Dungeon Defense (WN) 322 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (10)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 322 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (10) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 322 – ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (10)

 

 

 

“ขอเวลาข้าสักครู่นะ”

 

ผมขอปลีกตัวออกมาจากนักบุญหญิง

 

 

ผมอาจจะเกิดการเข้าใจผิดไปเองแต่ดูเหมือน หญิงสาวชนชั้นสูงผู้มีผมสีเงินก็หันหน้ามาหาผมทันทีที่ผมก้าวเท้าไปหา

 

และหลังจากพ้นก้าวแรกไปผมจึงแน่ใจแล้วว่า ไม่ได้เข้าใจผิดไปเอง อีกฝ่ายรอการมาหาอยู่แล้ว

 

พวกเราดึงดูดสายตาคนในงาน

แม้อันที่จริงแล้วยามที่ถูกจ้องมองย่อมต้องรู้สึกอึดอัดขึ้นมา แต่ใจผมกลับปลอดโปร่ง อาจเพราะทักษะการแสดงของผมไปถึงระดับที่เหมาะสมกับการขึ้นเวทีดูดดึงสายตาผู้คน หรือไม่ก็ดื่มด่ำไปกับบทบาทตัวเองแล้ว

 

 

ณ ช่วงเวลานั้นเองที่ผมรู้สึกสั่นไหวขึ้นมาในอก

 

ผมไม่ได้พูดเกินจริงหรอกนะ 

ทุกย่างก้าวของผมนั้นมีทิศทางมุ่งไปอย่างชัดเจน

 

 

ถนนหนทางที่ผมเดินไปนั้นปลอดโปร่ง และไม่มีสิ่งอื่นปะปนอยู่เลยนอกจากความอลหม่าน

 

 

— ความคลุมเครือแบบนั้นไม่มีอยู่ในตัวผม ดังนั้นถามตัวเองในแน่ชัดดีกว่า

ผมนั้นจะมุ่งไปยังทิศทางใดได้หากมิใช่มุ่งหน้าไปหาเธอ?

 

มันเป็นความรู้สึกประหลาดมาก ที่ผ่านมาผมสบถด่าก่นแช่งต่อการมาสู่โลกบ้าๆใบนี้เสมอๆ

 

แต่ก็อย่างที่ผมบอกไปแล้ว หลังจากโดนโยนมาลงโลกนี้ ก็เพื่อการก้าวย่าง ในเวลานี้เท่านั้น ผมเชื่อแบบนั้นจริงๆ

 

เหมือนตอนที่อเล็คซานเดอร์ มหาราชได้ชี้ดาบไปยังกำแพงของอินเดีย

เหมือนตอนที่ยูลิอุส ซีซาร์ ชี้ไปยังอีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำรูบิคอน 

เท้าทั้งสองข้างของผมก็ชี้ไปทางเธอ

 

ทุกฝีก้าวนั้นไม่อาจหยุดยั้ง

ผมบอกได้เลยว่า ราวกับถูกดึงดูดไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

 

ผมไม่ใช่คนต่างถิ่น ผู้แปลกแยกอีกต่อไปแล้ว

เธอเป็นผู้มอบสถานที่พักพำนังพิงให้แก่ผมบนโลกใบนี้

 

ยามที่ผมเห็นดวงตาสีฟ้าคู่นั้นของเธอ ผมก็บอกได้เลยว่าผม เธอก็คิดแบบเดียวกันกับผมนี่แหละ

 

เราต่างยืนประจัญหน้ากัน

ผมรู้สึกเลยว่า ตอนนี้ผมได้แสดงรอยยิ้มที่ยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่เคยยิ้มมา

 

“ชื่อของข้า คือ ดันทาเลี่ยน”

 

“ข้า อลิซาเบธ”

ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวอะไรไปมากมายเกินกว่านี้  เป็นการบอกเป็นนัยอยู่แล้วระหว่างพวกเรา

 

จอมมาร,เค้าท์พาลาทีน

คอนซูล,นักปกครองผู้ยิ่งใหญ่คนสุดท้าย

 

ไม่มีการประกาศตัวใดๆที่ทำให้เรารับรู้ระหว่างและกันได้เหมาะสมไปมากกว่านี้อีกแล้ว

 

 

เธอคือ อลิซาเบธ และ ข้าคือ ดันทาเลี่ยน 

ข้าขอยืนยันว่า เธอคือ อลิซาเบธ

และเธอก็ยืนยันว่า ข้าคือ ดันทาเลี่ยน

 

ถึงอย่างนั้น ระหว่างเราก็หลักแหลมพอที่จะเชื่อว่า การยืนยันระหว่างเรานั้นเพียงแค่ครั้งเดียวก็เพียงพอ

 

เรายิงคำถามใส่อีกฝ่าย ราวกับไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น และคอยสังเกตสีหน้าสีตาอีกฝ่ายอย่างระวัง

 

 

“ก่อนหน้านี้เราส่งจดหมายหากันมาก่อน แต่ข้าไม่น่าใจนักว่า ความรู้สึกของข้าจะส่งไปถึงหรือไม่”

 

“ท่านไม่อาจได้รับสิ่งที่ปรารถนา

ยิ่งท่านได้รับเท่าไหร่ ท่านยิ่งปรารถนาน้อยลงเท่านั้น”

 

อลิซาเบธกำลังยิ้ม

 

“นั่นคือสิ่งทีผู้หญิงงดงามทั้งหลายในโลกนี้ต่างเหมือนกันนะ , ดันทาเลี่ยน”

 

“คำจริงย่อมไม่อาจพูดออกมา”

 

ผมหัวเราะออกมา 

ผมคิดไว้แล้วเชียว อลิซาเบธเข้าใจเจตนาที่ผมส่งหมายที่เขียนไว้ว่า ‘โลก’ 

 

หากพลิกคำว่า โลก กลับหัว  แล้วอลิซาเบธย่อมเป็นบุคคลเดียวที่เข้าใจความหมายนี้

 

“แต่ถึงอย่างนั้น ข้าและท่านต่างเหยียบอยู่บนโลกใบนี้ ยืนอยู่บนโลกใบนี้”

 

คราวนี้ถึงตาของอลิซาเบธบ้าง

 

“อะไรทำให้ท่านยังยืนอยู่ที่นี่?”

 

“ฮ่าฮ่า”

 

ออกจะชวนขำอยู่เล็กน้อย

ในขณะที่นักบุญหญิงลองวี่มองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผม เธอถามผมว่า ‘เรื่องนั้นไม่กวนใจนายบ้างเลยหรือไง?’

 

ในขณะที่ ดูสิที่อลิซาเบธถามผมน่ะ

‘อะไรทำให้ชีวิตนายยังดำรงอยู่ต่อไปกัน?’ 

มันเป็นคำถามเดียวกันแท้ๆ ความต่างอันเล็กน้อยแต่ความหมายต่างกันมากมายมหาศาล

 

 

“นั่นสิ ข้าก็สงสัยเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน 

แต่ข้าคิดว่า ที่นี่ไม่เหมาะสมนักกับบทสนทนาเชิงลึกแบบนั้น”

 

 

“อืม”

 

อลิซาเบธมองไปรอบข้าง

 

 

ผู้คนมากมายแอบมองและแอบฟังเราพูดคุยกันอยู่

 

ทั้งผมและอลิซาเบธต่างเป็นที่รู้จักว่า ชะตาที่เป็นดั่งศัตรูคู่อาฆาตต่อกันตั้งแต่เหตุการณ์ ณ ที่ราบบรูโน่

แถมเรายังมีการปะทะกันทางการทูตเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาอีก

 

 

ระหว่างที่พูดคุยกันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา คนอื่นย่อมต้องอยากสอดหูดักฟังอยู่เป็นธรรมดา

 

“ถ้าเช่นนั้นแล้ว? เราไปสูดอากาศดีๆในสวนกันไหม?”

 

อลิซาเบธพยักหน้า เราก็เลยเดินไปที่สวนที่อยู่ด้านนอกของสถานที่จัดงานเลี้ยง

 

 

สังคมชนชั้นสูงนั้นช่างน่าหนวกหู ในสวนใกล้งานเลี้ยงบ่อยครั้งมีไว้เพื่อกิจกรรมอื่นๆ

ตัวอย่างก็เช่น ร่วมรักกับคู่ควง

 

แน่นอน มิใช่คู่รักส่วนมากจะกล้าหาญชาญชัยพอถึงระดับนั้น โดยมากก็มักจะจุมพิตกันเบาๆขณะเดินเล่นกันในสวนสวย

 

ผมกับอลิซาเบธจะโดนจับได้ว่า แอบมาเล่นชู้กันไหมนะ? 

 

ถึงผมจะมาใช้ทักษะการทางเมืองเอาตอนนี้ แต่ผมก็พบว่า สถานการณ์ตอนนี้ช่างน่าสนุกเอาเสียเหลือเกิน

 

นี่เรายังไม่นับเป็นคู่ขาที่เข้ากันได้ดีที่สุดในโลกอีกอย่างนั้นหรือ?

 

 

“ข้าอยากได้ยินคำตอบจากท่าน ในตอนนี้”

 

“เอาล่ะ เช่นนั้นก็ดี”

 

ผมหยุดเดินแล้วหันหน้ามาหาอลิซาเบธ

ผมได้ร่ายเวทย์ต้านเวทย์รอบตัวเตรียมไว้ก่อน โดยใช้ใส่สร้อยคอตัวเองไว้

ณ ตอนนี้จึงไม่มีทางที่ใครจะมาแอบฟังได้แล้ว

 

 

“ทั้งหมดก็เพื่อโลกที่ต่างออกไป,อลิซาเบธ” 

 

 

“โลกที่ต่างออกไป?”

 

ผมพยักหน้า

 

“ข้าต้องไม่หาข้ออ้างใดๆกับเส้นทางที่ข้าเลือกเดินไป

หรืออย่างน้อยๆก็ต้องมีชีวิตนับหมื่นบนทวีปนี้ที่ต้องล้มตาย”

 

 

“……นี่นายเป็นสัมภเวสีที่หาที่ตายอยู่หรือยังไงกัน?”

อลิซาเบธครวญออกมา

 

“ข้าไม่อาจคิดแบบนั้นได้

ความจริงเรื่องที่ทั้งข้าและนายต่างเป็นนักฆ่าล้างอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้

แต่ถึงอย่างไรก็ดี นั่นก็เพราะเราต่างเป็นมือฆ่าล้างด้วยกันทั้งคู่ เราจึงต้องตระหนักถึงความเท่าเทียมกันของชีวิตที่ตายตกด้วยมือพวกเราไม่ใช่หรือ?”

 

ผมหัวเราะคิกเบาๆออกมา

 

“จุดเริ่มต้นของพวกเรามันต่างกันตั้งแต่แรกแล้ว”

 

“จุดเริ่มต้นของพวกเรา?”

 

“เธอน่ะ มีความชอบธรรมอันกระจ่างชัดที่แบกไว้บนบ่า 

นับตั้งแต่เธอฆ่าน้องชายตัวเอง

เพื่อฮับบวร์กเอย เพื่อประชาชนของเธอเอย…….”

 

แน่นอนว่า เธอยังยกความชอบธรรมที่ว่านั้นขึ้นสูงเหนือการฆ่าอีกด้วย

 

“เธอน่ะยังคงลงมือฆ่าศัตรูของตัวเองต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ยอมละทิ้งความชอบธรรมที่ว่าของตัวเอง

ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ชีวิตที่เธอฆ่าไปไร้ความหมายมากขึ้นไปอีก

พอเป็นอย่างนั้น เธอก็ไม่อาจจะละทิ้งมันได้เลย…….”

 

“…….”

 

“แต่ไม่ใช่สำหรับข้า

เรื่องนี้มันก็ชัดเจนกันอยู่แล้ว

ข้าก็แค่ฆ่า ฆ่าและก็ฆ่าอีกเพื่อความอยู่รอดและเสถียรภาพในชีวิต

การมาเที่ยวยกความชอบธรรมใดขึ้นมาอ้าง ก็จะเป็นการเสแสร้งเสียเปล่าๆ”

 

ดังนั้นแล้วนี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมผมถึงพูดว่า โลกนี้มันชัดเจนในตัว

 

หากจะพูดถึงบุคคลที่ฆ่าเพื่อปรารถนาให้โลกใบนี้พบกับสันติ หากสามารถไปถึงจุดนั้นได้จริงๆ

แล้วครอบครัว เพื่อนพ้องที่ตายตกไปก่อนหน้า เพื่อนำพามาให้ถึงจุดนั้นล่ะ?

 

 

ฆาตกรคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลผู้แสนดี เรื่องราวก็จะเผยแพร่ไปอย่างนั้น

ต่อให้ได้ล้างแค้นเจ้าฆาตกรคนนั้นจริง ก็พูดออกมาอย่างสบายใจ ว่าแก้แค้นแล้วได้ไม่เต็มปากหรอก

 

นี่คือ การมอบความชอบธรรมและข้ออ้างให้แก่ฆาตกรคนนั้น…….

 

 

“คนจำนวนมากต่างก็เข่นฆ่ากันเองอยู่แล้ว พวกนั้นมักจะถือดาบขึ้นมา แต่ใช้ดาบเพียงแกว่งฟาด

แต่ข้าปรารถนาที่จะใช้ดาบพวกนั้นเพื่อชี้ทิศทางให้เห็นกันได้อย่างกระจ่างชัด”

 

“……ดังนั้นวันที่นายจะยุติการกระทำชั่วร้ายของนายก็จะไม่มีวันมาถึง”

 

“แน่นอน”

ผมยิ้ม

 

 

“ก็เหมือนกับการที่เธอไม่อาจเลิกล้มอุดมคติของเธอได้ยังไงล่ะ,อลิซาเบธ

ความปรารถนาหรือเจตจำนงไม่ใช่สิ่งสำคัญ

ปัญหาจริงๆก็เกิดมาจากบทบาทที่มอบให้แก่พวกเรา”

 

ผมไม่ได้ทำแบบนั้น เพราะผมสามารถที่จะทำมันได้

แต่ผมทำเพราะผมต้องทำ

 

 

อลิซาเบธมองขึ้นไปบนฟากฟ้ายามราตรี

 

 

“อำนาจแห่งโชคชะตา

อะไรเกิดขึ้นก่อน อะไรเกิดหลัง

ต่างกันก็เพียงลำดับของสรรพสิ่ง

แต่ถึงกระนั้น พวกเราก็ถูกตัดสินโดยโชคชะตา…….”

 

เธอก้มหน้าลงก่อนจะเงยหน้ามองมาที่ผม

 

“ตอนนี้ข้าเข้าใจกระจ่างชัดแล้ว ไม่มีพื้นที่สำหรับการประนีประนอมระหว่างเรา”

 

“ถูกแล้วล่ะ”

 

“ข้าจะเอาชีวิตนาย แล้วหลังจากทำแบบนั้นแล้ว—ข้าจะแบกรับชีวิตนับหมื่นที่นายได้แบกรับด้วยตัวเอง”

 

ไม่มีแม้แต่ความสั่นไหว หรือรอยด่างใดๆในแววตาสีฟ้าของอลิซาเบธ

 

โอ้ ช่างยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้

ดวงตาของเธอช่างกระจ่างใส 

ผมแน่ใจเลยว่า ผมจะไม่มีทางสำนึกเสียใจใดๆอีกหากผมได้ตายด้วยมือคู่นั้นของเธอ

 

(TTL : นี่คือการยอมรับรักแล้วใช่ไหม!!!!) 

 

 

ริมฝีปากของผมยกขึ้น ด้วยความตื่นเต้นอย่างเงียบๆ

อลิซาเบธยกนิ้วขึ้นชี้มาที่อกผม

 

 

“ก่อนอื่น ,ข้าจะทำให้การประชุมตัวแทนครั้งนี้สำเร็จลุล่วง

นายน่ะกลัวการก่อตั้งขึ้นของฝ่ายสาธารณรัฐที่ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างมนุษย์และปีศาจ

ฝ่ายสาธารณรัฐในกองทัพจอมมารจึงออกมาลงมือเรื่องนี้ด้วยตัวเองอย่างที่ไม่ต้องสงสัยเลย”

 

“สันนิษฐานได้เยี่ยม”

 

ผมแทบอยากจะปรบมือให้เธอจริงๆ

 

 

“หากฝ่ายหนึ่งรวมเป็นหนึ่งดียวกัน แล้ว ฝ่ายกองทัพจอมมารย่อมต้องเกิดการแบ่งแยก

ดันทาเลี่ยน, สำหรับนายที่เชื่อว่าตัวเองอยู่ฝ่ายผู้อ่อนแอ การที่ฝักฝ่ายตัวเองเกิดการแบ่งแยกกันย่อมเป็นกรณีที่เลวร้ายขั้นสุด”

 

“อีกแล้ว เธอพูดถูกอีกแล้ว”

 

คราวนี้ผมทนไม่ไหว ปรบมือให้กับเธอขึ้นมาจริงๆ

 

“คำว่า น่าประทับใจยิ่ง ไม่เพียงพอต่อการแสดงความประทับใจที่มีต่อเธอเลยจริงๆ”

 

 

“กาฬโรคอาจเป็นโอกาสทองสำหรับนาย แต่ก็เป็นโอกาสทองของฝ่ายเราเช่นกันหากมันซาลง

จำนวนชาวนาที่ลดน้อยลงอย่างมาก ซึ่งผลที่ได้ก็คือ ดินแดนของชาวนาที่รอดชีวิตมาได้รับการแจกจ่ายแทนชาวนาที่ล้มตายไป”

 

ถูกต้องเลย 

ุทุ่งนาที่เคยใช้คนสิบคนเก็บเกี่ยวตอนนี้ก็ใช้คนหกคน

 

“คุณค่าของชาวนาเพิ่มขึ้นสูงมากอย่างที่ไม่เคยสูงระดับนี้มาก่อน

คุณค่าของทหารรับจ้างและนักประดิษฐ์เองก็เพิ่มสูงขึ้นมากเช่นเดียวกัน

และนี่ก็หมายถึง ชาวนาจะเริ่มมีบทบาทสำคัญในการคุกคามต่อชนชั้นปกครอง”

 

หรือพูดอีกอย่างก็คือ มันเป็นยุคสมัยที่สมบูรณ์แบบมากในการที่แนวคิดสาธารณรัฐจะเบ่งบาน

 

 

“ทุกจักรวรรดิและราชอาณาจักรย่อมต้องเลือกข้างฝ่ายชนชั้นสูงอยู่แล้ว

การปะทะกันครั้งใหญ่ย่อมต้องเกิดขึ้น

การรวมกลุ่มของเมืองอิสระนั้นคือ ปฐมบทแห่งการปะทะครั้งดังกล่าว

 

ดันทาเลี่ยน, ฝ่ายสาธารณรัฐเป็นผู้กุมกระแสแห่งประวัติศาสตร์”

 

“นั่นก็ในกรณีถ้าลุกฮือขึ้นมาได้สำเร็จน่ะนะ”

 

ผมยิ้ม

 

“ข้าจะเตะถ่วงการระเบิดนั่นให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้

เรามาดูกันว่า เธอน่ะจะอยู่ได้นานถึงตอนนั้นไหม สักประมาณห้าสิบปีน่ะ”

 

“ข้าจะทำให้การระเบิดนั่นเกิดขึ้นภายในสองปีนี้”

 

ห้าสิบปี หรือ สองปี

 

เราอาจจะหัวเราะร่วมกันเพราะเลขจำนวนที่ต่างกันอย่างมาก

แต่มันไม่ใช่เสียงหัวเราะด้วยความสบายใจหรอก

ระหว่างเรามันมีแต่ความเป็นศัตรู

 

“แต่ว่า ,อลิซาเบธ มันสายเกินไปหน่อยนะ”

 

“……?”

 

อลิซาเบธขมวดคิ้ว

 

 

ณ ตอนนั้นเอง

 

 

 

– ตู้มมมมมมมมม!

 

เสียงระเบิดดังลั่นขึ้นมาจากห้องจัดงานเลี้ยง

ระเบิดสนั่นขนาดที่ทำให้พืชพรรณทั้งหลายในสวนแหวกออกพร้อมเพรียงกัน

 

 

อลิซาเบธเผลอหันไปหาห้องโถงงานเลี้ยงโดยอัตโนมัติ ก่อนจะหันหน้ากลับมาหาผม

ใบหน้าของเธอนั้นบิดเบี้ยว

 

“ดันทาเลี่ยน!”

 

 

“เกิดการลอบสังหารขึ้นจากกลุ่มหัวรุนแรงที่เชื่อว่า มนุษย์และปีศาจไม่สมควรจะร่วมมือกัน”

 

ผมยักไหล่ให้เธอและก็พูดต่อ

 

 

“เหตุการณ์ในครั้งนี้จะไม่ได้รับการจดจำว่าเป็นการประชุมกันระหว่างตัวแทนของสาธารณรัฐอีกแล้ว

 

หากแต่จะได้รับการบันทึกจดจารในประวัติศาสตร์ว่าเป็น โศกนาฏกรรมอันเนื่องมาจากฝ่ายที่เหยียดชาติพันธุ์ที่ปรารถนาจะทำลายสันติสุข

 

ผลที่ได้ก็คือ ผู้คนจะเริ่มตระหนักรู้ถึง ความสำคัญของสันติภาพระหว่างมนุษย์และปีศาจ…….”

 

 

“นี่นายไม่ได้เชิญข้ามาที่สวนนี่ เพื่อแสดงความจริงใจอย่างนั้นหรือ!?”

อลิซาเบธตะโกนลั่น

“เมื่อครู่ ข้าแน่ใจว่า เข้าใจนายแล้วแท้ๆ……!”

 

 

“แน่นอนครับ ข้ามาที่นี่ก็เพราะปรารถนาที่จะแสดงความจริงใจกับเธอ”

รอยยิ้มปรากฏที่ปากผม

 

“แต่ว่า อลิซาเบธ—มีข้อห้ามระหว่างเราว่า ห้ามใช้ประโยชน์จากความจริงใจด้วยอย่างนั้นหรือ?

 

ไม่ว่าจะฝ่ายข้าหรือฝ่ายเธอเองก็เถอะ”

 

 

“……!”

 

ดวงตาที่อลิซาเบธมองผมกลับหนักข้อขึ้น

 

แต่ด้วยเหตุผลบางประการมันกลับทำให้ผมพึงพอใจยิ่งขึ้น

 

“ก่อนหน้านี้ เธอบอกว่า ข้าเป็นสัมภเวสีที่หาที่ตายอยู่ ใช่ไหม? 

 

ถูกครึ่งและผิดครึ่ง 

ข้าไม่ใช่ตัวตนอย่างพวกสัมภเวสีหรอก,อลิซาเบธ

 

ตอนนี้ ที่นี่ ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเธอ

ข้า คือ จอมมารผู้หนึ่ง”

 

 

เสียงกรีดร้อง ตามด้วยเสียงร้องไห้ได้ยินมาจากห้องจัดงานเลี้ยง ผมสงสัยจังเลยนะว่าจะมีคนตายกันสักกี่คนกัน

 

 

มันย่อมเป็นอะไรที่ดีที่สุด หากไม่มีใครตายแม้แต่คนเดียว แต่หากตายไม่เกิน 6 คน ผมก็ยังพอรับมือไหวอยู่

ผมควรจะเชื่อใจในฝีมือของไพมอนดีไหมนะ

……?

 

“จำใส่ใจไว้อย่างหนึ่ง , ข้าไม่เคยคิดจะวางแผนให้ตัวเองต้องตายเพราะเธอ”

 

 

 

(TTL : จัดหนักใส่อลิซาเบธรุนแรงทุกดอก

ละบอกนางเป็นนางเอกในใจ

เฮ่ออออ อีพรี่ดัน….) 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด