Dungeon Defense (WN) 349 ชาติที่เป็นกลาง(2)
บทที่ 349 – ชาติที่เป็นกลาง(2)
“ข้าว่ามันอาจจะได้ผล …… แต่ทว่าเจ้าคนเจ้าเล่ห์แบบนั้นย่อมต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้ใช้เวทย์บันทึกภาพอยู่แล้วนี่?”
“เฮ่อ ก็นั่นแหละ สาเหตุที่ข้าพูดว่า มันอาจจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ได้ ”
จอมมารตนอื่นมองดูเธอด้วยความประหม่า แต่กามิกินก็ยังคงลิ้มลองรสชาติขององุ่นที่อยู่บนโต๊ะ
เสน่ห์ดึงดูดทางเพศอันเย้ายวนทำให้เหล่าจอมมารทั้งหลายกลืนน้ำลาย
“หากข้าสามารถสามารถล่อให้ดันทาเลี่ยนติดกับก่อนที่เขาจะร่ายมนตร์ต้านเวทย์ได้ นั่นก็ถือว่า ชัยชนะของข้า
แต่หากข้าไม่อาจทำให้ดันทาเลี่ยนลดความระวังตัวลง มันก็เป็นความพ่ายแพ้ของข้า
แผนนี้ใช่ว่าจะการันตีความสำเร็จ
ผลที่ได้ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ณ ตอนนั้นและดวงข้าเองด้วย ”
“…….”
จอมมารทั้งหลายมองหน้ากันไปกันมา
วาเลฟอร์พูดขึ้นด้วยความระวัง
“แต่ถึงอย่างนั้น……นี่มิได้แปลว่า เจ้าได้เสียสละตนเองน่ะหรือ ?”
“ไม่หรอก นี่เป็นแผนที่ข้าเสนอขึ้นมาเอง ”
กามิกินหรี่ตาเล็กน้อยพลางยกยิ้มริมฝีปากขึ้น
“อันที่จริง ถึงอย่างไรข้าก็ต้องไปที่วังหลวงเพื่อขอโทษดันทาเลี่ยนอยู่แล้ว
จากอุปนิสัยของดันทาเลี่ยน เขาย่อมบอกให้ข้าแก้ผ้าเพื่อแสดงความจริงใจเป็นแน่”
“…….”
“พวกเจ้าทั้งหมดก็รออยู่นอกวังหลวง หากข้าสามารถใช้เมโมเรียอาติแฟคได้สำเร็จ ข้าจะยิงเวทย์ส่งสัญญาณให้พวกเจ้าเอง ”
กามิกินดับกระหายด้วยไวน์ก่อนจะพูดต่อ
“ แล้วเมื่อข้าส่งสัญญาณให้แล้ว เจ้าทุกคนก็เข้ามาในวังกำจัดดันทาเลี่ยนซะ ”
“แต่เราจะฆ่าเขาด้วยข้ออ้างอะไร ?”
“เจ้าทุกคนอยู่ที่นั่นกันให้หมดแล้ว ด่าทอเรื่องที่กันพวกเจ้าออกจากการบริหารจักรวรรดิ และยังเป็นประจักษ์พยานที่ดันทาเลี่ยนข่มขืนข้าด้วย ”
“…….”
จอมมารหันไปสบตากัน ในดวงตาของพวกนั้นเต็มไปด้วยความลังเลในแผนการนี้
“เหล่าาจอมมารที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมได้มาเห็นเหตุการณ์เลวร้าย และก็เผลอพลั้งมือฆ่าลงไปเนื่องจากสถานการณ์ที่ร้อนระอุ
เอาล่ะ ช่วงแรกก็คงมีคนออกมาแย้งเถียงแทนให้ แต่ไม่มีปัญหาเลยตราบใดที่พวกเรามีการอัดบันทึกไว้ด้วยเมโมเรียอาติแฟค
แล้วพวกนั้นจะทำอะไรได้ล่ะ ในเมื่อดันทาเลี่ยนเป็นผู้ทำการข่มขืนดยุคเองจริงๆ ~?”
กามิกินหัวเราะคิก
วาเลฟอร์ถามอีกคำถามหนึ่งขณะที่จอมมารตนอื่นยังครุ่นคิดถึงโอกาสสำเร็จในแผนดังกล่าว
“เจ้าจะทำยังไง หากอาติแฟคมันใช้การไม่ได้ ?”
“ง่ายดายมาก ข้าก็จะไม่ส่งสัญญาณให้พวกเจ้า และก็ให้พวกเจ้าอยู่นอกวังต่อไป ”
กามิกินตอบกลับในทันที
“และก็จะผ่านอีกวันไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นเดียวกับเมื่อวาน เช่นเดียวกับวันพรุ่งนี้ ”
“แต่นี่ก็หมายความว่า เจ้าจะโดนหยามเกียรติโดยไม่มีเหตุผลเลย…….”
“การถูกหยามเกียรติเกิดขึ้นเป็นปรกติ เป็นประจำอยู่แล้วนี่ ”
สีหน้าขี้เล่นของกามิกินแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา
“ข้าอยากล้างแค้นดันทาเลี่ยน ดังนั้นข้าจึงเสนอแผนนี้ขึ้นมาเอง
โอกาสสำเร็จไม่สูงนัก แต่หากมองจากมุมอื่น ก็ไม่เสียอะไรมากด้วยต่อให้มันล้มเหลว
การทนต่อการดูถูกเหยียดหยามสักห้าชั่วโมงก็คุ้มที่จะลองกับแผนการนี้นี่? ไม่เลวนักหรอก ”
“…….”
จอมมารตนอื่นได้แต่ตัวสั่นเทากับแววตาที่น่าสยดสยองของกามิกิน
วาเลฟอร์ครุ่นคิดอย่างหนัก
กับดักที่โอกาสสำเร็จมีน้อย แต่ต่อให้ล้มเหลวขึ้นมา ก็สามารถหนีไปจากวังได้อยู่ดี……. จริงๆก็แทบจะไม่เสี่ยงอะไรเลยด้วยซ้ำ
ปัญหาหลักก็คือ เขาจะเชื่อใจจอมมารตนอื่นที่อยู่ที่นี่ได้ไหมต่างหาก
ในหมู่จอมมารที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่มีทั้งความภักดีหรือความสัมพันธ์ต่อกันด้วยซ้ำ
ที่พวกเขามารวมตัวรวมกลุ่มกันอยู่นี่ก็เพราะอยู่ในสถานการณ์ที่ทุกข์ระทมเหมือนกัน
มีความเป็นไปได้สูงมากที่หนึ่งในพวกเขาจะหนีไปอยู่ฝ่ายดันทาเลี่ยนหรือบาร์บาทอสเพื่อเอาผลประโยชน์หรือเพื่อตำแหน่งที่สูงขึ้น
ดังนี้แล้ว เหตุใหญ่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เรื่องการเก็บแผนนี้ไว้เป็นความลับ ดังนั้นเวทย์มนตร์สัตย์สาบานจึงเป็นสิ่งจำเป็น…….
“ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ ถ้าแผนนี้สำเร็จขึ้นมา ”
กามิกินพูดทั้งที่จอมมารตนอื่นอยู่ระหว่างใช้ความคิด
วาเลฟอร์หลุดจากห้วงความคิดแล้วถามกลับไป
“ที่บอกว่า ปัญหาใหญ่คือ หลังแผนการสำเร็จคือยังไง?”
“ลองคิดให้ดีสิ ไม่มีทางที่บาร์บาทอสจะอยู่เฉยได้หรอกหลังสัตว์เลี้ยงของนางตายไปแล้วล่ะ แม่นั่นคงแทบจะฆ่าเราทิ้งในทันทีเลยล่ะ ”
กามิกินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงยั่วล้อ
“หากพวกเราฆ่าดันทาเลี่ยนสำเร็จ ทีนี้เราทั้งหมดก็กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันแล้ว
เราที่ได้จะร่วมกันเผยแพร่เมโมเรียลอาติแฟคนั่นก็จะกลายเป็นศัตรูกับบาร์ฐาทอสในทันที คราวนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว ”
“…….”
“ดังนั้นข้าอยากจะคัดเฉพาะคนที่เอาจริงกับแผนนี้
คนที่ปรารถนาที่จะฆ่าดันทาเลี่ยนจริงๆและพร้อมจะเดินหน้าต่อหลังจากนั้น ”
กามิกินจ้องมองจอมมารตนอื่นพร้อมกับยิ้มเยาะราวกับกำลังจะถามว่า นี่พวกเจ้ามีความตั้งใจเช่นนั้นจริงแน่หรือ
ณ ตอนนั้นเองที่ ความลังเลสงสัยในตัวกามิกินของวาเลฟอร์พลันหายไป
ขณะที่วางแผนกัน คนส่วนมากมักประมาทต่อความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นและเอาแต่คุยโตโอ้อวดเรื่องโอกาสสำเร็จที่มีมากมาย
แต่กับกามิกินนั้นได้ลงรายละเอียดแม้กระทั่งในกรณีที่แผนล้มเหลว และสิ่งที่จะตามมาภายหลัง หลังจากที่แผนสำเร็จลุล่วง …….
เธอต้องการจะทดสอบพวกนั้น
พวกเขาจะยังคงใช้ชีวิตชิลๆสบายๆเหมือนหมูที่โดนขุนด้วยอำนาจการเมืองที่สูญสิ้นไปด้วยมือดันทาเลี่ยน
หรือเลือกที่จะรักษาเกียรติแห่งจอมมารไว้แม้จะต้องเจอความเสี่ยงระดับนั้นก็ตาม ……?
“ข้าขอร่วมด้วย ”
ไม่จำเป็นต้องคิดอีกต่อไปแล้ว
กามิกินเลือกที่จะเสียสละร่างกายตัวเอง
ดังนั้นแล้วจึงไม่มีเหตุผลที่วาเลฟอร์จะไม่ยอมเสียสละบ้าง เพื่อศักดิ์ศรีในฐานะจอมมาร
จอมมารตนอื่นหันหน้ามามองเขาด้วยความตะลึง
“วาเลฟอร์…….”
“แต่ถึงอย่างนั้น ข้าจะเข้าร่วมก็ต่อเมื่อทุกคนเห็นด้วยเท่านั้น
แผนนี้ต้องการการตัดสินใจที่จะเข้าร่วมด้วยอย่างเป็นเอกฉันท์
มีเพียงแค่พวกเราทั้งหมดเข้าร่วม หรือไม่อย่างนั้น พวกเราทั้งหมดก็ไม่เข้าร่วม ทางเลือกมีเพียงสองทางนี้เท่านั้น ”
“แบบนี้ได้ใช่ไหม?”
วาเลฟอร์หันไปถามกามิกิน
กามิกินเองก็ยิ้มสบายๆตอบกลับมา
“ถูกต้อง วาเลฟอร์พูดถูกแล้ว พวกเราต้องร่วมมือร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ”
“เราควรจะชวนฝ่าบาทเวสซาโก้ด้วยดีไหม ?”
จอมมารตนหนึ่งถามขึ้น
“ข้าได้ยินมาว่า เขาแค้นดันทาเลี่ยนมาก
หากเรายืมพลังของเขาได้ เราก็จะสามารถจัดการอะไรๆหลังจากนี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น ”
“อืมม แต่มันจะเกิดปัญหาหนึ่งขึ้นมาน่ะสิ ”
กามิกินส่ายหน้า
“เวสซาโก้น่ะ มีนิสัยหลักๆที่จะอยู่ข้างฝ่ายผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ หรือจะพูดว่า หมอนั่นพร้อมย้ายข้างได้เสมอ
ข้าจึงแน่ใจว่า เวสซาโก้เองน่าจะเผยแผนของพวกเราให้ดันทาเลี่ยนหรือบาร์บาทอสรู้แทบจะในทันทีเลยล่ะ
และพอเป็นอย่างนั้นพวกเราก็โดนเรียกขึ้นไปสอบปากคำที่ศาล ”
“ข้าก็ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนั้นเช่นกัน ”
วาเลฟอร์แสดงความเห็น
วาเลฟอร์เป็นคนที่เชิญเวสซาโก้มาร่วมการประชุมครั้งนี้เอง แต่อีกฝ่ายก็ปฏิเสธด้วยการพูดว่า ที่ทำไปนั้นมันเปล่าประโยชน์สิ้นดีฃ
เวสซาโก้เองไม่ได้เห็นใจจอมมารที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นข้อสรุปที่วาเลฟอร์ได้มา
สุดท้ายแล้ว เวสซาโก้เองก็ไม่ต่างจากหมาที่เที่ยวกระดิกหางให้กับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า วาเลฟอร์เองก็ผิดหวังในตัวเขาเป็นอย่างมาก
“อย่างที่ข้าบอกไปก่อนหน้า แผนการนี้ต้องรอบคอบระวังตั้งแต่เริ่มจนจบ
การเพิ่มคนเข้ามาอีกในแผนแบบไม่ยั้งคิดรังแต่จะเพิ่มความเสี่ยงให้แก่พวกเรา ”
ยิ่งไปกว่านั้น
วาเลฟอร์พูดต่อ
“ว่ากันตามตรงเลยนะ แค่พวกเรา 7 คนที่อยู่กันที่นี่ยังไม่เพียงพอต่อการฆ่าดันทาเลี่ยนอีกหรืออย่างไร ?
หากจะมีมากเกินไปกว่านี้ ก็ไม่ต่างจากขี่ช้างจับตั๊กแตนเสียเปล่าๆ”
“ฝ่าบาทวาเลฟอร์พูดถูกแล้ว ”
จอมมารตนอื่นพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
พวกเขาจะไปกลัวทำไม กะอีแค่จะจัดการจอมมารลำดับ 71 เพียงตนเดียว ?
“ถูกแล้วล่ะ ค่อยไปเจรจากับเวสซาโก้หลังจากที่พวกเราฆ่าดันทาเลี่ยนได้แล้วดีกว่า
การดึงตัวเวสซาโก้มาฝ่ายเราในตอนที่มีหลักฐานมัดตัว และมีเหตุชอบธรรมไปแล้วจะดีกว่า
ไม่ใช่แค่เวสซาโก้คนเดียว พวกเราอาจได้รับการสนับสนุนจากจอมมารตนอื่นที่ไม่ชอบขี้หน้าดันทาเลี่ยนด้วย ”
“ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องนี้เราค่อยมาคิดกันหลงจากประสบความสำเร็จแล้วกันเถอะ …….”
“เอาจริงๆมันก็ไม่ง่ายนะ ว่ากันตามตรงก็ไม่ต่างจากการเดิมพันด้วยซ้ำ ”
แววตาของกามิกินเปล่งประกาย
“แต่ในทางกลับกัน มันก็ใช่ว่ายากเสียจนเป็นไปไม่ได้เลยนี่ เจ้าคิดอย่างนั้นไหม ?”
ฮื่มมมม วาเลฟอร์ส่งเสียงออกมาระหว่างครุ่นคิด พลางพยักหน้า
ตอนนี้เขาไม่สงสัยอะไรอีกต่อไปแล้ว กามิกินเองก็ไม่เป็นห่วงกังวลเรื่องแผนด้วยเช่นกัน
เธอกังวลเรื่องเหตุการณ์หลังแผนสำเร็จแทน
นี่เป็นหลักฐานยืนยันหนักแน่นแล้วว่า เธอตั้งใจดำเนินแผนการนี้อย่างจริงจัง
หากกามิกินพูดในทำนองว่า แผนนี้สำเร็จแน่ หรือแค่แผนการเดียวก็สามารถทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นได้ราวกับเสกด้วยเวทย์มนตร์
วาเลฟอร์ก็คงจะยังสงสัยเธอต่อไป
แต่เธอกลับตระหนักรู้ถึงเส้นทางเบื้องหน้าที่ย่อมต้องเต็มไปด้วยขวากหนาม แม้พวกเขาจะทำได้ตามแผน
เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่า ความสำเร็จของแผนการนี้มิใช่สิ่งที่เธอปรารถนาจริงๆหรอก หากแต่เธอต้องการสหายศึกที่เดินไปพร้อมกันกับเธอจนถึงสุดสายปลายทางต่างหาก
‘หรือต่อให้แผนนี้ล้มเหลวอย่างน่าเศร้า ’
ดวงตาวาเลฟอร์เปล่งประกายระยับขึ้นมาด้วยความจริงจัง
‘เราทั้งเจ็ด ณ ตอนนี้ย่อมต้องกลายเป็นสหายศึกที่สามารถไว้ใจพึ่งพากันและกันได้
จำนวนคนอาจไม่มากเท่าไหร่ หากแต่เสถียรภาพภายในกลับมั่นคงยิ่งนัก
การสร้างกลุ่มโดยเริ่มจากจุดนั้นอาจเป็นแผนการจริงของเธอก็ได้ …….ใช่แล้วล่ะ , แค่เพียงเท่านี้มันก็คุ้มค่าพอแล้ว ’
การมีศัตรูร่วมกันทำให้สายสัมพันธ์ยิ่งแข็งแกร่ง
และนี่เป็นสัจธรรมอันมีมาแต่โบราณที่ตอนนี้ จอมมารไม่สังกัดฝ่ายใดต่างมองเห็นดันทาเลี่ยนเป็นศัตรูร่วมกัน
“ข้าเข้าร่วมด้วย ”
“ข้าเองก็ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในแผน
ข้าพร้อมจะเดิมพันในเกมนี้ โดยไม่ยอมปล่อยให้อำนาจที่ควรอยู่ในมือข้าหลุดลอยไปแบบนั้น”
อาจเป็นได้ว่าที่พวกเขาเชื่อก็เพราะคำพูดที่สมจริงของเธอ
กามิกินนั้นไม่ได้พยายามจะคุยโต
เธอวางความทะเยอทะยานที่อยากจะแก้แค้นดันทาเลี่ยนไว้ก่อน แล้วมาลงรายละเอียดแผนการลอบสังหารดันทาเลี่ยน ว่าต้องทำอะไรบ้าง ใช้ข้ออ้างใด และใช้สิ่งใดเป็นหลักฐานแก้ต่าง
และจอมมารทั้งหลายต่างมีข้อสรุปตรงกันว่า แผนการนี้ ‘มันเป็นไปได้’
จอมมารทั้งหลายจึงค่อยๆส่งเสียงแสดงตัวว่าจะเข้าในแผนของกามิกินทีละคน หลังจากหารือกันจบ
ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า การที่พวกเขานั้นมีทั้งอดีตจอมมารลำดับ 4 และอดีตจอมมารลำดับ 6 มันช่วยส่งผลโดยตรงกับการตัดสินใจของพวกเขา
สุดท้าย จอมมารทั้งหมด เจ็ดตนก็เข้าร่วมกับแผนดังกล่าว
กามิกินเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
“เอาล่ะ เท่านี้ก็ถือว่า คุ้มแล้วกับการเสียสละของข้า
ข้าบอกพวกเจ้าทุกคนแล้วนะว่า โอกาสสำเร็จอาจไม่มากมายนัก แต่ข้าวางแผนและจะทำให้กำลังเพื่อให้มันได้ผล
เรามาสั่งสอนดันทาเลี่ยนให้รู้สำนึกบ้างว่า จอมมารน่ะไม่ยอมต่อการโดนกดขี่ ”
จอมมารทั้งหลายต่างพยักหน้า
กามิกินสร้างวงเวทย์ขึ้นมา มันเป็นเวทย์ที่สร้างวงเวทย์อาญาสิทธิ์
“พวกเจ้าทุกคนพร้อมสาบานไหมว่า จะไม่เปิดเผยแผนการลอบสังหารดันทาเลี่ยนให้กับบุคคลใดหรือตัวตนใดรับรู้ ?”
“ข้าขอสาบาน ”
“ข้าขอสาบาน ”
จอมมารแต่ละคนร่ายเวทย์สลักไว้ในหัวใจขณะที่สาบานว่า จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
กามิกินเองก็เกือบจะเป็นระดับอาร์คเมจแล้ว
เธอจึงเป็นที่ไว้วางใจยิ่งกว่าใคร หากเป็นเรื่องของเวทย์มนตร์
หากใครละเมิดคำสาบานดังกล่าว หัวใจก็ระเบิดแหลกสลาย และสูญเสียมานาทั้งหมดที่มี
เมื่อเป็นดังนี้แล้ว แผนการชั่วร้ายก็ได้เริ่มขึ้น
จอมมารทั้งหลายยังคงอยู่ค้างอีกหลายต่อหลายคืนเพื่อวางแผนการลอบสังหาร
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ไม่ควรยกให้เป็นธุระของลูกน้องหรือตัวแทนคนใดๆ ดังนั้นเหล่าจอมมารจึงต้องเข้าร่วมประชุมแผนด้วยตัวเอง
กามิกินและวาเลฟอร์ สองคนนั้นเป็นผู้ลงแรงมากที่สุดในการวางแผนครั้งนี้
พวกเขาทั้งหมดตั้งใจจะดำเนินการตามแผนในสี่วัน
เวลาที่นัดหมายดำเนินแผนเป็นเรื่องสำคัญ
พวกเขาตัดสินใจที่จะยุติทุกอย่างท่ามกลางข่าวเหตุการณ์ในวังหลวงที่มีกามิกินเป็นประเด็นร้อน
พวกเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตารางการรักษาความปลอดภัย และให้สินบนองค์รักษ์บางคน สาวใช้หลายต่อหลายคนก็ได้รับสินบนด้วยเช่นกัน
หากแผนการของพวกเขาสำเร็จ พวกเขาก็จะจ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับพวกที่อยู่ในตรอกหลังเมืองด้วยเช่นกัน
สี่วันต่อมา
“กามิกินได้มาถึงวังหลวงแล้ว ”
วาเฟอร์มองหน้าจอมมารตนอื่นด้วยสีหน้าสีตาที่แน่แน่วในสิ่งที่จะทำ
จอมมารตนอื่นก็มองกลับมาด้วยแววตาแบบเดียวกัน
“พวกเราไปที่วังกันเถอะ ”
แผนการลอบสังหารดันทาเลี่ยนก็ได้เริ่มต้นขึ้น
Comments