Dungeon Defense (WN) 315 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (3)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 315 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 315 – ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (3)

 

 

 

* * *

 

กองทัพจะไม่เคลื่อนพลในช่วงฤดูหนาว

จริงอยู่ที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องจำศีลเหมือนอย่างพวกสัตว์แต่ไม่ใช่กับกองทหาร

กองทัพส่วนมากต่างจะพักผ่อนในช่วงพฤศจิกายน

แล้วก็มาเหยียดแข้งเหยียดขาเดินทางในช่วงมีนาคมจนถึงเมษายน

 

แต่ทหารมอนสเตอร์นั้นสามารถที่วิ่งจ้ำผ่านสมรภูมิรบได้ตั้งแต่ช่วงกุมภาพันธ์ มอนสเตอร์นั้นทนต่อความหนาวได้ดีกว่ามนุษย์

หากคำนวนคร่าวๆแล้วล่ะก็ กองทัพจอมมารสามารถเริ่มที่จะเคลื่อนพลได้ ‘เร็วกว่า’ กองทัพฝ่ายมนุษย์ประมาณ 2 เดือน

 

 

นั่นเป็นช่วงเวลาที่กองทัพจอมมารจะเคลื่อนทัพกัน ปลายฤดูหนาวอย่างเดือนกุมภาพันธ์

เมษายนเป็นช่วงที่มนุษย์กำลังวิ่งวุ่นกับการเก็บเกี่ยวพืชผลจึงทำให้ต้องมีการปกป้องจนกว่าจะถึงฤดูหนาว

ยิ่งไปกว่านั้น ฤดูใบไม้ร่วงพวกเขาเองก็ยังวุ่นวายกับการเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างแข็งขันไปจนกว่าจะถึงฤดูร้อน

กองทัพจอมมารนั้นสามารถเคลื่อนทัพได้ในช่วงระหว่างนั้น ในขณะที่ฝ่ายมนุษย์เองกำลังยุ่งอยู่หรือไม่ก็ไม่อยากเคลื่่อนทัพในช่วงนั้น

มันเป็นอย่างนี้ต่อเนื่องมากว่า  3,000 ปี จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกมนุษย์จะจงเกลียดจงชังพวกปีศาจก็ด้วยเหตุนี้

 

ไพมอนจึงตัดสินใจที่จะก้าวพ้นข้าวความเกลียดชังแล้วสร้างสังคมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน 

ในสายตาคนอื่น เธอคงดูไม่ต่างจากคนบ้าคนหนึ่ง

แต่หาก คนบ้าคนนั้นมีกำลังมากเพียงพอจริงๆ ก็จะเป็นยิ่งกว่าคนบ้า กลายเป็นสัตว์ประหลาดไป 

 

สัตว์ประหลาดแห่งประวัติศาสตร์น่ะ…….

ผมจึงรีบหาทางเป็นเจ้าภาพงาน ‘เฉลิมฉลองชัยชนะ’ อย่างเร่งรีบ

 

ผมถือโอกาสจัดงานเฉลิมชัยขึ้นนี้ด้วยการอ้างว่า อยากจะฉลองชัยชนะที่ได้รับจากการสู้กับบริททานี่ ผมเชิญเอกอัครราชทูต ตัวแทนของแต่ละชาติทั้งหลายมาร่วมกันในงานนี้ด้วย เป้าหมายของผมนั้นเรียบง่ายมาก

 

ผมต้องการจะรวบรวมพวกนิยมกษัตริย์เข้าด้วยกันก่อนที่ฝ่ายปีศาจจะโดนเข้าใจเป็นว่าเป็น เผ่าพันธุ์ที่เป็นพวกนิยมสาธารณรัฐ

 

คำเชิญนั้นลงลายเซ็นของ รูดอล์ฟ ฟอน ฮับบวร์ก เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการจากองค์จักรพรรดิ

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่มีใครโง่พอที่จะไม่เข้าใจความหมายว่านี่เป็นดั่ง ‘ท่าทีการเจรจาอันเป็นมิตร’ จากกองทัพจอมมาร

 

ราชาของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายต่างส่งตัวแทนของพวกเขามาหาเรา ราวกับกำลังรออยู่แล้ว

อีกฝ่ายขนข้าวของมาอย่างหรูหราฟู่ฟ่า

 

“กระหม่อมขอถวายเครื่องราชบรรณาการนี้แด่ท่าน ,ฝ่าบาท”

 

“ด้วยเกียรติศัพท์แห่งฮับบวร์กที่สะเทือนสวรรค์ จึงไม่มีผู้ใดที่จะไม่ตะลึงไปกับชัยชนะอันน่าประทับใจของฝ่าบาท”

 

เหล่าทูตานุทูตของทุกชาติต่างมายืนออกันหน้าองค์จักรพรรดิรูดอล์ฟเพื่อสรรเสริญ ยิ่งน่าขันกว่านั้น แม้แต่ทูตของสาธารณรัฐฮับบวร์กก็อยู่ด้วย

ชายคนนั้นยิ้มชั่วร้ายอยู่เป็นระยะๆ เขาคงคิดล่ะมั้งว่า ‘เกียรติศัพท์แห่งฮับบวร์ก’ เป็นเหมือนเรื่องเหยียดหยันล้อเลียน

 

ผมกับบาร์บาทอสก็ยืนอยู๋ข้างกายองค์จักรพรรดิ

 

“ฮ้าววววว”

บาร์บาทอสเอามือป้องปากขณะที่หาวยาวๆออกมาครั้งหนึ่ง

เธอเป็นบุคคลที่แสดงความเบื่อหน่ายออกมาให้เห็นอย่างโจ่งแจ้ง เธอน่ะต้องมาอยู่ที่นี่เพราะผมขอไว้ แต่ใจจริงเธอคงไม่อยากมาอยู่ตรงนี้นักหรอก

 

 

“…….”

 

“…….”

 

บาร์บาทอสเอาแต่หาวอย่างเดียว นั้นกลับส่งผลกระทบที่รุนแรง

เหล่าทูตทั้งหลายถึงกับตัวแข็งทื่อและมองด้วยสายตาเย็นชา

 

เป็นแค่ข้ารับใช้ธรรมดากล้าดียังไงมาหาวต่อหน้าองค์จักรพรรดิในขณะที่กำลังต้อนรับแขกเหรื่อกันอยู่

 

แม้บาร์บาทอสจะเป็น รักษาการณ์แทน ,หัวหน้าผู้พิพากษา และเป็นผู้บริหารจักรวรรดิ แต่การทำแบบนั้นมันเสียมารยาทเป็นอย่ามาก

 

ผมทำหน้าบึ้งใส่

 

“หัวหน้าผู้พิพากษาครับ ท่านไปทำท่าทางไม่ดีไม่งามต่อหน้าองค์จักรพรรดิได้อย่างไร?”

 

“อ้า ใช่ ต้องขอประทานอภัยด้วย ฝ่าบาท”

ดูเหมือนบาร์บาทอสจะรู้ว่าตัวเองทำพลาดไป

 

“ข้าแสดงความไม่เคารพออกมาก็เพราะต้องเหนื่อยยากลำบากในการทำงานให้จักรพรรดิ

ยกโทษให้ข้าด้วย”

 

“เราอภัยให้ ข้ารู้ดีกว่าใครว่า ท่านหัวหน้าผู้พิพากษาทำงานหนักทั้งกลางวันกลางคืนเพื่อจักรวรรดิของเรา”

 

จักรพรรดิยินดีรับคำขอโทษอย่างหน้าชื่นตาบาน

 

สีหน้าท่าทางของเหล่าทูตทั้งหลายก็เปลี่ยนไปในทันที ช่างเป็นอะไรที่น่าประทับใจเสียเหลือเกินนะ

 

จักรพรรดิที่พวกเขาคิดว่า เป็นเพียงหุ่นเชิดกลับมีอำนาจอยู่ด้วย

จอมมารที่ภาคภูมิใจในตัวเองเสียจนไม่คิดว่าจะมีใครมาเทียบทานได้ กลับแสดงความนับถือมนุษย์ผู้หนึ่งว่าเป็น ‘ฝ่าบาท’

 

ผมแน่ใจเลยว่า เหล่าทูตจะต้องได้รับคำสั่งว่า ‘สังเกตดูให้ดีๆว่า จอมมารนั้นตั้งใจที่จะสานสัมพันธ์กับเหล่ามนุษย์หรือไม่กันแน่’

 

ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงแสดงออกให้สาธารณชนเห็นกันทั่วว่า ผู้ปกครองมนุษย์นั้นมีอำนาจ

ก็แหงอยู่แล้ว การทูตนั้นมันเริ่มต้นจากการประกาศให้อีกฝ่ายทราบถึงอำนาจ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

 

เหล่าตัวแทนประเทศทั้งหลายจึงคึกคักขึ้นกว่าก่อนหน้า พวกเขาต่างชมเชยกันไปกันมาด้วยถ้อยคำที่หลากหลายไม่ซ้ำ และก็ถึงคราวของตัวแทนทูตจากสาธารณรัฐฮับบวร์กบ้างแล้ว

 

 

“ฝ่าบาทครับ กระหม่อมมาที่นี่ในฐานตัวแทนของท่านคอนซูลแห่งสาธารณรัฐฮับบวร์กเพื่อชื่นชมความสำเร็จอันน่านับถือของจักรวรรดิ

 

ชัยชนะที่ได้รับมาหาใช่แต่เป็นของจักรวรรดิอย่างเดียวไม่ หากแต่เป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ประกาศในนามแห่งผู้ปกครองที่แท้จริงด้วยเช่นกัน

ท่านคอนซูลของพวกเราถึงกับทึ่งในความสามารถของฝ่าบาท ผู้ปกครองตัวจริงของจักรวรรดิ”

 

เหล่าทูตชาติอื่นต่างมองหน้ากันและกันด้วยความรู้สึกหลายอย่างปะปนกันไป มันก็ต้องเป็นความรู้สึกซับซ้อนอยู่แล้ว

 

ขณะที่ทูตคนอื่นใช้คำว่า ‘ฮับบวร์ก’ แต่คนๆนี้กลับใช้คำว่า ‘จักรวรรดิ’ โดยใช้น้ำเสียงเน้นย้ำ หมายถึงว่า พวกเขาเท่านั้นที่เป็นผู้สืบทอดตัวจริงของฮับบวร์ก

 

คำว่า ‘ผู้ปกครองตัวจริง’ ก็เช่นกัน คนส่วนมากก็คงจะรู้ตัวกันแล้วว่า บาร์บาทอสตอนนี้น่ะเป็นรักษาการณ์ของจักรวรรดิและใช้อำนาจขององค์จักรพรรดิไปตามใจชอบ

ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ การที่พวกเขาพูดคำว่า ‘ผู้ปกครองที่แท้จริง’ ต่อหน้าองค์จักรพรรดิหมายความว่าอย่างไรได้ล่ะ ? 

หากแปลความคำพูดของหมอนี่ไม่ผิดไป ก็ย่อมต้องรู้ว่าเจ้าหมอนี่ตั้งใจจะยั่วล้อ เสียดสีบาร์บาทอสและอำนาจองค์จักรพรรดิที่ดิ่งลงก้นเหว

 

มันคงเป็นเจตนาของหมอนี่แหละ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่รู้จักความเกรงอกเกรงใจกันเสียเลยน้า

เป็นแผนที่ผิวเผินเสียจริง

 

“โอ้! น้องสาวข้ามาแสดงความยินดีกับข้าอย่างนั้นรึ?!”

 

จักรพรรดิรูดอล์ฟดูจะแสดงออกด้วยความร่าเริง น้ำเสียงของเขาผิดกับก่อนหน้าที่พูดกับทูตคนอื่นๆ

 

“ทูตของน้องสาวผู้มาถึงยังแดนดินของพี่ชายตน ย่อมนำมาซึ่งความสุขสันต์ในฐานะพี่ชายคนหนึ่งอยู่แล้ว

น้องสาวข้าอยู่ดีมีสุข สุขภาพแข็งแรงดีไหม ทวยเทพยังคงอวยพรให้น้องข้าดีอยู่หรือเปล่า? ”

 

“ขอรับ, ฝ่าบาท”

 

แม้ทูตจากสาธารณรัฐจะขานรับเช่นนั้น ก็ไม่อาจซ่อนสีหน้าประหลาดใจได้

 

“ขอบพระทัยในความห่วงใยที่ฝ่าบาทมีให้ขอรับ”

 

“ฮ่าฮ่า  ข้าจะไปช่วยอะไรน้องสาวข้าได้เล่า? 

ตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ ที่อลิเซ่น่ะทำอะไรก็เก่งไปเสียหมดทุกอย่าง”

รูดอล์ฟพูดราวกับถอดหน้ากากจักรพรรดิออก 

บรรยากาศเป็นกันเองยามที่จักรพรรดิผู้เป็นตัวเอกของงานนี้ พูดคุยด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง

 

“พอมองย้อนกลับไปแล้ว สมัยที่ข้ากับอลิเซ่ยังวิ่งเล่นอยู่ในวังหลวงนั้นเป็นความทรงจำที่งดงาม

เหล่าทวยเทพได้อวยพรให้ช่วงวัยเด็กของเรานั้นแสนสุขและราบรื่น

แต่ละวันที่ผ่านไป ณ ช่วงเวลานั้นเป็นดั่งทัศนียภาพอันงดงามในภาพวาด”

 

ดวงตาของรูดอล์ฟที่เหม่อมองออกไปไกลๆในอากาศราวกับกำลังระลึกอดีตหนหลัง

 

 

“เป็นที่แน่นอนว่า ความงามนั้นย่อมเป็นของปลอม

ในความเป็นจริงแล้ว ย่อมเป็นเรื่องของความไร้เดียงสาหากมัวแต่จะยึดติดอยู่กับประสบการณ์วัยเด็ก

และย่อมเป็นการแสดงออกถึงความโง่เขลาที่หลงไหลไปกับภาพลวงตาอันงดงามเหล่านั้น

แต่ข้าต้องขอสารภาพกับพวกเจ้าเลยว่า ตอนนี้ข้าช่างโหยหาความไร้เดียงสาและความโง่เขลานั่นเหลือเกิน…….”

 

“…….”

 

ตัวแทนสาธารณรัฐไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไรดี จึงได้แต่อ้าปากพะงาบๆราวกับปลาขาดน้ำ

ผมถึงกับต้องกลั้นหัวเราะ 

ไอ้เรื่องที่ว่ามาน่ะ แม่งตอแหลปั้นน้ำทั้งเพ

 

รูดอล์ฟกับอลิซาเบธเนี่ยนะ จะมีความทรงจำวัยเด็กที่งดงามต่อกัน

ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว

รูดอล์ฟ,ชายที่เป็นศพ แล้วตกอยู่ใต้การควบคุมของบาร์บาทอสตลอดเวลาตอนนี้นั้น 

เป็นไอ้ลูกกะหรี่ที่วางแผนจะปลุกปล้ำพี่สาวตัวเอง และพยายามคิดแต่จะยึดครองบัลลังค์ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

แต่แน่นอนล่ะ ว่าเหล่าทูตน่ะไม่มีทางรู้เรื่องพรรค์นี้หรอก

 

“แม้ฝ่าบาทจะมีตำแหน่งสูงส่งเช่นนี้ แต่ท่านก็ยังไม่เคยหลงลืมคนสนิทของพระองค์! 

โอ้ อนาคตของจักรวรรดิย่อมต้องสดใส!”

 

 

“คนเสแสร้งย่อมหลงลืมตัวตนในวัยเด็ก 

ผู้รู้ในอดีตต่างพูดว่า บุคคลผู้จดจำสิ่งเหล่านั้นได้ย่อมนำทางตนไปด้วยปัญญาและเมตตา

ความเศร้าเสียใจของฝ่าบาทนั้นในฐานะผู้ปกครองย่อมไม่อาจเลี่ยงได้ แต่นี่ก็ถือว่าเป็นพรอันประเสริฐของจักรวรรดิแล้วมิใช่หรือ?”

 

เหล่าทูตต่างสรรเสริญเยินยอความเป็นมนุษย์ของรูดอล์ฟ ราวกับหาจังหวะ หาโอกาสอยู่แล้ว

อย่างที่คิดไว้จริงๆ เจ้าทูตทั้งหลายที่แต่ละประเทศส่งมานี่ ต่างพูดเก่งกันทั้งนั้น

 

“ถูกแล้วฝ่าบาท อย่าทรงวิตกไปเลย”

 

มีเพียงทูตจากสาธารณรัฐที่ตอบกลับมาแบบมีนัยยะแบบนั้น แถมเสียงยังเน้นย้ำกว่าคนอื่นอีกด้วย

เป็นไปได้ว่า เขาอาจรู้ก็ได้ว่า ตัวจริงแล้วรูดอล์ฟนั้นเป็นคนปอดแหกแค่ไหน

แต่โทษทีนะ นี่ยังไม่จบเทิร์นเลยว่ะ

 

 

“ข้าดีใจมากที่ได้ฟังคำปลอบโยนจากพวกเจ้า”

 

จักรพรรดิรูดอล์ฟยิ้มอย่างขมขื่นใจ

 

“เช่นเดียวกับสมัยเด็กของพวกเรา ที่ไม่อาจหวนคืนกลับมาได้

ไม่ว่าจะข้า หรือจะอลิเซ่ พวกเราก็พยายามในแบบของเราเอง

เราไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน ตอนนั้นพวกเรายังเด็ก…….”

 

“…….”

 

“มันคงจะดีหากจะมีใครสักคนรู้จักถอย ไม่อย่างนั้นแล้ว ผลลัพธ์ก็คือ ความรุ่งโรจน์ของฮับบวร์กก็คงจะไม่แตกแยกถึงเพียงนี้

 

การห้ำหั่นกันระหว่างสองพี่น้อง ทำให้แยกออกเป็นสองชาติ แล้วจะไม่ให้ข้าเสียใจกับสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน?”

 

“……!”

 

ดวงตาของทูตจากสาธารณรัฐเบิกกว้าง

นี่ต่างหาก แผนทางการทูตที่ยอดเยี่ยม จักรพรรดิฮับบวร์กนั้นได้ระบุไปเลยว่า เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการแบ่งแยกฮับบวร์ก คือ ‘การทะเลาะกันระหว่างพี่น้อง’

 

สาธารณรัฐฮับบวร์กนั้นก่อตั้งขึ้นเนื่องจากมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า พวกเขาต่างหากเป็นฮับบวร์กที่แท้จริง

 

จักรพรรดิรูดอล์ฟไม่สนเรื่องนั้น

 

เขาประกาศเลยว่า สาธารณรัฐฮับบวร์กไม่มีทางเกิดขึ้นด้วยอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ใด หากแต่เกิดขึ้นจากปัญหาระหว่างพี่น้องกันเอง

 

หากเหล่าทูตจากสาธารณรัฐตะโกนออกมาว่า

‘พูดอะไรไร้สาระออกมาวะ!?’ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใด

 

การเปลี่ยนวลีที่พูดออกมานั้นช่างฉลาดนัก

 

ประโยคแรกๆที่พูดอาจฟังดูเหมือนเขากำลังสารภาพผิดว่า ทั้งหมดเกิดขึ้นจากทั้งคู่แต่ความจริงแล้วนั้นเปล่าเลย

 

‘ตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ ที่อลิเซ่น่ะทำอะไรก็เก่งไปเสียหมดทุกอย่าง’ 

พูดมาก็เหมือนจะดูไม่มีแก่นสาระอะไรนัก

 

แต่พอเขาพูดต่อไปว่า ‘เราไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน’ ก็ดูเหมือนกับว่า อลิซาเบธเป็นคนก่อปัญหาด้วยอุปนิสัยที่ยึดมั่นในความถูกต้องของตัวเอง

 

แน่นอนว่า

 

“โอ้, ฝ่าบาทขอรับ อย่าเป็นกังวลเลย ถึงอย่างไรเสียเลือดก็ข้นกว่าน้ำ”

 

“สักวันหนึ่งฮับบวร์กจะต้องมาอยู่ใต้ร่มผืนธงผืนเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง”

 

เหล่าทูตชาติอื่นๆต่างพูดจาปลอบโยนต่อรูดอล์ฟ

 

“…….”

 

ทูตของฝ่ายสาธารณรัฐซีดขึ้นมาทันที สถานการณ์แย่มาก

หากเป็นอย่างนี้ต่อไป สาธารณรัฐจะโดน ‘โดดเดี่ยว’ ทั้งยังถูกปฏิบัติเป็นดั่ง ‘ผู้แปลกแยก’ บนเวทีการเจรจาทางการทูต

เขาต้องหยุดสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น อันเนื่องมาจากการแสดงไม่เคารพต่อองค์จักรพรรดิ

 

 

“ฝ่าบาทขอรับ, แต่…….”

 

“ฝ่าบาทครับ”

 

ผมพูดแทรกขึ้นก่อนที่ทูตฮับบวร์กจะพูดจบ ทุกคนหันมามองพร้อมกันยามเมื่อจักรพรรดิหันหน้าหาผม

 

“ทางเราได้เตรียมงานเลี้ยงต้อนรับไว้เรียบร้อยแล้ว

วันนี้เป็นวันดีที่ควรเพลิดเพลินไปกับคำยกย่องชมเชยจากเหล่าผู้ปกครองทั้งหลายมิใช่หรือครับ? 

ขอฝ่าบาททรงอนุญาตให้พวกเขาได้ลืมเรื่องทุกข์ใจแล้วเพลิดเพลินกับงานนี้ด้วยเถอะครับ”

 

“โอ้ เจ้าพูดถูกแล้ว ท่านเค้าท์พาลาทีน ดันทาเลี่ยน”

 

ท่านเค้าท์พาลาทีนเป็นตำแหน่งใหม่ที่ผมเพิ่งได้รับมาเมื่อไม่นานมานี้ ตำแหน่งนี้มันอยู่ระหว่าง ดยุค กับ มาร์คกราฟ

 

บาร์บาทอสขึ้นเป็นดยุคแห่งออสเตอร์ลิช ส่วนโรเซนเบิร์กก็เป็นมาร์คกราฟ ตำแหน่งเค้าท์พาลาทีนเองก็เหมาะสมมากสำหรับผมในฐานะที่ปรึกษาสูงสุดของฝ่ายที่ราบ

 

 

“ดูเหมือนเรื่องที่ข้ายกมาคุยด้วยออกจะหม่นหมองเกินไปหน่อยสำหรับวันดีๆเช่นนี้

ถูกแล้วล่ะ เราควรให้เหล่าทูตทั้งหลายได้เพลิดเพลินกับงานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อชดเชยที่ไม่ให้เกียรติแก่พวกเขา

ดังนี้แล้ว เค้าท์พาลาทีน ท่านจงนำเหล่าทูตทั้งหลายไปยังห้องโถงงานเลี้ยงด้วยเถิด”

 

“ตามพระบัญชาครับ”

 

ผมลอบมองไปที่ทูตของสาธารณรัฐขณะที่ผมกำลังโค้งคารวะให้จักรพรรดิ สีหน้าของหมอนั่นซีดอย่างกับศพ

 

ถึงแม้รูดอล์ฟจะเป็นศพจริงๆก็เถอะ แต่กลับยิ้มสดใส ในขณะที่คนเป็นอย่างหมอนั่นกลับทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าขำอะไรเช่นนี้

 

เอาล่ะๆ นี่เป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับความกล้าหาญนะ ที่มาใช้กลอุบายตื้นๆทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า ผมเป็นผู้สนับสนุนองค์จักรพรรดิ

ผมมอบร่างบทให้บาร์บาทอสจำไว้ ระดับการเตรียมการของเรามันผิดกันน่ะ หวังว่าคงจะเป็นการสอนบทเรียนให้กับสัตว์เลี้ยงสุดจองหองของอลิซาเบธได้แล้วมั้งว่า ถ้าจะเห่าเนี่ยก็สมควรระวังปากไว้บ้าง

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด