Dungeon Defense (WN) 342 ใจกลางจักรวรรดิ(2)
บทที่ 342 -ใจกลางจักรวรรดิ(2)
“ศูนย์กลางจักรวรรดิ อย่างนั้นรึ ?”
มาร์บาสยิ้มอย่างขมขื่น มันอาจเป็นการเสียดสีหรืออาจเป็นการพูดโดยนัยก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร นั่นก็แปลว่า เขาล่วงรู้แผนการแล้ว ?
สิ่งสำคัญคือ เขารู้ไปแค่ไหนกัน ……?
มาร์บาสมองตรงเข้าไปในดวงตาดันทาเลี่ยน
“ศัตรูกำลังกรีทาทัพขนาดใหญ่ ราชาแห่งโพลิช-ลิทัวร์เนีย เป็นผู้บัญชาการกองทัพด้วยตนเอง
จึงเป็นเรื่องยากที่พวกเราจะรบโดยไม่มีกำลังสนับสนุน ”
“ไม่สำคัญเลยว่า พวกเขาจะระดมกำลังกันมามากเท่าไหร่ พวกเขาจะชนะท่านได้อย่างไร ฝ่าบาท ?”
ดวงตาสีดำทมิฬของเขานั้นระยิบระยับด้วยความปรีดา
และก็เพราะดวงตาคู่นั้นนั่นแหละ ดวงตาของดันทาเลี่ยนดูคล้ายกับสัตว์กินพืชผู้แสนอ่อนแอ ที่พร้อมจะยอมแพ้โดยพลันหากอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาใส่
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมคนส่วนมากจึงได้ดูถูกดันทาเลี่ยนเมื่อได้พบปะติดต่อกับเขา
แต่ถึงกระนั้นหากคุณประมาทลดการ์ดลง เพื่อจู่โจมเต็มกำลัง คุณก็จะโดนการโต้กลับอย่างคาดไม่ถึง
เขาจะปิดกั้นไม่ให้คุณดึงอาวุธใดออกมาใช้งานได้และปิดล้อมคุณไว้ทุกทิศทาง
และพอคุณรู้ตัวอีกที แขนขาของคุณก็โดนตรึงมัดไว้เสียแล้ว
เขานั้นเป็นดั่งแมงมุม แมงมุมพิษที่ล่อหลอกนักล่าทั้งหลาย …….
ดันทาเลี่ยนเป็นหนึ่งในสองกรณีนี้
คือ เขาอาจมีพรสวรรค์ในการปิดบังตัวตนมาตั้งแต่กำเนิด หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นนักแสดงในตำนานที่สามารถควบคุมสีหน้าเพื่อแสดงอารมณ์ได้อย่างอิสระ แต่จะไม่ว่าเป็นกรณีไหนเขาก็เป็นตัวตนที่อันตรายอยู่ดี
“ไม่สำคัญว่าข้าจะพยายามเท่าใด สำหรับข้าแล้วมันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะรับมือกับทหารจำนวนหมื่นนาย ”
“ข้าได้ยินมาว่า การที่ฉลาดที่สุดคือ การได้รับชัยชนะโดยไม่ต้องกระทำการรบ
ข้าเชื่อว่า พระราชบิดาแห่งองค์จักรพรรดิ เองก็เป็นสุดยอดนักกลยุทธในกองทัพจอมมารเช่นกัน ”
เขารู้สินะ…….
มาร์บาสปรับแว่นตัวเอง
ดันทาเลี่ยนเองก็เป็นห่วงเรื่องตัวเขา มากกว่าเป็นห่วงเรื่องกองทัพขนาดใหญ่ของจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนีย
เขาประกาศออกมากลายๆแล้วว่า เห็นถึงเจตนาของมาร์บาส
“อภัยให้ข้าด้วย ขอให้เราอยู่ตามลำพังได้ไหม? ข้ามีบางอย่างที่อยากจะหารือกับดันทาเลี่ยน ”
มาร์บาสขอให้จอมมารตนอื่นรวมถึงเจ้าหน้าที่ปีศาจออกไปข้างนอก
จอมมารส่วนใหญ่ในฝ่ายเป็นกลางต่างชื่นชอบดันทาเลี่ยนอยู่แล้วในใจ จึงไม่รังเกียจที่จะออกไปด้วยความเคารพในตัวท่านผู้บัญชาการของตนและดันทาเลี่ยน
ในค่ายกลับเงียบงัน มาร์บาสพูดเข้าประเด็นทันทีที่ไม่มีใครจับตาดู
“เจ้ารู้ตอนไหน ?”
“การที่ฝ่าบาทไม่ร้องขอกำลังเสริมในทันที แม้ราชาแห่งโพลิช-ลิทัวร์เนียจะยกทัพมาด้วยตนเอง ข้าจึงสรุปว่า ท่านมิได้ปรารถนาที่จะได้รับชัยชนะในสงครามนี้ ”
ดันทาเลี่ยนตอบกลับทันควัน
“หากท่านปรารถนาความพ่ายแพ้แทนที่จะเป็นชัยชนะล่ะ ……หากเป็นอย่างนั้นแล้ว ท่านจะได้รับอะไรจากการแพ้ครั้งนี้ ?
มันไม่ยากเลยที่จะต่อชิ้นส่วนเข้าด้วยกันหากมองในมุมกลับ ”
“พอเจ้าพูดเช่นนั้น ก็ฟังดูง่าย ”
มาร์บาสรู้สึกราวกับตัวเองได้กลับไปเป็นเด็ก
หากแต่อีกฝ่ายมิได้คิดอย่างนั้น ดันทาเลี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงตึงเคร่ง
“ฝ่าบาทรู้ดีว่า ข้าจะเห็นถึงแผนการณ์นี้
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมท่านถึงไม่ดำเนินการตามแผน ?
ดังนั้นจะบอกว่า ครั้งนี้เราสองคนเสมอกันก็ได้ ”
“เสมอ, อย่างนั้นรึ……?”
หมายความอีกอย่างก็คือ ทั้งคู่นั้นอยู่ในระดับเดียวกัน
โดยทั่วไปแล้ว หากใครถูกบอกว่า อยู่ระดับเดียวกันกับอีกคน ย่มอมต้องโกรธเป็นธรรมดา แต่มาร์บาสกลับรู้สึกพึงพอใจ
“โดยส่วนตัวแล้ว ข้าบันเทิงนักเมื่อได้ต่อสู้ทางการเมืองกับฝ่าบาท ”
ใบหน้าดันทาเลี่ยนตอนนี้ยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ว่ากันตามตรง สหายของพวกเรานั้นไม่อาจกระตุ้นข้าได้ถึงระดับนั้น พวกนั้นออกจะเป็นคนที่น่าเบื่อเสียเหลือเกิน ”
“เอ๋อ นี่เจ้ากำลังทำเหมือนการบริหารจัดการจักรวรรดิไม่ต่างจากการละเล่นพักผ่อนหย่อนใจอยู่หรือ ?”
“ท่านคิดจริงๆหรือครับว่า มีคนมากมายในโลกนี้ที่สามารถแยกออกได้ระหว่างความจริงจังกับการทำตัวน่าเบื่อหน่าย ?”
ดันทาเลี่ยนพูดเสียงต่ำราบกับกระซิบ
มาร์บาสระเบิดหัวเราะออกมา
“เจ้าพูดถูก จอมมารสมควรจะแยกสองสิ่งนั้นออกจากกันได้ ”
“สมควรเป็นเช่นนั้นจริงครับ ”
“แต่ว่า ดันทาเลี่ยน ข้าอดถามไม่ได้ สงครามนี้จะต้องชนะเพื่อจะหยุดแผนการของข้า นั่นหมายถึงว่า กำลังเสริมเป็นสิ่งจำเป็น แต่เจ้ากลับมาที่นี่ตามลำพัง ”
เจ้ากำลังวางแผนอะไรอยู่
แววตาของมาร์บาสถามดันทาเลี่ยนเช่นนั้น
“นี่ท่านพูดอะไรอยู่หรือ ท่านจอมมารผู้สูงส่ง? กำลังเสริมของท่านก็ได้มาถึงแล้วนี่ไง ”
“โอ้ อย่างนั้นรึ? เจ้ากำลังบอกว่า แค่เจ้าคนเดียวก็เพียงพอแล้วอย่างนั้นรึ ?”
แม้แต่ความเย่อหยิ่งถือดีนั่นก็สร้างความบันเทิงให้กับมาร์บาสได้
“ยกให้เป็นธุระของข้าเถิด กองทัพสามหมื่นนายจากเครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนีย จะแจ้นอ้าวกลับบ้านไปโดยไม่อาจยึดป้อมปราการใดได้แม้สักป้อมเดียว ”
ผ่านไปสองเดือนแล้วนับตั้งแต่การรื้อฟื้นระบบจัดอันดับจอมมารกลับมา ณ พระราชวัง
กองทัพจอมมารตรงหน้าเขานั้นแทบจะยึดกุมอำนาจของจักรวรรดิไว้ได้ในระยะเวลาอันสั้น
มันย่อมเป็นความบันเทิงในการเฝ้ามองจากเก้าอี้นั่งหน้าเวที เช่นกัน,
เมื่อมาร์บาสคิดเช่นนั้นแล้วเขาเองก็พยักหน้า
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องการสิ่งใด?”
ดันทาเลี่ยนกางแขนทั้งสองของตนเองออกราวกับกำลังทำการแสดง เขาค้อมหลังลงเล็กน้อยขณะที่พูด
“ทหารทุกนายในฝ่ายเป็นกลางครับ ”
สองวันต่อมา, ฝ่ายเป็นกลางเดินทัพ ทหาร 15,000 นาย
ราชาแห่งเครือจักรภพ โพลิช-ลิทัวร์เนีย เตรียมทหารพร้อมสรรพราวกับรอช่วงเวลานี้
กองกำลังทหารทั้งสองฝ่ายมาถึง ณ ทุ่งราบ เป็นลานเปิดตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า
ยามที่วางกองกำลังทั้งสองฝ่ายในสนามเดียวกัน สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ การเข้าปะทะกันขอทหารรวมเกือบ 40,000 นาย
เหล่าผู้คนแห่งทวีป ผู้ซึ่งคาดหวังสันติสุขอันจะพึงเกิดขึ้นแก่ทวีป ณ ตอนนี้กำลังตัวสั่นเทาด้วยความไม่สบายใจขึ้นมาอีกครั้ง
ชาวทวีปต่างหวาดวิตกต่อความปลอดภัยในชีวิตยามที่เพ่งสายตามองที่ทุ่งราบวิสท์(Whist Plains)
* * *
กองทัพทั้งสองฝ่ายต่างเผชิญหน้ากันในที่ราบ
กวาดตาไปมองเห็นทหารนับพันนายที่เรียงรายอยู่อยู่บนที่ราบกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
มันเป็นบรรยากาศก่อนเข้าปะทะกัน
ความไม่สบายใจ,ความประหม่า,ความตื่นเต้น และความหวาดกลัว …… อารมณ์ทั้งหมดนั่นปะปนผสานกันในสายหมอกที่เป็นชั้นหนาบนผืนโลก
ผู้บัญชาการส่วนใหญ่ไม่สามารถทนต่อความกดดันระดับนั้นได้ ไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาเป็นคนขี้ขลาด
หากแต่เป็นเพราะเขารู้ตัวเองดีว่า ไม่อาจควบคุมเหล่าทหารจำนวนมหาศาลตรงหน้าได้หากเริ่มการสู้รบแล้ว
ออร์คที่ได้กลิ่นเลือดย่อมทนไม่ไหวจนอาละวาดเข้าไปคลุกวงในเอง ก็อบลินพุ่งเข้าใส่ทันทีที่เห็นเนื้อมนุษย์มาอยู่ตรงหน้า และจอมมารเองสุดท้ายก็กลายเป็นว่า ต้องตื่นเต้นจากการที่ได้รับแบ่งปันอารมณ์จากพวกนั้น
กองทัพจอมมารจึงกลายสภาพเป็นกลุ่มก้อนของความอลหม่าน หากขาดประสบการณ์
ประสาทสัมผัสที่ปลุกเร้าอย่างหนักจะครอบงำคุณจนเสียสติ
และนั่นเองที่เป็นเหตุผลที่จอมมารทั้งหลายมักจะสูญสิ้นสติเสียเหตุผล จนพุ่งทะยานเข้าไปร่วมด้วย
ถึงอย่างไรก็ดี ฝ่ายเป็นกลางตอนนี้มีแนวกระบวนทัพที่แข็งแกร่ง
เป็นเวลาพักใหญ่นับตั้งแต่ทุกคนเข้าประจำตำแหน่งแต่ไม่มีจอมมารสักตนแนะนำให้มาร์บาสสั่งโจมตี
ทุกหน่วยกองที่อยู่แนวหน้าต่างรักษารูปขบวนทัพอย่างเข้มงวด
มีเพียงจอมมารเด็กๆไม่กี่คนที่เริ่มตัวกระตุกด้วยความคาดหวังบางอย่างอันเนื่องมาจากความกระหายเลือด
เหล่าจอมมารฝ่ายเป็นกลางที่ยืนเคียงข้างมาร์บาส ต่างจ้องมองไปที่กองกำลังฝ่ายศัตรูข้ามผ่านทุ่งราบด้วยแววตาที่สงบนิ่ง
พวกเขาคุยหยอกล้อกันเพื่อคลายอารมณ์ ราวกับเป็นนายพลผู้แก่ประสบการณ์ที่นำเหล่าทหารระดับสูง
ในหมู่พวกเขาไม่มีนายพลคนใดที่โดดเด่นสะดุดตา เหมือนฝ่ายที่ราบ ในขณะที่ฝ่ายนี้กลับให้เห็นแล้วว่า กองทหารสมควรจะเป็นเช่นไร
กองทัพทหารธรรมดาๆไม่มีทางเทียบได้
แต่นอกเหนือจากเรื่องนั้นแล้วก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษอื่นอีก
ในเกมนั้น มาร์บาสนำทัพตัวเองเผชิญหน้ากับอลิซาเบธแต่พ่ายแพ้และโดนฮีโร่ตัดหัว หลังจากที่จัดหน่วยกองกำลังเดิมพันชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย …….
“ทุกคนประจำตำแหน่งแล้ว เจ้าต้องการทำอะไรต่อไป,ดันทาเลี่ยน ?”
มาร์บาสดูผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาพูดออกมาราวกับว่าเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบใดของเขาหากแต่เป็นความรับผิดชอบของผม
“โปรดเตรียมธงขาวไว้ให้พร้อมด้วย ”
“นี่เจ้าตั้งใจจะเจรจาก่อนที่การรบจะเริ่มขึ้นรึ ?”
“ข้าจะไปเจรจาตรงๆกับราชาแห่งเครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนีย”
ผมพาไปแค่ทหารม้าสามนายไปยังใจกลางที่ราบ
หนึ่งในอัศวินนั้นถือธงขาวไปเป็นสัญลักษณ์ที่ว่า พวกเราเป็นทูต
อัศวินอีกคนถือธงอินทรีแดง ซึ่งแสดงถึงตัวแทนของราชสกุลแห่งจักรวรรดิฮับบวร์ก
อัศวินคนสุดท้ายถือธงที่บอกถึง ตัวแทนจอมมารดันทาเลี่ยน
พวกเรามาถึงพื้นที่กึ่งกลางระหว่างสองกองทัพ
ไม่นานนัก กลุ่มทหารม้าก็ออกมาจากฝ่ายเครือจักรภพ พวกนั้นถือธงขาวและแดงซึ่งเป็นตัวแทนของเครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนีย
ผมตอบรับการมาของพวกเขาด้วยการหันหัวม้าไปหา
ทั้งสองฝ่ายพบปะกันภายใต้การจับตาดูของทหารกว่า 40,000 นาย
“นี่เจ้ากำลังจะประกาศยอมแพ้อย่างนั้นรึ ,จอมมาร ?”
สตีเฟ่น บาโธรี่,ยักษ์ใหญ่แห่งตะวันออก(Stephen Bathory, The Giant of the East)
ผู้ปกครองผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์แห่งเครือจักรภพ
ชายร่างโตกำลังลูบเครา
ราชาผู้ยิ่งใหญ่สวมผ้าคลุมสีทองนั่งตัวตรงบนหลังม้า ทำให้ดูเหมือนเขาเป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกันกับมัน
น้ำเสียงเคร่งขรึมของเขานั้นราวกับเสียงกีบเท้าม้าย่ำตึกๆในหูผม
เขาน่าจะสูงเป็นสองเท่าของผมเลยล่ะ ผมคิดแบบนั้นแล้วก็ยิ้มออกมา
“โอ้ ราชาผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย, จะไม่มีการยอมแพ้ ”
“ถ้าเช่นนั้นทางเดียวก็คือ รบ หากเป็นอย่างนั้นแล้วมารยาทต่างๆก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อสมรภูมินี้ ”
“ผู้เป็นราชานั้นไม่อาจอยู่ตรงกลางระหว่างสองเส้นทางอันแสนสุดโต่งได้เลยหรือ ?”
ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธ่รี่หัวเราะออกมาเบาๆ
“เส้นทางระหว่างกลางนั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า คำพูดหวานๆที่ไม่ได้ให้ผลดีอะไรตอบแทน
ข้ามาที่นี่พร้อมทั้งทหารชั้นแนวหน้า 50,000 นาย
เจ้าจ่ายราคานี้ไหวอย่างนั้นรึ? ”
“ต้องขอประทานอภัย แต่ข้าไม่เชื่อว่า ท่านมาที่นี่ด้วยหวังชนะในการรบ ”
ราชาผู้ยิ่งใหญ่ขมวดคิ้วด้วยท่าทางที่ไม่สบายใจนัก
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า จะมีจอมมารตนใดช่างพูดช่างเจรจาเช่นนี้ ”
“ท่านออกมาเดินทัพโดยมิได้รับการรับรองจากสภาแห่งชาติ
การประกาศสงครามในครั้งนี้มิได้ทำในนามแห่งราชาแห่งเครือจักรภาพ หากแต่เป็นการประกาศสงครามในนามของท่านเอง ”
การที่จะเคลื่อนย้ายกองทัพนั้นจำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก และเงินเหล่านั้นก็มาจากภาษี
แต่อย่างไรก็ดี สภาแห่งชาตินั้นก็ใช่ว่า จะยอมจ่ายภาษีโดยไร้เงื่อนไขเสียเมื่อไหร่
เหล่าชนชั้นสูงแห่งเครือจักรภาพโพลิช-ลิทัวร์เนีย พร้อมใจที่จะจ่ายภาษีเพื่อการเข้าร่วมสงครามแก่ราชาของพวกเขา
แต่ก็ไม่ปรารถนาที่จะให้เขาไปออกรบโดยเอาชื่อของตัวเองไปเกี่ยวข้องด้วย
พวกเขาต้องการให้ราชาผู้นี้รับผิดชอบเอง หากเป็นเหตุให้ก่อสงครามขึ้น
ถึงแม้จะเลี่ยงไม่ได้ว่า สงครามเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่พวกเขาก็ปฏิเสธจะได้รับความเคียดแค้นชิงชังจากผู้คน
“คำประกาศสงครามจากราชาก็ไม่ต่างจากการประกาศจากชาติใดชาติหนึ่งเองมิใช่รึ ?”
, แต่โทษทีละในโลกการเมืองของพวกมนุษย์มันไม่ได้เรียบง่ายอะไรแบบนั้นน่ะสิ
“โอ้ บาโธรี่ผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย, สถานการณ์ของท่าน ณ ตอนนี้ ไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ”
ราชาผู้ยิ่งใหญ่มองผมด้วยแววตาเย็นชา
“พูดเข้าประเด็นเลย,จอมมาร”
“ท่านน่ะคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่า จักรวรรดิของเรานั้นจะเป็นชาติที่ให้การหนุนหลัง ณ ตอนที่ท่านให้การร่วมมือกับคอนซูลอลิซาเบธ
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมท่านถึงเลือกที่จะร่วมมือกับท่านคอนซูลเพื่อโต้กลับในทันทีในช่วงกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ”
แต่อย่างไรก็ดี ตอนนี้สถานการณ์มันพลิกกลับเสียแล้ว
ณ ปัจจุบันนี้ ชาติที่เป็นภัยคุกคามต่อจักรวรรดิ นั้นก็คือ ราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย,เครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนีย และสาธารณรัฐฮับบวร์ก
ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่นั้นย่อมต้องไม่สบายใจเป็นแน่ที่ชาติของตนกลับโดนแยกโดดเดี่ยว
“เป้าหมายของท่านคือ การรบกับพวกเราเล็กน้อยก่อนจะจบลงด้วยการเจรจาต่อรอง…….หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ทั้งหมดนั่นก็เพื่อสมานปรองดองกับพวกเรานั่นแหละ ”
“แล้วมีข้อพิสูจน์ใดที่ยืนยันว่า สมมุติฐานของเจ้าว่าข้ามีเจตนาเช่นนั้นจริง ?”
“การที่ท่านมิได้เรียกขอกำลังเสริมมาจากชาติอื่น ”
หากราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่ตั้งใจที่จะทำศึกชี้ชะตากับกองทัพจอมมารจริง ไม่มีทางที่เขาจะเที่ยวโฆษณาประกาศหรอกว่า จะทำศึกสงครามกับจอมมารผู้ชั่วร้าย
เช่นเดียวกับการที่มาร์บาสเองไม่ได้ขอกำลังเสริม ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่เองก็ไม่ได้คิดที่จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเหตุให้กับชาติอื่นๆรอบประเทศตัวเอง
เขาเพียงแค่นำทหารออกมาในฐานะราชาแห่งเครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนียก็เท่านั้น
นี่ก็หมายความว่า เขามิได้ต้องการสร้างหายนะครั้งยิ่งใหญ่ให้กับชาติ ทั้งยังไม่ปรารถนาจะทำให้สถานการณ์ทางการทูตทั่วทั้งทวีปนั้นเลวร้ายลง
ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่นั้นมุ่งเป้าไปที่สนธิสัญญาสงบศึกมิใช่ได้รับชัยชนะเด็ดขาด
และมีเหตุผลง่ายๆเลยที่ว่า ทำไมเขาถึงอยากปรองดองคืนดีกับพวกเรา
“ท่านน่ะตั้งใจจะเว้นระยะห่างจากพวกประเทศสาธารณรัฐนั่นเอง”
เปลี่ยนฟากย้ายฝ่ายพันธมิตรฝ่ายหนึ่งไปอีกฝ่ายหนึ่ง
ราชาผู้ยิ่งใหญ่บาโธรี่หัวเราะออกมาเบาๆ
“ที่เจ้าพูดมานั่นก็ถูก ที่ว่าข้าต้องการสนธิสัญญาสงบศึก
แล้วการจะเป็นเช่นนั้น การรบจะไม่สำคัญได้อย่างไร ?
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างสนธิสัญญาสงบศึกโดยไม่มีเหตุอันควร
อย่างน้อยก็เพื่อธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของข้า ”
สมแล้วที่เป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งประเทศ เขาเข้าใจอะไรได้เร็วดี
เขาพูดออกมาเองว่า ตัวเองต้องการการสงบศึก
แต่การจะทำแบบนั้นได้ก็ต้องสูญเสียดินแดน ซึ่งนั่นย่อมทำให้คนอื่นดูถูกในฐานะเป็นผู้ปกครองที่อ่อนแอ ดังนั้นการก่อสงครามจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
สงครามจึงมีขึ้นเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของเขาไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมโค้งคำนับให้ด้วยความเคารพ
“ยังมีหนทางที่พวกเราจะเป็นเพื่อนกันได้โดยไม่ต้องหลั่งเลือดแม้แต่หยดเดียวอยู่ ,ราชาผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย ”
Comments