Dungeon Defense (WN) 329 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (17)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 329 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (17) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

บทที่ 329 – ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (17)

 

 

 

* * *

 

 

 

ผมกลับมาติดเตียงอีกครั้ง แต่คราวนี้มีไข้แถมด้วย

 

ผมฝืนตัวเองทั้งที่ยังไม่หายดี นักบวชที่คอยดูแลผมถึงกับแตกตื่นเพราะคิดว่า ผมจะมีอาการแทรกซ้อน

 

ผมไม่บอกเขาหรอกว่า ที่ผมมีไข้ขึ้นเนี่ยก็เพราะฝืนพยายามคืนดีกับผู้หญิง ผมนี่ปิดปากเงียบเลยล่ะ

 

…… ไม่มียาตัวใดรักษาคนโง่ได้ ผมรู้ดีว่า คำพูดที่ว่านี้มันช่างเหมาะเจาะกับผมเสียเหลือเกิน

แต่ถึงอย่างไรก็ดี การมีไข้ขึ้นนี่เป็นราคาที่ผมต้องจ่ายเพื่อจีบไพมอน

ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ผมกำไร

 

 

“ฉันเข้าใจแล้วว่า นายเป็นจอมมารประเภทไหนกันแน่”

 

นักบุญหญิงลองวี่ทำหน้าเบื่อโลก นั่นเป็นคำพูดแรกที่ออกมาจากปากทันทีที่เธอมาเยี่ยมผม

 

“ผิดพลาดไปแค่นิดเดียว เราก็ตายทั้งคู่ นายนี่มันเหลวไหลสิ้นดี”

 

“แต่สุดท้ายเราก็รอดกันทั้งคู่ไม่ใช่หรือ?”

 

ผมยิ้มพร้อมผายมือออก ดูเหมือนการทำแบบนั้นจะทำให้นักบุญหญิงรำคาญขึ้นมาเธอจึงเร่งเสียง

 

 

“ร่างกายมนุษย์ระเบิดเป็นชิ้นตรงหน้าฉันเนี่ย นายรู้บ้างไหมว่าฉันช็อคแค่ไหน?”

 

“ข้าพอใจที่ได้มอบประสบการณ์อันล้ำค่า และแสนหายากให้กับเธอนะ”

 

“โอ้ องค์เทพี ได้โปรดสาปส่งเจ้าปีศาจชั่วนี่เถอะ……!”

 

นักบุญหญิงลองวี่ถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

 

ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้บอกเธอว่าจะมีการก่อการร้าย ผมไม่รู้เลยว่า นักบุญหญิงลองวี่จะแสดงละครได้เก่งแค่ไหน ดังนั้นแล้ว ย่อมจะดีกว่าหากปล่อยให้เธอแสดงออกมาตามธรรมชาติจริงๆ ยามที่อยู่ๆก็โดนลอบโจมตีไม่ทันตั้งตัว 

 

นั่นแหละเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมผมถึงไม่บอกเธอ

 

 

“แผนการเดิมจะต้องตื่นขึ้นมาภายในห้าวัน แต่วันนี้ก็เป็นวันที่สิบห้านับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์แล้ว 

นายเข้าใจไหม? นี่มันครึ่งเดือนแล้ว”

 

“อืมมม ร่างกายของข้านี่ฟื้นตัวได้แย่กว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”

 

“ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น!”

 

นักบุญหญิงลองวี่ตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด

 

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เธอกำลังจะสื่อถึงอะไร หากคุณต้องการจะพูดอะไรสักอย่างให้อีกฝ่ายเข้าใจก็ต้องหาวิธีใช้คำที่เหมาะสมด้วยสิ 

แม้แต่ก็อบลินก็คงเอียงคอด้วยความงุนงงสงสัยหากอยู่ๆ คุณก็กรีดร้องขึ้นเหมือนกอริล่า แม่นี่จบการศึกษาเป็นตัวท็อปของสถาบันการศึกษาเทวนิยมมาได้ยังไงกันเนี่ย? 

ผมชักเริ่มสงสัยแล้วว่า เธอปลอมแปลงวุฒิการศึกษาของสถาบันมาหรือเปล่า หรือถ้าไม่พูดดีๆก็เพิ่มค่าความชอบที่มีต่อผมให้ถึง 20 สิ ผมจะได้อ่านความคิดเธอได้ 

ทีนี้ทุกอย่างก็ง่ายกันทั้งสองฝ่ายแล้ว 

เย้ แฮปปี้เอนดิ้ง

 

(TTL : นี่ก็จะหาเรื่องแตกไลน์สาวๆไม่หยุดเลยนะ 555) 

 

 

“……ตอนนี้นายกำลังคิดอะไรบ้าๆบอๆอยู่ ใช่ไหม ?”

 

“เห ข้าไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่า เธอพูดถึงอะไรอยู่”

 

ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ 

นับว่าผมเป็นบุคคลที่หน้าด้านหน้าทนที่สุดในทวีปแล้ว ดังนั้นไม่มีอะไรต้องกังวล

 

นักบุญหญิงถึงกับถอนใจออกมา

 

“ที่ฉันกำลังจะพูดก็คือ ฉันน่ะเกือบจะตายจริงๆแล้ว 

จอมมารดันทาเลี่ยน, ราชอาณาจักรบริททานี่และฉันตัดสินใจที่จะร่วมมือกับนาย

แต่…….หากแผนการของนายมันเต็มไปด้วยความแปรปรวนรุนแรงขนาดนี้ พวกเราคงต้องกลับไปคิดดูใหม่อีกทีแล้วล่ะ”

 

“เข้าใจแล้ว ปัจจัยที่สร้างความยุ่งเหยิงสินะ?”

 

มันก็สมควรอยู่หรอกที่จะมาคิดดูใหม่อีกทีน่ะ 

ทั้งราชินีแห่งบริททานี่และนักบุญหญิงลองวี่เองก็ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อมาจับมือกับพวกเรา

 

มีหวังพวกเราได้วิบัติฉิบหายแน่ หากโดนเปิดโปงว่า การก่อการร้ายดังกล่าวนี้เป็นการกระทำของเราเอง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเธอจะกังวลก็ในเมื่อคู่พันธมิตรยังต้องกระเสือกกระสนเอาชีวิตให้รอดอยู่เลย

 

ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้านัก

 

“นักบุญหญิงลองวี่ ,นี่เธอรู้หรือไม่ ว่ากำลังพูดกับใครอยู่?”

 

“ว่ายังไง ?”

 

“ข้าคือ ดันทาเลี่ยน (I am Dantalian)”

 

ผมฉีกยิ้มกว้าง

 

“บุคคลผู้ซึ่งกวาดล้างกองทหารของฝ่ายเธอ และทำให้ราชินีของเธอตกลงสู่ความสิ้นหวังได้

 

ก็ไม่ได้อยากจะโม้หรอกนะ แต่อัศวินผู้ไร้เทียมทานทั้งหลายจากบริททานี่กลายเป็นซากศพใต้รองเท้าบู้ทข้านี่แหละ

 

แล้วคิดว่า อัศวินแห่งบริททานี่ อ่อนแอขนาดที่จะแพ้ใครก็ได้อย่างนั้นหรือ ?”

 

“ไม่,พวกเขาไม่แพ้คนทั่วไป …….”

 

“บริททานี่มีกองทัพที่ทรงพลัง กรุณาให้ความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวข้าเช่นเดียวกันกับที่เชื่อในกองทัพของเธอ ”

 

นักบุญหญิงไม่พูดอะไร มันอาจไม่มากพอที่จะโน้มน้าวเธอได้ แต่เธอก็เลิกแย้งผมแล้ว

ผมกระแอมเคลียร์ลำคอก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย

 

“ข้าจะไม่เปิดเผยผู้บงการอยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้ แม้เธอจะขอก็ตาม

หรืออย่างน้อยที่สุด จากมุมมองคนภายนอกก็ต้องทำให้เป็นแบบนั้น

 

ตัวปัญหาจริงๆน่ะ คือ นักบุญหญิงคนอื่นต่างหาก”

 

“……แล้วนักบุญหญิงคนอื่นจะกลายเป็นตัวปัญหาได้ยังไงกัน ?”

“หากเราทำตามสคริปของเรา ถ้าอย่างนั้นเธอนั่นแหละก็จะกลายเป็น ‘นักบุญหญิงผู้เปี่ยมไปด้วยความการุณย์’ ”

 

สำหรับผู้คนที่เหนื่อยละเหี่ยใจกับสงครามและโรคระบาด นักบุญหญิงแจ็คเกอลีน ลองวี่กลายเป็นตัวตนที่ระงับยับยั้งสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์

 

เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญย่อมแพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว 

 

 

“ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีนักสำหรับนักบุญหญิงคนอื่น”

 

“นี่นายกำลังจะบอกว่า พวกนางอิจฉาฉันอย่างนั้นหรือ?”

 

นักบุญหญิงลองวี่พ่นลมหึออกจมูก

 

“ตัวตนชั่วช้าอย่างนายก็คงไม่รู้ก็ได้ แต่นักบุญหญิงทั้งหลายต่างถูกคัดเลือกกันมาอย่างเข้มงวด

 

มีเพียงบุคคลที่มีอุปนิสัยที่เชื่อมั่นศรัทธา และรักษามันไว้ได้เท่านั้นถึงคู่ควรกับการเป็นนักบุญหญิง 

กะอีแค่อิจฉาริษยา อย่างนั้นหรือ?  ไม่จำเป็นต้องห่วงกังวลด้วยซ้ำ”

 

“โถ โถ นักบุญหญิงเอ๋ย, ความกังวลโดยไม่จำเป็นนั้นเป็นของหายากบนโลกใบนี้ ”

 

ผมพูดติดตลก

 

 

“นักบุญหญิงแจ็กเกอลีน ลองวี่เอ๋ย, ผู้เป็นนักบุญหญิงแห่งองค์เทพีเอเธน่าที่ผ่านการคัดครองคัดเลือกอย่างเข้มงวดมาแล้ว

เธอย่อมต้องมีอุปนิสัยที่ยอดเยี่ยมแน่ๆเลย ที่มานั่งวางแผนชั่วร้ายกับจอมมารเนี่ย ”

 

“……นี่ก็เพื่อบริททานี่ !”

 

“มันไม่ต่างกันหรอก นักบุญหญิงคนอื่นต่างก็กำลังหาข้ออ้างที่ว่านั่นอยู่

ก็เหมือนกับการที่เราเลือกเสื้อผ้ามาสวมใส่ในเช้าของทุกวัน ผู้คนก็เปลี่ยนข้ออ้างข้อแก้ตัวนั่นไปทุกเช้าเหมือนกัน”

 

ผมไอออกมา คราวนี้ไอจริงๆ

 

“เหล่านักบุญหญิงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยมือตัวเอง

นักบุญหญิงลองวี่, หากเธอได้รับชื่อเสียงเป็นหน้าเป็นตาของทวีป วิหารเอเธน่าย่อมมีชื่อไปด้วย

แล้วคิดว่า นักบวชคนอื่นๆจะอยู่เฉยๆได้หรือ ?”

 

“…….”

 

“ต่อให้ท่านนักบุญหญิงอยากจะอยู่เงียบๆ แต่คนรอบข้างไม่ทำแบบนั้นอยู่แล้ว

พวกเขาทั้งหมดจะพยายามสุดกำลังเพื่อขัดขวางเธอ ”

 

ดูเหมือนจะมีนักบุญหญิงหลายคนเลยล่ะที่ร่วมมือกับอลิซาเบธ

นั่นแหละปัญหาล่ะ

 

อลิซาเบธตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้สั่งการการก่อการร้ายครั้งนี้

 

พวกนั้นไม่มีทางที่จะร่วมมือกันอย่างเปิดเผย แต่ก็เป็นไปได้สูงมากว่า จะโดนข่มขู่อย่างลับๆ

ผมมั่นใจเรื่องนั้นดีว่า คนอย่างอลิซาเบธต้องข่มขู่ทางอ้อมด้วยการพูดกลายๆว่า ‘เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว’

 

นักบุญหญิงตรงหน้าผมถึงกับถอนใจ

 

“แล้วมีวิธีรับมือดีๆไหม? ?”

 

“ง่ายมาก เธอก็แค่ยกพวกนั้นทุกคนขึ้นมาเป็นผู้ช่วยเธอไง ”

ผมไอเบาๆก่อนจะพูดต่อ

 

“อย่างที่เธอรู้ดี จักรวรรดิฮับบวร์กนั้นไม่ได้เป็นรัฐศาสนา นักบุญหญิงนั้นโดนฆ่าทิ้งไปตั้งแต่ช่วงสงครามเสี้ยวจันทราแล้ว 

เราสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้ 

เราจะปฏิบัติต่อทุกวิหารด้วยความเคารพนับถือในฐานะศาสนาประจำรัฐของพวกเรา”

 

“อะไรนะ ?”

 

นักบุญหญิงกระพริบตาปริบๆด้วยความประหลาดใจ

ออกจะเป็นรีแอ็คชั่นที่น่ารักซะจริง ผมจึงได้แต่แสดงรอยยิ้มอย่างผู้เป็นบิดาคืนกลับไปให้

 

 

“สัญลักษณ์ที่เป็นดั่งตัวแทนของความหลอมรวมกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวระหว่างมนุษย์และปีศาจ นั่นคือ สิ่งที่จักรวรรดิฮับบวร์กกำลังจะเป็น  

 

มันคงจะเป็นเรื่องน่าประหลาดที่ยังมีการแบ่งแยกศาสนาในประเทศที่ไม่มีการแบ่งแยกกันทางเชื้อชาติแล้ว ”

 

นักบุญหญิงลองวี่ขมวดคิ้วมุ่ย 

 

“แต่พวกวิหารทั้งหลายไม่มีเหตุผลที่ต้องยอมรับคำแนะนำของจักรวรรดินี่ ”

 

“ก็ถ้าพวกนั้นไม่มีเหตุผล พวกเราก็สร้างเหตุผลขึ้นมาให้เองสิ

พวกเราจะงดเว้นภาษีที่ดินให้กับทุกวิหารที่ครอบครองดินแดน 

นี่เธอคิดว่า พวกนั้นจะยังคงปฏิเสธอีกหรือ ?”

 

สีหน้านักบุญหญิงลองวี่กลับครุ่นคิดขึ้นมาจริงจัง

 

“……ฉันว่า เรื่องนั้นพอเป็นไปได้ ”

 

“ดีเลย ถ้าเช่นนั้น โปรดไปชักจูงพวกวิหารทั้งหลายของแต่ละประเทศด้วยข้อเสนอนี้ก็แล้วกัน ”

 

 

เสียดายนะ ผมไม่มีสายสัมพันธ์ทางศาสนากับโลกใบนี้เลย

นักบุญหญิงลองวี่ก็เลยต้องจัดการธุระทางนี้แทน

 

“โดยเริ่มจากวิหารที่เป็นมิตรกับพวกเราก่อน ให้แน่ใจว่าพวกนั้นจะ ไปตีสนิทกับวิหารของเฮสเทีย และวิหารของเฮเฟตัสเป็นลำดับสุดท้าย 

 

พวกนั้นน่ะจะลังเลที่จะร่วมมือกันกับเรา ดังนั้นพยายามกดดันให้พวกนั้นคิดดูให้ดีว่า จะร่วมมือหรือจะโดนปล่อยทิ้งให้โดดเดี่ยว …….”

 

ตอนนั้นเองที่ผมต้องหยุดพูดแล้วกลายเป็นไอโขลกแทน

 

ไอแห้งๆแสบลำคอ

 

 

ให้ตายเหอะ , ไอ้การเป็นแบบนี้มันรู้สึกแย่ชะมัด มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ป่วยขึ้นมาจริงๆ

เอ้อ ถึงผมจะเป็นผู้ป่วยจริงก็เหอะนะ

 

นักบุญหญิงลองวี่ทำหน้าแปลกๆ

 

“นี่นายไม่เป็นอะไรแน่นะ ?”

 

“ร่างกายของข้าส่วนใหญ่ฟื้นฟูดีแล้ว นี่คงเป็นปัญหาทางจิตใจมากกว่า ”

 

ด้วยเหตุผลลี้ลับบางประการแต่ร่างกายของจอมมารจะเจ็บป่วยได้ก็เนื่องจากปัจจัยทางจิตใจเป็นหลัก

 

ตัวอย่างก็เช่น ตอนที่ธนูเสียบแทงเข้าที่น่องขาหลังจากผมมาอยู่ในโลกใบนี้ใหม่ๆ แผลก็หายดีอย่างรวดเร้ว แต่ขาขวาผมยังคงมีอาการอ่อนเปลี้ยไปอีกเกือบสองเดือน

 

“ถึงอย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่การดีลที่แย่เลยสำหรับฝ่ายบริททานี่ จักรวรรดิของพวกเราจะมอบยศฐาบรรดาศักดิ์อย่างพวกดยุคให้ ”

 

“เฮ่อ การได้รับตำแหน่งมาจากจอมมารไม่ทำให้ฉันดีใจขึ้นมาหรอก ”

 

นักบุญหญิงลองวี่ปฏิเสธทันที ถึงจะเป็นแค่บรรดาศักดิ์แต่ในนาม แต่ก็เป็นบรรดาศักดิ์ระดับดยุคเชียวนะ 

 

“อย่าเพิ่งด่วนปฏิเสธน่า ข้าบอกเธอไปแล้วไม่ใช่หรือว่า นี่ไม่ใช่ดีลที่แย่เลยสำหรับบริททานี่น่ะ ”

 

นักบุญหญิงยังคงลังเลสงสัย ผมพูดซ้ำราวกับพยายามจะอธิบายบางอย่างให้กับเจ้าเด็กหัวดื้อคนหนึ่ง

 

“นักบุญหญิงลองวี่, หากเธอได้บรรดาศักดิ์ของจักรวรรดิไป เธอจะไม่ได้เป็นเพียงแต่นักบุญหญิงแห่งบริททานี่เท่านั้นนะ เธอยังกลายเป็นชนชั้นสูงแห่งจักรวรรดิขึ้นมาด้วย ”

 

“แล้วมันยังไง ?”

 

“ราชอาณาจักรบริททานี่ไม่สามารถเคลื่อนกองทหารเนื่องจากสนธิสัญญาสงบศึกที่พวกเราลงนามด้วยกัน

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สถานการณ์มันก็เปลี่ยนไป หากมีกองทัพที่เคลื่อนพลในนามของ แจ็กเกอลีน ลองวี่ ,ดัชเชส แห่งจักรวรรดิ ”

 

“……!”

 

ดวงตาของนักบุญหญิงเบิกกว้าง 

 

“นะ-นี่นายกำลังบอกว่า อนุญาตให้ข้ากระทำการใดๆทางทหารได้อย่างนั้นหรือ!?”

 

“ก็แล้วแต่สถานการณ์ล่ะนะ”

 

ผมยิ้ม

 

“กรณีไหนบ้างนะ มาดูซิ

 

ก็ตราบใดที่ไม่ได้ขัดผลประโยชน์ระหว่างจักรวรรดิฮับบวร์กกับบริททานี่ , กรณีนั้นก็ถือว่า เป็นที่รู้กันว่า เป็นข้อยกเว้นน่ะนะ ”

 

“…….”

 

นักบุญหญิงลองวี่กัดเล็บหัวแม่มือ

 

ราชอาณาจักรบริททานี่ตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจย่างเท้าเข้าไปเหยียบในฟรานเคียได้ถึง 14 ปี 

 

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หากไม่นับฟรานเคียแล้ว บริททานี่ไม่มีดินแดนที่เชื่อมต่อเข้าสู่ทวีปใหญ่ได้เลย ส่วนทัพเรือของบริททานี่เองก็โดนกวาดล้างเสียเกลี้ยงแล้วจากสงครามครั้งที่ผ่านมา

 

แถมไม่มีทางเลยที่บริททานี่จะกระทำการใดๆ ทางการทหารได้ภายในช่วง 14 ปีนี้

 

หากเธอยอมรับข้อตกลงของผมตอนนี้ บริททานี่ก็จะมีหนทางในการเคลื่อนย้ายกำลังพล

 

ก็ถ้ามีเหตุจำเป็น ก็เพิ่มความเป็นไปได้ที่จะสามารถยกทัพกองทหารบังคับเข้าไปก้าวก่ายกับกิจการต่างๆในทวีปได้

นี่ย่อมต้องเป็นข้อเสนอที่แสนชั่วร้ายและหอมหวานสำหรับเธออยู่แล้ว

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ

 

“แต่ในการที่เราจะเคลื่อนกองทัพของเราได้ ……เราต้องได้รับความอนุญาตจากจักรวรรดิฮับบวร์กก่อน”

 

“ถูกต้องแล้ว ”

 

“แล้วภาระหน้าที่ทางการทูตของราชอาณาจักรก็จะกลายเป็นของนาย ”

 

แม้ดวงตาของนักบุญหญิงลองวี่จะดูหมองหม่นแต่ก็ยังคงเป็นสายตาที่ทิ่มแทง

 

 

“สุดท้ายแล้วเราจะกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนาย

เราต้องบอกนายทุกครั้งว่า เราจะเคลื่อนทัพไปที่ไหน เพื่อขอคำรับรองจากนายก่อน

…….มันจะกลายเป็นแบบนั้นสินะ”

 

ผมยังคงยิ้มค้างตอบรับคำถามที่เธอถามมาอย่างเงียบๆ

 

 

“หรือเธอจะปฏิเสธล่ะ?”

 

นักบุญหญิงลองวี่ปิดปากสนิท

 

บรรยากาศเงียบเชียบอันน่าอึดอัดไหลเวียนอยู่ในห้องสักพักใหญ่ ก่อนที่นักบุญหญิงจะร้องตะโกนออกมา

 

“นายมันก็เป็นซะแบบนี้ 

นายโยนข้อเสนอที่ดูเป็นประโยชน์มากต่ออีกฝ่าย  แต่อันที่จริงแล้วนายพยายามวางกับดักผูกมัดอีกฝ่ายไว้เพื่อไม่ให้หลุดมือไปได้ ”

 

“ข้ามันคนขี้ขลาดน่ะ ก็แค่นั้น ข้าเลยยากที่จะไว้ใจใครได้โดยง่าย ”

 

ผมยักไหล่

 

 

“ยิ่งทรยศยากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งผูกรัดมากเท่านั้น

ปกติแล้ว ความไว้เนื้อเชื่อใจมันเป็นแบบนี้กันไม่ใช่รึ ?”

 

 

“……นายมันหมดสิ้นความเป็นคนตั้งแต่ตอนที่นิยามว่า ไอ้สิ่งนั้นว่าเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจแล้ว ”

 

ผมไม่ปฏิเสธ และไม่รู้สึกว่า จำเป็นต้องปฏิเสธด้วย

 

นักบุญหญิงก่อนจะจากไป เธอให้คำตอบผมว่า เธอจะไปคุยกับราชินีเฮนริเอตต้าอีกที

ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าแปลกใจอะไร ผลตอบรับที่ตามมาภายหลังคือ ‘ตกลง’

 

 

เฮนริเอตต้านั้นยึดติดกับการที่หยั่งเท้าเหยียบลงผืนทวีปเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่เธอไม่แคร์ไม่สนด้วยซ้ำว่า จะต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของเรา

 

ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงได้รับไพ่กองทหารที่สามารถช่วงใช้ได้ในอนาคต

 

เป็นไปตามแผนที่เราวางไว้ตั้งแต่ต้น พวกเราแสดงไปตามนั้น

 

ความกังวลแพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีปเนื่องจากบาร์บาทอสเริ่มทำการระดมกำลังเกณฑ์ไพร่พล

 

และนักบุญหญิงลองวี่ก็มาหาผมเป็นการส่วนตัวเพื่อโน้มน้าวผม

ผมที่เกิดซาบซึ้งกับคำพูดของท่านนักบุญหญิงก็เลยประกาศว่า ผมจะเก็บเรื่องของผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้เป็นความลับชั่วกาลปาวสาน

 

 

นักบุญหญิงลองวี่และนักบุญหญิงคนอื่นต่างสรรเสริญที่ผมนั้นตัดสินใจได้ ‘ดีเยี่ยม’

แถมจักรวรรดิฮับบวร์กเองก็ยังประกาศถึง ‘การปฏิบัติด้วยความเคารพต่อทุกวิหารอย่างเท่าเทียมกัน’ อีกด้วย

สำหรับฝูงชนผู้คนทั้งหลายแล้ว ต่างเป็นประจักษ์กันอย่างชัดเจนเลยว่า นี่คือ บทสรุปของสันติภาพอันสมบูรณ์แบบ

 

 

 

เพียงหนึ่งเดือนหลังการก่อการร้าย

 

ผมกลับปราสาทจอมมารตัวเองพร้อมกับสมญานาม

 <ผู้เบิกโลกใหม่ที่ยอมมองข้ามการลอบสังหารตัวเองเพื่อความสงบสุขของโลก>

 

 

สำหรับผู้คนทั้งหลายแล้ว ดันทาเลี่ยนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ

 

 

 

 

— และฤดูหนาวก็มาถึงจุดสิ้นสุด

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด