Dungeon Defense (WN) 324 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (12)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 324 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (12) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 324 – ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (12)

 

 

 

 

 

ดันทาเลี่ยนบาดเจ็บหนัก

 

 

ทันทีที่เธอได้ยินแบบนั้นเธอก็หันไปมองรอบข้างในทันที

นักบวชวิหารที่มาถึงภายหลังรีบตรงเข้ามาเพื่อรักษาแผล ผู้คนที่บาดเจ็บเล็กน้อยหรือไม่ได้รับบาดเจ็บต่างให้ความนับถือนักบวชผู้นั้น

 

ในพื้นที่รอบข้าง ชายผู้หนึ่งนั่งเอนตัวพิงต้นไม้

เพียงแค่มองผ่านๆก็บอกได้แล้วว่า อาการแย่ลงเรื่องๆ ท้องของเขานั้นเต็มไปด้วยเลือด 

การรักษาปรกติที่นักบวชทั่วไปทำกลับส่งผลร้ายกลับจอมมารแทน เหล่านักบวชจึงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากการดูแลเล็กๆน้อยๆ แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฮีลเลอร์

 

ชายคนนั้นชำเลืองมอง ดวงตาประสานกับอลิซาเบธ  

ผู้ชายคนนั้น, ดันทาเลี่ยน,เฝ้ามองเธอมาตั้งแต่แรก

 

— ทุกอย่างเคลื่อนคล้อยไปอย่างเชื่องช้า 

 

แม้แต่เสียงที่ผู้คนต่างชื่นชมนักบวชยังชะลอลง

อลิซาเบธรู้สึกราวกับเส้นประสาทในร่างกายหยุดทำงาน

 

‘……ทั้งหมดนี่เป็นแผนตั้งแต่แรกแล้วอย่างนั้นหรือ?’

 

‘ก็อย่างที่เธอพูดนั่นแหละ’

 

เธอรู้สึกราวกับได้ยินดันทาเลี่ยนตอบมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ มันไม่ใช่การคิดนึกไปเอง 

ใบหน้าของดันทาเลี่ยนเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ดวงตาสีดำสนิทของเขากลับคมกริบ ดวงตาคู่นั้นตอบทุกคำถามชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใดๆ

 

‘มีคนจำนวนมากเป็นพยานว่า พวกเราออกไปจากห้องจัดงานเลี้ยงด้วยกัน’

 

‘นอกจากเราสองคนแล้ว มีเพียงข้าคนเดียวที่กลับไปยังห้องจัดงานเลี้ยงในขณะที่นายน่ะ อยู่ๆก็พบว่า บาดเจ็บสาหัส’

 

‘นี่เป็นบทร่างที่ทำให้ทุกคนเกิดความสงสัย’

 

ทุกคนยังคงปรบมือชื่นชมต่อไป 

แปะ     แปะ

เสียงปรบมือดังต่อเนื่องราวกับเสียงระฆัง 

เว้นไว้ก็แต่ตัวเธอกับดันทาเลี่ยน ทุกสิ่งรอบกายกลับหนืดอืดไปหมด

 

‘เธอคงจะคิดอย่างนี้สินะ: 

เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นตอนที่เธอไม่อยู่

หากเธอกลับมาแล้ว เธออาจตกเป็นผู้ต้องสงสัย’

 

‘แน่นอนว่า ข้าตั้งใจกลับมายังที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุดเพื่อสร้างภาพลักษณ์ดีๆ

ต่อให้ผู้คนจะสงสัยข้า, แต่ก็ยากที่จะพูดวิจารณ์อะไรเพราะข้าเป็นผู้นำในทีมช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ’

 

‘และเธอน่ะก็นำทีมปฏิบัติการณ์ช่วยเหลือได้อย่างยอดเยี่ยมเลยล่ะ’

 

นั่นเป็นเจตนาที่อลิซาเบธตั้งใจกลับมาดูสถานที่เกิดเหตุก่อนดันทาเลี่ยน

ย่อมเป็นธรรมดาที่ผู้มาถึงทีหลังจะต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัย

 

คนหนึ่งรีบกลับมาทันทีที่เกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นและยังช่วยเหลือผู้คน ในขณะที่อีกฝ่ายไปทำอะไรมาถึงได้มาช้า? คนที่มาที่หลังวางแผนไปทำอะไรมาหรือเปล่า?

 

แผนของดันทาเลี่ยนพ้งพาบเพราะการรอดชีวิตของนักบุญหญิง

อลิซาเบธเองก็ได้รับภาพพจน์ที่ดีจากการเข้าร่วมทีมช่วยเหลือโดดเด่นกว่าดันทาเลี่ยน

 

 

มันควรจะจบลงแบบนั้นแท้ๆ

 

 

‘ข้าแน่ใจว่า ที่เธอทำลงไปเนี่ยมันประสบผลสำเร็จแน่’

 

หากดันทาเลี่ยนไม่ได้อยู่ในสภาพ บาดเจ็บหนัก

 

 

‘การก่อการร้ายที่มุ่งเป้าไปที่นักบุญหญิง แถมข้ายังตกเป็นเป้าทำร้ายด้วย

นี่ไม่ใช่แค่ระดับการลอบสังหารที่ใครจะลุกขึ้นมาทำก็ทำได้

นี่ก็หมายความว่า มีใครบางคนให้การสนับสนุนการก่อการร้ายครั้งนี้……. 

นั่นคือสิ่งที่ผู้คนคิดกัน’

 

‘และความสงสัยนั้นก็จะมุ่งมายังข้า’

 

การออกจากห้องงานเลี้ยงพร้อมกับดันทาเลี่ยนกลับกลายเป็นว่า ทำให้เธอเป็นบุคคลผู้ต้องสงสัยรายชื่อแรก

 

ยิ่งไปกว่านั้น อลิซาเบธกลับสามารถช่วยเหลือได้อย่างคล่องแคล่ว

ในยามที่ผู้คนต่างตกอกตกใจกับการจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว  ,กลับมีอลิซาเบธเพียงคนเดียวที่นิ่งจนน่าตกใจ

ผู้คนจะเริ่มกังขาแล้วว่า ท่ามกลางสภาพแบบนั้นจะนิ่งสงบได้ขนาดนั้นนี่มันเป็นไปได้อย่างไร

 

เป็นไปได้ไหมว่าที่เธอจะรู้เหตุการณ์นี้ล่วงหน้าก่อนแล้ว?

 

 

‘เธอน่ะมีเหตุจูงใจมากมายในการทำแบบนี้เลยนะรู้ไหม

ไม่เพียงแต่เธอต้องเสียหน้า เสียประโยชน์เพราะข้า ณ ที่ราบบรูโน่

แถมเธอยังแพ้ในสงครามการทูตให้กับข้าและแพ้สงครามศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงอีกด้วย’

 

 

‘นี่นายกำลังจะบอกว่า ข้าพยายามที่จะลอบสังหารพวกนายสองคนเพื่อแก้แค้นสงครามการเมืองอย่างนั้นหรือ?’

 

อลิซาเบธขบฟัน

 

‘แผนโต้งๆขนาดนี้

ตรรกะอ่อนยวบยาบขนาดนั้นหากจะใส่ร้ายว่า ข้าเป็นคนร้าย’

 

‘แต่ก็ใช่ว่า ข้อสงสัยจะหมดไปนี่นา ถูกไหม?’

 

‘…….’

 

ฝีมือในการก่อการร้ายมันแย่เกินกว่าจะเชื่อว่า เป็นฝีมือของอลิซาเบธ

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อาจลบความเป็นไปได้ทั้งหมดทิ้งไป

 

ตราบใดที่ยังคงมีความเป็นไปได้อยู่ ผู้คนก็มักจะสงสัยกันไม่เลิกรา…….

 

 

‘ชื่อเสียงของเธอน่ะไม่ดีตั้งแต่ตอนช่วงสงครามการทูตอยู่แล้ว

ไม่สิ พูดให้ถูกก็คือ ชื่อเสียงราชวงศ์ฮับบวร์กนั้นแย่มาตั้งแต่เรื่องราวในสายเลือด พวกนั้นน่ะเต็มไปด้วยข่าวฉาวโฉ่วมากมาย

แถมที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เธอฆ่าน้องชายคนที่สาวด้วยมือตัวเอง’

 

 

หากไม่นับเรื่อง พรสวรรค์ทักษะความสามารถแล้ว อุปนิสัยของเธอเองก็ใช่ว่าจะเป็นที่น่าไว้วางใจได้เสียเมื่อไหร่ นั่นคือ ชื่อเสียงและมุมมองทางการทูตที่คนอื่นมีต่อท่านคอลซูลอลิซาเบธ

 

‘ไม่มีอะไรการันตีได้นี่ว่า บุคคลที่ผู้ซึ่งเคยฆ่าน้องชายแท้ๆของตัวเองจะไม่ก่อเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

ข้อสงสัยนี้จะยังคงอยู่และคอยกดดันเธอไปตลอด’

 

‘…….’

 

ฝูงชนต่างมาห้อมล้อมอลิซาเบธ

บางคนก็เผยรอยยิ้ม บางคนก็ปรบมือ ในขณะที่บางคนก็พยายามเข้ามาจับมือเธฮ

เธอมองไม่เห็นดันทาเลี่ยนเพราะฝูงชนที่เข้ามาออก

 

 

สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ 

พรุ่งนี้จะเปลี่ยนไปเป็นแบบนั้นได้อย่างไรกัน? 

 

แม้ทุกอย่างจะลงตัวดีแล้ว แต่หากผู้คนทั้งหลายรู้จักไตร่ตรองดูก็จะเริ่มสงสัยในตัวอลิซาเบธขึ้นมา

 

ณ จุดนั้น ถ้อยคำสรรเสริญเยินยอทั้งหลายจะเงียบซาลงและแทนที่ด้วยการดูหมิ่นและการไม่ไว้วางใจ

 

 

 

‘แต่’

อลิซาเบธคิดกับตัวเองขณะที่จับมืออยู่

 

‘พอมาคิดดูว่า เขากล้าแทงตัวเองจนเครื่องในไหลออกมาแบบนั้น’

 

หลังจากอลิซาเบธจากไป ดันทาเลี่ยนที่อยู่ตามลำพังในสวน ก็ชักมีดออกมาแทงตัวเอง

 

มันไม่ใช่แผลที่แทงเพียงครั้งเดียว หากแต่แทงเกือบห้า ไม่สิ มากกว่าสิบครั้ง

ในสถานที่ที่โดดเดี่ยว ที่ไม่มีใครเฝ้ามองอยู่ เขาต้องอดทนต่อความเจ็บปวด ร้องออกมาด้วยความทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

อลิซาเบธถึงกับเย็นวาบยามเมื่อจินตนาการถึงภาพดังกล่าว

เขาจะแสดงสีหน้าแบบไหนออกมากัน ในขณะที่เจ็บจนขยับแขนขาไม่ได้?

ชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นเป็นอย่างไรกันถึงได้มีความสามารถในการแสดงได้ถึงขนาดนี้?

 

 

‘อ่าาา มันเป็นเช่นนั้น?’

และอลิซาเบธก็กลับมาสู่ข้อสรุปเดิมอีกครั้ง

 

‘ที่เขาสามารถทำเช่นนั้นได้เพราะเขาตระหนักว่าตัวเองนั้นอ่อนแอ’

 

 

 

งานประชุมจบลงอย่างนั้น

 

งานประชุมตัวแทนจากประเทศสาธารณรัฐถูกเลื่อนอย่างไม่มีกำหนด

 

 

 

 

* * *

 

 

ดวงตาของอลิซาเบธหันมองมาที่ผม ความเจ็บปวดรุนแรงทำเอาผมมองภาพมัวไปหมด 

แต่ถึงอย่างนั้นอลิซาเบธเองก็มองเห็นทุกอย่างได้อย่างแจ่มชัด อ่านขาดในทุกอย่าง

 

น่าสนใจจริงๆ

 

เธอใกล้แล้วนะ,อลิซาเบธ

 

เธอเกือบจะได้เห็นอุปนิสัยและแผนการของผม แต่เธอยังช้าไปก้าวหนึ่ง

 

 

ผมน่ะไม่โง่พอที่จะเผยหน้าสู้กับเธอเต็มตัวหรอก

ผมไม่ใช่คนที่จะสู้ซึ่งๆหน้าแม้แต่กับเฮนริเอตต้า

 

แถมเธอยังน่ากลัวกว่าเฮนริเอตต้าถึงสามเท่า การเปิดตูดหนีไปเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดแล้ว

 

 

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ผมเลือกที่จะเล่นนอกกรอบ พลิกกระดาน 

นักบุญหญิงเกือบตาย,การประชุมนี้ไม่เกิดมรรคเกิดผลอะไรขึ้นมา ในสถานที่ที่มนุษย์และปีศาจมารวมตัวกันใต้ธงสาธารณรัฐ

ซึ่งมันไม่มีทางที่จะเกิดได้อีกต่อไปแล้ว หรืออย่างน้อยๆก็ต้องโดนเลื่อนออกไป…….

 

 

อลิซาเบธ,เธออาจจะอ่านหมากตานี้ขาด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็คงคิดไม่ถึงว่า ผมนั้นจะทำร้ายตัวเอง

 

เธอเข้าใจแล้วหรือยังล่ะ? 

คนอ่อนแอไม่ใช่ผู้ที่หนีตลอดเวลา แต่หากเขาเป็นไม่มีทางเหลือรอดให้หนีอีกแล้ว 

ผู้อ่อนแอคือ คนที่เชื่อว่าตัวเองยืนอยู่ที่ปลายขอบเหว

คือ คนที่ไม่มีทางเลือกอื่นใดๆแล้วนอกจากหน้าผาตรงหน้า  

นั่นแหละคือความหมายของการเป็นผู้อ่อนแอ…….

 

 

ไม่มีทางหรอกกับการที่เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดอย่างเธอได้โดยไม่มีการยอมเสียสละ คุณต้องรู้จักสละแขนขาสักข้างไปบ้าง หรือไม่อย่างนั้นก็สมควรจะได้ประโยชน์จากการเอามีดแทงท้องตัวเอง

 

นี่กลายเป็นว่าผมทำร้ายตัวเองเป็นครั้งที่สองไปอย่างนั้นแล้วสินะ

 

ถึงตอนที่ผมขู่กามิกินจะใช้สมุนไพรยาชาแล้ว แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ใช้

นักเวทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการรักษานั้นอยู่รอบข้างเต็มไปหมด มีโอกาสสูงมากที่พวกนั้นจะสังเกตเห็นได้ว่า ผมใช้ยาชา

 

 

พวกนั้นย่อมต้องสงสัยแน่ว่า ทำไมคนที่โดนทำร้ายนั้นถึงได้เตรียมยาชาไว้ก่อนล่วงหน้า ผมแทงท้องตัวเองโดยรู้สึกสัมผัสความเจ็บปวดที่ครบครัน…….

 

ทีแรกผมคิดถึงการใช้ตุ๊กตาของอิวาร์ ผมคิดว่าจะส่งเจ้าตุ๊กตานั่นกลับไปที่งานเลี้ยงขณะที่จัดการกับการระเบิด 

 

การทำแบบนั้นจะกลายเป็นว่า มีเพียงอลิซาเบธคนเดียวที่หายไปในงานเลี้ยง การทำแบบนี้จะยิ่งทำให้เธอน่าสงสัยมากขึ้นไปอีก

แต่ปัญหาก็คือ การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่บริเวณรอบงานเลี้ยงนั้นเข้มงวดกว่าที่ผมคิดไว้

 

 

เห็นได้ชัดเลยว่า ไพมอนอุทิศแรงกายแรงใจลงในการประชุมครั้งนี้

 

ผมจึงไม่อาจลักลอบเอาตุ๊กตาเข้ามาได้เพราะทหารยามและนักเวทย์นั้นอยู่เต็มไปทั่วทุกหัวมุม

 

 

สุดท้ายแล้ว ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากทำร้ายตัวเอง

มันเป็นการกระทำที่เฮงซวยมาก หากผมไม่มีพลังฟื้นฟูในฐานะจอมมารผมคงตายไปนานแล้ว

 

 

เอาจริงๆนะแม้แต่ตอนนี้ผมยังอยากสลบไปเลย

แต่เดี๋ยวก่อน ผมต้องการแขกผู้ชมผู้มีเกียรติ

…….ให้ตายเหอะ , ตาหนักชิบ

 

ผมมองไม่เห็นอลิซาเบธเลย

 

ในขณะที่ความเจ็บปวดนั้นรุนแรงขึ้นถึงขีดสุด ผมกลับไม่รู้สึกความเจ็บปวดใดๆอีกอย่างน่าเหลือเชื่อ

 

(TTL : จะตายห่าอยู่รอมร่อ แต่ก็ยังคิดถึงอลิซาเบธ สมแล้วจริงๆ! ) 

 

“ท่านเค้าท์พาลาทีนครับ! ท่านไหวไหม!?”

 

สุดท้ายแล้ว ผมก็สลบไปตอนที่ผู้คนมากมายเข้ามาออกันใกล้ๆ

ผมที่เป็นตัวตนผู้มีชื่อเสียงในจักรวรรดิฮับบวร์ก

จึงเป็นปรกติที่ผู้คนทั้งหลายจะมาเสนอหน้าเสนอตาให้ผมรู้จักจดจำได้

 

“นักเวทย์ ,ท่านพาลาทีนอาการเป็นอย่างไรบ้าง!?”

 

“ผมพยายามสุดกำลังแล้วครับ

…… แต่มีพิษรอบปากแผล จริงอยู่ที่พลังการฟื้นฟูของท่านเค้าท์สูง แต่พิษนั้นก็คอยยับยั้งมันไว้”

 

นักเวทย์คนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ ผมได้ยินเสียงผู้คนก่นด่า

 

“พิษอย่างนั้นหรือ?”, “วิธีการต่ำช้าอะไรเช่นนี้” 

ไม่เพียงแต่พยายามทำลายอาคารหากแต่ยังตั้งใจจะลอบสังหารอีกด้วย ราวกับโดนซัดทีเดียวสองคอมโบต่อเนื่อง

 

“พิษดังกล่าวขัดขวางความสามารถในการฟื้นฟูของท่าน ตามปรกติแล้วไม่มีผลกับมนุษย์ทั่วไปเลย ผมแน่ใจเลยว่า มือสังหารตั้งใจทำร้ายท่านเค้าท์ตั้งแต่แรกแล้ว”

 

“แย่แล้ว ข้าได้ยินว่า อาการของท่านนักบุญหญิงก็กำลังโคม่า  หากเป็นเช่นนี้…….”

 

อย่าทำเรื่องใหญ่เกินไปเลยน่า อย่าห่วงไปเลย เจ้าพิษที่ว่าน่ะพัฒนามาเพื่อให้ผมอยู่ในสภาพโคม่าครึ่งเป็นครึ่งเท่านั้นนั้น ไม่แรงถึงขนาดเอาชีวิตผมได้หรอก 

แถมเจเรมิยังเป็นคนทำยาพิษตัวนี้ขึ้นมาด้วยตัวเองด้วย ถึงผมไม่ทำอะไรเลยต่อจากนี้…….ผมก็ไม่ตายอยู่ดี

 

 

 

“ทั้งคู่ต่างเป็นตัวตนที่สำคัญดั่งสะพานเชื่อมระหว่างมนุษยชาติกับเผ่าปีศาจ สิ่งนี้จะทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องโมโหโทโสขึ้นมาแน่ 

นักเวทย์!”

 

“ผมจะพยายามสุดกำลังครับ”

 

นักเวทย์ผู้น่าสงสาร ที่ต้องมาคอยดูแลอาการของผม

 

วิธีการรักษามนุษย์กับปีศาจนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง

นักเวทย์คนนี้ต้องทุกข์ใจมากแน่ที่ต้องมารักษาจอมมาร ซึ่งเป็นอะไรที่เขาไม่เคยรักษามาก่อน

แถมหากผมเกิดตกตายไป เขามีหวังต้องโดนประหารด้วยแน่ๆ โถ ชายแก่ผู้น่าสงสารเอ๋ย

 

ผมรวบรวมคนมาได้พอแล้ว ถึงบทสุดท้ายของการแสดงของผมเสียที

 

“อุ่ก……อั่กกก…….”

 

“ท่านครับ! ท่าน ตื่นอยู่หรือครับ, ท่านครับ!?”

 

อย่าตะโกนสิโว้ย!

เจ็บกบาลเหมือนโดนฟาดแตกเป็นเสี่ยงๆแล้ว! 

ไม่เคยมีใครสั่งใครสอนหรือไงวะว่าอย่าตะโกนข้างๆคนไข้น่ะ? 

 

โลกนี้มันมีคนงั่งแบบนี้เยอะเกินไปแล้ว ปัญหาก็คือ ผมต้องใช้ประโยชน์จากคนงั่งพวกนี้ตอนนี้เสียด้วย

 

ผมจึงเปิดปากขึ้นพูด

 

 

“……หญิง”

 

ความเจ็บปวดมันดึงสติผมให้รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ไกลออกไป ดูเหมือนอาการจริงจะหนักกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ

ผมเปล่งเสียงออกมาได้ไม่ชัด

 

ผมพยายามจดจ่อไปที่ลิ้นและปาก ราวกับทั่วทั้งร่างทำงานของมันเองตามอัตโนมัติ

 

 

“นักบุญหญิง…….เกิดอะไรกับนักบุญหญิง……?”

 

“……! นักบุญหญิงปลอดภัยครับ! เธออาจจะบาดเจ็บ แต่ไม่มีปัญหาครับ!”

 

ผมไม่รู้ว่า คนที่ตอบนั่นเป็นใคร แต่เขาก็ดูรีบที่จะตอบคำถามผม 

คิดแบบนั้นมันตื้นเขินไปหน่อยหรือเปล่า มันจะไม่เป็นปัญหาอะไรแน่รึ?

เรื่องที่นักบุญหญิงได้รับบาดเจ็บเป็นปัญหาในตัวเองอยู่แต่ดูเหมือนเขาอยากจะยืนยันให้แน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไร

 

ถึงจะโง่งั่งขนาดนั้นแต่ผมก็ทำได้แต่ยิ้ม

 

“อ้อ เหรอ…… ถ้าเช่นนั้นก็โล่งอกไปที”

 

แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

 

ผมปล่อยให้จิตสำนึกตัวเองที่พยายามประคองมานานล่องลอยออกไป สติสัมปชัญญะของผมเลือนจางไปอย่างรวดเร็ว

ถึงจะแกล้งทำเป็นอดทนต่อความเจ็บปวก แต่ตอนนี้มันยากเกินไปแล้ว

คนรอบข้างดูเหมือนจะแปลความหมายการกระทำไปตามความเข้าใจของตัวเองจึงตะโกนออกมา

 

 

“ทะ-ท่านครับ! ไม่นะ, ท่านต้องอยู่กับพวกเราก่อน!”

 

“ใครเป็นคนร้าย!? บอกพวกเราเถอะว่าใครเป็นคนทำให้ท่านเป็นแบบนี้!”

 

“ท่านครับบบบบบ!”

 

ไอ้โง่เอ๊ย ผมก็บอกไปแล้วไม่ใช่รึไงว่าผมไม่ตายหรอก?

 

การมีอยู่ของพวกแกเนี่ยก็แค่พยานยืนยันว่า ผมน่ะเป็นห่วงนักบุญหญิง ในขณะีที่ตัวผมเองกำลังครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่จริงๆ

 

เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของผมเท่านั้น อย่าลืมเรื่องนี้เสียล่ะ…….

 

 

ภาพทั้งหมดเริ่มมืดมัวลง

 

เอาจริงๆนะ การเป็นจอมมารเนี่ย มันงานหินชะมัดเลย

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด