Dungeon Defense (WN) 314 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (2)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 314 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 314 – ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (2)

 

 

* * *

 

 

ที่โน่นก็มีปัญหา ที่นี่ก็มีปัญหา

 

บาร์บาทอสฟังคำแนะนำของผมก็จริง ก็ใช่ว่า จอมมารทุกตนจะอยู่ใต้การควบคุมของผมเสียที่ไหน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจอมมารผู้ที่ผมกำลังมึนตึงต่อกัน เพราะเรื่องที่เราได้ทะเลาะกันไปก่อนหน้านี้

 

“การประชุมตัวแทนของพวกสาธารณรัฐอย่างนั้นเหรอ?”

ช่วงต้นฤดูหนาว ผมได้รับรายงานเอกสารที่ทำให้ตกใจ

 

เนื้อหาของเอกสารก็ตรงไปตรงมา มันเป็นคำเชื้อเชิญนักการเมือง,นักวิชาการ และจิตรกรทุกท่านที่เป็นตัวแทนของฝ่ายนิยมสาธารณรัฐทั่วทั้งผืนทวีป

การประชุมจัดขึ้นในเมืองหลวงของบัทตาเวีย

 

การประชุมแบบนี้ไม่เคยจัดขึ้นมาก่อนด้วยซ้ำ

 

ผมบ่นด้วยความขุ่นเคือง

 

“ไร้สาระอะไรอย่างนี้…….”

 

“คำเชิญอย่างเดียวกันนี้ส่งไปถึงตัวแทนของเนฟเฮมด้วยค่ะ”

 

อิวาร์ขยายความขณะอยู่ข้างๆผม

 

ณ ตอนนี้ มีเพียงผม เดซี่และอิวาร์อยู่กันในออฟฟิศ อิวาร์บอกเรื่องนี้ตอนที่ผู้บริหารคนอื่นๆออกไปแล้ว

 

“ฉันสืบข้อมูลแล้วพบว่า ผู้ส่งคำเชิญนี้คือเหล่าอาร์คดยุค”

 

“แม้แต่เจ้าพวกอาร์คดยุคนั่นก็ด้วย…….”

 

มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักหาก คำเชิญจะส่งไปยังทุกเมืองที่ตั้งตนเป็นอิสระ

โดยไม่สนใจชาติพันธุ์ใดๆ แต่ขนาดของการประชุมนี่สิที่เป็นปัญหา

 

ลงนามชื่อผู้ส่งคำเชิญคือ 13 สมาชิกกลุ่มบัทตาเวีย 

เป็นที่รู้จักกันดีว่า เป็นตัวเอ้ผู้ปกครองชาติสาธารณรัฐ แต่หากคุณปอกเปลือกนอกลอกมันออกมาให้หมด คุณก็จะพบว่า เจ้าพวกนั้นต่างก็เป็นหุ่นเชิดของไพมอนทั้งหมดนั่นแหละ

ผมแน่ใจเลยว่า นี่เป็นการกระทำของไพมอน

ผมขยำบัตรเชิญด้วยมือข้างเดียว

 

“บ้าเอ๊ย……นี่มันเร็วเกินไป!”

เจตนาของไพมอนมันสว่างจิตชะมัด

กระแสคลื่นแห่งแนวคิดสาธารณรัฐกำลังจะพัดวีไปทั่วทั้งผืนทวีป

 

 

พอสาธารณรัฐฮับบวร์กถือกำเนิดขึ้น และจักรวรรดิฟรานเคียเองก็ไปร่วมมือกับผู้ปกครองของฝ่ายผู้นำสาธารณรัฐ 

พวกเมืองอิสระเองที่สนใจหันมากลายเป็นสาธารณรัฐบ้างก็ผุดเป็นดอกเห็ด

 

แถม บริททานี่ ตัวแทนฝ่ายนิยมกษัตริย์ก็โดนโค่นล้มไปแล้วด้วย……. ว่าง่ายๆตอนนี้ พวกนิยมสาธารณรัฐกำลังจะกลายเป็นดาวเด่นแห่งสาธารณชนไปแล้ว

 

เราควรจะใช้โอกาสนี้ผลักดันให้เกิดแรงกะเพื่อมต่อ ไพมอนคงคิดแบบนั้นอยู่แน่ๆ

 

“ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการสร้างพันธมิตรข้ามชาติ…….”

 

พอผมพูดอย่างนั้นออกมา อิวาร์ก็เอียงคอสงสัย

 

“ฝ่าบาทคะ เหตุใดจึงไม่ควรจัดการประชุมขึ้น? มีอะไรที่ต้องห่วงหรือคะ?”

 

“มันไม่ใช่การประชุมธรรมดา ปีศาจและมนุษย์กำลังจะเห็นไส้เห็นพุงกันและกัน นั่นต่างหากล่ะ จุดสำคัญของเรื่องนี้”

 

ก่อนหน้านี้ มนุษย์หาโอกาสได้ยากมากที่จะติดต่อกับตัวตนระดับสูงของโลกปีศาจ

 

จากมุมมองของพวกมนุษย์ พวกนั้นก็จะคิดถึงจอมมาร ยามที่พูดถึงผู้ปกครองเหล่าปีศาจ 

ไอ้เรื่องนั้นมันก็ไม่ผิดโดยสิ้นเชิงหรอก หากแต่สังคมปีศาจจริงๆกลับปกครองด้วยอาร์คดยุคและตัวแทนของภาคประชาชนต่างหาก

พวกนั้นต่างหากที่มีอำนาจแท้จริง

 

 

ผมถอนใจด้วยความเหนื่อยอ่อน

“นี่จะเป็นการเดบิว ชนชั้นปกครองของโลกปีศาจในการเมืองระดับโลก

แถมยังเป็นการประชุมที่ระบุในฐานะตัวแทนของสาธารณรัฐเสียด้วย

…….แล้วเธอคิดว่า ผู้ปกครองมนุษย์จะเข้าใจเหตุการณ์ในครั้งนี้ยังไงล่ะ?”

 

 

“…….เข้าใจแล้วค่ะ เป็นไปได้สูงมากที่พวกนั้นจะหลงผิดเข้าใจไปเองว่า ทั้งโลกปีศาจนั้นศรัทธาแนวคิดสาธารณรัฐ”

ดวงตาสีม่วงของอิวาร์นั้นวิบวับ

 

หากเป็นเรื่องการเมือง และการทูต อิวาร์เก่งที่สุดในบรรดาลูกน้องทั้งหมดของผม

ลาพิสกับเจเรมิก็พอใช้ แต่ในบางด้านก็ยังอ่อนไปเยอะ 

อิวาร์ช่วยเหลือผมได้ดีหากเป็นหัวข้อนี้

 

“เหล่าผู้ปกครองก็อาจจะแสดงท่าทียินดีปรีดาที่บริททานี่พ่ายแพ้ แต่พวกนั้นเองก็เฝ้ามองด้วยความไม่สบายใจเหมือนกัน

 

คู่แข่งลดลงไปน่ะก็เป็นเรื่องดีอยู่หรอก แต่ก็ทำให้ฝ่ายนิยมกษัตริย์เป็นกังวลว่าจะแพ้ด้วยเช่นกัน”

 

“แน่ล่ะ ทีนี้ลองนึกภาพตามนะ จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกตัวแทนสาธารณรัฐอยู่ๆก็มาจัดประชุมกันในช่วงเวลาแบบนี้……..อีกฝ่ายน่ะไม่มีทางอยู่เฉยแน่”

 

อิวาร์พยักหน้า

 

“เหล่าผู้ปกครองจะอนุมานเลยว่า กองทัพจอมมารนั้นพยายามที่จะเผยแพร่แนวคิดสาธารณรัฐให้แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีป”

 

ปัญหาก็คือ การที่เข้าใจอย่างนั้นมันไม่ใช่เรื่องผิดปรกติน่ะสิ

ก็ไม่ใช่ผลงานของใครอิื่นผม ผมเองเนี่ยแหละ,จอมมารดันทาเลี่ยน ที่พูดสุนทรพจน์เกี่ยวกับแนวคิดสาธารณรัฐขึ้น ณ ที่ราบบรูโน่

การร่วมมือกันครั้งใหญ่ของทั้งเผ่าคนแคระและเอลฟ์ ณ ใจกลางทวีป สามชนเผ่านั้นใกล้ชิดกับพวกนิยมสาธารณรัฐด้วยเช่นกัน

แถมตอนนั้น กองทัพจอมมารเองก็ยังเป็นพันธมิตรกับสาธารณรัฐบัทตาเวียในการรบครั้งล่าสุดนี้อีก…….

 

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ดูยังไงง กองทัพจอมมารก็มีการแสดงออกว่าชื่นชอบแนวคิดสาธารณรัฐอย่างเห็นได้ชัด

แถมยังเกิดความระวังขึ้นเรื่องหนึ่งอีก นั่นมันทำเอาผมปวดหัว

 

“พวกนิยมกษัตริย์น่าจะโต้ตอบกับเรื่องที่รุนแรงเลยล่ะ…….ให้ตายเหอะ

อิวาร์,เดซี่ เตรียมตัวให้ดี พวกเราจะไปยังปราสาทจอมมารของไพมอน”

 

 

“ค่ะ, ฝ่าบาท”

 

อย่างน้อยๆพวกเราก็ต้องหยุดการร่วมมือกันของพวกมนุษย์

ไพมอน ผมเข้าใจความปรารถนาของเธอที่อยากเผยแพร่แนวคิดสาธารณรัฐไปทั่วทั้งทวีปให้เร็วที่สุด ดี

แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ผมน่ะอยากให้เธอเข้าใจเรื่องนี้จริงๆนะ…….

 

 

 

* * *

 

 

 ปราสาทจอมมาร <สวนลอยฟ้า>

 

มันเป็นปราสาทจอมมารที่สร้างขึ้นต้านแรงโน้มถ่วง ลอยอยู่นท้องผืนฟ้า ที่ได้ชื่อว่า สวนลอยฟ้าก็เนื่องมาจากวิวทิวทัศน์อันงดงามรอบๆมัน

ปราสาทจอมมารลอยฟ้านั้นก็เป็นป้อมปราการโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

 

ในการฮีโร่และพรรคพวกจะขี่กริฟฟอนขึ้นมาเพื่อบุกปราสาทที่ป้องกันแน่นหนานี้

 

ไพมอนจะถูกฮีโร่แทงเข้าที่หัวใจ และร่วงหล่นลงมา…… พร้อมกับปราสาทจอมมารและอุดมการณ์อันสูงส่งของเธอ

 

เดิมทีแล้วผมเกลียดไพมอน

 

แต่หลังจากพบความจริงเบื้องหลังเข้า ผมกลับนับถือเธอแทน จะเรียกเธอว่า เป็นจอมเสแสร้งก็ไม่เป็นไร

หากไม่มีการเสแสร้งขึ้นมาจริงๆ แล้วชีวิตมันจะงดงามได้อย่างไรกัน?

 

ผมนับถือไพมอนจากใจจึงไม่อยากให้เธอไปพบจุดจบแบบเดียวกันกับในเกม

พวกเราเดินทางวิญญาณที่สวมชุดข้ารับใช้ และมาถึงทะเลสาบหลังจากเดินทางมาไกล

ไพมอนนั่งอยู่ริมทะเลสาบกำลังดื่มชาอยู่

 

“อิวาร์, เดซี่ รออยู่นี่แหละ”

ผมบอกให้ทั้งสองที่มาด้วยกันนั้น รอผมตรงนั้น ส่วนผมก็เดินก้าวสั้นเข้าหาไพมอน

 

“ไพมอน”

 

แม้ผมจะเข้ามาใกล้ เธอก็ยังคงทอดสายตามองไปที่ทะเลสาบเงียบๆ

บรรยากาศเย็นยะเยือกห้อมล้อมตัวเธออยู่ แม้แต่ผมเองก็ได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศนั้น

 

ผมคุกเข่าลงและพรมจูบเบาๆที่หลังมือของไพมอน ผิวพรรณของเธอนั้นยังคงนุ่มเนียนละเอียดเหมือนเคย

 

ผมไม่รีบลุกขึ้นมา ผมยังคงพูดทั้งที่ยังคุกเข่าอยู่

 

“เธอคงรู้อยู่แล้ว ว่าทำไมข้าถึงมาที่นี่ในวันนี้ ข้าพูดเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะ,ไพมอน

นี่ยังไม่ใช่เวลาที่สุกงอมดี”

 

“…….”

 

“การประชุมตัวแทนของเหล่าสาธารณรัฐอย่างนั้นหรือ?

แล้วเธอก็เชิญมาทั้งฝ่ายมนุษย์และฝ่ายปีศาจอีกด้วยอย่างนั้นหรือ? 

การทำแบบนี้มันเสี่ยงเกินไป ยิ่งพวกเรารวมกลุ่มกันมากเท่าไหร่ ฝ่ายศัตรูของเราก็ยิ่งกังวล นำไปสู่การรวมกลุ่มกันด้วยเช่นกัน

สถานการณ์ของมนุษยชาติ ณ ตอนนี้ ยังนับว่าเป็นภัยคุกคามอยู่”

 

ผมยังคงคุกเข่าอยู่อย่างนั้น

ไพมอนไม่ใช่คนที่ยังทนหน้าด้านปิดปากเงียบอยู่ได้หากผมพูดตรงๆแบบนี้

ริมฝีปากชมพูของเธอขยับเคลื่อนในขณะที่ดวงตาของเธอยังจับจ้องอยู่ที่ผิวน้ำ

 

“แล้วข้าต้องรอไปอีกนานเท่าไหร่?”

 

น้ำเสียงของเธอนั้นไร้ชีวิตชีวาก็จริง แต่อย่างน้อยเธอก็ตอบกลับมา

 

ดีมาก นี่หมายความว่า ไพมอนยังอยากคุยกับผมอยู่

ผมรู้สึกโล่งอกขึ้นมาและตอบกลับไป

 

“หกสิบ, ไม่สิ, แค่ห้าสิบปีก็เพียงพอ

ผู้คนอาจจะกระตือรือร้นอยู่เพราะโรคระบาดและสงครามที่เกิดขึ้นถี่ แต่พอผ่านไปห้าสิบปี ผู้ปกครองฝ่ายมนุษย์จะเททรัพยากรทั้งหมดไปปราบปรามการก่อความวุ่นวาย”

 

“…….”

 

“รัฐบาลใหม่ของฟรานเคียก็เริ่มเสถียรในระดับหนึ่งแล้ว

เราควรจะวางมือจากฟรานเคีย ปล่อยให้เ้ป็นหน้าที่ของพันธมิตรผู้แข็งแกร่งของเราแทนนะ ไพมอน

ห้าสิบปีสำหรับพวกเรามันไม่นานนัก ได้โปรดรออีกสักหน่อยเถิด”

 

เงียบงันกันไปหลายนาที

 

ขณะที่พวกเราอาบแสงอาทิตย์ของต้นฤดูหนาว เห็นเหยี่ยวกระพือปีกเหนือทะเลสาบ เสียงน้ำกระแทกจ๋อม

 

ผมยังแอบสงสัยเลยว่า เป็นเพราะมานาที่ไหลเวียนอยู่ในปราสาทจอมมารหรือเปล่า ใบไม้ใบหญ้าที่นี่ถึงยังเขียวขจีอยู่แม้เป็นฤดูหนาวแล้วก็ตาม

 

ไพมอนหันหน้ามาสบตาผม

ดวงตาเธอมืดหม่นแต่แจ่มชัด ความรู้สึกไม่สบายใจแผ่ไปทั่วร่างผม

มันไม่ใช่ดวงตาของคนที่อยากจะสนทนาด้วยเลย

 

“ดันทาเลี่ยน, ข้าขอถามคำถามหนึ่ง ……บาร์บาทอสจะทำอะไรหลังจากห้าสิบปีนั้น?”

 

“……เรื่องนั้น”

ผมตอบไม่ได้

 

บาร์บาทอสย่อมต้องอยากที่จะไปพิชิตโลกอยู่แล้ว เธอก็น่าจะนำกองทัพจอมมารไปรวมโลกมนุษย์และโลกปีศาจเป็นชาติเดียว แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของของฝ่ายที่ราบเพียงกลุ่มเดียวหรอก

อนาคตที่บาร์บาทอสใฝ่ฝันนั้น เป็นเป้าหมายที่สังคมปีศาจให้การสนับสนุนมากที่สุดแล้ว

 

 

“เราไม่ใช่พวกเดียวที่สะสมกำลังให้แข็งแกร่งขึ้นในช่วงห้าสิบปีนี้ ฝ่ายที่ราบเองก็ทำแบบนั้นอยู่เช่นกัน

ดันทาเลี่ยน,อย่างที่นายพูดไว้นั่นแหละ โลกมนุษย์หลังผ่านไปห้าสิบปีจะอ่อนแอลง 

 

แล้วเผ่าปีศาจจะอดทนไม่ขบกินเหยื่อน่าอร่อยตรงพวกเขาได้อย่างนั้นหรือ?”

 

“…….”

ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว

สมดุลระหว่างมนุษย์และปีศาจต้องสร้างขึ้นภายใต้รัฐบาลสาธารณรัฐ

หากปีศาจมีอำนาจมากเกินไป มนุษย์ก็จะกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง ซึ่งมันจะเป็นเช่นนั้นโดยเสมอภาค ไร้การแบ่งแยก

 

(TTL : พลเมืองชั้นสองยังดี มนุษย์จะเป็นอาหาร ทาส และของเล่นแทนน่ะสิ) 

 

ไพมอนเหยียดหยามความเสมอภาค ไม่แบ่งแยกเช่นนั้น

 

“นี่เป็นโอกาสของพวกเราแล้ว เมื่อไม่มีบาอัลกับอกาเรส  กองทัพจอมมารและกองทัพฝ่ายมนุษย์ต่างเจ็บหนักกันทั้งสองฝ่าย

พวกเราต้องสร้างสันติภาพ ด้วยการรวมทวีปเป็นหนึ่งเดียว”

 

 

“……ความเสี่ยงสูงเกินไป 

ข้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในฐานะที่ปรึกษาของกองทัพจอมมาร”

 

ผมทนต่อไปไม่ไหว

ไพมอนตอนนี้เห็นฝ่ายที่ราบเป็นกลุ่มศัตรูคู่แค้น นี่มันน่ากลัวมาก 

ฝ่ายมนุษย์เป็นพันธมิตรของพวกเรา และกองทัพจอมมารเป็นศัตรู

หากเป็นแบบนั้นทุกอย่างจะยุ่งเหยิงกันไปหมด และจะเกิดความแตกแยกในหมู่พวกเราด้วยกัน

 

 

“ไพมอน พวกเราต้องสามัคคีรวมเป็นหนึ่ง สงบสติอารมณ์แล้วคิดถึงเรื่องนี้ให้ดี! 

พวกเราได้รับความพ่ายแพ้อันขมขื่นเสมอยามที่พวกเราแตกคอกัน

และชัยชนะก็มักเกิดขึ้นเสมอยามที่เราเป็นหนึ่งเดียวกัน”

 

“ข้าไม่เห็นด้วย”

ไพมอนส่ายหน้า ท่าทีของเธอนั้นหนักแน่น

 

“ดันทาเลี่ยน, นายคิดว่าใครที่เป็นฝ่ายสูญเสียในสงครามหุ่นเชิด?”

 

“แน่นอน ก็ต้องเป็นราชินีแห่งบริททานี่และฝ่ายนิยมกษัตริย์บนพื้นทวีป”

 

“ไม่ถูกต้อง”

 

แววตาของไพมอนดุดัน

 

“ฝูงชนที่โดนลากเข้ามาร่วมสงครามอันบ้าคลั่ง และโดนฆ่าโดยไม่มีเหตุผล ดันทาเลี่ยน พวกนั้นต่างหากที่สูญเสียอย่างแท้จริง”

 

“…….”

 

“เราต้องไม่เข้าใจเรื่องนี้ผิดไป

เหตุผลที่พวกเราดูเหมือนชนะก็เนื่องจากพวกเรายืนอยู่ฝ่ายผู้ชนะ

รออีกห้าสิบปีอย่างนั้นหรือ ? รอจนกว่าพวกผู้ปกครองจะอ่อนแอลงเองหลังจากกดขี่ข่มเหงประชาชนมากว่าห้าสิบปีอย่างนั้นหรือ?”

 

ไพมอนยิ้ม

 

“แสร้งทำเป็นเพิกเฉยขณะที่ผู้คนกำลังโดนฆ่าล้างอย่างไร้เหตุผล? ข้าไม่ยอมทำแบบนั้นแน่”

 

“…….”

 

“ดันทาเลี่ยน ข้าไม่ตำหนินาย นายก็มีวิถีทางในแบบของนาย

เลดี้ผู้นี้แม้ไม่อาจบอกได้ว่า การกระทำของนายนั้นมีศีลธรรมอยู่เบื้องหลังก็ตาม”

 

ไพมอนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

“ข้าต้องขออภัยด้วย แต่ข้าไม่อาจใช้ชีวิตบนเส้นทางนั้นได้”

 

“……ไพมอน”

 

เลวร้ายชิบ นี่ตอนนี้ผมกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่กันแน่?

 

ก่อนหน้านี้ ไพมอนประณามผมเรื่องที่ผมกระทำการชั่วร้าย ผมปฏิเสธเธอโดยบอกว่า มันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำเพื่อธำรงรักษาฝ่ายชั่วไว้

 

ตรรกะแบบเดียวกันนี้เช่นกัน แต่แค่คนละฝ่าย

 

ไพมอนเลือกที่จะอยู่ด้านดีไว้ จวบจนท้ายทีั่สุด

ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่อาจมองข้ามการตายอันไร้ค่าของผู้คนมากมายได้

 

หากผมแนะนำไพมอนไปว่า ‘เสียสละเพื่อชัยชนะเถอะ’ มันก็ไม่ต่างจากการที่ผมบอกให้เธอ เป็นพวกตอแหลเสแสร้ง ผมทำแบบนั้นไม่ได้…….

 

และรอยยิ้มก็จางหายจากริมฝีปากไพมอนยามเธอพูด

 

“ดันทาเลี่ยน,เมื่อวันที่ข้าต้องเผชิญหน้ากับบาร์บาทอสมาถึง , นายจะเลือกอยู่ข้างข้าไหม?”

 

ผมตอบคำถามนั้นของเธอไม่ได้

ด้วยเหตุนั้นแล้ว บทสนทนาของเราจึงจบลงแค่นั้น

 

ไพมอนไม่พูดอะไรต่อ ผมก็ไม่พูดเช่นเดียวกัน

 

ผมหันหลังกลับ และเดินออกห่างจากทะเลสาบ ผมรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก

 

“ฝ่าบาท, ท่านเป็นอะไรไป?”

 

พออิวาร์เห็นสีหน้าผม ก็ถามขึ้นมาทันที ผมส่ายหัว

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก เราต้องรีบไปปราสาทของบาร์บาทอสเดี๋ยวนี้เลย ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้ว”

 

หากเป็นแบบนี้ต่อไป บาร์บาทอสกับไพมอนปะทะกันรุนแรง แล้วเหล่าผู้ปกครองของพวกมนุษย์ก็จะปรบมือดีใจขณะที่เฝ้าดู ผมไม่ยอมให้เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นแน่

 

บาร์บาทอส และ ไพมอน ผมจะช่วยทั้งคู่ นี่คือ การตัดสินใจของผม 

แต่มันจะเป็นไปได้หรือ?

มันเป็นไปได้จริงหรือสำหรับทุกคนที่จะพบกับแฮปปี้เอนดิ้ง? ผมไม่แน่ใจนัก …….

 

ผมมองเงยหน้ามองท้องฟ้าต้นฤดูหนาวที่ขาวซีด เสียงถอนใจดังออกมา

 

 

“พวกเราคงจะยุ่ง ยุ่งกันมากในช่วงฤดูหนาวอันยาวนาน…….”

 

 

(TTL : ตีบ้านเมืองมนุษย์แตก จอมมารก็มาบ้านแตกกันเองต่อ )

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด