Dungeon Defense (WN) 325 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (13)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 325 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (13) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 325 – ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (13)

 

 

 

* * *

 

 

มันเป็นช่วงเวลาที่ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจาก ตื่นขึ้นมาแล้วก็สลบไสลต่อ

 

จิตสำนึกผมเหมือนกับจุกคอร์กที่จมดิ่งลงไปในมหาสมุทร

 

มันจมจ่อมลงอย่างไร้แรงขัดขืนยามที่มีคลื่นซัดพัดเข้ามา แต่ก็ยังมีผลุบๆโผล่ๆขึ้นมาบ้างเป็นบางคราว

 

ในช่วงระหว่างคลื่นที่พัดคืนเข้ามา จิตสำนึกผมกลับรู้สึกสงบสุข างครั้งก็ได้ยินเสียงพูดคุยกัน ฟังดูเหมือนเสียงนกนางนวลร้อง

 

“อาการของนายท่าน…….”

 

“จากที่พวกนักเวทย์และนักบวชบอกมา……จำเป็นต้อง…….”

 

เสียงพูดคุยนั่นเป็นเสียงของลอร่าและอิวาร์

 

เธอคงใช้เวทย์มนตร์อะไรสักอย่างเพื่อทำให้ได้มาถึงที่อาร์มสเทลได้

แผนการณ์ดังกล่าวนี้ผมบอกลอร่าไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว

 

เธอยังคงมาถึงที่นี่เพื่อแสดงความเป็นห่วงเป็นใยกับสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น

 

ลูกน้องของเขาเร่งมาหากันหมดเพื่อดูแลท่านเค้าท์ สถานการณ์เลวร้ายมาก 

คนอื่นคงคิดกันแบบนั้นแหละ

 

 

ลอร่าได้กลายเป็นตำนานจากการศึกที่ผ่านมา ดังนั้นย่อมเป็นที่สนใจของผู้คน เธอเร่งรีบมาหาในทันที ทำตามคำสั่งผมได้ดีมาก

 

 

“คุณเจเรมิยืนยันแล้ว แต่จะไม่มีปัญหาอะไรจริงๆอย่างนั้นเลยหรือ?”

 

ลอร่าถามด้วยน้ำเสียงประห

น้ำเสียงของเธอสดชื่นขึ้นเล็กน้อยที่แล้วว่า ผมจะไม่เป็นอะไร

 

 

“แต่ดูสีหน้าซีดๆของนายท่านสิ แน่ใจนะว่า เขาไม่เป็นอะไร?”

 

“พวกเราผ่านจุดที่อันตรายที่สุดมาได้แล้ว ขอท่านผู้บัญชาการทหารโปรดสงบใจลง…….”

 

“อย่าพูดให้ชวนหัวเราะ!

นี่เธอคิดว่า ฉันจะสงบใจลงได้ทั้งที่นายท่านเป็นอย่างนี้รึไง!?”

 

หูผมสะเทือน ผมคิดว่า สีหน้าตัวเองกำลังบิดเบี้ยวอยู่ แต่มันกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าใบหน้านั้นไม่ได้อยู่ในการควบคุมของผมอีกต่อไป

 

 

แย่แฮะ หากเอาสีหน้าผมไป ผมก็ไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ

 

ผมเป็นห่วงว่า เหล่าสาวๆทั้งหลายในทวีปนี้และในโลกปีศาจจะตกลงสู่ความสิ้นหวังเพราะเรื่องนี้จริงๆ

ว่ากันตามตรง ผมนี่มันผู้ชายบาปหนาแท้ๆเลย

 

……ผมไม่ได้อยู่ในช่วงที่แย่ขนาดที่นึกมุกตลกโง่ๆไม่ออก

เอาล่ะจริงๆมันอาจเป็นผลข้างเคียงของการอัดยาชามากเกินไปก็ได้มั้ง สัมชปัญญะผมกลับทั้งแหลมคมและขุ่นมัวไม่ชัดในเวลาเดียวกัน

 

 

“ฉันก็ยืนกรานว่าจะไม่เอาแผนบ้าๆแบบนี้มาแต่แรกแล้ว!

อิวาร์ ,เธอเองมั่นใจนักไม่ใช่หรือไงว่า แผนนี้จะราบรื่นไม่มีปัญหาใด!”

 

“ถูกต้องแล้วค่ะ ท่านนายพล ทั้งส่วนผสมที่ฉันมอบให้กับคุณเจเรมินั้นปลอดภัยอย่างไม่ต้องสงสัยเลย…….”

 

“เหอะ แล้วตอนนี้นายท่านหมดสติมาทั้งสัปดาห์แล้ว 

สถานการณ์แบบนี้ มันยังไม่เรียกว่า ‘ปัญหา’ สำหรับ สาวเมด ดาดๆอย่างเธออีกสินะ”

 

ลอร่าคำรามเหมือนหมาป่า

 

“ฉันขอสาบานต่อความโชคร้ายที่นายท่านได้รับ— ฉันจะโยนทั้งเธอ,หัวหน้าฝ่ายทหารอาสา และหัวหน้าเมดไปให้เดธไน้ท์รุมทึ้ง

 

ฉันจะแสดงให้เธอรู้เองว่า นรกของการที่ไม่อาจตายได้มันเป็นยังไง!”

 

แม้หัวผมจะโล่ง แต่ผมก็ประหลาดใจเล็กน้อย หายากมากที่จะได้ยินน้ำเสียงแบบนั้นมาจากลอร่า 

ผมจำได้ว่า เคยได้ยินเมื่อนานมาแล้ว…… นาน นานมากๆแล้ว …….แต่ผมจำไม่ได้ว่าเป็นตอนไหนกัน

อ่าาา ผมนึกไม่ออก ดูเหมือนความนึกคิดมันจะไม่ได้ในหัว ในสมองผมเลย

 

สำคัญกว่านั้นละ,ลอร่า ผมรู้แหละว่า ในแง่ของตำแหน่งน่ะ เธอสูงกว่าอิวาร์ แต่เธอก็พูดกับอิวาร์แรงเกินไปนะ

แม้อิวาร์จะแสดงออกมาว่า ไม่เป็นไรแบบนั้นแต่จริงๆเธอเปราะบางกว่าที่เห็นนะ ระวังๆหน่อย

 

 

ผมชักเป็นห่วงขึ้นมา เพราะนอกจากลาพิสแล้วลอร่าไม่สนิทกับใครในฝ่ายเราเลย

 

คนรอบข้างต่างระแวงระวังเธอนับตั้งแต่ที่เธอเป็นคนรักของบาร์บาทอส…….

 

 

 

“พอได้แล้ว,ลอร่า”

 

“แต่ พี่ลาพิส……!”

 

“พวกเราไม่ควรโทษว่าเป็นความผิดอิวาร์”

ผมได้ยินเสียงเข้มงวดของลาพิส แม้ผมจะได้ยินพวกเธอคุยกันอยู่แต่ใช่ว่า จะได้ยินในทันที ดูเหมือนมีดีเลย์อยู่ระหว่างความเข้าใจ กับประสาทการรับรู้

 

 

 

“ลอร่า ทั้งฉันและเธอต่างเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทเองก็เป็นผู้ผลักดันแนวคิดนี้เอง เธอควรที่จะเข้าใจเรื่องนี้ไว้ด้วย”

 

“…….”

 

“หรือเธอกำลังสงสัยในความสามารถและความจงรักภักดีของมิสเจเรมิ?”

 

นี่มันแปลกๆแฮะ

 

สถานะของลาพิสนั้นต่างจากลอร่า ลอร่านั้นแทบไม่ต่างจากนีทเลยด้วยซ้ำหากไม่มีการศึกการสงคราม

 

ก็เลยไม่มีการมีงานอะไรให้เธอทำในช่วงนี้ จึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะออกจากปราสาทจอมมารแล้วมาเยี่ยมผม

 

แต่ลาพิสที่โดนงานหนักถาโถมเข้าใส่ทุกวี่ทุกวัน เธออาจมีชื่อเสียงไม่เท่าลอร่าก็จริงอยู่แต่การที่เธอมาหาผมที่นี่ด้วยก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรมากมายนัก 

เธอจะมาที่นี่ด้วยทำไมกันนะ …….

 

“ไม่ค่ะ ฉันไม่เคยสงสัยในตัวมิสเจเรมิ…… แต่มิสเจเรมิไม่ได้เอาตัวยานั่นมาส่งด้วยมือของเธอเอง

หัวหน้าเมดเป็นคนกลางส่งตัวยานั่น

อย่างที่พวกเรารู้กันดี หัวหน้าเมดนั้นพยายามจะวางยาฝ่าบาททุกครั้งที่มีโอกาส!”

 

“ลอร่า , หัวหน้าเมดเดซี่ ไม่อาจทำอะไรได้เพราะตราทาสของเธอ…….”

 

“แล้วจะรู้ได้ยังไง ว่าเธอจะไม่ใช่เล่ห์กลบางอย่าง!”

 

ลอร่าตะโกนด้วยความโมโห

 

ผมซาบซึ้งในความเป็นห่วงเป็นใย แต่ผมก็แอบหวังว่าให้พวกเธอช่วยรู้ตัวหน่อยว่า มีคนป่วยอยู่ตรงนี้คนนึงนะ

 

 

“ฝ่าบาทอาจจะแค่หัวเราะขำๆกับเรื่องนั้น แต่เรื่องนี้มันกวนใจฉันมาตลอด ……. ฉันรู้อยู่แล้วว่า สักวันเรื่องแบบนี้มันต้องเกิดขึ้น

 

นังเด็กนั่นมันเอาสมุนไพรมาให้ผิดอัน ฉันจะฆ่านังหัวหน้าเมดนั่น ……!”

 

“ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ”

 

ยากมากที่ลาพิสจะเร่งเสียงขึ้นสูง น้ำเสียงของเธอชัดเจนและสร้างบรรยากาศที่เย็นชาไม่ต่างจากลมในฤดูหนาว 

แต่ถึงอย่างนั้น ลอร่าก็ไม่ยอมถอย

 

 

“อย่าปฏิเสธความจริง! 

พี่น่ะก็คงคิดเหมือนฉันนั่นแหละ

 

ต่อให้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริง ทำไมพี่ถึงให้หัวหน้าเมดทำตัวเหมือนเป็นผู้ติดตามของนักบุญหญิงกันล่ะ

แล้วให้เมดคนใหม่ไปดูแลฝ่าบาท?”

 

“…….”

 

“หัวหน้าเมดน่ะไม่ใช่คนที่จะไว้ใจได้ 

เพราะพี่คิดแบบนั้นก็เลยโยกตำแหน่งพวกนาง ! 

ถ้าฉันพูดผิดไป พี่แย้งได้เลย!”

 

ม่านแห่งความอึดอัดเลื่อนลงสู่ทุกคน

มีเพียงเสียงหายใจหอบของลอร่าเท่านั้นที่ดังอยู่ในห้อง ทุกคนต่างดูไม่สบายใจกันทั้งนั้น

 

ผมอยากจะเปิดปากเพื่อพูดกับเธอว่า

ลอร่า ,เด็กโง่ เธอคาดหวังจะได้รับอะไรกลับมาที่พูดอย่างนั้นกับลาพิส บุคคลที่อยู่ในฐานะที่สูงกว่าเธอน่ะ ทั้งๆที่เธอเป็นแค่ผู้ดูแลฝ่ายการทหารเท่านั้น ? 

 

คุกเข่าขอโทษ ไม่สิ คุกเข่าแล้วจูบนิ้วเท้าลาพิสเดี๋ยวนี้เลย

 

 

“ไปเรียก หัวหน้าเมดมาที่นี่”

 

“……ลอร่า,จะเอาแบบนั้นจริงๆหรือ”

 

“ท่านนายก ลาพิส ลาซูลิ”

 

น้ำเสียงของลอร่านั้นเย็นชา

 

“ฉันน่ะไม่ได้ทำแบบนี้ในฐานะคนรักของฝ่าบาท หากแต่แสดงออกในฐานะผู้มีอำนาจลำดับสามของกองทัพจอมมารดันทาเลี่ยน”

 

“…….”

 

“หัวหน้าเจเรมิสัญญาแล้วว่า จะใช้เวลาเพียงสามวันเท่านั้น แต่ตอนนี้ อาการของฝ่าบาทไม่ดีขึ้นเลยหลังผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว

 

เอาล่ะ พรุ่งนี้ฝ่าบาทอาจฟื้นขึ้นมา

แต่ถึงอย่างนั้น ความจริงเรื่องที่ มันช้าไปกว่าที่คาดการณ์ไว้เป็นปัญหาชัดๆอยู่แล้ว และต้องมีคนต้องถูกลงโทษ”

 

ลาพิสถอนใจออกมา

 

“หากฝ่าบาทเห็นเธอในตอนนี้เข้าต้องผิดหวังแน่ๆ”

 

“มันไม่สำคัญแล้วค่ะ พี่ลาพิส พี่ไม่เข้าใจในการปกครองของนายท่านหรอก”

 

ลอร่าเน้นย้ำถ้อยคำ

 

“หญิงสาวผู้นี้เป็นดั่งดาบของนายท่าน หากมีสิ่งใดที่เป็นอันตรายต่อฝ่าบาท ฉันจะฟาดฟันมันอย่างไร้ความลังเล”

 

“……แต่ทหารผู้กระทำการตามอำเถอใจนั้นไร้ค่า”

 

“ฝ่าบาทสั่งให้ฉันเป็นทหารที่สามารถคิดได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นฉันก็แค่ทำตามคำแนะนำของฝ่าบาท”

 

ลาพิสยิ่งถอนหายใจหนักขึ้น

 

 

 

 

“ลอร่า,ความคลั่งไคล้ไหลลงที่มีต่อตัวฝ่าบาทเช่นนั้นเป็นอันตรายอย่างมาก ใครจะไปคิดว่า บุคคลที่แสดงท่าทีสงบนิ่งเยือกเย็นเสมอต่อหน้าฝ่าบาทกลับเป็นบุคคลที่คลั่งมากที่สุดกัน

ดิฉันว่า ฝ่าบาทเองก็คงไม่ตระหนักเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ”

 

“ฉันก็แค่ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันฝ่าบาท”

 

ลอร่าตอบกลับมาทันที

 

“แต่ถึงอย่างนั้น พี่เองก็เป็นคนคลั่งฝ่าบาทเหมือนกันนี่

ฉันรู้นะว่าทำไมท่านถึงไม่สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฝ่าบาท”

 

“…….”

 

“ฉันได้ยินมาว่า พวกซัคคิวบิน่ะมักจะยึดติดกับรักครั้งแรกของพวกนั้น

หรือพูดง่ายๆก็คือ ปรารถนาที่จะผูกขาดรักแรกไว้เป็นของตัวเองคนเดียวแล้วทำให้ความรักนั้นพังทลายลงไป”

 

ลอร่าเย้ยเยาะ

 

 

“พี่น่ะกลัว พี่น่ะกลัวว่าจะคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่”

 

“……เธอด่วนสรุปมากไปแล้ว”

 

“ฝ่าบาทน่ะชอบคนที่มีจุดยืนชัดเจน

 

หากพี่คุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ก็ไม่พ้นจะถูกฝ่าบาทดูถูก

นั่นคือ สิ่งที่พี่กลัวไง คนขี้ขลาด! 

 

พี่จะไม่รู้ได้ยังไงกันว่า การเมินเฉยไม่รู้อารมณ์ตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทเกลียด!”

 

เผียะ

 

เสียงนั้นดังทั่วทั้งห้อง 

ความเงียบงันอันตึงเครียด กดทับทุกคนในห้อง

น้ำเสียงสงบของลาพิสทลายความเงียบนั่น

 

“เธอเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปแล้ว

อย่างแรก หากเธอเชื่อใจในตัวฝ่าบาทจริงๆ คงไม่โมโหอย่างนี้

นี่เธอคิดว่า ฝ่าบาทให้หัวหน้าเมดเป็นคนส่งมอบยาให้เป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ?

ท่านดันทาเลี่ยนไม่ใช่คนเช่นนั้น”

 

“…….”

 

“เธอนั่นแหละที่โดนอารมณ์ตัวเองครอบงำแล้ว,ลอร่า

เธอกำลังไม่กังวลและไม่สบายใจกับกรณีที่เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น จนคุมอารมณ์ไม่อยู่

น่าสมเพชนัก”

 

อ้า นี่แหละ นี่แหละลาพิส

 

ถึงผมจะมองไม่เห็นเธอด้วยตาตัวเอง แต่ก็คุ้นชินกับสีหน้าท่าทางที่เย็นชาของเธอดี

 

“คุณค่าของบุคคลจะถูกเปิดเผยยามเกิดวิกฤติ 

ในช่วงที่ฝ่าบาทไม่อยู่

 

ลอร่า เธอกลับอาละวาดขึ้นมาไม่ต่างจากสัตว์ร้ายเพราะโดนอารมณ์กลืนกิน

บ้าบออะไรอย่างนี้

ดิฉันชักสงสัยขึ้นมาแล้วสิว่า ฝ่าบาทยังสติดีอยู่ไหมที่แต่งตั้งเธอขึ้นเป็นผู้บัญชาการของฝ่ายทหาร”

 

“อะไรกัน…….”

 

“และข้อที่สอง”

ลาพิสไม่ให้โอกาสลอร่าโต้กลับมาด้วยซ้ำ

 

“การปฏิเสธอารมณ์ตัวเองนั้นไม่เหมือนกับการหลีกหนีอารมณ์ตัวเอง”

 

“…….”

 

“ดิฉันตัดสินใจที่จะเผชิญหน้าอารมณ์ของตัวเองตรงๆ คอยเฝ้าดูมันไม่ห่าง ย้อนดูชีวิตที่ผ่านมาจวบจนถึงตอนนี้ รวมถึงชีวิตในอนาคตของฉัน

ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงตัดสินใจที่จะระงับยับยั้งอารมณ์ตัวเอง ไม่ได้เป็นเพราะตั้งใจที่จะหนี หากแต่เพราะนี่เป็นสิ่งที่ฉันเลือก”

 

ลาพิสยังคงพูดอย่างไร้อารมณ์ต่อไป

 

“ไม่ว่าสิ่งนั้นจะผิดหรือถูก จะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ลำดับก่อนหลังจะผิดเพี้ยนไปอย่างไร 

ทั้งหมดนั้นก็เป็นการตัดสินใจของดิฉัน เป็นสิ่งที่ดิฉันยอมรับมัน

……และมีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่จะให้อภัยและยอมรับในสิ่งที่ดิฉันเป็นอยู่ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นความปรกติ ก็เท่านั้นเอง”

 

ลอร่าปิดปากเงียบ

 

โทษทีนะ ลอร่า แต่ลาพิสนั้นเป็นตัวตนเดียวในทวีปที่ผมยังเถียงสู้ไม่ได้เลย ดังนั้นสำหรับเธอแล้วน่ะ ไม่มีทางหรอก

 

 

“ลอร่า, เธอเหนื่อยมามากแล้ว เธอไม่ได้นอนดีๆมา 5 วันแล้ว”

 

“พี่คะ…… หญิงสาวผู้นี้…… ฉันน่ะ”

 

“มันเป็นเรื่องที่ดีมากที่เธอคอยดูแล คอยพยาบาลฝ่าบาท แต่เธอก็ต้องพักด้วยเหมือนกัน

คืนนี้ดิฉันจะดูแลท่านเองนะ”

 

 

ผมได้ยินเสียงปรบมือครั้งหนึ่ง

 

“พาท่านผู้บัญชาการไปที่ห้องรับแขก”

 

“อ่า ค่ะ รับทราบค่ะ”

 

“อิวาร์ เธอเองก็เช่นกัน ไปนอนก่อนแล้วพรุ่งนี้เช้าๆค่อยกลับมา”

 

แม้ลอร่ากับอิวาร์ตั้งท่าจะเถียง แต่ลาพิสยังคงยืนกราน

 

 

“หากเธอพูดนั่นพูดนี่และยังสร้างความวุ่นวายในห้องคนป่วย ทั้งที่ฝ่าบาทกำลังพักผ่อนอยู่

อันเป็นการกระทำที่ไม่สมควรยิ่งระหว่างดูแลผู้ป่วยแบบนี้

 

นี่เป็นคำสั่ง ดิฉันจะใช้บทลงโทษหากเธอยังไม่ทำตามคำสั่ง”

 

 

สุดท้ายแล้ว ผมได้ยินเสียงประตูเปิดออก ทั้งสองคนก็ออกไปจากห้อง

 

ห้องกลับมาเงียบอีกครั้งหนึ่ง สมองผมกลับมาผ่อนคลายและสามารถกลับไปหลับได้อีกครั้ง

 

ผมชักลืมๆไปแล้วว่า พวกเธอทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่ใครจะไปสนล่ะ ?

หากมันเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ ผมเชื่อว่าตัวเองต้องจำได้แน่ๆ ผมเชื่อในความทรงจำของตัวเอง

 

ผมได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา ดังเข้ามาขณะที่สัมปชัญญะของผมเริ่มจางลงไป

 

 

“……ได้โปรดอย่าทำให้พวกเราเป็นห่วงมากไปกว่านี้เลยค่ะ”

 

น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลเกินกว่าจะเป็นบ่นว่าผม

 

มันเป็นน้ำเสียงที่ผมคงจะเผลอตอบรับครับกลับไปทันทีแน่ๆหากผมไม่อยู่ในสภาพนี้

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด