Dungeon Defense (WN) 335 หอมกลิ่นอะนีโมนี่(5)
บทที่ 335 – หอมกลิ่นอะนีโมนี่(5)
* * *
“ได้โปรด อย่าให้ฉันต้องทำอะไรแบบนี้เลย! ฉันพูดจริงๆ!”
นั่นเป็นเสียงบ่นแรกที่ผมได้ยินในทันทีที่ฟื้นสติคืนกลับมา
ผมได้ถามไปว่า ตัวเองหมดสติไปกี่วันแล้ว และได้รับคำตอบกลับมา คือ สามวัน
ผมหยอดกลับไปขำๆว่า ก็น้อยกว่าก่อนหน้านี่นา แต่เจเรมิทำตาดุใส่ผม
“ท่านรู้ไหมว่า สำหรับฉันน่ะมันลำบากใจขนาดไหน ?
ฉันคิดว่า ตัวเองจะหัวใจวายตายไปแล้วด้วยซ้ำ ตอนที่ต้องลงโทษทั้งท่าน ทั้งลอร่าตามคำสั่ง ”
เจเรมิกุมหน้าผากขณะที่นึกถึงประสบการณ์อันเลวร้าย
“อาการหนักกันทั้งหมด……มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ”
“เออ ใช่ ใช่ เจ้าทำได้ดี แล้วสามคนนั้นโอเคไหม?”
“อาการของฝ่าบาทรุนแรงที่สุด ไม่มีใครเจ็บหนักเจียนตายเท่าฝ่าบาทอีกแล้ว ฟันของท่านหัก กล้ามเนื้อฉีกขาด ที่ท่านมีชีวิตรอดมาได้ก็เพราะท่านเป็นจอมมาร ”
ตัวเจเรมินั้นเธอใช้สมุนไพรหายาก สุดล้ำค่าของเธอทั้งหมดที่เธอหวงแหนเพื่อมารักษาอาการพวกเรา
ตัวแผลเองไม่ใช่ปัญหาเพียงข้อเดียว ปัญหาอีกอย่างที่ตามมาคือ การทำให้ร่างกายของพวกเราไม่เหลือรอยแผลเป็นใดๆ การกำจัดรอยแผลเป็นบทร่างกายแทบไม่ต่างจากการผ่าตัด
ใช้การละลายเทียนไขเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ในขณะที่ใช้เครื่องมือผ่าตัดและโพชั่นมากมายเพื่อฟื้นฟูสภาพผิวหนังให้กลับคืนมา
การผ่าตัดรักษาจะยิ่งยุ่งยากซับซ้อนขึ้นหากแผลปิดแล้ว ดังนั้นเธอจึงต้องรีบปรับสภาพโครงสร้างชั้นเนื้อและผิวหนังของพวกเราอย่างฉับไวไปพร้อมๆกับการรักษาแผล
เจเรมิต้องผ่าตัดต่อเนื่องสามวันติดๆ
เธอทำการผ่าตัดด้วยตัวเองคนเดียวกันมาสี่สิบชั่วโมง ย่อมต้องเครียดเป็นธรรมดา ดังนั้นผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ ?
ผมเลยทำตัวเป็นคนไข้ที่ดีและนั่งฟังคำบ่นของเจเรมิอย่างเงียบๆ
“บาดแผลเป็นเหมือนเหรียญกล้าหาญสำหรับลูกผู้ชาย ถูกไหม? นั่นแหละจึงเป็นสาเหตุที่ ฉันรักษาฝ่าบาททีหลังสุด ”
“เดี๋ยวดิ, แต่ข้าเป็นจอมมารนะ…….”
“หากท่านเป็นจอมมาร ก็กรุณาทำตัวให้สมกับเป็นจอมมารด้วย ”
เจเรมิตะคอกใส่หน้าผมด้วยความอ่อนล้า
“นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมฉันถึงได้จงใจเหลือแผลไว้ให้ท่านสองแผล ”
“อุ่บ”
เจเรมิบอกให้ผมรู้จักทบทวนตัวเอง
“ข้าคิดว่า ข้าทำได้เหมาะกับสถานการณ์แล้ว เจ้าคิดอย่างนั้นไหม?”
“ในฐานะผู้ปกครองถือว่า เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด แต่ในฐานะคนๆหนึ่งแล้ว เป็นการตัดสินใจที่เลวร้ายที่สุด ”
เจเรมิชักไปป์ออกมาแล้วดูดสมุนไพรที่ไม่ทราบชื่อ
“โอ้, ขอข้าด้วยสิ ”
“อย่าฝันว่าจะได้ดูดเลย จนกว่าแผลของท่านจะหายดี”
ชิ ช่างเป็นผู้หญิงที่ชั่วร้ายอะไรอย่างนี้นะ
“ท่านรู้ไหมว่า ตอนนี้ท่านนายกน่ะอดอาหารอดน้ำอยู่ ? เธอไม่กินอะไรมาสามวันแล้ว แต่นั่นก็ถือว่ายังดี
หัวหน้าฝ่ายทหารเองก็เอาแต่เหม่อมองไปในอากาศเหมือนคนบ้า
ส่วนลูกศิษย์ของฉัน……ดูเหมือนจะสบายดี เพราะนางก็ทำตัวไม่ปกติแบบนั้นอยู่ตลอดอยู่แล้ว”
พูดง่ายๆก็คือ ปราสาทจอมมารของผมกำลังปั่นป่วน
ผมตอบกลับไปทื่อๆว่า “อย่างนั้นเองหรือ?” เจเรมิมองผมด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
“เธอทำได้ดีมาก กลับไปพักได้แล้ว ”
“ฝ่าบาท,ไม่กลัวความตายเลยหรือ ?”
“……ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่า คำถามนี้จะออกมาจากปากมือสังหาร ”
ผมมองไปบนฝ้าเพดาน
“ข้ากลัวสิ แต่ข้าก็มั่นใจว่าตัวเองจะไม่ตาย ”
“ท่านนี่มันสติแตกเกินไปจริงๆ ”
เจเรมิส่ายหัว แล้วเธอก็เก็บห่ออุปกรณ์ผ่าตัดและเทียนไข ก่อนจะออกจากห้องไป ผมไม่ลืมที่จะบอกให้เธอเรียกลาพิสมาหาผม
ไม่นานนัก ลาพิสก็มาหาผมที่ห้อง ไม่ทันที่ผมจะได้ทักทายอะไร ลาพิสก็หมอบกราบในทันที
“ลาพิส, มานี่สิ ”
ลาพิสยังคงก้มหน้าต่ำแม้เธอจะยืนขึ้นมาแล้ว
เธอเดินเข้ามาอีกไม่กี่ก้าวก่อนจะหมอบกราบลงอีกครั้ง
เธอช่างดื้อรั้นนักที่จะไม่ยอมมองหน้าผม
ผมยิ้มขมขื่นออกมา
“มาใกล้กว่านี้อีก ”
การทะเลาะปั่นประสาทแบบเด็กน้อยก็เริ่มต้นขึ้น
ลาพิสเขยิบเข้ามาตามที่ผมสั่ง แต่แล้วก็หมอบกราบลงอีกหลังเดินมาไม่กี่ก้าว
มันเกิดขึ้นอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกระทั่งลาพิสมาหยุดตรงหน้าผม
“เข้ามาใกล้กว่านี้อีก ”
“…….”
สุดท้ายลาพิสก็มายืนอยู่ข้างเตียงผม ผมไม่เห็นสีหน้าเธอเพราะเธอกำลังก้มหน้าอยู่ แต่มันไม่จำเป็น
ผมบอกได้เลยด้วยซ้ำว่า เธอกำลังคิดอะไรอยู่
เธอคงคิดว่า ทั้งหมดนี่เป็นความรับผิดชอบของเธอทั้งหมด
ทำไมเธอถึงไม่ห้ามหยุดลอร่าตั้งแต่ต้น? ทำไมเธอไม่ช่วยเหลือเดซี่? หากเธอจัดการเรื่องราวทั้งหมดให้เร็วกว่านี้ นายท่านก็คงไม่ต้องบาดเจ็บ
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่อาจพูดคำว่าขอโทษออกมาได้ เธอไม่อาจพูดได้ว่า เธอเสียใจ
ทั้งหมดนั่นก็เพราะเธอเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า ผมนั้นต้องการแบกรับโทษทัณฑ์ทั้งหมดไว้เอง
จงอย่าไต่ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทั้งหมดนี่เป็นความรับผิดชอบของข้าเอง
ผมตั้งใจทำการลงโทษด้วยความคิดอย่างนี้
หากลาพิสกล่าวคำว่าขอโทษกับผม นั่นก็หมายความว่า เธอเป็นผู้เอาภาระความรับผิดชอบนี้ไปจากผม
เธอจะกลายเป็นผู้ที่ไม่ยอมรับในความตั้งใจและบาดแผลทั้งหมดของผมฃ
นั่นเป็นสิ่งที่ลาพิสรู้ดีว่า เพราะเหตุใดเธอจึงไม่ควรทำอย่างนั้น
แม้เธอจะต้องทุกข์ทรมานจากความรู้สึกผิด แต่เธอก็ไม่อาจเอ่ยคำว่า ขอโทษออกมาได้ เพราะเคารพในความตั้งใจของผม
นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ผมจับมือเธอไว้โดยไม่พูดอะไร
ผมสัมผัสได้ถึงกระดูกที่หลังมือของเธอ
นี่เธออดน้ำอดอาหารมาหลายวันแล้ว ใช่ไหมเนี่ย ?
“ขอโทษนะ,ลาพิส ”
“…….”
“ขอโทษด้วย”
ผมไม่ยอมขอโทษใคร นั่นเพราะการขอโทษนั้นเป็นความสัมพันธ์สองทาง
มันเป็นความผิดของผมเอง ผมขอโทษ ให้อภัยผมด้วย ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว
พูดอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยความคาดหวังที่จะ ‘สานต่อ’ ความสัมพันธ์เพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันค่อ …….
ึคำขอโทษ และการให้อภัยนั้น ไม่มีประโยชน์หากอีกฝ่ายตายไปแล้ว
เห็นกันอยู่ว่า คุณไม่สามารถใช้ชีวิตในอนาคตร่วมกันกับคนที่ตายไปแล้วได้ ไม่สามารถทั้งขอโทษหรือได้รับการยกโทษให้
การพูดขอโทษในสถานการณ์แบบนั้นมันก็แค่ลมปาก
ไม่มีใครสามารถใช้ชีวิตแทนผมได้ และเช่นเดียวกัน ไม่มีใครสามารถตายแทนใคร หรือขอโทษแทนใครได้
เรื่องนั้นมันก็เห็นๆกันอยู่…….
แต่เรื่องนี้มีข้อยกเว้น นั่นคือ ลาพิส
เธอเป็นผู้มอบโอกาสให้ผม,ทำให้ผมประสบความสำเร็จ,ช่วยเหลือผม,ร่วมวางแผนเพื่อให้ทั้งทวีปผืนนี้ตกสู่ความสิ้นหวัง,และยังคงอยู่เคียงข้างผมหลังจากนั้น
เราเงียบกันไปนาน ลาพิสเงยหน้าขึ้น
เธอดูซูบตอบลงกว่าปกติ แต่ก็ยังคงเป็นลาพิสคนเดิมที่อยู่ตรงหน้าผม
ดวงตาสีฟ้าครามของเธอที่มองคนทะลุปรุโปร่ง ยังคงไร้ซึ่งอารมณ์ มันเป็นดวงตาคู่งามที่ผมชอบจากใจจริง
“……ดิฉันจะไม่ให้มันเกิดเรื่องแบบนี้อีกค่ะ ”
“เอ้อ ข้าเองก็จะไม่ใช้วิธีการแบบนี้อีกแล้ว ”
“ถือเป็นคำสัญญานะคะ ฝ่าบาท ”
ผมตอบรับคำสัญญาที่ว่านั้นด้วยความยินดี
* * *
ผมฟื้นอาการบาดเจ็บได้ไวกว่าปกติ แล้วก็ลุกจากเตียง
นักบุญหญิงสงสัยว่าทำไมผมไม่ออกมาให้เห็นเลย ไม่ใช่เธอคนเดียว หากแต่ทั้งทวีปกำลังจับตามองที่ผม
แม้จะยังไม่ถูกเจอตัวก็ตาม แต่เชื่อว่ามีสปายที่ซ่อนตัวอยู่ในเขตปกครองของผมมากมายเลยล่ะ
หากผมเก็บตัวอยู่ในที่พักนานเกิดไปอาจข่าวลือแปลกๆแพร่กระจายไปทั่ว
ว่า งานเทศกาลที่จัดขึ้นนั้นไม่เป็นที่น่าพอใจ
ว่าอีกอย่างก็คือ ทุกคนเฝ้ามองผมอยู่ มันมีความเสี่ยงที่จะการปั่นข่าวโคมลอยขึ้นมา
แม้ผมจะยังเจ็บตามเนื้อตัวอยู่ ก็เอาแต่นอนต่อไม่ได้ มันเป็นชะตาชีวิตของผม
เจเรมิจ้องมองผมด้วยความจริงจัง
“ท่านไหวแล้วจริงๆหรือ? เอาจริงๆนะ ?”
“อ่าา, ตอนนี้ข้าดีขึ้นแล้ว ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไมกัน ?”
“ค่ะ”
“…….”
เธอตอบกลับมาส่งๆในทันที
เจ้าข้าเอ้ย ลอร์ดที่แม้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชายังไม่เชื่อใจอยู่ตรงนี้แล้ว
“ถ้ามีอาการอะไรแปลกๆข้าจะบอกเจ้าทันที เอาน่า ปล่อยให้ข้าไปได้แล้ว โอเคไหม ?”
ผมพยายามโน้มน้าวเจเรมิ
……เอาจริงๆนะ ผมไม่รู้สึกถึงแผ่นหลังของตัวเองด้วยซ้ำ
ราวกับว่า เส้นประสาทของผมที่แผ่นหลังไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว
ผมทดลองด้วยการเอาเข็มแหลมๆแทงเข้าที่หลัง แต่กลับรู้สึกเหมือนโดนเล็บขูด
ตัวร่างกายของผมเองก็ฟื้นจนหายดี มันอาจเป็นที่ปัญหาทางจิตใจก็ได้
ผมไม่แน่ใจว่า มันเป็นอาการกระทบกระเทือนหลังบาดเจ็บหรือเปล่า แต่บางครั้งผมก็ตื่นขึ้นมาด้วยอาการเจ็บปวดเหมือนกับกำลังโดนเฆี่ยน
ความเจ็บปวดที่ว่านั้นยังอยู่แม้กระทั่งในฝันร้ายของผม
มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายมาก
ปกติที่ผมจะหลับดิ่งลึกเพียงสามชั่วโมง คราวนี้ผมต้องหลับสี่ถึงห้าชั่วโมงทุกๆสองวัน
แต่ก็ถือว่าดีพอแล้วล่ะ ผมไม่เคยรู้สึกขอบคุณที่มีร่างกายแบบนี้มาก่อน แต่คราวนี้ผมต้องขอบคุณร่างกายตัวเองวันละหลายสิบครั้งในทุกวัน
หลังจากที่ผมไปที่ใจกลางเมืองและหมู่บ้านเพื่อแสดงให้ผู้คนเห็นว่า ผมนั้นยังแข็งแรงสบายดีอยู่ ผมก็แวะไปหาเดซี่
แน่นอนว่า เดซี่นอนพักอยู่ในห้องของเธอเองไม่ใช่ในคุกใต้ดินอีกแล้ว
เดซี่หันมามองตอนที่ผมเปิดประตูเข้ามาในห้อง
เธอหันหลังกลับไปอ่านหนังสือของเธอ เธอไม่แม้แต่จะลุกขึ้นมาแม้เจ้านายจะมาเยี่ยมเธอ ชิ ช่างเป็นเจ้าทาสที่หน้าด้านเหมือนเคย
“ยังพักผ่อนอยู่หรือ? ช่างเป็นเด็กที่ขี้เกียจอะไรอย่างนี้นะ ”
“ฉันไม่เหมือนท่านนี่ท่านพ่อ ฉันเป็นมนุษย์ธรรมดาคนนึง ”
เดซี่ตอบกลับมาโดยไม่เบนสายตาจากหนังสือของเธอ
“ร่างกายของฉันยังเจ็บอยู่ ฉันเลยไม่มีแรงจะไปต้อนรับท่านได้ หวังว่าท่านคงเข้าใจ ”
“ไม่มีทางที่เด็กธรรมดาๆจะอ่านหนังสือแบบนั้นหรอก ”
ผมยิ้มเยาะและคว้าหนังสือจากมือเดซี่
<กฏในการชี้นำจิตใจ (Regula ad directionem ingeni) > เขียนบนหน้าปกด้วยภาษาจักรวรรดิโบราณ
เดซี่หรี่ตาจ้องมองผมทันทีที่โดนเอาหนังสือไป
“คืนหนังสือมาด้วยค่ะ กำลังอ่านถึงบทที่น่าสนใจ ”
“อย่าเข้าใจผิดไป ข้าไม่ได้รับโทษเพื่อเจ้า ”
แม้ผมจะพูดอย่างเป็นธรรมชาติ แต่นั่นก็เพียงพอที่ทำให้เดซี่หุบปาก
“หากข้าอภัยให้กับ การกระทำของหัวหน้าฝ่ายการทหาร เจ้าก็จะกลายเป็นเหยื่อผู้น่าสงสาร
แค่การตกเป็นเหยื่อก็ได้รับสิทธิ์มากพอแล้ว
ข้าจึงไม่ปรารถนาให้เจ้าได้สิทธิ์และความชอบธรรมนั่น ”
“……ฉันรู้ค่ะ”
เดซี่ถอนใจเบาๆ
“ฉันจะไม่รู้เจตนาของท่านได้อย่างไรกันคะ, ท่านพ่อ ?”
“แล้วเธอจะมาอ่านหนังสือทำไม ?
อย่ามาหลอกข้าดีกว่า การอ่านหนังสือตอนอยู่คนเดียว คือ การอ่านหนังสือ
แต่การอ่านหนังสือขณะที่มีคนมาเยี่ยมนั่นคือ การหนี ”
ผมเยาะหยัน
“เจ้าไม่กล้าสู้หน้าข้า เลยพยายามหาทางหลีกหนีข้า
เจ้าคงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณข้า ถ้าข้าพูดผิดก็แย้งได้นะ ”
“มนุษย์น่ะไม่ได้มีแต่สมองนะคะ มนุษย์น่ะยังมีหัวจิตหัวใจด้วย ”
เดซี่ทำหน้าบึ้ง
“ท่านพ่อ,ต่อให้ฉันรู้ว่า ท่านคิดยังไง
แต่ฉันจะกำจัดหัวใจมนุษย์ของตัวเองไปได้อย่างไรกัน ?”
“ตรรกะเจ้ามันไร้แก่นสารเสียจนชวนขำเสียจริง
เจ้ายังใช้ไม่ได้อยู่ดี
ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าเอาหัวใจของมนุษย์ออกไป ข้าบอกให้เจ้าปกปิด อย่าเปิดเผยมันต่อใคร !”
ผมโยนหนังสือลงพื้นแล้วตะโกนใส่
“มีเพียงสองเหตุผลเท่านั้นที่ทำไมผู้คนถึงเที่ยวแสดงความรู้สึกของตัวเองให้ผู้อื่นรู้
อย่างหนึ่งก็คือแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง และอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรียกร้องขอความเห็นอกเห็นใจ
คนที่เที่ยวแสดงความแข็งแกร่งอย่างไม่รู้จักคิดรังแต่จะสร้างศัตรูที่ไม่จำเป็นขึ้นมา ส่วนบุคคลที่เรียกร้องความเห็นใจจากผู้อื่นสุดท้ายก็จะสร้างความสังเวชเวทนาให้แก่ตัวเอง
ไม่ว่าจะทางไหน สุดท้ายก็จบลงที่ต้องกลายเป็นตัวตลกด้วยกันทั้งนั้น !
หรือนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าตั้งใจจะเป็นอย่างนั้นหรือ ?”
“…….”
เดซี่ขบฟัน เธอไม่แย้งผม นั่นก็แสดงว่า ผมพูดถูกเผงเลยทีเดียว
ผมยิ้มยกที่มุมปาก
“ข้าได้ยินว่า เจ้าตัดขาดกับครอบครัว เรื่องนั้นข้าเสียใจกับเจ้าหน่อยๆนะ
แต่อย่างน้อยข้าก็ควรจะชมเชยที่เจ้าสามารถปิดเรื่องนี้ไม่ให้ข้ารู้ได้ถึงสองปี ”
“…….”
นั่นเป็นคำชมเชยครั้งที่สองที่ผมมอบให้เธอ แต่เธอไม่ดูดีใจเลยแม้แต่น้อย
เฮ่อ ยังเป็นเด็กที่ไม่น่ารักเหมือนทุกทีจริงๆ
ผมจิ้มแตะหน้าผากเดซี่เบาๆก่อนจะเดินไปรอบห้อง
“อีกเดี๋ยวหัวหน้าฝ่ายการทหารจะมาขอโทษเจ้า จงอย่าให้อภัยนาง ”
ผมรู้ทันทีเลยว่า เดซี่กำลังงงแม้ผมจะหันหลังให้
“ทำไมกันล่ะ? เธอเป็นหนึ่งในชู้รักคนสำคัญของท่านไม่ใช่หรือ ?”
“ข้าไม่มีชู้รักคนไหน ลอร่าอ่อนแอลงแบบนั้นก็เพราะข้า ; แต่มันก็แค่ชั่วคราว ถึงอย่างไรเสียก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าเธอเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่ต้องขอโทษคนอื่นเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ลอร่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง ”
ผมเดินจากไปโดยทิ้งคำพูดนั้นทิ้งท้ายไว้
“และเธอจะยิ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ”
ตุ่บ , ผมปิดประตู
สถานที่ปลายทางต่อไปของผมคือ ห้องนอนของลอร่า
Comments