Dungeon Defense (WN) 348 ชาติที่เป็นกลาง(1)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 348 ชาติที่เป็นกลาง(1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 348 – ชาติที่เป็นกลาง(1)

 

 

 

ผมจุดไฟที่ปลายไปป์

เช้าวันนี้ของผมเริ่มต้นขึ้นหลังมีเซ็กส์จำนวนที่น่าเกลียดกับกามิกิน

 

 

ณ ตอนนี้เธอกำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงข้างๆผม เธอยังคงเกาะก่ายผมเหมือนเด็กตลอดเวลาที่เรามีเซ็กส์กัน ราวกับว่าเธอพยายามจะเติมเต็มอารมณ์ที่สูญหายไปด้วยสัมผัสทางกาย

 

ประกายแสงยามเช้าฉายเข้ามาผ่านหน้าต่าง

 

 

“…….”

 

จอมมารทั้งหลายต่างก็มีสภาพเหมือนไบโพลาร์ด้วยกันแทบทั้งนั้น ทุกตนต่างเป็นพวกจิตป่วย

เหตุผลก็เรียบง่ายเลยล่ะ นั่นก็เพราะพวกเขานั้นสามารถรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นได้เต็มร้อย

 

มันจึงไม่แน่ชัดเลยว่า อารมณ์ที่พวกเขารู้สึกกัน ณ ตอนนี้นั้นเป็นของตัวเองหรือของผู้อื่นกันแน่ เส้นกั้นแบ่งเส้นนั้นมันพร่ามัวเสียเหลือเกิน

 

โล่ที่คอยปกป้องคุ้มกันทางอารมณ์ที่คนปกติธรรมดามีนั้น จอมมารกลับไม่มี

 

จากมุมมองที่แสนสุดโต่ง จอมมารนั้นขาดเสถียรภาพทางอารมณ์อย่างมากเมื่อตกหลุมรักใครสักคน 

ความรู้สึกที่ฉันที่มีให้กับคนๆนี้นั้น ย่อมต้องเป็นแค่ของฉันกับเขาเท่านั้น

 

ผมทำให้อีกฝ่ายหลงเข้าใจผิดเรื่องความรักชอบที่เธอมีต่อผม ด้วยความรักชอบที่ผมมีต่อเธอ …….

 

แม้คนทั่วไปมักจะถามว่า “ฉันเป็นใคร?”

แต่จอมมารที่มองจากมุมมองอื่นจะถามว่า

“ฉันเป็นตัวอะไรกันแน่?” ถึงจะถูกต้อง

 

ตั้งแต่ถือกำเนิดมาแล้วล่ะ จอมมารนั้นไม่มีหลักที่มั่นคงเอาเสียเลย จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขวนขวายหามัน 

 

หรือไม่ก็สร้างมันขึ้นเอง

 

พวกนั้นดิ้นรนเพื่อสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมา เพียงเพื่อจะประกาศว่า มันเป็นของของพวกเขา

 

บาร์บาทอสหมกมุ่นอยู่กับเป้าหมายในการพิชิตทวีปผืนนี้, ไพมอนไล่ตามโลกอุดมคติที่ทุกเผ่าอยู่กันด้วยความเสมอภาคอย่างจริงจัง และมาร์บาสที่เชื่อสนิทใจว่า การประนีประนอมกับทุกฝ่ายเป็นเสียงเพรียกในหัวใจตน

 

พวกเขาสามารถคงความเป็นตัวเองไว้ได้ด้วยวิธีนั้น

 

มันไม่สำคัญด้วยซ้ำว่า จะต้องมีมนุษย์ต้องโดนฆ่าล้างไปมากเท่าไหร่ระหว่างกระบวนการ

มันไม่สำคัญด้วยซ้ำว่า เผ่าพงศ์ทั้งหมดจะสูญพันธุ์ไป

มันไม่สำคัญด้วยซ้ำว่า จะมีสักหลายพันหรือหลายหมื่นคนจะต้องเสียสละชีวิต ตราบใดที่พวกเขายังสามารถรักษาตัวตนของตัวเองไว้ได้

 

คุณจะเรียกว่า การรับรู้ความสมดุลในชีวิตของพวกเขามันพังพินาศไปเลยก็ได้

เหล่าผู้ป่วยจิตเวชทั้งหลาย ที่แทบจะไม่ต่างจากพวกบ้าคลั่งกระหายอำนาจ

 

พวกเขาเหล่านั้นต่างวิปริตกันทุกคน

 

 

แต่อย่างไรก็ดีเพราะความวิปริตอปกตินั่นแหละ ทำให้พวกเขานั้นงดงาม

 

 

“ดันทาเลี่ยน…….”

 

กามิกินเรียกชื่อผมทั้งที่เธอยังหลับอยู่

 

 

พอผมลูบไล้เส้นผมเธอเบาๆ เธอก็ดูเหมือนจะเพลิดเพลินกับการสัมผัสนั้น

 

ความยึดติดที่สุดโต่งว่านี่คือของๆตัวเอง การยึดติดนั้นมิใช่มีแต่เพียงกับวัตถุสิ่งของหากแต่เป็นกับคนรักด้วยเช่นกัน นี่ก็เลยทำให้ผมเข้าใจถึงความรักของกามิกิน

 

บางคนอาจจะเรียกมันว่า เป็นการยึดติด ไม่ใช่ความรักแล้ว แล้วมันสำคัญตรงไปไหนกันล่ะ ?

 

กามิกินเองก็เป็นคู่ขาที่ดีคนหนึ่ง แถมเธอเองก็ยังมีประโยชน์มากมายก่ายกอง ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราจะเป็นความรักหรือการยึดติดกันก็ไม่เห็นสำคัญตรงไหน

ผมกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของเธอ

 

“ข้ารักเธอนะ ,กามิกิน ”

 

ผมกำลังเฝ้าดูอะไรบางอย่าง ดูเหมือนกามิกินจะขยับตัวเล็กน้อย ผมยิ้มให้แล้วลูบเส้นผมของเธอต่อไปอีกสักพักหนึ่ง

 

 

พระอาทิตย์ฉายแสงสาดเข้ามาที่หน้าต่าง

 

 

 

* * *

 

 

ข่าวลือเกี่ยวกับเหตุการณ์วุ่นวายใหญ่ในครั้งนั้นแพร่ออกไปราวกับไฟป่า

 

ผลมันก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่เราไม่ได้ให้พวกสาวใช้พวกนั้นให้สัตย์สาบานว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ผู้หญิงน่ะมีทักษะส่วนตัวที่จะกระจายข่าวลือเป็นปรกติ ยิ่งเป็นสาวใช้ยิ่งมีพรสวรรค์ชำนาญในเรื่องนั้นดีเลยล่ะ

 

ในวันต่อมา ข่าวล่าสุดก็ไปถึงหูจอมมารทั้งหลายที่อยู่ในเมืองหลวง

 

ข่าวที่พวกเขาได้ยินก็คือ  : กามิกินไปที่วังหลวงเพื่อแสดงความไม่พอใจบางอย่างต่อเค้าท์พาลาทีนดันทาเลี่ยน แต่ไพมอนข้ามาห้ามไว้

 

สุดท้ายแล้ว เธอก็ร่ายเวทย์ใส่เค้าท์พาลาทีนด้วยความโมโห…….

 

 

“เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นจนได้”

 

นั่นเป็นสิ่่งที่ผุดขึ้นมาในหัวเมื่อจอมมารทั้งหลายได้ยินข่าวนี้เข้า

 

ไม่ว่าใครก็บอกได้เลยว่า จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดถูกปฏิบัติแย่มากในจักรวรรดิ 

คุณจะบอกว่า พวกเราต่อต้านพวกเสรีชนก็ได้นะ

 

จอมมารหลายต่อหลายตนได้ร่วมลงนามเข้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลและได้ตำแหน่งในทุกภาคส่วนของจักรวรรดิ มีก็แต่พวกปัจเจกที่ไม่มีเส้นสายไม่ขึ้นกับใคร อย่างจอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเท่านั้นแหละที่ไม่ถูกเลือก

 

ไม่ว่าจะตั้งแต่ราชองค์รักษ์ประจำวังไปจนถึงเจ้ากระทรวงยุติธรรม ทั้งหมดต่างก็เป็นคนของฝ่ายที่ราบ,ภูเขา และฝ่ายเป็นกลางทั้งนั้น

 

สีสันของฝ่ายการเมืองชัดแจ้งจนน่ากลัว

 

แม้จะเป็นอย่างนั้น ก็ยังมีสมาชิกในฝ่ายเดียวกันบางคนยังเป็นห่วงอยากให้มีพรรคพวกฝ่ายเดียวกันเองน้อยลง หรืออย่างน้อยๆก็ขอให้ฝ่ายตุลาการเองมีคนที่ไม่มีเส้นสายทางการเมืองบ้าง

 

 

หากแต่ดันทาเลี่ยนปฏิเสธความกังวลของพวกเขาในเรื่องนั้น

เขาได้ตีพิมพ์ เอกสารที่ตระเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว เอกสารนั้นชื่อว่า <เกี่ยวกับความเป็นกลาง>

 

โดยมันมีทั้งหมด 20 หน้า และได้แจกจ่ายไปถึงจอมมารทุกตน

 

 

– ความเป็นกลางทางการเมืองมีอยู่ สองประเภท

 

เป็นกลางเชิงรับ(Passive neutrality) กับ เป็นกลางเชิงรุก (Active neutrality)

 

เป็นกลางเชิงรับนั้นคือการกระทำที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่ง ไม่มีเครือข่ายใดๆได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ด้วยเหตุนั้นคุณจึงได้สร้างช่องวางทางการเมืองขึ้น

 

 

– แต่ถึงอย่างนั้น มันก็กลายเป็นการบังคับให้เราต้องพึ่งพาคุณสมบัติ ความซื่อสัตย์ ภักดีจริงใจ ของคนคนเดียว

นั่นเป็นการเอาระบบที่ใหญ่โต ที่รู้จักกันในนามว่า ชาติ ให้ตกไปอยู่ใต้ศีลธรรมของปัจเจกชนคนเดียว

 

 

แล้วในสถานการณ์ที่เกิดความเสียหายขึ้น จากความเป็นกลางอย่างนี้ล่ะ พวกเราจะทำอย่างไร?

สิ่งที่ทำได้กลับมีแค่พยายามชี้แนะย้ำเตือนให้ตระหนักถึง คุณธรรมประจำตัวของพวกเขา

 

 

 

–โดยถึงที่สุดแล้ว ความเป็นกลางเชิงรับนั้นจะลดประสิทธิภาพของระบบที่มีมิติมากมายให้เหลือแค่เพียงปัญหาของบุคคลเพียงคนเดียว แถมยังเป็นปัญหาจริยธรรมศีลธรรมส่วนบุคคลอีกด้วย

 

–ในทางกลับกัน ข้าเห็นด้วยกับความเป็นกลางเชิงรุกมากกว่า

 

– ความเป็นกลางเชิงรุกนั้นเป็นการกระจายตำแหน่งสำคัญๆไปให้กับทุกฝักฝ่าย

ตัวอย่างก็เช่น หากชาติเรามีสามฝ่าย จุดสำคัญอยู่ที่แบ่งตำแหน่งกันให้ได้สัดส่วน  1:1:1 

แล้วที่เหลือก็ปล่อยให้ระบบจัดการกับตัวปัญหาของระบบเอง

 

 

– หากมีความไม่พอใจที่เกิดขึ้นในความเป็นกลางประเภทนี้ เราก็แค่เพิ่มตำแหน่งให้กับฝ่ายที่อ่อนแอ และถอดตำแหน่งจากฝ่ายที่แข็งแกร่ง

จะไม่มีเรื่องของศีลธรรมจริยธรรมส่วนบุคคลมาเกี่ยวข้อง

สมดุลทางการเมืองเท่านั้นที่เป็นหัวใจหลัก …….

 

–ข้าไม่เชื่อว่า ปีศาจจะสามารถต่อต้านจอมมารได้ และสามารถธำรงความเป็นกลางไปได้ตลอด

 

“ความเป็นกลางโดยสมบูรณ์นั้น ” ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความเพ้อฝันสำหรับพวกเขา

 

 

– หนทางที่ดีที่สุดในการขับเคลื่อนจักรวรรดินั่นคือ การที่ทั้งจัดสัดส่วนและเปิดเผยอำนาจ ให้ชัดที่สุดเท่าที่จะทำได้…….

 

 

 

 

เอกสารดังกล่าวกลายเป็นประเด็นร้อนทันที

 

 

 

จอมมารบางคนก็สรรเสริญว่า นี่เป็นมุมมองที่ตั้งอยู่บนหลักความเป็นจริง ในขณะที่บางพวกก็วิจารณ์ว่า นี่มันเป็นการปลุกปั่นกระแสที่เต็มไปด้วยแนวคิดสนับสนุนฝ่าย

 

ปีศาจเองก็แบ่งเป็นสองฝ่ายแล้วทุ่มเถียงกัน

 

สถานการณ์มาถึงจุดเดือดสุดเมื่อฝ่ายเป็นกลางได้ออกมาเลือกข้าง

 

“เอกสารฉบับนี้ ทั้งกระชับได้ใจความทั้งยังบอกถึงหนทางที่จักรวรรดิควรจะเป็น ”

 

จอมมารมาร์บาสเป็นบุคคลแรกที่ให้การสนับสนุนดันทาเลี่ยน

 

“การเป็นกลางเชิงรุกนั้น เป็นสิ่งที่ฝ่ายเป็นกลางอย่างพวกเราพยายามทำให้สำเร็จมาในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา

 

ใช่เพียงแต่ข้าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เค้าท์พาลาทีนดันทาเลี่ยนพูดเท่านั้น หากแต่ข้าพร้อมจะสนับสนุนเขาสุดความสามารถ ”

 

คำพูดของหัวหน้าฝ่ายเป็นกลางนั้นมีน้ำหนักยิ่งกว่าใครทั้งนั้น

 

บางคนก็ชี้ประเด็นเรื่องลับที่เกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย นับตั้งแต่ดันทาเลี่ยนไปช่วยมาร์บาสในเหตุการณ์ของเครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนีย แต่พวกนั้นก็เป็นแค่ทฤษฏีสมคบคิดที่ไร้หลักฐานรองรับ

 

ความเห็นของผู้คนโดยมากจึงเอนเอียงไปทางฝั่งดันทาเลี่ยน

จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดก็ยิ่งระอุขึ้น

 

 

“นี่มันแปลว่า แกพยายามจะแยกพวกเราออกจากวงการการเมืองใช่ไหม !”

 

และผลที่ตามมาก็ไม่ต่างจากโดมิโน่ ทั้งฝ่ายที่ราบและฝ่ายภูเขาเองก็ส่งเสียงสนับสนุนเช่นเดียวกับที่มาร์บาสทำ 

มันเป็นการแข่งที่ผลลัพธ์มันแน่นอนตั้งแต่เริ่มแล้ว

 

จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดไม่อาจข่มกลั้นความโกรธของตัวต่อไปได้จึงด่าทอดันทาเลี่ยนอย่างรุนแรง

 

 

“ดันทาเลี่ยนมันก็แค่หมาของบาร์บาทอส และเป็นหุ่นเชิดของฝ่ายที่ราบ !”

 

“ไอ้ความเป็นกลางที่แม่งพูด มันก็การผูกขาดอำนาจดีๆนั่นแหละวะ ”

 

และการที่ดันทาเลี่ยนเองก็ไม่ได้แสดงความเห็นอกเห็นใจหรือชดเชยใดให้กับจอมมารไม่สังกัดฝักฝ่ายใดก็ยิ่งทำให้เรื่องราวเลวร้ายลง

 

แล้วพอเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นตามมาภายหลังสองเดือนหลังจากพิธีอวยยศมอบตำแหน่ง

 

เหล่าจอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดก็ยิ่งโมโหมากขึ้น พวกเขาจึงไม่ได้แปลกใจหรือตกใจอะไรนักกับการที่กามิกินจะไปสร้างความปั่นป่วนแบบนั้น

กามิกินเองก็เป็นดั่งตัวแทนของจอมมารไม่สังกัดฝ่าย

 

 

 

ในยามดึกสงัด

 

 

จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดมารวมกันอยู่ ณ ที่พักของกามิกิน พวกเขาต่างประชุมหารือกันเรื่องการกระทำที่ไร้ยางอายของดันทาเลี่ยน นี่เป็นการประชุมครั้งที่ห้าแล้ว

 

 

 

“เจตนาของไอ้หมอนั่นมันชัดเจนแล้ว มันไม่ต่างจากมันพูดว่า มันจะปกครองจักรวรรดิทั้งหมดเองแล้วยกที่ขนาดเท่าแมวดิ้นตาย เลยรึยังไงกัน?!”

 

“พวกเราควรจะสงสัยมันตั้งแต่ตอนที่มันไม่ได้อะไรในตอนพิธีอวยยศแล้ว

เห็นชัดๆเลยว่า มันแหม่งๆตั้งแต่ตอนที่มันไปรับตำแหน่งฐานะอัยการสูงสุดแห่งจักรวรรดิ ไอ้จิ้งจอกระยำนั่น …….”

 

จอมมารหกตนต่างโวยวายเสียงดังขณะดื่มไวน์กัน

แสดงออกอย่างชัดเจนเลยว่า พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก

 

พวกเขามาอยู่ในสภาพที่ได้อย่างไรกันทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ปกครองเผ่าพันธุ์ปีศาจ ?

ความปรารถนาที่จะอยู่เฉยๆไม่สนใจเรื่องทางการเมืองกลับกลายเป็นการทำให้ตัวเองนั้นโดดเดี่ยวไปแทน

 

อดีตจอมมารลำดับ 6 วาเลฟอร์ถอนใจครั้งหนึ่ง

 

 

“เฮ่อออ แล้วพวกเราต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ?”

 

“……แต่พวกเราไม่มีทางอื่นแล้ว ”

 

“ศัตรูเรามันก็แค่ลำดับ 71 จะมีใครอ่อนแอกว่าหมอนั่นอีกไหม? ”

 

จอมมารทั้งหลายดูสิ้นหวังกัน วาเลฟอร์ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น

 

“สุดท้าย ดันทาเลี่ยนก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าหุ่นเชิดของฝ่าย

ความสามารถส่วนตัวมันต่ำเตี้ยจนน่าสังเวช

หากฝ่ายนั้นยังคงพยายามแสดงการหยามเหยียดพวกเราต่อไป มีแต่ต้องแสดงให้พวกนั้นได้รู้สำนึก”

 

“……วาเลฟอร์ แต่มันไม่ง่ายเลยนะที่จะสังหารเจ้านั่นน่ะ ?”

 

จอมมารตนอื่นคอยย้ำเตือน

 

ที่ผ่านมานี้ พวกเขาได้ถกหารือกันเรื่องการลอบสังหารดันทาเลี่ยนนับครั้งไม่ถ้วน แต่จอมมารพวกนี้ก็ได้ข้อสรุปว่า มันยากเย็นเกินไำป

ดันทาเลี่ยนมิได้รับการคุ้มครองจากเดธไน้ท์อย่างเดียวเท่านั้น หากแต่เขายังเอาแต่หมกตัวอยู่ในวังอย่างเดียว

 

วาเลฟอร์รู้เรื่องนั้นดี แม้เขาจะเป็นคนยกประเด็นนี้ขึ้นมาเอง เขาก็ได้แต่เงียบ 

 

จนกระทั่งกามิกินเปิดปากพูดออกมา

 

“มันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้ ”

 

“คุณกามิกิน ? ที่พูดมานั่นจริงหรือ ?”

 

“อืมม โอกาสสำเร็จอาจไม่สูงนัก แต่ยังพอมีโอกาสอยู่บ้าง ”

 

กามิกินยิ้มสดใสในขณะที่จิบไวน์แก้วตัวเอง

 

 

“จุดอ่อนเดียวของดันทาเลี่ยนคือ ผู้หญิง เขาเลื่องชื่อเรื่องการเป็นเสือผู้หญิง

หากให้พูดกันตามตรง นี่เป็นเหตุผลที่ดันทาเลี่ยนยอมอ่อนข้อให้ข้าในช่วงที่รบกับอกาเรส”

 

 

“…….”

 

เธอพูดว่า ที่เธอรอดชีวิตมาได้ก็เพราะเธอขายเรือนร่าง บรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนเกิดขึ้นท่ามกลางหมู่จอมมาร

 

“ด้วยเหตุนั้นเอง ข้าจึงไปวนเวียนอยู่รอบตัวดันทาเลี่ยนทำตัวเป็นคนรักอยู่สักพักหนึ่ง ”

 

“ถ้าอย่างนั้น เจ้ากำลังจะบอกว่า พวกเราควรใช้แผนนารีพิฆาต(honey trap) เพื่อไปลอบสังหารเขาอย่างนั้นหรือ ? 

โอกาสสำเร็จดูจะต่ำมาก …….”

 

“นั่นเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมข้าถึงพูดแบบนั้น ”

 

กามิกินเลียไวน์ที่หยดที่ริมฝีปากตน

 

“ข้าไปทำร้ายดันทาเลี่ยนในวังหลวงเข้า ดังนั้นแล้วข้าจึงต้องไปขอโทษเขาในเรื่องนั้น 

และก็แน่ล่ะว่า ดันทาเลี่ยนเองก็ย่อมต้องร้องขอบางอย่างเป็นการส่วนตัวเพื่อรับคำขอโทษของข้าน่ะ~”

 

กามิกินแตะร่างกายตัวเองเบาๆ จอมมารตนอื่นก็ต่างพยักหน้า

 

 

“ดันทาเลี่ยนเป็นพวกบ้ากาม เขาไม่ทำมันในแบบปรกติหรอก ”

 

“ที่บอกว่า ไม่ทำในแบบปรกตินี่ เจ้าหมายความว่า ……?”

 

“เขาชอบทำในแบบที่โรคจิตๆ บางครั้งก็จัดสภาพการณ์ให้เหมือนการข่มขืนเอาล่ะ ข้าไม่อยากให้รายละเอียดเชิงลึกนะ เข้าใจไหม ?”

 

จอมมารต่างกระแอมกระไอ จริงอยู่ที่โลกปีศาจเองก็เปิดเสรีเรื่องกิจกรรมทางเพศ 

แต่ก็ยังมีจอมมารที่รู้สึกแย่ที่ต้องมาคุยเรื่องจอมมารตนอื่นต้องโดนข่มขืน

 

 

“เข้าใจแล้ว แต่ คุณกามิกิน , เจ้าบอกว่า เราควรใช้โอกาสนี้ แล้วเราจะใช้ยังไง ”

 

“แหม เห็นแบบนี้ข้าเองก็เป็นท่านดยุคแห่งจักรวรรดิ นะ”

 

กามิกินโบกนิ้ว

 

“แล้วคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากเค้าท์พาลาทีนกลับแสดงตัวคุกคามแถมยังข่มขืนดยุคอีก ? 

และยิ่งมีหลักฐานการบันทึกไว้ด้วยอาติแฟค ก็ถือว่าเป็นจุดจบทางการเมืองของดันทาเลี่ยนแล้วมิใช่หรือ ?”

 

“……!”

 

จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดถึงกับลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด