริงของเธอ

แม้เธอประสบโศกนาฏกรรมใด โศกนาฏกรรมนั้นก็จะเป็นของของเธอเพียงผู้เดียว

 

ผมไม่อาจพูดได้หรอกว่า ผมก็เป็นแบบนั้น

 

 

ผมนั้นไปไกลเกินกว่าจะถอดหน้ากากตัวเองออกแล้ว

ผมสวมหน้ากากเพื่อเอาชีวิตรอดนานเกินไปเสียจนไม่อาจถอดหน้ากากได้อีกต่อไป

 

ผมกับอิวาร์ เราเดินกันบนคนละเส้นทางแล้ว

 

เธอจะเดินไปบนเส้นทางแห่งตัวตนที่แท้จริง ในขณะที่ผมเดินไปบนเส้นทางแห่งการลวงหลอกและหักหลัง……. 

 

อารมณ์ที่ผมมีต่ออิวาร์จึงเป็นทั้งความรู้สึกนับถือและอิจฉาไปพร้อมๆกัน เธอเป็นบุคคลที่สามารถก้าวเดินไปบนเส้นทางของตัวเองได้

 

ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกโกรธหรือรู้สึกแย่อะไรนัก เพียงแค่หดหู่นิดหน่อยเท่านั้นเอง…….

 

 

– ก็อก, ก็อก

 

ใครบางคนมาเคาะประตู

ผมย่นคิ้วนิ่วหน้า ใครบางคนรู้การกลับมาของผม? ได้ยังไงกัน?

 

“ท่านดันทาเลี่ยนคะ”

เสียงของลาพิส ผมถึงกับถอนใจด้วยความเหนื่อยอ่อน

 

“ได้ เข้ามาได้”

 

“ขอประทานอภัยที่มารบกวนค่ะ”

 

ลาพิสคงติดตั้งอุปกรณ์บางอย่างที่แจ้งเตือนเมื่อตรวจจับความเคลื่อนไหวในปราสาทได้ ผมมอบสิ่งนั้นให้เธอเพราะเธอมีหน้าที่ดูแลปราสาทจอมมารตอนที่ผมไม่อยู่

 

แต่ก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน

 

ผมแอบกลับมาลับๆ ไม่มีทางที่ลาพิสผู้เฉลียวฉลาดจะไม่รับรู้ถึงสิ่งนี้

 

ให้ผมอยู่คนเดียวบ้างเถอะ นั่นเป็นข้อความที่ผมอยากจะสื่อออกไป

แล้วทำไมลาพิสถึงได้มาหาตอนนี้กันนะ……?

 

“ดิฉันเชื่อว่า ท่านอาจจะอยากได้เหล้า”

ลาพิสที่อยู่ในชุดเครื่องแบบตามปรกติ ถือถาดเข้ามา

 

 

“ฝ่าบาทยินดีจะรับ ไวน์วัลฮาลาปี 230 ไหมคะ?”

 

“ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนพอใจมากๆ!”

 

สมแล้วที่เป็นลาพิส

 

 

ผมดื่มไวน์จากขวดโดยตรง

 

 

พอเห็นผมทำแบบนั้น ลาพิสก็วางเจ้าก้อนเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่เธอเตรียมไว้ก่อนแล้ว

 

“นี่คือ ใบยาสูบที่พัฒนาขึ้นโดยหัวหน้าเจเรมิ ดิฉันแนะนำให้ลองทดสอบใบพวกนี้ดูค่ะ เพราะมันช่วยคลายความเครียดได้”

 

ผมขยี้ใบพวกนั้นใส่ลงไปในไปป์แล้วจุด โอ้ มันสุดยอดไปเลย

 

“อื้มมมม ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนสดชื่นมากกกก”

 

 

ไม่นานนัก การพูดคุยกันก็ลื่นไหลหลังจากที่ลาพิสเอาของดีๆมาให้ผมเหมือนเป็นสินบนให้ผมเล่าเรื่องราวที่เกิดให้ฟัง

 

หัวสมองผมที่มึนเมาทั้งกับตัวยาและเหล้าไวน์ ก็เลยพ่นออกมาอย่างไหลลื่น

ลาพิสเองก็พยักหน้าตั้งใจฟัง โดยยังรักษาท่าทีไร้อารมณ์เหมือนเช่นเคย

 

 

“แล้วข้าก็แผดเผามันให้วอดวอยจนหมดเลย! ฮ่าฮ่า!”

 

เรื่องที่ผมเล่าซ้ำก็ไปถึงจุดไคลแม็กของเรื่อง

 

 

ผมระเบิดหัวเราะขณะที่พูดถึงตอนที่ผมฆ่าล้างผู้คนไปมากมายในปารีาฃ

ลาพิสเองก็ยังคงสงบนิ่งอยู่

หลังจากฟังเรื่องราวมาถึงจุดจบ เธอก็แสดงความเห็นออกมา

 

“เข้าใจแล้วค่ะว่า ท่านดันทาเลี่ยนตั้งใจจะเผา”

 

“ถูกแล้ว เพราะมันเป็นวิธีที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดยังไงล่ะ! ข้านี่แหละยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว!”

 

“ดิฉันมิได้หมายถึงในเชิงประสิทธิภาพหรอกค่ะ”

 

ลาพิสส่ายหัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ผมเริ่มพูด

 

“การเผานั้นทำให้สะดุดตาคน

 

แม้ภายนอกจะดูโหดเหี้ยม หากแต่ประสิทธิภาพจริงๆกลับแย่มาก ในบรรดาวิธีการมากมายในการฆ่ามนุษย์ การเผานั้นเป็นวิธีการที่กินเวลามากที่สุด”

 

“……เอ๋?”

 

“ท่านดันทาเลี่ยนจงใจเลือกวิธีการ ‘ด้อยประสิทธิภาพ’ ในการฆ่าล้าง”

 

ลาพิสพูดโดยไม่มีอารมณ์เจือปนอยู่

 

“แต่ทว่า กลับปลูกฝังความหวาดกลัวลงในหัวใจของผู้คนได้ถึงขุดสุด โดยที่ฆ่าคนให้น้อยที่สุด

ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ ว่านั่นน่ะ—”

 

และเธอก็พูดบางอย่างออกมา

 

“นั่นเป็นอะไรที่เหมาะสมกับท่านมาก”

 

“…….”

 

ผมปิดปากเงียบ

ลาพิสรินเติมไวน์ในแก้วที่วางเปล่า ผมดื่นมันอย่างเงียบๆ แล้วลาพิสก็รินให้อีก

 

“……ลาพิส”

 

“ค่ะ ท่านดันทาเลี่ยน”

 

“ข้าเกลียดคำนั้น”

 

ลาพิสพยักหน้า

 

“ดิฉันทราบดีค่ะ”

 

“แล้วเธอจะพูดทำไม?”

 

“เป็นสิทธิพิเศษของคนที่คอยรับฟังคนเมาบ่นค่ะ”

 

“…….”

 

ผมถอนใจแล้วดื่มไวน์ต่อ

 

เราเงียบกันไปสักพักหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

ใช่แล้วล่ะ

มีคนแบบนี้อยู่บนโลกด้วยนี่นะ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ”

 

“หืมมม?”

 

“มีใบเสร็จจำนวนมากส่งมาจากเนฟเฮม 

อาจจะไม่ถึงกับหลายพันไลบร้าก็จริง

แต่ในฐานะดูแลปราสาทและเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของท่านดันทาเลี่ยน

ดิฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ใบเสร็จพวกนี้นี่มันมาจากที่ไหน”

 

“……หือหาา? อะโอ้ นั่นน่ะ นั่นสินะ”

 

“ดิฉันได้รายงานสถานการณ์ทางการเงินให้ฝ่าบาทฟังตั้งแต่ช่วงทำสงครามแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่เกิดประโยชน์อันใดเลยสินะคะ

 

กรุณาบอกดิฉันทีนะคะ ว่าดิฉันควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี”

 

“…….”

 

“…….”

 

“ขะ-ข้าขอโทษ”

 

“น่าประหลาดใจจริงๆค่ะ

่ท่านดันทาเลี่ยนคิดว่า ที่ดิฉันพูดทั้งหมดมานี่เพราะอยากได้ยินคำขอโทษจากท่านหรือคะ? 

 

ท่านคิดว่า คำขอโทษของท่านนั้นมีค่ามากกว่าการที่ทำให้เราสามารถหาเงินมาใช้คืนในส่วนที่เสียไปได้ ตอนที่ดิฉันอยู่ในฐานะทั้งผู้ดูแลปราสาทและหัวหน้าฝ่ายการเงิน หรือคะ?”

 

“…….”

 

“ดิฉันขอถามคำถามง่ายๆกับท่านดันทาเลี่ยนคำถามหนึ่งคะ

ขออนุญาตถามนะคะท่านคะ ใบเสร็จพวกนี้ คือ ใบเสร็จอะไรกันคะ?”

 

“ข้าขอโทษจากใจจริง…….”

 

ผมจึงต้องนั่งฟังลาพิสบนต่อไปอีกราวๆเกือบ 5 ชั่วโมง

แต่เงินนั่นน่ะ มันเงินผมเองนะ…….

โลกนี้ไม่ยุติธรรมชะมัด

 

 

(TTL : 

โชว์ป๋ากับอิวาร์เลยต้องมานั่งขอขมากับลาพิส )

ชีวิตพรี่ดันหนอ! 555555555555) 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด