Dungeon Defense (WN) 353 ชาติที่เป็นกลาง (6)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 353 ชาติที่เป็นกลาง (6) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Chapter 353 – ชาติที่เป็นกลาง (6)

 

 

 

* * *

 

 

 

จอมมารทั้งสามที่มีชีวิตรอด ต้องพบกับประสบการณ์แห่งทัณฑ์ทรมานไม่ได้สิ้นสุด

 

พวกเราใช้วิธีการพิเศษสุดเพื่อเป็นการแสดงความนับถือพวกนั้น

 

 

โดยปกติแล้ว คนอื่นมักจะตะคอกใส่ผู้กระทำผิดว่า สิ่งที่พวกเขาทำนั้นผิดอะไรอย่างไร เพื่อให้อีกฝ่ายตระหนักรับรู้

 

แต่วิธีการนั้นผมเชื่อว่า มันไร้ประสิทธิภาพ

 

มันไม่มีทางที่ใครจะยอมรับความผิดของตัวเองหรอกหากคุณไปข่มขู่ทำร้ายเขา

 

ไม่มีอะไรจะเสียเวลามากไปกว่าการทำแบบนั้น ซึ่งมันเป็นทุกข์ทรมานทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ทรมานและผู้ถูกทรมานด้วย

 

เราควรกำจัดการกระทำอันไม่จำเป็นนั่นซะ เพื่อการดีต่อทั้งสองฝ่าย

 

ผมเชื่อว่าการทำแบบนั้นมันดีต่อโลกใบนี้

 

“อึก …….ไอ้สาระยำคนทรยศ !”

 

วาเลฟอร์มองผมด้วยแววตาดุร้ายเมื่อเห็นผมเข้ามาในห้องทรมาน

 

 

“ข้าไม่รู้ว่าแกวางแผนจะทำอะไร แต่ข้าไม่ยอมง่ายๆหรอก !”

 

ผมยิ้มหวานให้ทันที

ช่างน่าดีใจเสียจริง ที่เห็นว่า เขายังมีแรงมีกำลังเยอะอยู่ขนาดนี้

คนที่แข็งขันอย่างนี้ ผมล่ะอย่างชอบเลยจริงๆ

การได้เห็นคนมีชีวิตชีวาแบบนั้นมันทำให้ชีวิตอันหมองหม่นของผมมีรสขมยิ่งขึ้น

 

 

ผมเดินผ่านวาเลฟอร์ไปเงียบๆ แล้วก็ไปให้คำสั่งกับ ผู้ทรมานนักโทษแทน

 

“เริ่มได้ ”

 

“รับทราบค่ะ ”

 

สองสุดยอดนักทรมานที่ถูกใช้เพื่อการเค้นสอบข้อมูลในครั้งนี้ก็คือ เจเรมิกับเดซี่

ในช่วงสามปีที่ผ่านมาทั้งสองได้ทำการทรมานและฆ่านักโทษเกินกว่า 300 คนแล้ว  และทั้งหมดก็ทำภายใต้คำสั่งของผมนี่แหละ

 

ทั้งสองแทบไม่ต่างจากบีโทเฟ่นแห่งโลกแห่งการทรมานคนเลย

 

 

“หือ? แกน่ะจะทำ—อ๊ากกก!”

 

คราวนี้เป็นการประหารด้วยหลิงฉือ (แล่เนื้อนักโทษเป็นพันชิ้นจนกว่าจะตาย)

 

เจเรมิเองก็สามารถต่อต้านจอมมารได้เพราะตราทาสที่สลักอยู่ที่หัวใจ ส่วนเดซี่เองพลังการควบคุมบัญชาของจอมมารก็ไม่มีผลกับเธอเพราะเธอเป็นมนุษย์

 

ทั้งคู่ต่างเป็นสุดยอดตัวเลือกที่ดีที่สุด

 

“อึก! อ๊ากกกกกกก!”

 

กระบวนการดังกล่าวก็คือ เชือดเฉือนเนื้อของนักโทษทั้งเป็น

 

นั่นแหละคือ การทรมานหลิงฉือที่รู้จักกันในชื่อว่า ตายด้วยการหั่นเฉือนเป็นพันชิ้น 

พูดให้เข้าใจง่ายก็คงต้องบอกว่า เป็นการเฉือนปอกเนื้อไปเรื่อยๆจนถึงกระดูกให้เกลี้ยงจนเหมือนคากิของหมู

 

หลิงฉือนั้นเป็นการทรมาณที่ทำให้ผู้โดนเข้าไปต้องเจ็บปวดอย่างมหาศาล

 

ตามปกติแล้วการทรมานแบบนี้ต้องมีการป้อนยาชาให้กับผู้ที่รับทัณฑ์ทรมาน แต่อย่างไรก็ดีต้องขอขอบพระคุณการอวยพรขององค์เทพีที่ทำให้จอมมารนั้นสามารถฟื้นฟูอวัยวะส่วนต่างๆได้อย่างรวดเร็ว เมื่อโดนเฉือนเนื้อ

 

ซึ่งนั่นก็แปลว่า คุณสามารถที่จะหั่นเชือดพวกนั้นไปได้แบบไม่อั้น ยังไงล่ะ !

 

แหม ช่างเป็นร่างกายที่สุดยอดไปเลยไม่ใช่เหรอ ? 

ไม่ต้องการทั้งยาชาและโพชั่นใดๆ ไม่มีทางที่นักโทษคนใดจะสามารถทนต่อการทรมานไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ได้อีกแล้ว

 

แถมการทรมานนิรันดร์กาลเป็นแนวคิดที่เจเรมิเองก็พยายามป่าวประกาศด้วย ดูเหมือนจะเป็นสโลแกนที่เหมาะมากกับแนวคิด สุนทรีย์ศาสตร์แห่งการทรมาน

ผมมีเรื่องสงสัยอยู่จุดหนึ่งจึงตัดสินใจที่จะถามเธอ

 

 

‘ทำไมเธอไม่ทำร้ายร่างกายในขณะที่ทำการทรมานล่ะ ?’

 

‘เฮ่อ ถามคำถามโง่เหลือเกินค่ะ คำตอบก็เห็นกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ ?

สิ่งที่ฉันอยากจะทำคือ การทรมานคือ คน ค่ะ ไม่ใช่ เจ้าก้อนเนื้อ ’

 

เจเรมิตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหมือนพูดถึงเรื่องปกติประจำวัน

 

 

‘ทรมานคนที่หน้าเยิน แขนขากระจายมันสนุกตรงไหนกันคะ ? 

ฉันน่ะนะรู้สึกเหมือนได้รับรางวัลใหญ่ตอนที่เห็นคนกำลังกรีดร้อง น้ำตาไหล และพยายามดิ้นรนสุดชีวิต’

 

ในหัวยัยคนนี้มันน็อตหลวมชัดๆ

 

แถมที่น่าเศร้าใจกว่านั้น รสนิยมทางด้านสุนทรีย์ของเจเรมินั้นได้สืบทอดส่งต่อไปยังลูกศิษย์ผู้ยอดเยี่ยมของเธออย่างเดซี่ด้วย

 

ด้วยการใช้ยาชาและโพชั่นมากมายหลายชนิดทั้งสองแล้ว ทั้งสองก็ทรมานนักผจญภัยมนุษย์ด้วยคมมีด

 

“ห้าหมื่นครั้ง ”

นักผจญภัยยังมีชีวิตอยู่ตลอดหลังจากโดนฟันโดนเฉือนไปห้าหมื่นครั้ง

 

โอ พระเจ้า

 

 

“ฝ่าบาทคะ , วันนี้ฉันรู้สึกดีมากๆเลยค่ะ ”

 

เจเรมิฮัมเพลงอย่างคนมีความสุข

 

“ตอนนี้เราได้เกินสถิติที่เคยทำได้แล้วค่ะ

หกหมื่นครั้ง ไม่สิ หกหมื่นห้าพันครั้งแล้ว

พวกเรามาไกลถึงขนาดนี้ได้โดยไม่ต้องใช้โพชั่นเลยสักขวด! จอมมารสุดยอด! ”

 

 

“เหอะ ยัยบ้างานเอ๊ย ”

 

ผมเดาะลิ้นไม่เห็นด้วยพลางส่ายหัว

 

หากใครบางคนเสียสติสุดกู่ไปแล้ว คุณก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

 

คนพวกนี้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ช่วยแก้ไขเยียวยาอะไรไม่ได้

 

พอได้ยินคำพูดของเจเรมิ หน้าของวาเลฟอร์ก็ซีดเผือด ไอ้การที่ได้เห็นว่า ผิวเข้มคล้ำดำขำของเขาซีดสนิทนี่มันชวนขำจริงๆนะ

 

 

“ฮึ , นี่กะจะข้ามขั้นตอนทุกอย่างเลยเรอะ !? ไม่คิดที่จะเริ่มจากการสอบสวนข้าก่อนเลยเรอะ !?”

 

ผมส่ายหัว

 

“หากข้าขอให้เจ้าเปิดเผยความผิดตัวเอง นายจะยอมทำตามอย่างว่าง่ายหรือยังไง ?”

 

“ข้าจะไม่ยอมรับความผิดใดๆ และไม่คิดว่าทำผิดพลาดใดด้วยซ้ำ

ไม่มีอะไรให้ต้องเปิดเผยอีก!”

 

“เห็นไหม?”

 

ผมยักไหล่ไปเอง

 

 

“เห็นไหม ถึงข้าจะตั้งใจถามไป นายก็ไม่ตอบข้าดีๆอยู่ดี

แล้วข้าจะไปเสียเวลาถามคำถามไร้ประโยชน์พวกนั้นไปทำไม ล่ะ? 

สู้ปล่อยให้นายโดนทรมานจนกว่าข้าจะเหนื่อยยังดีกว่า ”

 

“ห้ะ-เดี๋ยว…….”

 

“ถึงเห็นอย่างนี้ข้าก็งานยุ่งพอสมควรเลยนะ ข้าไม่เสียเวลาหรอก ”

 

ผมเหลือบมองเจเรมิ เป็นการส่งสัญญาณให้เร่งลงมือได้แล้ว

 

“ฉันจะใช้เวลาที่มีร่วมกันนี้ให้ดีที่สุดเลยค่ะ ”

 

“ดะ-เดี๋ยวก่อนดิ—อ๊ากกก !”

 

วาเลฟอร์พยายามดิ้นรนขัดขืนต่อโซ่ที่ล่ามติดกับกำแพง

 

แต่ถึงอย่างนั้นร่างของเขาก็โดนตรึงไว้แน่นจนขยับได้มากสุดก็แค่เชิดหัวขึ้นลงได้อย่างเดียว ผมแวะเวียนไปเยี่ยมทุกห้องทรมานในทุกสองชั่วโมงแห่งการทรมานจอมมาร

 

แล้ววันแรกก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากการทรมานล้วนๆ

 

 

แต่วิธีการก็เปลี่ยนไปในวันที่สอง

 

 

 

“วาเลฟอร์ , นายชอบอาหารอะไรที่สุด?”

 

ผมโยนคำถามไร้ความหมายไประหว่างการทรมาน

ตามปกติแล้วอีกฝ่ายจะปฏิเสธที่จะตอบคำถามเพราะโกรธเคืองเนื่องจากการถูกทรมาน

 

“หยุด……พูดอะไรไร้สาระซะ!”

 

“โอ้เหรอ? อย่างนั้นก็ดีนะ ”

 

ผมก็ได้แค่ยักไหล่และได้แต่ให้การทรมานดำเนินต่อไปในเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธที่จะตอบดีๆ 

สิ่งน่าสนใจมันเริ่มขึ้นต่อจากนี้นี่แหละ

 

จอมมารทั้งสามที่รอดมาได้ก็โดนทรมานต่อเนื่อง 2 ชั่วโมง เวียนสลับกันไม่หยุด

 

หลังจากโดนทรมานเสร็จก็ได้พัก 4 ชั่วโมง 

 

4 ชั่วโมงแห่งการพักนั่นต่างหากเป็นจุดสำคัญ

 

พวกเขาใช้เวลานั้นฟื้นฟูบาดแผลและคืนสติกลับมาเป็นปรกติ

พวกเขาจะสามารถตั้งสติกลับมาได้หลังจากโดนทรมานอย่างหนักหน่วง

 

‘ไม่ว่ามันจะหนักหนาแค่ไหน ตราบใดที่ข้ายังทนได้สองชั่วโมง’

 

ความเชื่อนี้มันหล่อเลี้ยงชีวิตพวกเขาไว้

 

อีกปัจจัยที่สำคัญนั่นก็คือ แม้แต่พวกเขาก็โดนการทรมานที่ต่างกันไป แต่จอมมารทั้งสามต่างยอมอดทนเพราะคิดว่า โดนทัณฑ์ทรมานอย่งเดียวกัน

 

ไม่ใช่ข้าคนเดียวที่ต้องเจ็บปวด สหายข้าเองก็อดทนต่อความเจ็บปวดแบบเดียวกันนี้อยู่

 

นั่นเป็นการหย่อนสมอทางความคิดแบบนั้น

ดังนั้นแล้วเพื่อให้แน่ใจว่า พวกเขายังรักษาสภาพจิตไว้แม้จะโดนทรมานนี่แหละเป็นจุดสำคัญของเรื่องนี้ และนี่เองก็เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมทั้งที่ถูกทรมานอย่างหนักหน่วงขนาดนั้นก็ยังคงต่อต้านขัดขืนอยู่ได้

 

และจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ หากความเชื่อทั้งสองอย่างนั้นพังทลายลงไป ?

 

 

“……?”

 

วาเลฟอร์มองผมแปลกๆขณะที่ผมเข้ามาที่ห้องทรมานของเขา ผมก็พอเข้าใจได้อยู่นะ

เวลาพักยังไม่ถึงสี่ชั่วโมงเลย จากรอบการทรมานครั้งล่าสุด ให้ผมกะประมาณก็เกือบสามชั่วโมงได้

 

“ข้าไม่เชื่อว่า ถึงเวลาของข้า ”

 

“มีการเปลี่ยนตารางนิดหน่อย ”

 

เดซี่ตามหลังผมมาขณะที่ในมือก็มีอุปกรณ์ทรมานพร้อม เธอยืนทางขวามือของวาเลฟอร์

เมื่อวานเดซี่รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่งอุปกรณ์ แต่มาวันนี้เธอรับหน้าที่เป็นผู้ทรมานหลัก

 

“ตอนนี้เราจะทรมานนายอีกรอบ”

 

“เหอะ ทรมานข้าไปก็เสียแรงเปล่า พวกเราไม่มีทางบอกอะไรแกอยู่แล้ว ”

 

“เรื่องนั้นมัน จริงหรือเปล่านะ ”

 

ผมฉีกยิ้มกว้าง

 

อยู่ๆเขาก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาซะแล้วเหรอ ? 

 

วาเลฟอร์ขมวดคิ้ว

 

 

“……แกกำลังจะสื่ออะไร ?”

 

“นายคิดว่า ทำไมการทรมานถึงเร่งรอบให้เร็วขึ้นล่ะ?

นี่ก็เพราะมีใครบางคนยินดีตอบคำถามของข้าแล้วยังไงล่ะ ”

 

“ไม่น่ะ……มันเป็นไปไม่ได้ ”

 

วาเลฟอร์สบถออกมาด้วยความที่ไม่เชื่อคำพูดของผม

 

“ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลย ?

มันไม่ใช่คำถามที่ตอบยากเสียจนตอบไม่ได้เสียเมื่อไหร่กัน

ก็แค่ถามว่า อาหารที่ชอบคืออาหารอะไร และครั้งแรกที่ตกหลุมรักนี่ ตกหลุมรักเผ่าไหนกัน 

คำถามพวกนี้แม้แต่เด็กตัวเล็กๆก็ยังตอบได้เลย”

 

“…….”

 

“ถึงอย่างนั้น ข้าเองก็ชอบสนทนากับคนที่พูดจามีเหตุมีผลน่ะ

เลยเป็นเหตุที่ว่าทำไมข้าถึงเลิกทรมานคนนั้นแล้วไล่คิวไปยังคนต่อไป ”

 

 

“ช่างเถอะ เราเริ่มกันเลยไหม ?” 

 

ผมสั่งเดซี่ให้เริ่มทัณฑ์ทรมาน

แม้การทรมานจะเป็นแบบเดียวกับเมื่อวาน แต่ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันไป

 

จอมมารทั้งหลายได้รู้เรื่องหนึ่งเข้าแล้ว

 

“วาเลฟอร์ , นายน่ะชอบเหล้าชนิดไหน ?”

 

“…….”

 

มันคือเรื่องที่ว่า ชั่วโมงการทรมานจะสั้นลงหากพวกเขายอมตอบคำถามของผม

 

ก่อนหน้านี้พวกเขาอาจจะด่าสวนว่า อย่ามาถามอะไรโง่ๆเลย แต่ตอนนี้แทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคิดให้ดีๆ

 

คำถามที่ถาม และคำตอบที่ตอบก็แสนจะง่ายเหลือเกิน

แค่ตอบคำถามเดียวก็ลดชั่วโมงทรมานได้แล้ว …….

 

 

“……เหอะ นี่แกมาเพื่อฟังคำตอบไร้สาระอย่างนั้นหรือ ? แกมาผิดที่แล้วว่ะ ”

 

“อ๋อเหรอ ? เข้าใจละ ”

 

ทีแรกเขาก็ปฏิเสธนั่นแหละ จนกระทั่งไม่เหลือกำลังให้ปฏิเสธอีกต่อไป ความเงียบของเขามันบ่งบอกให้ถึง อาการที่เขาเริ่มหวั่นไหวและลังเล

 

วาเลฟอร์ทนต่อไปได้อีกสองชั่วโมงเต็มๆ

พอผ่านไปสองชั่วโมงผมก็กลับมาอีกครั้งในช่วงหยุดพักของเขา ดวงตาของวาเลฟอร์เต็มไปด้วยความตกใจ ผมฉีกยิ้มสวยๆให้และไม่พูดอะไร

 

“คนอื่นน่ะเป็นคู่สนทนาที่ดี งานของข้าก็เลยลดลงไปเยอะ ต้องขอบคุณพวกนั้นนะ ”

 

“ปะ-เป็นไปไม่ได้ ”

 

“ไม่มีใครเขาดื้อเหมือนนายกันหรอก เอาล่ะ เริ่มเลยดีไหม ?”

 

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงหลังจากการทรมานวาเลฟอร์ ผมก็โยนคำถามง่ายๆเหมือนเช่นทุกที

ไม่ว่าจิตใจของเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่เขาก็ถึงขีดจำกัดแล้วล่ะ เขาพูดออกมาด้วยปากที่สั่น

 

“ไวน์…… ข้าเพลิดเพลินกับไวน์ที่มาจากซาร์ดิเนีย ”

 

คำสัญญาทั้งหลายที่ให้ต่อกันก็พังทลายลง

 

ข้าจะได้พักยาวถึง 4 ชั่วโมง แล้วก็อดทนการทรมานอีกสองชั่วโมง ส่วนสหายของข้าก็ทนการทรมานแบบเดียวกันนี้ ……คำสัญญาพวกนั้นพังพาบไม่มีชิ้นดี

 

ผมยิ้มสดใสให้

 

“โอ้ ไวน์อย่างนั้นหรือ ?  ข้าก็ชอบไวน์เหมือนกันนะ 

แต่ไวน์ที่ทำในโลกมนุษย์มันไม่รสจืดไปหน่อยหรืออย่างไร ? 

โดยส่วนตัวข้าว่า ไวน์ที่ทำจากนรกนั้นมีคุณภาพสูงกว่านะ ”

 

“……สมกับเป็นชายผู้หยามหมิ่นสิ่งต่างๆที่เอาแต่ตามหาของหรูหรามาเสพ ”

 

 

“มีไวน์ของที่ไหนแนะนำเป็นพิเศษไหม? ”

 

แล้วก็พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกัน

 

การพูดคุยเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้ไร้ความหมายช่วยผ่อนคลายความหนักอึ้งลงได้

 

ลดชั่วโมงการทรมานได้ด้วยการพูดคุยเรื่องพวกนี้

 

ถ้าเทียบกันแล้ว คุยสามนาทีย่อมดีกว่าคุยหนึ่งนาที

และคุยสิบนาทีก็ย่อมดีกว่าการคุยสามนาที

 

 

“ทำได้ดีมาก ตอนนี้ข้าอารมณ์ดีเพราะนาย ดังนั้นขอผ่านคิวของนายไปยังคนต่อไป ”

 

ผมลุกขึ้นเดินออกจากห้องทันทีที่พูดคุยกันจบ

 

เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับจอมมารตนอื่นเช่นกัน

ผมก็ถามคำถามง่ายๆแบบนั้น เพื่อที่เราจะได้มีอะไรคุยกัน

 

 

“สีโปรดที่นายชอบคือ สีอะไร ?”

 

“โอ้ ตกหลุมรักครั้งแรกกับเซ็นทอร์อย่างนั้นรึ ? น่าสนใจดีนี่ เล่าให้ข้าฟังเพิ่มอีกหน่อยสิ ”

 

“อะไรเป็นปัญหากวนใจมากที่สุดในการบริหารจัดการปราสาทจอมมารล่ะ ?”

 

จอมมารทั้งหลายทนการโดนทรมานเหลือแค่เพียงชั่วโมงเดียว หลังจากพวกเขาตั้งใจตอบคำถามของผม

 

และเวลาก็ค่อยๆลดลง ลดลงเรื่อยๆจากหนึ่งชั่วโมง เหลือสามสิบนาที แล้วก็เหลือเพียงสิบห้านาที

 

…….ก่อนจะถึงจุดสิ้นสุดของทุกอย่าง บางคนในหมู่พวกเขาตอบคำถามผมแทบจะในทันทีที่ผมมาถึง

 

ช่วงเวลาในการทรมานของจอมมารแต่ละตนก็สั้นลงเป็นอย่างมาก

 

 

วันทรมานวันที่สองก็จบลงเช่นนั้นแหละ

 

(TTL : โดนพรี่ดันแก เล่นงานทางจิตใจเข้าให้ละ ทรมานเวลา 4 ชั่วโมงก่อน แล้วค่อยๆให้รางวัล หากให้ความร่วมมือด้วยการตอบคำถามง่ายๆ 

แล้วก็ทลายความรู้สึกผิดที่ทรยศหักหลังเพื่อน ด้วยการอ้างว่า จอมมารคนก่อนหน้าเขาก็ให้ความร่วมมือนะ คิวเลยร่นมาหานายไวยังไงล่ะ 

แล้วพอลดเวลาเรื่อยๆ

สมองก็ยินดีเพราะช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดลดลงได้เยอะมากแค่ ตอบคำถามง่ายๆ 

จุดจบสุดท้ายน่าจะเดากันได้ละ )

 

วันที่สามก็ไม่ต่างจากวันที่สอง

 

แต่คราวนี้เนื้อหาคำถามเปลี่ยนไปแล้ว

 

 

“ข้าได้ยินมาว่า มีอาร์คดยุคบางคนให้การสนับสนุนการลอบสังหารครั้งนี้ มันเรื่องจริงไหม ?”

 

“อะไรวะนั่น……?”

 

วาเลฟอร์มองผมราวกับว่า ผมพูดอะไรเพี้ยนๆออกมา

 

 

ก็หากการลอบสังหารสำเร็จ พวกเหล่าอาร์คดยุคก็สามารถครอบงำโลกปีศาจได้

นี่พวกนายไม่ได้คิดวางแผนที่จะอาศัยความวุ่นวายในครั้งนี้เพื่อชิงอำนาจทางการเมืองหรอกรึ ?”

 

“ไร้สาระ พวกข้าลุกฮือขึ้นมาด้วยเจตจำนงของตนเอง!”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว ”

 

จอมมารสามคนทนทรมานไปสองชั่วโมงในตอนเช้า

 

ถึงอย่างนั้นผมเองก็ตั้งใจที่จะข้ามคิวจอมมารคนหนึ่งก่อนหน้าวาเลฟอร์ไป ตาของเขาบ่งบอกถึงความช็อคอย่างมากเมื่อเห็นผมเข้าห้องมา

 

“แกโกหก ……. ไม่มีทางที่ใครในหมู่พวกเราจะตอบคำถามนั่นหรอก !”

 

“อยากจะคิดยังไงก็เชิญนะ  , วาเลฟอร์”

 

ผมยิ้มให้

 

“เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยดีกว่า”

 

 

ชั่วโมงการพักของวาเลฟอร์ จาก 4 ชั่วโมง ลดเหลือ 3 ชั่วโมง ลดเหลือ 2ชั่วโมง แล้วก็ลดเหลือ 30 นาที

 

วาเลฟอร์ไม่อาจทนไหวอีกต่อไป สภาพของวาเลฟอร์ยับเยินเพราะการฟื้นฟูไม่สามารถทนต่อความรุนแรงของการทรมานได้

 

“ข้าขอถามนายอีกครั้ง ”

 

“…….”

 

“พวกอาร์คดยุคได้ให้การสนับสนุนกลุ่มของนายไหม ?”

 

วันที่สี่

 

ผมได้รับ ‘คำให้การ’ มาจากอาติแฟค เมโมเรีย ที่อ้างว่ามีอาร์คดยุค 11 คนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารครั้งนี้

 

ว่ากันตามตรงๆนะ ไม่มีจอมมารตนไหนที่ยอมตอบคำถามผมอย่างว่าง่ายเลยในวันที่สอง

แต่พอผมทำแบบนี้ในวันที่สี่ ผมก็ตั้งใจจะข้ามไปคนหนึ่งแล้วส่งเจเรมิไปทรมานแทน

 

ความไม่ไว้วางใจเป็นศัตรูตัวฉกาจของความไว้เนื้อเชื่อใจกัน สิ่งนี้แสดงออกมาเห็นได้อย่างชัดเจนในระหว่างการทรมาน

 

ผมได้รับคำอนุญาตจากฝ่ายอื่น จึงถ่ายทอดคำสั่ง ไปทันทีที่ออกจากหอคอยคุกขังนักโทษ

 

“พาตัวเหล่าอาร์คดยุคเข้ามา ”

 

 

ณ ตอนนี้ ได้เวลาการกวาดล้างแล้ว

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด