Dungeon Defense (WN) 326 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (14)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 326 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (14) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 326 – ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (14)

 

 

 

 

สิบวันหลังจากผมได้รับบาดเจ็บ อาการผมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

ผมสามารถขยับปากและมองไปรอบๆได้แล้ว และไม่นานเท่าไหร่นักผมก็กลับมาพูดได้อีกครั้ง 

 

ผมที่สิ้นสติตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงระยะเวลาดังกล่าวกลับลดลงเป็นอย่างมาก ตอนนี้ผมตื่นฟื้นสติวันละราวๆหกชั่วโมงต่อวันแล้ว

 

บุคคลแรกที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นก็คือ ลาพิส 

ลาพิสจ้องผมก่อนจะพยักหน้าเบาๆครั้งหนึ่งแล้วก็ไปเรียกนักบวชผู้รักษาแทบจะในทันทีที่เห็นผมตื่น

 

 

“โอ้ ยอดมาก ราวกับปาฏิหารย์เลย”

เสียงของนักบวชชราดังขึ้นด้วยความแปลกใจ

“หากท่านเป็นมนุษย์ ท่านคงไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีก ผมได้เคยได้ยินข่าวเรื่องลักษณะพิเศษของร่างกายจอมมารมาก่อน …….”

 

“นี่หมายถึงฝ่าบาทสามารถฟื้นร่างกายกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมใช่ไหมคะ?”

 

ลาพิสพูดตัดบทร่ายยืดยาวของนักบวช

 

นักบวชคนนั้นเม้มริมฝีปากราวกับไม่ค่อยพอใจนักที่ไม่มีโอกาสได้แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา

 

“ใช่ครับ แต่ถึงอย่างนั้น ท่านก็สลบไสลนานเกินไปจริงๆ

ฝ่าบาทต้องใช้เวลาอย่างมากเพื่อฟื้นฟูพลังกายกลับมา หรือพูดง่ายๆคือ สิ่งเดียวที่ท่านต้องทำคือ การพักผ่อนให้แข็งแรงเหมือนเดิม”

 

“……ขอบคุณ คุณมากค่ะ”

 

ลาพิสโค้งคำนับให้ด้วยความเคารพจากใจ

 

ทั้งผมและนักบวชชราต่างประหลาดใจ ลาพิสในตอนนี้ไม่ใช่พ่อค้าเผ่าปีศาจธรรมดาๆแล้ว หากแต่ตอนนี้เธอกลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญที่สนิทที่สุดผู้มีอำนาจ ในกองทัพจอมมาร

 

ตัวตนแบบนั้นกลับโค้งศีรษะให้กับเขา

 

 

“ดะ-ได้โปรด เงยหน้าขึ้นเถอะครับ ผมน่ะเป็นสามัญชนตั้งแต่กำเนิด”

 

“สถานภาพนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญเลยหากเทียบกับชีวิต 

และไม่สำคัญสำหรับบุคคลที่ช่วยชีวิต และรักษาเยียวยาชีวิตผู้อื่น”

 

ลาพิสตอบกลับทั้งที่ยังก้มหัวให้อยู่

 

“หากคุณต้องการความช่วยเหลือใด, ดิฉัน, ลาพิส ลาซูลิ , ขอสาบานในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้บริหารของฝ่าบาทดันทาเลี่ยน  , ว่าจะช่วยคุณอย่างสุดกำลังความสามารถ”

 

“ฮะฮะ”

 

นักบวชคนนั้นหัวเราะออกมาอย่างกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกดี

 

“ผมนั้นเป็นแค่หมอที่โดนจ้างมาจากภาครัฐเพียงชั่วคราวเท่านั้น มันน่าจะดีกว่าหากท่านแสดงความรู้สึกดีๆต่อรัฐบาลบัทตาเวีย

 

อันที่จริงแล้วมันเป็นความผิดพลาดของทางฝ่ายรัฐบาลพวกเราเองที่รักษาความปลอดภัยไม่ดีพอ

สุดท้ายแล้ว ท่านไม่ต้องขอบคุณใครหรอกครับ ได้โปรดเงยหน้าขึ้นด้วยเถอะครับ”

 

“ความตั้งใจของดิฉันยังคงเป็นเช่นเดิม”

 

ลาพิสยืนกรานหนักแน่นจนนักบวชต้องยอมแพ้ ชายชราแสดงท่าทีหมดหวังก่อนจะออกไปจากห้อง

 

“ว่ากันว่า หากอยากรู้จักผู้ปกครอง ก็ให้ดูที่ผู้ใต้บังคับบัญชาการ

มิสลาซูลิครับ หลังจากประชุมครั้งนี้จบ ผมถึงกับเข้าใจเลยว่า ท่านเค้าท์พาลาทีนสามารถดึงท่านนักบุญหญิงแห่งบริททานี่มาเข้าร่วมได้อย่างไรกันทั้งๆที่เป็นจอมมาร

ขอให้เทพีอาร์เทมิสโปรดมอบรอยยิ้มให้แก่พวกท่านไปตลอดกาลด้วยเถิด”

 

แถมให้ด้วยว่า บทสนทนาทั้งหมดนั้นพูดด้วยภาษาจักรวรรดิโบราณ

 

นักเวทย์คนนั้นรู้จักภาษานั้นเพราะเป็นภาษาท้องถิ่น แต่ที่น่าแปลกคือ ลาพิสสามารถใช้ภาษาดังกล่าวได้อย่างคล่องแคล่วได้ยังไงกันนะ ในเมื่อเธอเกิดมาด้วยชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยมาตลอดช่วงชีวิตที่เธอเป็นพ่อค้ากัน? 

 

ลาพิสนี่ช่างเปี่ยมด้วยพรสวรรค์เสียจริง

 

พออีกฝ่ายจากไปและเหลือเพียงเธอคนเดียวในห้อง ลาพิสนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง

 

 

“…….”

 

“…….”

 

ลาพิสจ้องหน้าผมไม่หยุด

 

พอไม่มีอะไรทำก็ชวนให้รู้สึกอึดอัดชะมัด ผมชี้ไปที่รอบดวงตาลาพิส

มันมีถุงใต้ตาเธอ ผมพยายามทำท่าทางสื่อสารด้วยมือ พยายามทำให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด

 

‘ตอนนี้ใต้ตาเธอน่ะ มันแบบไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะ’

 

พอเห็นผมทำอย่างนั้นเข้าเธอก็ถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง

 

อะไรกันเนี่ย? ผมพูดเพราะเป็นคนที่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้หญิงเชียวนะ

 

ปวดใจหน่อยๆแฮะกับการที่ความพยายามในการสื่อสารกับอีกฝ่ายครั้งแรกในช่วงที่ต้องหมดสติไปถึงสิบวัน จบลงแบบนั้น

 

 

 

 

 

* * *

 

 

“เฮ้ยนี่, เกิดอะไรขึ้นกับนายกรัฐมนตรีคนนั้นของแกวะ?”

อยู่ๆบาร์บาทอสก็บ่นออกมาทันทีที่มาเยี่ยมผม

 

 

“หืม อะไร? มีปัญหาอะไรกับลาพิสรึไง?”

 

ผมนอนติดเตียงมาครึ่งเดือนแล้ว 

ร่างของผมฟื้นฟูได้มากพอที่จะสามารถพูดได้ตามปกติ แต่พูดเสียงดังไม่ได้

 

“แกคงไม่รู้เรื่องนี้สินะ ว่าแม่นั่นน่ะ พยายามกันทุกคนออกไปสุดกำลังเลยล่ะ”

 

บาร์บาทอสทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้

เธอไขว่ห้างและขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจออกมา

 

 

“แกคงคิดสินะว่า พอได้ยินเรื่องที่แกได้รับบาดเจ็บแล้วจะไม่รีบมาหาแกน่ะ?

 

จริงๆข้ารีบมาหาแกในทันทีเลยล่ะ แล้วก็เห็นนังกะหรี่ไพมอนเดินไปเดินมาอยู่

นังนั่นพยายามจะขอให้เข้ามา แต่นายกประจำตัวแกมาขวางไว้ไม่ให้เข้าไป”

 

มันทำเอาผมประทับใจมาก ปกติแล้วซัคคิวบัสนั้นโดยปฏิบัติเหมือนเป็นดั่งปรสิตในหมู่ปีศาจ และลาพิสที่เป็นลูกครึ่งซัคคิวบัสก็ยิ่งโดนดูถูกหนักกว่าซัคคิวบัสทั่วไป

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังกล้าขวางทางไพมอน อดีตจอมมารลำดับ 9 

 

 

“ข้ายอมรับจากใจเลยว่า ลาพิสของพวกเรานั้นกล้าหาญมาก”

 

“ข้าก็ขอเข้าไปด้วยแต่แม่นั่นก็ปฏิเสธ พอข้ารำคาญมากๆเข้าก็พยายามจะใช้กำลังบังคับนาง แต่สิ่งที่นางพูดนี่เอาเรื่องจริงๆ”

 

ดิฉันรับหน้าที่เป็นตัวแทนของกองทัพจอมมารในช่วงเวลาที่ฝ่าบาทไม่อยู่ค่ะ

 

การไม่สนใจคำพูดของดิฉันแล้วเหยียบย่ำเจตนารมย์ของของกองทัพจอมมาร หากท่านปรารถนาจะทำเช่นนั้น ดิฉันจะไม่ขัด เชิญทำได้เลยค่ะ

 

“ข้าล่ะอึ้งไปเลยจริงๆ”

 

บาร์บาทอสบ่นอุบ

“แล้วยังไงต่อ? เมินเธอเลยรึเปล่า?”

 

“หึ ก็ได้ถ้านางอยากจะเล่นแบบนั้น 

ข้าก็ไม่สนใจตำแหน่งฐานะแล้วลงไปซัดกับนางยังไงล่ะ”

 

บาร์บาทอสพ่นลมออกจมูก

 

เธอล้วงไปในปลอกคอแล้วดึงเอาสร้อยคอออกมา มันเป็นสร้อยคอที่ทำจากนิ้วทั้งสองของผม

 

“ข้าแสดงนี่ให้นางเห็นแล้วพูดกับนางว่า :

เฮ้ย นังหนูหัวชมพู ข้าไม่ได้มาที่นี่ในฐานะจอมมารโว้ย ข้ามาในฐานะผู้หญิงคนนึงที่มีเซ็กส์กับไอ้ผู้ชายหลังประตูนั่นนับร้อยนับพันครั้ง

 

ไม่สำคัญว่า แกจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือห่าอะไรก็ตาม แกไม่มีสิทธิ์มาหยุดเพื่อนกันมันส์มั่วเซ็กส์อยู่แล้ว”

 

“ฟุ”

 

แล้วจะให้ผมพูดอะไรได้ล่ะ? ตอบได้สมกับเป็นบาร์บาทอสเลยจริงๆ

 

 

“ฟัค ,พอข้าพูดอย่างนั้นนางถึงจะยอมให้ข้าเข้ามาได้

 

อะไรกันเนี่ย นี่ข้าต้องได้รับอนุญาตจากปีศาจระดับต่ำถึงเข้ามาได้แล้วเรอะ? 

 

เหอะ ข้าน่าจะตายห่าไปซะ จะได้ไม่ต้องมาคลานตะเกียกตะกายให้ลำบากเพื่อเห็นความหวังริบหรี่พรรค์นี้”

 

ผมหัวเราะเอิ้ก

 

“อย่าเกลียดชังลาพิสเลยน่า เธอเป็นคนที่ข้าชอบเลยนะ”

 

“นั่นมันก็แล้วแต่ท่าทีแกว่ะ”

ประกายในดวงตาของบาร์บาทอสเปลี่ยนไป

 

 

“เอาล่ะ เข้าประเด็นกันเลยดีกว่า ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรี่องนี้”

 

“…….”

 

“ข้าให้เด็กๆไปสืบมาแล้ว ดูเหมือนจะคุยกันว่า ท่านคอนซูลนั้นทำตัวน่าสงสัย”

 

ผมยิ้มบางๆ

 

บาร์บาทอสไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นที่หลังฉาก มุมมองความคิดของเธอนั้นเป็นคนภายนอกโดยสมบูรณ์ ดังนั้นแล้วการที่สรุปได้เหมือนกันว่า มุมมองความเห็นของบาร์บาทอสก็เป็นตัวแทนของความเห็นทั่วๆไปของบุคคลที่สามที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

 

 

ตอนนี้ชื่อเสียงทางการเมืองของผมในสังคมชั้นสูงพุ่งขึ้นทันที เมื่อโดนลอบทำร้าย หลังจากที่ผมมีชื่อเสียงจากการได้รับชัยชนะในสงครามการทูตในช่วงฤดูหนาว 

 

ความพยายามในการลอบสังหารผมกลับยิ่งพาผมขึ้นสู่จุดสูงสุด

 

ไม่ว่าผมจะรอดตายมาได้หรือไม่ ไม่ว่าผู้ก่อเหตุจะเป็นใคร และเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบถึงสิ่งใดบ้าง…….

หัวข้อพวกนี้จะเป็นที่สนอกสนใจอย่างมาก

ตัวแทนกลุ่มชาติทั้งหลายก็จะประณามต่อว่า สาธารณรัฐบัทตาเวีย

 

ทั้งการวางระเบิดและการพยายามลอบสังหารบุคคลสำคัญ

ยิ่งหนักไปกว่านั้น ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุนี้เป็นใครกันแน่  ผมทำให้ผู้คนต่างสงสัยในความน่าไว้วางใจและความสามารถของบัทตาเวีย

 

ด้วยเหตุนั้นจึงแทบจะไม่มีโอกาสอีกแล้วที่จะมีการประชุมร่วมกันระหว่างสาธารณรัฐขึ้นมา …….หรืออย่างน้อยๆ เจ้าภาพก็ไม่มีทางเป็นบัทตาเวียอีกแน่ ความพยายามของไพมอนครั้งนี้ล้มเหลว

 

 

และหากบัทตาเวียไม่ใช่เจ้าภาพ กลุ่มประเทศฌดียวที่จะจัดงานได้ก็มีแต่ สาธารณรัฐฮับบวร์ก ; 

 

แต่ถึงอย่างนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน 

คอนซูลอลิซาเบธตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการพยายามทำการลอบสังหาร

แถมพวกนิยมสาธารณรัฐทั้งหลายต่างมอง อลิซาเบธนั้นเป็นผู้นำเผด็จการด้วยซ้ำ…….

 

 

ทุกสิ่งยังคงเป็นไปตามแผนการ

 

ยังขาดชิ้นส่วนตัวต่อส่วนสุดท้าย

 

 

“บาร์บาทอส ”

 

“หืม?”

 

“จบเหตุการณ์ครั้งนี้เลยเถอะ ”

 

บาร์บาทอสทำหน้างุนงง

 

“……ข้าขอถามแกก่อนว่า ทำไม?”

 

“เราคุยกันไปแล้วนี่ เมื่อครั้งที่แล้วว่า เร็วไปห้าสิบปีที่กองทัพจอมมารจะพิชิตทวีปนี้ได้

หากเรายืดเยื้อสถานการณ์นี้ออกไปได้ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นสงคราม ดังนั้นแล้ว …….”

 

“อ้อ เพราะนังกะหรี่นั่นสินะ”

 

บาร์บาทอสคำราม

 

“หากคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เป็นคนธรรมดา ไม่มีทางที่มันจะกลายเป็นสงครามได้ ดังนั้นไอ้เจ้าคนบงการเรื่องนี้มันต้องเป็นใครที่แกไม่อาจแก้แค้นได้โดยไม่ก่อสงครามสินะ  ใช่ไหม? ยืนยันมาสิว่า ข้าพูดถูก”

 

“เธอเข้าใจผิด”

 

“แล้วไอ้ระยำไหนที่มันแทงแกวะ !?”

 

ตอนนั้นเองที่ ทั้งห้องพักคนป่วยกลับสะเทือน

 

ดวงตาสีทองของบาร์บาทอสเต็มไปด้วยความบ้าเลือด ออร่าเวทย์มนตร์ที่ชวนให้ผมหายใจไม่สะดวกในฐานะจอมมารหลั่งไหลออกมาจากร่างกายของเธอ ราวกับอากาศในห้องนั้นกำลังหวาดกลัวต่อบาร์บาทอส

 

 

 

อ่าา นี่แหละสาเหตุที่ผมไม่สามารถบอกกับบาร์บาทอสได้…….

 

ถ้าผมบอกเธอว่า ผมแทงตัวเองด้วยเจตนา เธอก็ต้องถามแน่ๆว่า ผมจะทำแบบนั้นไปทำซากอะไรกัน

พอเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับด้วยความสัตย์จริงว่า ทั้งหมดผมทำไปเพื่อหยุดไพมอน

หากผมบอกอย่างนั้นบาร์บาทอส บุคคลผู้เกลียดชังไพมอนมากที่สุดในโลก 

แล้วคิดว่า มันจะจบลงยังไงกันล่ะ?

 

 

ผมเสียนิ้วไปแค่นิ้วเดียว บาร์บาทอสก็โมโหอาละวาด นำทัพเข้าร่วมกับสงครามกลางเมืองแล้ว

ด้วยเหตุนี้แหละผมถึงไม่อยากโกหกบาร์บาทอส ก็ได้แต่ตอบแบบเบี่ยงไปเบี่ยงมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

 

“บาร์บาทอส ใจเย็นลงก่อนแล้วฟังข้านะ มีบางอย่างที่ข้าอยากถามเธอ”

 

“อะไร……?”

 

“อ้า มันเป็นคำขอน่ะ ข้าขอให้เธอแสดงอะไรนิดๆหน่อยๆต่อจากนี้น่ะ้”

 

แผนของผมเป็นแบบนี้:

 

หลังจากออกจากห้องผม บาร์บาทอสก็จะแสดงความโกรธเกรี้ยวกับสาธารณรัฐฮับบวร์ก

พอเธอกลับไปเธอก็จะยกกองทหารของเธอ ทำให้เหมือนกับว่า เธอกำลังจะรุกรานประเทศอื่นในเร็ววันนี้

 

สุดท้ายแล้วผมก็จะประกาศแก่สาธารณว่า ใครคือ ผู้อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง

 

แถมสิ่งที่ผมจะประกาศออกไปมันชวนให้เข้าใจว่า สงครามจะปะทุในอีกไม่ช้านี้

 

 

สิ่งนี้จะยิ่งยืนยันความคิดของผู้คนที่คิดกันว่า ท่านคอนซูลอลิซาเบธเป็นผู้บงการเรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น พวกเขาจะสั่นกลัวเนื่องจากความคิดที่ว่า จะเกิดสงครามขึ้นอีกแล้ว ทั่วทั้งทวีปจะตกอยู่ในอันตราย

 

แล้ว ณ ตอนนั้นเองที่ ท่านนักบุญหญิงก็จะมาหาผม

ผมกับนักบุญหญิงคนนั้น 

เราจะพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว โดยไม่มีการบันทึกสนทนาไว้ และเป็นการสนทนาลับๆที่ใช้เวลาเกือบครึ่งวัน

 

แล้วผมจะประกาศออกมาทันทีหลังจากได้คุยกันว่า

 

—ข้านั่นประทับใจนักกับปณิธานอันแน่แน่วในสันติภาพแห่งทวีปของท่านนักบุญหญิง ดังนั้นแล้วข้าจะไม่เปิดเผยผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุลอบสังหารครั้งนี้

 

สงครามที่ควรจะปะทุขึ้นมาทันที กลับสลายไปอย่างรวดเร็ว 

ผู้คนทั่วทั้งทวีปต่างสรรเสริญท่านนักบุญหญิงแห่งบริททานี่

แล้วผมเองก็จะนั่งบนเกวียนแห่ไปรอบๆ ทำทีเป็นให้การสนับสนุนอะไรโง่ๆที่เรียกว่า ‘สันติภาพแห่งผืนทวีป’ ด้วยเช่นกัน

 

 

นักบุญหญิงลองวี่ยังคงให้การสนับสนุนสันติภาพต่อ แม้เธอจะโดนลอบทำร้ายด้วยเช่นกัน

 

จอมมารที่ตั้งใจจะหยุดยั้งสงครามแม้จะถูกลอบโจมตี เพราะประทับใจในตัวท่านนักบุญหญิง

 

มันช่างเป็นภาพลักษณ์ที่งดงามแจ่มชัดและสมบูรณ์แบบเสียจริงๆ

 

“บาร์บาทอส, เราเคยคุยกันไปก่อนหน้านี้แล้ว 

เราได้ข้อสรุปกันแล้วว่า เราจะไม่เริ่มสงครามรอบใหม่จนกว่าจะถึง ห้าสิบปีข้างหน้า

สำหรับพวกเราห้าสิบปี ก็พอแล้ว”

 

“…….”

 

“เธอน่ะแกล้งทำเป็นสนับสนุนให้เกิดสงคราม

ส่วนข้าก็แกล้งทำเป็นต่อต้านสงคราม 

ข้าและเธอต่างจะแสดงให้พวกมนุษย์เห็นด้วยการยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน

 

และในท้ายที่สุด เราจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่า เธอยอมอดทนไม่ก่อสงคราม”

 

 

ผู้คนนั้นขี้ระแวงสงสัย

 

หากอยู่ๆมีใครลุกขึ้นมาเรียกร้องหาสันติภาพอย่างไม่มีเหตุมีผล พวกเขาจะไม่ไว้ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคนผู้นั้นเป็นจอมมารด้วยแล้ว จอมมารผู้ก่อสงครามมานับพันปีที่ผ่านมา

 

 

 

การแสดงให้คนเชื่อนั้นต้องกำจัดความระแวงสงสัยออกไปให้หมด ด้วยการจัดให้ท่านนักบุญหญิงเป็นนักแสดงหลัก และสร้างสถานการณ์มือสังหารที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงขึ้นมา ภาพลักษณ์ของ ‘จอมมารผู้เรียกหาสันติภาพ’ จึงจะสร้างขึ้นมาได้

 

 

หากผมชี้นิ้วโทษอลิซาเบธตรงๆ มันจะกลายเป็นสงครามที่งัดหลักฐานขึ้นมาคัดง้างซึ่งเราจะไม่ได้อะไรเลยจากการกระทำแบบนั้น

 

หากเอาเรื่องความจริงมาเกี่ยวข้องแล้ว พวกเรามีแต่แพ้กับแพ้อย่างแน่นอน

 

แต่ในทางกลับกันแล้ว การที่ผมไม่พูดว่า อลิซาเบธอยู่เบื้องหลังนั้น— กลับยิ่งทำให้เธอน่าสงสัยยิ่งกว่าเดิม

 

ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การก่อการร้ายและการลอบสังหารคือ อลิซาเบธ แต่ทั้งจอมมารและนักบุญหญิงผู้รักสันติกลับยอมมองข้ามเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยความเมมตา นี่แหละคือ สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

บาร์บาทอสฟังคำอธิบายของผม เธอก็ถามกลับมาในทันที

 

“ดันทาเลี่ยน,อย่าบอกข้านะว่าแกน่ะตั้งใจที่จะไม่ประกาศตัวผู้อยู่เบื้องหลังก็เพื่อข้าและฝ่ายที่ราบน่ะ?”

 

“ไม่ใช่อยู่แล้ว”

 

การที่ผมเงียบก็แปลว่า ทั้งหมดเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

พอสิ่งที่พูดออกไปมันโน้มน้าวบาร์บาทอสได้ เธอก็ถอนใจออกมา

 

 

“ก็ได้ๆ คราวนี้ทำตามที่แกบอกก็ได้……แต่หลังจากนี้แกต้องอธิบายทุกอย่างให้ข้าฟัง ”

 

ผมยิ้มสดใส

 

ผมจะบอกเธอในวันที่ความสัมพันธ์ของเธอกับไพมอนดีขึ้นกว่านี้แล้ว

 

และวันนั้นคงจะไม่มีวันมาถึง

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด