Dungeon Defense (WN) 326 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (14)
บทที่ 326 – ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (14)
สิบวันหลังจากผมได้รับบาดเจ็บ อาการผมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ผมสามารถขยับปากและมองไปรอบๆได้แล้ว และไม่นานเท่าไหร่นักผมก็กลับมาพูดได้อีกครั้ง
ผมที่สิ้นสติตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงระยะเวลาดังกล่าวกลับลดลงเป็นอย่างมาก ตอนนี้ผมตื่นฟื้นสติวันละราวๆหกชั่วโมงต่อวันแล้ว
บุคคลแรกที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นก็คือ ลาพิส
ลาพิสจ้องผมก่อนจะพยักหน้าเบาๆครั้งหนึ่งแล้วก็ไปเรียกนักบวชผู้รักษาแทบจะในทันทีที่เห็นผมตื่น
“โอ้ ยอดมาก ราวกับปาฏิหารย์เลย”
เสียงของนักบวชชราดังขึ้นด้วยความแปลกใจ
“หากท่านเป็นมนุษย์ ท่านคงไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีก ผมได้เคยได้ยินข่าวเรื่องลักษณะพิเศษของร่างกายจอมมารมาก่อน …….”
“นี่หมายถึงฝ่าบาทสามารถฟื้นร่างกายกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมใช่ไหมคะ?”
ลาพิสพูดตัดบทร่ายยืดยาวของนักบวช
นักบวชคนนั้นเม้มริมฝีปากราวกับไม่ค่อยพอใจนักที่ไม่มีโอกาสได้แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา
“ใช่ครับ แต่ถึงอย่างนั้น ท่านก็สลบไสลนานเกินไปจริงๆ
ฝ่าบาทต้องใช้เวลาอย่างมากเพื่อฟื้นฟูพลังกายกลับมา หรือพูดง่ายๆคือ สิ่งเดียวที่ท่านต้องทำคือ การพักผ่อนให้แข็งแรงเหมือนเดิม”
“……ขอบคุณ คุณมากค่ะ”
ลาพิสโค้งคำนับให้ด้วยความเคารพจากใจ
ทั้งผมและนักบวชชราต่างประหลาดใจ ลาพิสในตอนนี้ไม่ใช่พ่อค้าเผ่าปีศาจธรรมดาๆแล้ว หากแต่ตอนนี้เธอกลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญที่สนิทที่สุดผู้มีอำนาจ ในกองทัพจอมมาร
ตัวตนแบบนั้นกลับโค้งศีรษะให้กับเขา
“ดะ-ได้โปรด เงยหน้าขึ้นเถอะครับ ผมน่ะเป็นสามัญชนตั้งแต่กำเนิด”
“สถานภาพนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญเลยหากเทียบกับชีวิต
และไม่สำคัญสำหรับบุคคลที่ช่วยชีวิต และรักษาเยียวยาชีวิตผู้อื่น”
ลาพิสตอบกลับทั้งที่ยังก้มหัวให้อยู่
“หากคุณต้องการความช่วยเหลือใด, ดิฉัน, ลาพิส ลาซูลิ , ขอสาบานในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้บริหารของฝ่าบาทดันทาเลี่ยน , ว่าจะช่วยคุณอย่างสุดกำลังความสามารถ”
“ฮะฮะ”
นักบวชคนนั้นหัวเราะออกมาอย่างกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกดี
“ผมนั้นเป็นแค่หมอที่โดนจ้างมาจากภาครัฐเพียงชั่วคราวเท่านั้น มันน่าจะดีกว่าหากท่านแสดงความรู้สึกดีๆต่อรัฐบาลบัทตาเวีย
อันที่จริงแล้วมันเป็นความผิดพลาดของทางฝ่ายรัฐบาลพวกเราเองที่รักษาความปลอดภัยไม่ดีพอ
สุดท้ายแล้ว ท่านไม่ต้องขอบคุณใครหรอกครับ ได้โปรดเงยหน้าขึ้นด้วยเถอะครับ”
“ความตั้งใจของดิฉันยังคงเป็นเช่นเดิม”
ลาพิสยืนกรานหนักแน่นจนนักบวชต้องยอมแพ้ ชายชราแสดงท่าทีหมดหวังก่อนจะออกไปจากห้อง
“ว่ากันว่า หากอยากรู้จักผู้ปกครอง ก็ให้ดูที่ผู้ใต้บังคับบัญชาการ
มิสลาซูลิครับ หลังจากประชุมครั้งนี้จบ ผมถึงกับเข้าใจเลยว่า ท่านเค้าท์พาลาทีนสามารถดึงท่านนักบุญหญิงแห่งบริททานี่มาเข้าร่วมได้อย่างไรกันทั้งๆที่เป็นจอมมาร
ขอให้เทพีอาร์เทมิสโปรดมอบรอยยิ้มให้แก่พวกท่านไปตลอดกาลด้วยเถิด”
แถมให้ด้วยว่า บทสนทนาทั้งหมดนั้นพูดด้วยภาษาจักรวรรดิโบราณ
นักเวทย์คนนั้นรู้จักภาษานั้นเพราะเป็นภาษาท้องถิ่น แต่ที่น่าแปลกคือ ลาพิสสามารถใช้ภาษาดังกล่าวได้อย่างคล่องแคล่วได้ยังไงกันนะ ในเมื่อเธอเกิดมาด้วยชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยมาตลอดช่วงชีวิตที่เธอเป็นพ่อค้ากัน?
ลาพิสนี่ช่างเปี่ยมด้วยพรสวรรค์เสียจริง
พออีกฝ่ายจากไปและเหลือเพียงเธอคนเดียวในห้อง ลาพิสนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง
“…….”
“…….”
ลาพิสจ้องหน้าผมไม่หยุด
พอไม่มีอะไรทำก็ชวนให้รู้สึกอึดอัดชะมัด ผมชี้ไปที่รอบดวงตาลาพิส
มันมีถุงใต้ตาเธอ ผมพยายามทำท่าทางสื่อสารด้วยมือ พยายามทำให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด
‘ตอนนี้ใต้ตาเธอน่ะ มันแบบไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะ’
พอเห็นผมทำอย่างนั้นเข้าเธอก็ถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง
อะไรกันเนี่ย? ผมพูดเพราะเป็นคนที่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้หญิงเชียวนะ
ปวดใจหน่อยๆแฮะกับการที่ความพยายามในการสื่อสารกับอีกฝ่ายครั้งแรกในช่วงที่ต้องหมดสติไปถึงสิบวัน จบลงแบบนั้น
* * *
“เฮ้ยนี่, เกิดอะไรขึ้นกับนายกรัฐมนตรีคนนั้นของแกวะ?”
อยู่ๆบาร์บาทอสก็บ่นออกมาทันทีที่มาเยี่ยมผม
“หืม อะไร? มีปัญหาอะไรกับลาพิสรึไง?”
ผมนอนติดเตียงมาครึ่งเดือนแล้ว
ร่างของผมฟื้นฟูได้มากพอที่จะสามารถพูดได้ตามปกติ แต่พูดเสียงดังไม่ได้
“แกคงไม่รู้เรื่องนี้สินะ ว่าแม่นั่นน่ะ พยายามกันทุกคนออกไปสุดกำลังเลยล่ะ”
บาร์บาทอสทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้
เธอไขว่ห้างและขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจออกมา
“แกคงคิดสินะว่า พอได้ยินเรื่องที่แกได้รับบาดเจ็บแล้วจะไม่รีบมาหาแกน่ะ?
จริงๆข้ารีบมาหาแกในทันทีเลยล่ะ แล้วก็เห็นนังกะหรี่ไพมอนเดินไปเดินมาอยู่
นังนั่นพยายามจะขอให้เข้ามา แต่นายกประจำตัวแกมาขวางไว้ไม่ให้เข้าไป”
มันทำเอาผมประทับใจมาก ปกติแล้วซัคคิวบัสนั้นโดยปฏิบัติเหมือนเป็นดั่งปรสิตในหมู่ปีศาจ และลาพิสที่เป็นลูกครึ่งซัคคิวบัสก็ยิ่งโดนดูถูกหนักกว่าซัคคิวบัสทั่วไป
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังกล้าขวางทางไพมอน อดีตจอมมารลำดับ 9
“ข้ายอมรับจากใจเลยว่า ลาพิสของพวกเรานั้นกล้าหาญมาก”
“ข้าก็ขอเข้าไปด้วยแต่แม่นั่นก็ปฏิเสธ พอข้ารำคาญมากๆเข้าก็พยายามจะใช้กำลังบังคับนาง แต่สิ่งที่นางพูดนี่เอาเรื่องจริงๆ”
ดิฉันรับหน้าที่เป็นตัวแทนของกองทัพจอมมารในช่วงเวลาที่ฝ่าบาทไม่อยู่ค่ะ
การไม่สนใจคำพูดของดิฉันแล้วเหยียบย่ำเจตนารมย์ของของกองทัพจอมมาร หากท่านปรารถนาจะทำเช่นนั้น ดิฉันจะไม่ขัด เชิญทำได้เลยค่ะ
“ข้าล่ะอึ้งไปเลยจริงๆ”
บาร์บาทอสบ่นอุบ
“แล้วยังไงต่อ? เมินเธอเลยรึเปล่า?”
“หึ ก็ได้ถ้านางอยากจะเล่นแบบนั้น
ข้าก็ไม่สนใจตำแหน่งฐานะแล้วลงไปซัดกับนางยังไงล่ะ”
บาร์บาทอสพ่นลมออกจมูก
เธอล้วงไปในปลอกคอแล้วดึงเอาสร้อยคอออกมา มันเป็นสร้อยคอที่ทำจากนิ้วทั้งสองของผม
“ข้าแสดงนี่ให้นางเห็นแล้วพูดกับนางว่า :
เฮ้ย นังหนูหัวชมพู ข้าไม่ได้มาที่นี่ในฐานะจอมมารโว้ย ข้ามาในฐานะผู้หญิงคนนึงที่มีเซ็กส์กับไอ้ผู้ชายหลังประตูนั่นนับร้อยนับพันครั้ง
ไม่สำคัญว่า แกจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือห่าอะไรก็ตาม แกไม่มีสิทธิ์มาหยุดเพื่อนกันมันส์มั่วเซ็กส์อยู่แล้ว”
“ฟุ”
แล้วจะให้ผมพูดอะไรได้ล่ะ? ตอบได้สมกับเป็นบาร์บาทอสเลยจริงๆ
“ฟัค ,พอข้าพูดอย่างนั้นนางถึงจะยอมให้ข้าเข้ามาได้
อะไรกันเนี่ย นี่ข้าต้องได้รับอนุญาตจากปีศาจระดับต่ำถึงเข้ามาได้แล้วเรอะ?
เหอะ ข้าน่าจะตายห่าไปซะ จะได้ไม่ต้องมาคลานตะเกียกตะกายให้ลำบากเพื่อเห็นความหวังริบหรี่พรรค์นี้”
ผมหัวเราะเอิ้ก
“อย่าเกลียดชังลาพิสเลยน่า เธอเป็นคนที่ข้าชอบเลยนะ”
“นั่นมันก็แล้วแต่ท่าทีแกว่ะ”
ประกายในดวงตาของบาร์บาทอสเปลี่ยนไป
“เอาล่ะ เข้าประเด็นกันเลยดีกว่า ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรี่องนี้”
“…….”
“ข้าให้เด็กๆไปสืบมาแล้ว ดูเหมือนจะคุยกันว่า ท่านคอนซูลนั้นทำตัวน่าสงสัย”
ผมยิ้มบางๆ
บาร์บาทอสไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นที่หลังฉาก มุมมองความคิดของเธอนั้นเป็นคนภายนอกโดยสมบูรณ์ ดังนั้นแล้วการที่สรุปได้เหมือนกันว่า มุมมองความเห็นของบาร์บาทอสก็เป็นตัวแทนของความเห็นทั่วๆไปของบุคคลที่สามที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ตอนนี้ชื่อเสียงทางการเมืองของผมในสังคมชั้นสูงพุ่งขึ้นทันที เมื่อโดนลอบทำร้าย หลังจากที่ผมมีชื่อเสียงจากการได้รับชัยชนะในสงครามการทูตในช่วงฤดูหนาว
ความพยายามในการลอบสังหารผมกลับยิ่งพาผมขึ้นสู่จุดสูงสุด
ไม่ว่าผมจะรอดตายมาได้หรือไม่ ไม่ว่าผู้ก่อเหตุจะเป็นใคร และเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบถึงสิ่งใดบ้าง…….
หัวข้อพวกนี้จะเป็นที่สนอกสนใจอย่างมาก
ตัวแทนกลุ่มชาติทั้งหลายก็จะประณามต่อว่า สาธารณรัฐบัทตาเวีย
ทั้งการวางระเบิดและการพยายามลอบสังหารบุคคลสำคัญ
ยิ่งหนักไปกว่านั้น ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุนี้เป็นใครกันแน่ ผมทำให้ผู้คนต่างสงสัยในความน่าไว้วางใจและความสามารถของบัทตาเวีย
ด้วยเหตุนั้นจึงแทบจะไม่มีโอกาสอีกแล้วที่จะมีการประชุมร่วมกันระหว่างสาธารณรัฐขึ้นมา …….หรืออย่างน้อยๆ เจ้าภาพก็ไม่มีทางเป็นบัทตาเวียอีกแน่ ความพยายามของไพมอนครั้งนี้ล้มเหลว
และหากบัทตาเวียไม่ใช่เจ้าภาพ กลุ่มประเทศฌดียวที่จะจัดงานได้ก็มีแต่ สาธารณรัฐฮับบวร์ก ;
แต่ถึงอย่างนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
คอนซูลอลิซาเบธตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการพยายามทำการลอบสังหาร
แถมพวกนิยมสาธารณรัฐทั้งหลายต่างมอง อลิซาเบธนั้นเป็นผู้นำเผด็จการด้วยซ้ำ…….
ทุกสิ่งยังคงเป็นไปตามแผนการ
ยังขาดชิ้นส่วนตัวต่อส่วนสุดท้าย
“บาร์บาทอส ”
“หืม?”
“จบเหตุการณ์ครั้งนี้เลยเถอะ ”
บาร์บาทอสทำหน้างุนงง
“……ข้าขอถามแกก่อนว่า ทำไม?”
“เราคุยกันไปแล้วนี่ เมื่อครั้งที่แล้วว่า เร็วไปห้าสิบปีที่กองทัพจอมมารจะพิชิตทวีปนี้ได้
หากเรายืดเยื้อสถานการณ์นี้ออกไปได้ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นสงคราม ดังนั้นแล้ว …….”
“อ้อ เพราะนังกะหรี่นั่นสินะ”
บาร์บาทอสคำราม
“หากคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เป็นคนธรรมดา ไม่มีทางที่มันจะกลายเป็นสงครามได้ ดังนั้นไอ้เจ้าคนบงการเรื่องนี้มันต้องเป็นใครที่แกไม่อาจแก้แค้นได้โดยไม่ก่อสงครามสินะ ใช่ไหม? ยืนยันมาสิว่า ข้าพูดถูก”
“เธอเข้าใจผิด”
“แล้วไอ้ระยำไหนที่มันแทงแกวะ !?”
ตอนนั้นเองที่ ทั้งห้องพักคนป่วยกลับสะเทือน
ดวงตาสีทองของบาร์บาทอสเต็มไปด้วยความบ้าเลือด ออร่าเวทย์มนตร์ที่ชวนให้ผมหายใจไม่สะดวกในฐานะจอมมารหลั่งไหลออกมาจากร่างกายของเธอ ราวกับอากาศในห้องนั้นกำลังหวาดกลัวต่อบาร์บาทอส
อ่าา นี่แหละสาเหตุที่ผมไม่สามารถบอกกับบาร์บาทอสได้…….
ถ้าผมบอกเธอว่า ผมแทงตัวเองด้วยเจตนา เธอก็ต้องถามแน่ๆว่า ผมจะทำแบบนั้นไปทำซากอะไรกัน
พอเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับด้วยความสัตย์จริงว่า ทั้งหมดผมทำไปเพื่อหยุดไพมอน
หากผมบอกอย่างนั้นบาร์บาทอส บุคคลผู้เกลียดชังไพมอนมากที่สุดในโลก
แล้วคิดว่า มันจะจบลงยังไงกันล่ะ?
ผมเสียนิ้วไปแค่นิ้วเดียว บาร์บาทอสก็โมโหอาละวาด นำทัพเข้าร่วมกับสงครามกลางเมืองแล้ว
ด้วยเหตุนี้แหละผมถึงไม่อยากโกหกบาร์บาทอส ก็ได้แต่ตอบแบบเบี่ยงไปเบี่ยงมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
“บาร์บาทอส ใจเย็นลงก่อนแล้วฟังข้านะ มีบางอย่างที่ข้าอยากถามเธอ”
“อะไร……?”
“อ้า มันเป็นคำขอน่ะ ข้าขอให้เธอแสดงอะไรนิดๆหน่อยๆต่อจากนี้น่ะ้”
แผนของผมเป็นแบบนี้:
หลังจากออกจากห้องผม บาร์บาทอสก็จะแสดงความโกรธเกรี้ยวกับสาธารณรัฐฮับบวร์ก
พอเธอกลับไปเธอก็จะยกกองทหารของเธอ ทำให้เหมือนกับว่า เธอกำลังจะรุกรานประเทศอื่นในเร็ววันนี้
สุดท้ายแล้วผมก็จะประกาศแก่สาธารณว่า ใครคือ ผู้อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง
แถมสิ่งที่ผมจะประกาศออกไปมันชวนให้เข้าใจว่า สงครามจะปะทุในอีกไม่ช้านี้
สิ่งนี้จะยิ่งยืนยันความคิดของผู้คนที่คิดกันว่า ท่านคอนซูลอลิซาเบธเป็นผู้บงการเรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น พวกเขาจะสั่นกลัวเนื่องจากความคิดที่ว่า จะเกิดสงครามขึ้นอีกแล้ว ทั่วทั้งทวีปจะตกอยู่ในอันตราย
แล้ว ณ ตอนนั้นเองที่ ท่านนักบุญหญิงก็จะมาหาผม
ผมกับนักบุญหญิงคนนั้น
เราจะพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว โดยไม่มีการบันทึกสนทนาไว้ และเป็นการสนทนาลับๆที่ใช้เวลาเกือบครึ่งวัน
แล้วผมจะประกาศออกมาทันทีหลังจากได้คุยกันว่า
—ข้านั่นประทับใจนักกับปณิธานอันแน่แน่วในสันติภาพแห่งทวีปของท่านนักบุญหญิง ดังนั้นแล้วข้าจะไม่เปิดเผยผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุลอบสังหารครั้งนี้
สงครามที่ควรจะปะทุขึ้นมาทันที กลับสลายไปอย่างรวดเร็ว
ผู้คนทั่วทั้งทวีปต่างสรรเสริญท่านนักบุญหญิงแห่งบริททานี่
แล้วผมเองก็จะนั่งบนเกวียนแห่ไปรอบๆ ทำทีเป็นให้การสนับสนุนอะไรโง่ๆที่เรียกว่า ‘สันติภาพแห่งผืนทวีป’ ด้วยเช่นกัน
นักบุญหญิงลองวี่ยังคงให้การสนับสนุนสันติภาพต่อ แม้เธอจะโดนลอบทำร้ายด้วยเช่นกัน
จอมมารที่ตั้งใจจะหยุดยั้งสงครามแม้จะถูกลอบโจมตี เพราะประทับใจในตัวท่านนักบุญหญิง
มันช่างเป็นภาพลักษณ์ที่งดงามแจ่มชัดและสมบูรณ์แบบเสียจริงๆ
“บาร์บาทอส, เราเคยคุยกันไปก่อนหน้านี้แล้ว
เราได้ข้อสรุปกันแล้วว่า เราจะไม่เริ่มสงครามรอบใหม่จนกว่าจะถึง ห้าสิบปีข้างหน้า
สำหรับพวกเราห้าสิบปี ก็พอแล้ว”
“…….”
“เธอน่ะแกล้งทำเป็นสนับสนุนให้เกิดสงคราม
ส่วนข้าก็แกล้งทำเป็นต่อต้านสงคราม
ข้าและเธอต่างจะแสดงให้พวกมนุษย์เห็นด้วยการยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน
และในท้ายที่สุด เราจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่า เธอยอมอดทนไม่ก่อสงคราม”
ผู้คนนั้นขี้ระแวงสงสัย
หากอยู่ๆมีใครลุกขึ้นมาเรียกร้องหาสันติภาพอย่างไม่มีเหตุมีผล พวกเขาจะไม่ไว้ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคนผู้นั้นเป็นจอมมารด้วยแล้ว จอมมารผู้ก่อสงครามมานับพันปีที่ผ่านมา
การแสดงให้คนเชื่อนั้นต้องกำจัดความระแวงสงสัยออกไปให้หมด ด้วยการจัดให้ท่านนักบุญหญิงเป็นนักแสดงหลัก และสร้างสถานการณ์มือสังหารที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงขึ้นมา ภาพลักษณ์ของ ‘จอมมารผู้เรียกหาสันติภาพ’ จึงจะสร้างขึ้นมาได้
หากผมชี้นิ้วโทษอลิซาเบธตรงๆ มันจะกลายเป็นสงครามที่งัดหลักฐานขึ้นมาคัดง้างซึ่งเราจะไม่ได้อะไรเลยจากการกระทำแบบนั้น
หากเอาเรื่องความจริงมาเกี่ยวข้องแล้ว พวกเรามีแต่แพ้กับแพ้อย่างแน่นอน
แต่ในทางกลับกันแล้ว การที่ผมไม่พูดว่า อลิซาเบธอยู่เบื้องหลังนั้น— กลับยิ่งทำให้เธอน่าสงสัยยิ่งกว่าเดิม
ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การก่อการร้ายและการลอบสังหารคือ อลิซาเบธ แต่ทั้งจอมมารและนักบุญหญิงผู้รักสันติกลับยอมมองข้ามเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยความเมมตา นี่แหละคือ สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
บาร์บาทอสฟังคำอธิบายของผม เธอก็ถามกลับมาในทันที
“ดันทาเลี่ยน,อย่าบอกข้านะว่าแกน่ะตั้งใจที่จะไม่ประกาศตัวผู้อยู่เบื้องหลังก็เพื่อข้าและฝ่ายที่ราบน่ะ?”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว”
การที่ผมเงียบก็แปลว่า ทั้งหมดเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
พอสิ่งที่พูดออกไปมันโน้มน้าวบาร์บาทอสได้ เธอก็ถอนใจออกมา
“ก็ได้ๆ คราวนี้ทำตามที่แกบอกก็ได้……แต่หลังจากนี้แกต้องอธิบายทุกอย่างให้ข้าฟัง ”
ผมยิ้มสดใส
ผมจะบอกเธอในวันที่ความสัมพันธ์ของเธอกับไพมอนดีขึ้นกว่านี้แล้ว
และวันนั้นคงจะไม่มีวันมาถึง
Comments