Dungeon Defense (WN) 348 ชาติที่เป็นกลาง(1)
บทที่ 348 – ชาติที่เป็นกลาง(1)
ผมจุดไฟที่ปลายไปป์
เช้าวันนี้ของผมเริ่มต้นขึ้นหลังมีเซ็กส์จำนวนที่น่าเกลียดกับกามิกิน
ณ ตอนนี้เธอกำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงข้างๆผม เธอยังคงเกาะก่ายผมเหมือนเด็กตลอดเวลาที่เรามีเซ็กส์กัน ราวกับว่าเธอพยายามจะเติมเต็มอารมณ์ที่สูญหายไปด้วยสัมผัสทางกาย
ประกายแสงยามเช้าฉายเข้ามาผ่านหน้าต่าง
“…….”
จอมมารทั้งหลายต่างก็มีสภาพเหมือนไบโพลาร์ด้วยกันแทบทั้งนั้น ทุกตนต่างเป็นพวกจิตป่วย
เหตุผลก็เรียบง่ายเลยล่ะ นั่นก็เพราะพวกเขานั้นสามารถรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นได้เต็มร้อย
มันจึงไม่แน่ชัดเลยว่า อารมณ์ที่พวกเขารู้สึกกัน ณ ตอนนี้นั้นเป็นของตัวเองหรือของผู้อื่นกันแน่ เส้นกั้นแบ่งเส้นนั้นมันพร่ามัวเสียเหลือเกิน
โล่ที่คอยปกป้องคุ้มกันทางอารมณ์ที่คนปกติธรรมดามีนั้น จอมมารกลับไม่มี
จากมุมมองที่แสนสุดโต่ง จอมมารนั้นขาดเสถียรภาพทางอารมณ์อย่างมากเมื่อตกหลุมรักใครสักคน
ความรู้สึกที่ฉันที่มีให้กับคนๆนี้นั้น ย่อมต้องเป็นแค่ของฉันกับเขาเท่านั้น
ผมทำให้อีกฝ่ายหลงเข้าใจผิดเรื่องความรักชอบที่เธอมีต่อผม ด้วยความรักชอบที่ผมมีต่อเธอ …….
แม้คนทั่วไปมักจะถามว่า “ฉันเป็นใคร?”
แต่จอมมารที่มองจากมุมมองอื่นจะถามว่า
“ฉันเป็นตัวอะไรกันแน่?” ถึงจะถูกต้อง
ตั้งแต่ถือกำเนิดมาแล้วล่ะ จอมมารนั้นไม่มีหลักที่มั่นคงเอาเสียเลย จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขวนขวายหามัน
หรือไม่ก็สร้างมันขึ้นเอง
พวกนั้นดิ้นรนเพื่อสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมา เพียงเพื่อจะประกาศว่า มันเป็นของของพวกเขา
บาร์บาทอสหมกมุ่นอยู่กับเป้าหมายในการพิชิตทวีปผืนนี้, ไพมอนไล่ตามโลกอุดมคติที่ทุกเผ่าอยู่กันด้วยความเสมอภาคอย่างจริงจัง และมาร์บาสที่เชื่อสนิทใจว่า การประนีประนอมกับทุกฝ่ายเป็นเสียงเพรียกในหัวใจตน
พวกเขาสามารถคงความเป็นตัวเองไว้ได้ด้วยวิธีนั้น
มันไม่สำคัญด้วยซ้ำว่า จะต้องมีมนุษย์ต้องโดนฆ่าล้างไปมากเท่าไหร่ระหว่างกระบวนการ
มันไม่สำคัญด้วยซ้ำว่า เผ่าพงศ์ทั้งหมดจะสูญพันธุ์ไป
มันไม่สำคัญด้วยซ้ำว่า จะมีสักหลายพันหรือหลายหมื่นคนจะต้องเสียสละชีวิต ตราบใดที่พวกเขายังสามารถรักษาตัวตนของตัวเองไว้ได้
คุณจะเรียกว่า การรับรู้ความสมดุลในชีวิตของพวกเขามันพังพินาศไปเลยก็ได้
เหล่าผู้ป่วยจิตเวชทั้งหลาย ที่แทบจะไม่ต่างจากพวกบ้าคลั่งกระหายอำนาจ
พวกเขาเหล่านั้นต่างวิปริตกันทุกคน
แต่อย่างไรก็ดีเพราะความวิปริตอปกตินั่นแหละ ทำให้พวกเขานั้นงดงาม
“ดันทาเลี่ยน…….”
กามิกินเรียกชื่อผมทั้งที่เธอยังหลับอยู่
พอผมลูบไล้เส้นผมเธอเบาๆ เธอก็ดูเหมือนจะเพลิดเพลินกับการสัมผัสนั้น
ความยึดติดที่สุดโต่งว่านี่คือของๆตัวเอง การยึดติดนั้นมิใช่มีแต่เพียงกับวัตถุสิ่งของหากแต่เป็นกับคนรักด้วยเช่นกัน นี่ก็เลยทำให้ผมเข้าใจถึงความรักของกามิกิน
บางคนอาจจะเรียกมันว่า เป็นการยึดติด ไม่ใช่ความรักแล้ว แล้วมันสำคัญตรงไปไหนกันล่ะ ?
กามิกินเองก็เป็นคู่ขาที่ดีคนหนึ่ง แถมเธอเองก็ยังมีประโยชน์มากมายก่ายกอง ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราจะเป็นความรักหรือการยึดติดกันก็ไม่เห็นสำคัญตรงไหน
ผมกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของเธอ
“ข้ารักเธอนะ ,กามิกิน ”
ผมกำลังเฝ้าดูอะไรบางอย่าง ดูเหมือนกามิกินจะขยับตัวเล็กน้อย ผมยิ้มให้แล้วลูบเส้นผมของเธอต่อไปอีกสักพักหนึ่ง
พระอาทิตย์ฉายแสงสาดเข้ามาที่หน้าต่าง
* * *
ข่าวลือเกี่ยวกับเหตุการณ์วุ่นวายใหญ่ในครั้งนั้นแพร่ออกไปราวกับไฟป่า
ผลมันก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่เราไม่ได้ให้พวกสาวใช้พวกนั้นให้สัตย์สาบานว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ผู้หญิงน่ะมีทักษะส่วนตัวที่จะกระจายข่าวลือเป็นปรกติ ยิ่งเป็นสาวใช้ยิ่งมีพรสวรรค์ชำนาญในเรื่องนั้นดีเลยล่ะ
ในวันต่อมา ข่าวล่าสุดก็ไปถึงหูจอมมารทั้งหลายที่อยู่ในเมืองหลวง
ข่าวที่พวกเขาได้ยินก็คือ : กามิกินไปที่วังหลวงเพื่อแสดงความไม่พอใจบางอย่างต่อเค้าท์พาลาทีนดันทาเลี่ยน แต่ไพมอนข้ามาห้ามไว้
สุดท้ายแล้ว เธอก็ร่ายเวทย์ใส่เค้าท์พาลาทีนด้วยความโมโห…….
“เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นจนได้”
นั่นเป็นสิ่่งที่ผุดขึ้นมาในหัวเมื่อจอมมารทั้งหลายได้ยินข่าวนี้เข้า
ไม่ว่าใครก็บอกได้เลยว่า จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดถูกปฏิบัติแย่มากในจักรวรรดิ
คุณจะบอกว่า พวกเราต่อต้านพวกเสรีชนก็ได้นะ
จอมมารหลายต่อหลายตนได้ร่วมลงนามเข้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลและได้ตำแหน่งในทุกภาคส่วนของจักรวรรดิ มีก็แต่พวกปัจเจกที่ไม่มีเส้นสายไม่ขึ้นกับใคร อย่างจอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเท่านั้นแหละที่ไม่ถูกเลือก
ไม่ว่าจะตั้งแต่ราชองค์รักษ์ประจำวังไปจนถึงเจ้ากระทรวงยุติธรรม ทั้งหมดต่างก็เป็นคนของฝ่ายที่ราบ,ภูเขา และฝ่ายเป็นกลางทั้งนั้น
สีสันของฝ่ายการเมืองชัดแจ้งจนน่ากลัว
แม้จะเป็นอย่างนั้น ก็ยังมีสมาชิกในฝ่ายเดียวกันบางคนยังเป็นห่วงอยากให้มีพรรคพวกฝ่ายเดียวกันเองน้อยลง หรืออย่างน้อยๆก็ขอให้ฝ่ายตุลาการเองมีคนที่ไม่มีเส้นสายทางการเมืองบ้าง
หากแต่ดันทาเลี่ยนปฏิเสธความกังวลของพวกเขาในเรื่องนั้น
เขาได้ตีพิมพ์ เอกสารที่ตระเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว เอกสารนั้นชื่อว่า <เกี่ยวกับความเป็นกลาง>
โดยมันมีทั้งหมด 20 หน้า และได้แจกจ่ายไปถึงจอมมารทุกตน
– ความเป็นกลางทางการเมืองมีอยู่ สองประเภท
เป็นกลางเชิงรับ(Passive neutrality) กับ เป็นกลางเชิงรุก (Active neutrality)
เป็นกลางเชิงรับนั้นคือการกระทำที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่ง ไม่มีเครือข่ายใดๆได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ด้วยเหตุนั้นคุณจึงได้สร้างช่องวางทางการเมืองขึ้น
– แต่ถึงอย่างนั้น มันก็กลายเป็นการบังคับให้เราต้องพึ่งพาคุณสมบัติ ความซื่อสัตย์ ภักดีจริงใจ ของคนคนเดียว
นั่นเป็นการเอาระบบที่ใหญ่โต ที่รู้จักกันในนามว่า ชาติ ให้ตกไปอยู่ใต้ศีลธรรมของปัจเจกชนคนเดียว
แล้วในสถานการณ์ที่เกิดความเสียหายขึ้น จากความเป็นกลางอย่างนี้ล่ะ พวกเราจะทำอย่างไร?
สิ่งที่ทำได้กลับมีแค่พยายามชี้แนะย้ำเตือนให้ตระหนักถึง คุณธรรมประจำตัวของพวกเขา
–โดยถึงที่สุดแล้ว ความเป็นกลางเชิงรับนั้นจะลดประสิทธิภาพของระบบที่มีมิติมากมายให้เหลือแค่เพียงปัญหาของบุคคลเพียงคนเดียว แถมยังเป็นปัญหาจริยธรรมศีลธรรมส่วนบุคคลอีกด้วย
–ในทางกลับกัน ข้าเห็นด้วยกับความเป็นกลางเชิงรุกมากกว่า
– ความเป็นกลางเชิงรุกนั้นเป็นการกระจายตำแหน่งสำคัญๆไปให้กับทุกฝักฝ่าย
ตัวอย่างก็เช่น หากชาติเรามีสามฝ่าย จุดสำคัญอยู่ที่แบ่งตำแหน่งกันให้ได้สัดส่วน 1:1:1
แล้วที่เหลือก็ปล่อยให้ระบบจัดการกับตัวปัญหาของระบบเอง
– หากมีความไม่พอใจที่เกิดขึ้นในความเป็นกลางประเภทนี้ เราก็แค่เพิ่มตำแหน่งให้กับฝ่ายที่อ่อนแอ และถอดตำแหน่งจากฝ่ายที่แข็งแกร่ง
จะไม่มีเรื่องของศีลธรรมจริยธรรมส่วนบุคคลมาเกี่ยวข้อง
สมดุลทางการเมืองเท่านั้นที่เป็นหัวใจหลัก …….
–ข้าไม่เชื่อว่า ปีศาจจะสามารถต่อต้านจอมมารได้ และสามารถธำรงความเป็นกลางไปได้ตลอด
“ความเป็นกลางโดยสมบูรณ์นั้น ” ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความเพ้อฝันสำหรับพวกเขา
– หนทางที่ดีที่สุดในการขับเคลื่อนจักรวรรดินั่นคือ การที่ทั้งจัดสัดส่วนและเปิดเผยอำนาจ ให้ชัดที่สุดเท่าที่จะทำได้…….
เอกสารดังกล่าวกลายเป็นประเด็นร้อนทันที
จอมมารบางคนก็สรรเสริญว่า นี่เป็นมุมมองที่ตั้งอยู่บนหลักความเป็นจริง ในขณะที่บางพวกก็วิจารณ์ว่า นี่มันเป็นการปลุกปั่นกระแสที่เต็มไปด้วยแนวคิดสนับสนุนฝ่าย
ปีศาจเองก็แบ่งเป็นสองฝ่ายแล้วทุ่มเถียงกัน
สถานการณ์มาถึงจุดเดือดสุดเมื่อฝ่ายเป็นกลางได้ออกมาเลือกข้าง
“เอกสารฉบับนี้ ทั้งกระชับได้ใจความทั้งยังบอกถึงหนทางที่จักรวรรดิควรจะเป็น ”
จอมมารมาร์บาสเป็นบุคคลแรกที่ให้การสนับสนุนดันทาเลี่ยน
“การเป็นกลางเชิงรุกนั้น เป็นสิ่งที่ฝ่ายเป็นกลางอย่างพวกเราพยายามทำให้สำเร็จมาในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา
ใช่เพียงแต่ข้าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เค้าท์พาลาทีนดันทาเลี่ยนพูดเท่านั้น หากแต่ข้าพร้อมจะสนับสนุนเขาสุดความสามารถ ”
คำพูดของหัวหน้าฝ่ายเป็นกลางนั้นมีน้ำหนักยิ่งกว่าใครทั้งนั้น
บางคนก็ชี้ประเด็นเรื่องลับที่เกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย นับตั้งแต่ดันทาเลี่ยนไปช่วยมาร์บาสในเหตุการณ์ของเครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนีย แต่พวกนั้นก็เป็นแค่ทฤษฏีสมคบคิดที่ไร้หลักฐานรองรับ
ความเห็นของผู้คนโดยมากจึงเอนเอียงไปทางฝั่งดันทาเลี่ยน
จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดก็ยิ่งระอุขึ้น
“นี่มันแปลว่า แกพยายามจะแยกพวกเราออกจากวงการการเมืองใช่ไหม !”
และผลที่ตามมาก็ไม่ต่างจากโดมิโน่ ทั้งฝ่ายที่ราบและฝ่ายภูเขาเองก็ส่งเสียงสนับสนุนเช่นเดียวกับที่มาร์บาสทำ
มันเป็นการแข่งที่ผลลัพธ์มันแน่นอนตั้งแต่เริ่มแล้ว
จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดไม่อาจข่มกลั้นความโกรธของตัวต่อไปได้จึงด่าทอดันทาเลี่ยนอย่างรุนแรง
“ดันทาเลี่ยนมันก็แค่หมาของบาร์บาทอส และเป็นหุ่นเชิดของฝ่ายที่ราบ !”
“ไอ้ความเป็นกลางที่แม่งพูด มันก็การผูกขาดอำนาจดีๆนั่นแหละวะ ”
และการที่ดันทาเลี่ยนเองก็ไม่ได้แสดงความเห็นอกเห็นใจหรือชดเชยใดให้กับจอมมารไม่สังกัดฝักฝ่ายใดก็ยิ่งทำให้เรื่องราวเลวร้ายลง
แล้วพอเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นตามมาภายหลังสองเดือนหลังจากพิธีอวยยศมอบตำแหน่ง
เหล่าจอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดก็ยิ่งโมโหมากขึ้น พวกเขาจึงไม่ได้แปลกใจหรือตกใจอะไรนักกับการที่กามิกินจะไปสร้างความปั่นป่วนแบบนั้น
กามิกินเองก็เป็นดั่งตัวแทนของจอมมารไม่สังกัดฝ่าย
ในยามดึกสงัด
จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดมารวมกันอยู่ ณ ที่พักของกามิกิน พวกเขาต่างประชุมหารือกันเรื่องการกระทำที่ไร้ยางอายของดันทาเลี่ยน นี่เป็นการประชุมครั้งที่ห้าแล้ว
“เจตนาของไอ้หมอนั่นมันชัดเจนแล้ว มันไม่ต่างจากมันพูดว่า มันจะปกครองจักรวรรดิทั้งหมดเองแล้วยกที่ขนาดเท่าแมวดิ้นตาย เลยรึยังไงกัน?!”
“พวกเราควรจะสงสัยมันตั้งแต่ตอนที่มันไม่ได้อะไรในตอนพิธีอวยยศแล้ว
เห็นชัดๆเลยว่า มันแหม่งๆตั้งแต่ตอนที่มันไปรับตำแหน่งฐานะอัยการสูงสุดแห่งจักรวรรดิ ไอ้จิ้งจอกระยำนั่น …….”
จอมมารหกตนต่างโวยวายเสียงดังขณะดื่มไวน์กัน
แสดงออกอย่างชัดเจนเลยว่า พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก
พวกเขามาอยู่ในสภาพที่ได้อย่างไรกันทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ปกครองเผ่าพันธุ์ปีศาจ ?
ความปรารถนาที่จะอยู่เฉยๆไม่สนใจเรื่องทางการเมืองกลับกลายเป็นการทำให้ตัวเองนั้นโดดเดี่ยวไปแทน
อดีตจอมมารลำดับ 6 วาเลฟอร์ถอนใจครั้งหนึ่ง
“เฮ่อออ แล้วพวกเราต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ?”
“……แต่พวกเราไม่มีทางอื่นแล้ว ”
“ศัตรูเรามันก็แค่ลำดับ 71 จะมีใครอ่อนแอกว่าหมอนั่นอีกไหม? ”
จอมมารทั้งหลายดูสิ้นหวังกัน วาเลฟอร์ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น
“สุดท้าย ดันทาเลี่ยนก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าหุ่นเชิดของฝ่าย
ความสามารถส่วนตัวมันต่ำเตี้ยจนน่าสังเวช
หากฝ่ายนั้นยังคงพยายามแสดงการหยามเหยียดพวกเราต่อไป มีแต่ต้องแสดงให้พวกนั้นได้รู้สำนึก”
“……วาเลฟอร์ แต่มันไม่ง่ายเลยนะที่จะสังหารเจ้านั่นน่ะ ?”
จอมมารตนอื่นคอยย้ำเตือน
ที่ผ่านมานี้ พวกเขาได้ถกหารือกันเรื่องการลอบสังหารดันทาเลี่ยนนับครั้งไม่ถ้วน แต่จอมมารพวกนี้ก็ได้ข้อสรุปว่า มันยากเย็นเกินไำป
ดันทาเลี่ยนมิได้รับการคุ้มครองจากเดธไน้ท์อย่างเดียวเท่านั้น หากแต่เขายังเอาแต่หมกตัวอยู่ในวังอย่างเดียว
วาเลฟอร์รู้เรื่องนั้นดี แม้เขาจะเป็นคนยกประเด็นนี้ขึ้นมาเอง เขาก็ได้แต่เงียบ
จนกระทั่งกามิกินเปิดปากพูดออกมา
“มันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้ ”
“คุณกามิกิน ? ที่พูดมานั่นจริงหรือ ?”
“อืมม โอกาสสำเร็จอาจไม่สูงนัก แต่ยังพอมีโอกาสอยู่บ้าง ”
กามิกินยิ้มสดใสในขณะที่จิบไวน์แก้วตัวเอง
“จุดอ่อนเดียวของดันทาเลี่ยนคือ ผู้หญิง เขาเลื่องชื่อเรื่องการเป็นเสือผู้หญิง
หากให้พูดกันตามตรง นี่เป็นเหตุผลที่ดันทาเลี่ยนยอมอ่อนข้อให้ข้าในช่วงที่รบกับอกาเรส”
“…….”
เธอพูดว่า ที่เธอรอดชีวิตมาได้ก็เพราะเธอขายเรือนร่าง บรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนเกิดขึ้นท่ามกลางหมู่จอมมาร
“ด้วยเหตุนั้นเอง ข้าจึงไปวนเวียนอยู่รอบตัวดันทาเลี่ยนทำตัวเป็นคนรักอยู่สักพักหนึ่ง ”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้ากำลังจะบอกว่า พวกเราควรใช้แผนนารีพิฆาต(honey trap) เพื่อไปลอบสังหารเขาอย่างนั้นหรือ ?
โอกาสสำเร็จดูจะต่ำมาก …….”
“นั่นเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมข้าถึงพูดแบบนั้น ”
กามิกินเลียไวน์ที่หยดที่ริมฝีปากตน
“ข้าไปทำร้ายดันทาเลี่ยนในวังหลวงเข้า ดังนั้นแล้วข้าจึงต้องไปขอโทษเขาในเรื่องนั้น
และก็แน่ล่ะว่า ดันทาเลี่ยนเองก็ย่อมต้องร้องขอบางอย่างเป็นการส่วนตัวเพื่อรับคำขอโทษของข้าน่ะ~”
กามิกินแตะร่างกายตัวเองเบาๆ จอมมารตนอื่นก็ต่างพยักหน้า
“ดันทาเลี่ยนเป็นพวกบ้ากาม เขาไม่ทำมันในแบบปรกติหรอก ”
“ที่บอกว่า ไม่ทำในแบบปรกตินี่ เจ้าหมายความว่า ……?”
“เขาชอบทำในแบบที่โรคจิตๆ บางครั้งก็จัดสภาพการณ์ให้เหมือนการข่มขืนเอาล่ะ ข้าไม่อยากให้รายละเอียดเชิงลึกนะ เข้าใจไหม ?”
จอมมารต่างกระแอมกระไอ จริงอยู่ที่โลกปีศาจเองก็เปิดเสรีเรื่องกิจกรรมทางเพศ
แต่ก็ยังมีจอมมารที่รู้สึกแย่ที่ต้องมาคุยเรื่องจอมมารตนอื่นต้องโดนข่มขืน
“เข้าใจแล้ว แต่ คุณกามิกิน , เจ้าบอกว่า เราควรใช้โอกาสนี้ แล้วเราจะใช้ยังไง ”
“แหม เห็นแบบนี้ข้าเองก็เป็นท่านดยุคแห่งจักรวรรดิ นะ”
กามิกินโบกนิ้ว
“แล้วคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากเค้าท์พาลาทีนกลับแสดงตัวคุกคามแถมยังข่มขืนดยุคอีก ?
และยิ่งมีหลักฐานการบันทึกไว้ด้วยอาติแฟค ก็ถือว่าเป็นจุดจบทางการเมืองของดันทาเลี่ยนแล้วมิใช่หรือ ?”
“……!”
จอมมารไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดถึงกับลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง
Comments