Dungeon Defense (WN) 363 สงครามดอกเบญจมาศ ครั้งที่ II (4)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 363 สงครามดอกเบญจมาศ ครั้งที่ II (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 363 – สงครามดอกเบญจมาศ ครั้งที่ II (4)

 

 

 

 

ลอร่าถ่ายทอดคำสั่งที่ชัดเจนเสียจนไม่ต้องให้คำอธิบายใดเพิ่ม

 

ในเรื่องการตัดสินใจเธอนั้นทำได้รวดเร็วยิ่งกว่าใครๆ และนั่นเองก็เป็นบุคลิกลักษณะนิสัยของเธอ หลังจากตัดสินใจสิ่งใดลงไปแล้วจะลงมือทำในทันที

 

“บารอน เดอ บลังค์  ! เธอน่ะมากับฉันพร้อมทหารม้า  6,000 นาย

ไปยังพาเวีย พวกเราจะเดินทัพสองวันต่อเนื่องโดยไม่พัก 

ฉันหวังว่าเธอจะเตรียมตัวให้พร้อม ”

 

“ตามบัญชาค่ะ !”

 

หัวหน้าทหารรับจ้างที่เป็นเอลฟ์แสดงความเคารพ

แม้ภายนอกเธอจะดูเหมือนอายุเพียง 16 ปีแต่เนื่องจากเธอเป็นเผ่าเอลฟ์ ทั้งยังเป็น ทหารชำนาญศึกยิ่งกว่าทหารอายุ ราว90 ปีเสียด้วยซ้ำ 

ชื่อของเธอคือ จูเลียน่า เดอ บลังค์ (Juliana De Blanc) เกิดในตระกูลบารอนแห่งเฮลเวติก้า

 

ลอร่ามอบคำสั่งต่อไป

 

“หัวหน้า ดูแน้นท์ ! 

ฉันขอมอบอำนาจการสั่งการทหารเดินเท้าทั้งหมดให้แก่เจ้า

จงนำทหารม้าที่เหลือหนึ่งพันนาย และทหารเดินเท้าอีก สองหมื่นนาย เดินทัพไปยังมิลาโน่ ”

 

“ไปมิลาโน่ หรือครับท่าน ?”

 

หัวหน้าทหารรับจ้างคนแคระถามด้วยความสงสัย

 

ลอร่าเป็นผู้ที่สั่งห้ามมิให้พวกเขาโจมตีมิลาโน่

พวกเขาจึงงุนงงสงสัยว่า แล้วเธอจะส่งพวกเขาไปยังมิลาโน่หลังจากบอกแบบนั้นไปทำไม

 

ลอร่ามิได้คลายความสงสัยนั้นหากแต่สั่งอย่างเดียวกันโดยไม่ลงรายละเอียด

 

“ถูกต้อง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ห้ามปล้นฆ่าชาวเมือง 

ไม่จำเป็นต้องบุกโจมตีมิลาโล่ด้วยเช่นกัน

และก็ไม่ต้องปิดล้อม แค่เดินทัพไปยังมิลาโน่แล้วจับตาดูไว้ ”

 

“งานง่ายๆครับ ”

 

หัวหน้าทหารรับจ้างคนแคระไม่ถามอะไรกับผู้อยู่เหนือกว่า

ทั้งหมดที่เขาอยากรู้มีแค่ เขาต้องทำอะไร และอย่างไรเท่านั้น

 

“แล้วท่านจะให้พวกเราทำอย่างไรหากมีศัตรูบุกเข้ามาปะทะกับพวกเรา ?”

 

“ฉันเชื่อในการตัดสินใจของเจ้า ”

 

ลอร่าตอบกลับมาทันที

 

“พวกเจ้าทั้งหลายต่างเคยสู้รบบนผืนทวีปนี้มาหลายสิบปีแล้ว ไม่สิ เผลอๆอาจเป็นร้อยปี

ในขณะที่เจ้าพวกบ้านนอกซาร์ดิเนียนั่นน่ะมีประสบการณ์แค่แต่เฉพาะสงครามกลางเมืองอย่างเดียว

ประสบการณ์ที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อในสงครามมันห่างชั้นกันระดับที่พวกซาร์ดิเนียไม่อาจเทียบได้อยู่แล้ว”

 

“ทะ-ท่านยกย่องพวกเราเกินไปแล้ว ”

 

หากคนที่ตำแหน่งต่ำกว่าคุณ ป้อยอคุณ คุณก็แค่หัวเราะขำๆ

แต่มันจะเป็นเรื่องที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี นอกจากการเขินหากหัวหน้ากล่าวยกย่องสรรเสริญ

แถมหัวหน้าคนนั้นยังเป็นบุคคลผู้งดงามที่ยากจะหาได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต

 

“อะ-อะแฮ่ม ”

 

“แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็จะไม่ประมาท ”

 

พวกหัวหน้าทหารรับจ้างต่างมองหน้ากัน แต่บางคนก็มองพื้นหรือไม่ก็มองฟ้า

พวกเขาพยายามซุกซ่อนความเขินอายของตัวเอง

 

เจ้าพวกนี้นี่กำลังจะทำให้ผมตาบอดจากท่าทางขวยเขินเอียงอายเหมือนสาวน้อยวัยแรกแย้มจากชนบททั้งที่รูปร่างเป็นแบบนั้น

 

ลอร่ามอบรอยยิ้มสดใสให้กับพวกเขา

รอยยิ้มของเธอนั้นราวกับดอกไม้ที่ผลิตบานหลังรับฝนในช่วงฤดูร้อน

 

“อย่างไรก็ดี การรบจะไม่เกิดขึ้นที่มิลาโน่

เจ้าอาจจะต้องสร้างฐานเสบียง

ฉันจะเอาเสบียงส่วนมากไปฝากไว้ที่นั่นแทน ดังนั้นที่เจ้าทำก็คือ เฝ้ารอข้า ”

 

หัวหน้าทหารรับต่างจ้องมองลอร่าโดยปากที่ยังอ้าค้าง

 

พวกเขาหลงไหลในรอยยิ้มอันตราตรึงใจของลอร่าอย่างโงหัวไม่ขึ้น

 

ผมก็พอเข้าใจความรู้สึกนั้นดีนะ บางทีผมก็ต้านรอยยิ้มของเธอไม่ไหวเหมือนกัน มันก็เลยกลายเป็นว่า ความปรารถนาของผมมันพุ่งพล่านขึ้นทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นในดันเจี้ยนของผมหรือหมู่บ้านไหนก็ตาม

 

 

“ หืมม? มีอะไรติดที่หน้าฉันหรือ ?”

 

ลอร่าเอียงหัว

ท่าทางแบบนั้นมันสร้างดาเมจต่อจิตใจถึงตายได้เลย

แม่สาวคนนี้ช่างเป็นอันตรายต่อหัวใจยิ่งนัก

 

 

“มะ-ไม่มีอะไรครับ ท่านครับ”

 

“ท่านช่างงดงามเหลือเกิน !”

 

มีหัวหน้าคนหนึ่งพูดมันออกมา

ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่พวกเขาก็หน้าแดงก่ำกันไปหมด เอาจริงๆนะ ผู้ชายช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสังเวชนัก

……เอ่อ ไม่สิ พอมาดูดีๆแม้แต่หัวหน้าบลังค์เองก็หน้าแดงเหมือนกัน

นี่เธอเริ่มไขว้เขวไปทางนั้นแล้วหรือ ? หรือลอร่านี่ทรงพลังมากขนาดที่ส่งผลต่อทั้งสองเพศได้เลย เนี่ย……?

 

เอาเถอะ ผมเข้าใจเป็นอย่างดีว่า พวกหัวหน้ารู้สึกกันยังไง

ที่ผมมีภูมิคุ้มกันเนี่ยก็เพราะผมหลับนอนร่วมเตียงกับลอร่ามานานแล้ว

ในขณะที่พวกเขาไร้ซึ่งภูมิคุ้มกันเลย พอเริ่มคุ้นเคยแล้วเดี๋ยวก็หายดีเองนั่นแหละ

 

 

“……ทำไมถึงทำหน้าแปลกๆแบบนั้นล่ะ ท่านเค้าท์พาลาทีน ?”

 

ลอร่ามองผมด้วยตาที่ขุ่นมัว 

‘กำลังคิดอะไรแปลกๆอีกแล้วใช่ไหม?’ 

หน้าตาเธอมันเหมือนจะถามผมอย่างนั้น

 

 

ผมยักไหล่

 

“ข้าไม่รู้ว่า เธอกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ ข้าก็แค่เป็นห่วงผู้คนทั้งหลายที่จะถูกทำลายล้างไปในสงครามครั้งนี้ ”

 

“เฮ่อออ”

 

ลอร่าถอนใจออกมา การถอนใจนั้นมันเป็นสัญญาณของการจบการประชุม

 

กองทัพจักรวรรดิแบ่งเป็นกองทัพหลักจำนวนทหาร   21,000 นาย และกองทัพเสริมจำนวน  6,000 นาย

ตามปรกติแล้วผู้บัญชาการสูงสุดมักจะรับผิดชอบในส่วนของกองทัพหลัก แต่คราวนี้ลอร่ากลับมาบัญชาการกองทัพเสริมแทน

 

กองทัพหลักของจักรวรรดินั้นมุ่งหน้าไปที่มิลาโน่

 

แต่แทนที่จะเร่งโจมตีมิลาโน่กันอย่างแข็งขัน เป้าหมายกลับกลายเป็นค่อยๆบดทับด้วยแรงกดดันแทน

 

 

ในขณะที่อีกทางหนึ่ง

 

“ทหารทุกนายจงฟัง !

พวกเราจะเร่งเดินทัพสุดกำลัง ”

 

ทหารม้า  6,000 นายที่นพทัพโดยลอร่ากำลังตะบึงห้อฝีเท้าเต็มสปีดตั้งแต่เริ่ม

 

พวกเรามุ่งหน้าผ่านทั้งมิลาโน่และโนวาร่าไป

ไม่นานจากนั้นศัตรูก็รู้ถึงการมีอยู่ของกองกำลังเสริมของพวกเรา

 

มันเป็นอย่างนั้นก็เพราะเราบังเอิญไปเจอทหารสอดแนมระหว่างเดินทัพ

ทหารสอดแนมพวกนั้นถึงกับตกใจที่อยู่ๆเจอพวกเราโผล่มา พวกเขาจึงรีบหนีไป

 

 

“เราควรไล่ตามไปฆ่าพวกมันทิ้งไหมคะ ท่าน ?”

 

บารอนหญิงจูเลียน่า เดอ บลังค์ ถามขึ้นมา

ฟังเหมือนเธอพร้อมจะหันหัวม้าเพื่อตามไล่ฆ่าได้ทุกขณะ

สมแล้วกับที่เป็นผู้หญิงที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตในฐานะทหารรับจ้าง น้ำเสียงเธอดุดันมากยามเมื่อเห็นศัตรู

 

ลอร่าส่ายหน้า

 

“ไม่ ปล่อยพวกนั้นไป ”

 

กองกำลังเสริมของพวกเราต่างไม่สนใจทหารสอดแนมที่พบ และยังคงมุ่งหน้าเดินทัพต่อไป

 

 

กองทัพศัตรูป่านนี้คงหน้าซีดไปแล้วมั้ง

 

ทั้งที่เมืองใหญ่อย่างมิลาโน่ และฐานทัพใหญ่ที่โนวาร่าตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้าเราทั้คู่ แต่พวกเรากลับเลือกที่จะไม่สนใจพื้นที่สำคัญพวกนั้น

ทหารพวกเราปราดเปรียวราวสายฟ้าฟาดพุ่งผ่านมิลาโน่และโนวาร่าภายในวันเดียว

 

การเดินทัพรวดเร็วเหนือ สามัญสำนึกทำเอาแม้แต่ทหารฝ่ายเดียวกันยังต้องอึ้ง

 

 

“ท่านคะ ! ศัตรูจะไม่ลอบโจมตีเราจากข้างหลังหรือคะ !?”

 

บารอนจูลิอันน่า เดอ บลังค์ถามขณะเราเดินทัพบนหลังม้า

 

 

“กองกำลังพวกเราไม่ได้ปิดล้อมมิลาโน่ไว้

หากมิลาโน่กับโนวาร่าส่งกำลังเสริมมา สุดท้ายพวกเราจะตกอยู่ในวงล้อมนะคะ !”

 

“ตรงกันข้ามเลยล่ะ บารอน เดอ บลังค์ ”

 

ลอร่าตอบกลับไปทั้งที่ยังแอบขำเบาๆ

 

“เราไม่ใช่คนที่โดนล้อมหรอกนะ มิลาโน่ต่างหากล่ะ ”

 

“ว่าอย่างไรนะคะ ?”

 

 

“ฉันก็อธิบายไปแล้ว ในตอนประชุมเมื่อวานไม่ใช่หรือ

เป้าหมายหลักใหญ่ของซาร์ดิเนียคือ การป้องกันฐานทัพ

พวกนั้นไม่สนใจที่จะเอาชนะพวกเราในสงครามระยะสั้นนี้หรือ อีกทั้งกำลังคนของพวกเขามีไม่เพียงพออีกด้วย ”

 

ลอร่าหันหน้าไปมองบารอนเดอ บลังค์

 

ลมที่พัดโบกมาทำให้ผมสีทองของลอร่าสะบัดพริ้ว 

 

“ไม่ใช่แค่เป้าหมายหลักของพวกเขาอย่างเดียวหรอก ทหารของพวกนั้นเองก็มีปัญหาด้วยเช่นกัน ”

 

“ทหารของพวกเขา ……?”

 

บารอน เดอ บลังค์ดูจะไม่เข้าใจ

 

“ทหารชาวเมืองนั้นย่อมต้องสู้รบแลกเป็นแลกตายเพื่อปกป้องบ้านเมือง

แต่ถ้ามองในมุมกลับ ก็คือพวกนั้นคงไม่สนใจวิธีการอื่นนอกจากการป้องกันและปิดล้อม

การที่ออกมาลอบโจมตีพวกเราจากข้างหลังอาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ

 

……แต่พวกทหารชาวเมืองไม่มีใจที่จะทำแบบนั้นกันหรอก ”

 

มองจากมุมมองศัตรู ปล่อยมิลาโน่ไว้ จุดแข็งของพวกนั้น และไม่ยอมทำตามสิ่งที่ฝ่ายนั้นต้องการ

 

แถมการที่ทหารส่วนใหญ่เป็นชาวเมือง การที่จะต้องออกจากเขตรั้วกำแพงมาประชิดพวกเราเป็นอะไรที่พวกเขาอยากเลี่ยงให้มากที่สุด

 

และนั่นเองก็เป็นเหตุผลโดยปริยายที่ทำให้ศัตรูของเราไม่ยอมเคลื่อนไหวใดๆ

 

 

“อีกทั้งการที่กองกำลังหลักของพวกเรากำลังเดินทัพมุ่งตรงไปยังมิลาโน่

 

บารอน , เธอคิดว่า ดยุคแห่งมิลาโน่จะตอบโต้สถานการณ์นี้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาเองก็ต้องตั้งรับป้องกันเมืองด้วยทหารชาวบ้าน ?”

 

“ข้าเชื่อว่า……เขาเองก็น่าจะใช้คนทั้งหมดคอยเฝ้าคุ้มกันเมืองไว้ค่ะ ”

 

 

สุดท้ายแล้วเหตุผลหลักใหญ่ที่บังคับให้ศัตรูต้องวางกำลังก็เพราะ ทหารจำนวน 21,000 นาย ที่ลอร่าส่งไปยังมิลาโน่

 

 

“ดยุคมิลาโน่ก็จะคิดว่า กองทัพหลักของพวกเราจะบุกในทันทีที่พวกนั้นส่งกำลังจะเสริมออกไป และเมื่อเป็นเช่นนั้น ”

 

พวกเขาก็จะมุ่งเป้าไปที่การป้องกันเมืองตัวแทนในขณะที่พาเวียกำลังโดนกวาดล้าง

ลอร่ายิ้มกรุ้มกริ่ม

 

 

“เธอเห็นช่องโหว่ในแนวคิดของฉันไหม บารอน ?”

 

“อะไรนะคะ ? เอ่อ อ่า ขอประทานอภัยค่ะ ข้าไม่เห็นเลย ”

 

บารอนเดอ บลังค์ ถึงกับลังเล

 

เมื่อเห็นการตอบสนองเช่นนั้น ลอร่าก็หันหน้าหาผมแทน

 

“ท่านเค้าท์พาลาทีน ท่านเห็นช่องโหว่นั้นไหม? ”

 

“เธอมิได้ทำให้เอิร์ลพาเวียคิดเช่นนั้น ”

 

ผมตอบกลับไปในทันที

ตามปรกติแล้วลอร่าจะเรียกผมว่า ‘นายท่าน’ ผมเลือกที่จะใช้คำสุภาพต่อเธอเพราะตอนนี้อีกฝ่ายได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายพลของจักรวรรดิ

 

พวกทหารรับจ้างอาจคิดว่า มันแปลกๆที่ลอร่าฐานะให้ผมเป็นเจ้านายเธอ ในสภาพตอนนี้

การทำแบบนั้นย่อมทำให้หัวหน้าทหารรับจ้างหันมานับถือผมแทนอย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้คนโดยมากนั้นมักจะคล้อยตามในทันทีที่รู้ว่าใครกันแน่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด …….

 

คนที่มีฐานะต่ำกว่าจะมีสิทธิ์พูดก็เฉพาะตอนนี่ผู้มีฐานะเหนือกว่าอนุญาตเท่านั้น

 

 

แต่กองทัพครั้งนี้ต้องมีความเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้การบัญชาการของลอร่า

 

“เธอเรียกพวกนั้นว่า เป็นทหารชาวเมืองที่ป้องกันมิลาโน่ แต่ใช่ว่านั่นจะเป็นพลเมืองทั้งมี

พวกนั้นอาจซ่อนกำลังคนไว้อยู่ในบริเวณหมู่บ้านรอบๆด้วยเช่นกัน

……รวมถึงทหารอาสาประจำเมืองพาเวียก็ด้วย ”

 

“ถูกต้องแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอถามหน่อยว่า ”

 

ลอร่ายิ้มออกมา

มันไม่ใช่รอยยิ้มที่งดงามของสาวน้อย หากแต่เป็นรอยยิ้มของนักวางกลยุทธที่ตั้งใจจะควบคุมสมรภูมิ

 

 

“ฉันผู้ซึ่งเป็นบุคคลที่เอิร์ลพาเวียหวาดกลัวที่สุด

เขาเป็นคนที่เอาฉันไปขายเป็นทาส เขาย่อมต้องกลัวฉันกลับมาแก้แค้นอยู่แล้ว ”

 

“ถูกต้อง”

 

“เขาเป็นเอิร์ลประเภทนั้นแหละ ”

 

ลอร่าหยุดพูดไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มตึงเกร็ง

 

“พอเขาได้รับรายงานว่า ทหารของจักรวรรดิกำลังมุ่งเป้ามายังดินแดนของเขา แล้ว ความคิดแบบไหนจะแวบเข้ามาในหัวของเอิร์ลคนนั้นกันล่ะ ?”

 

ริมฝีปากผมยกยิ้ม

 

“เขาย่อมต้องอนุมานว่า กองทัพจักรวรรดิเราวางแผนที่จะทำลายล้างพาเวียให้ดูเป็นตัวอย่าง”

 

“เอิร์ลจะต้องสูญเสียที่ดินและผู้คนในที่ดินของตน และพบกับความวับัติย่อยยับในทันที”

 

“เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว เขาก็จะขอร้องผู้บัญชาการสูงสุด ดยุคมิลาโน่ให้ส่งกองทัพเสริมมาช่วย .”

 

ทั้งผมและลอร่า ทั้งนายทั้งบ่าว เราต่างแสยะยิ้มให้กันและกัน

บุคคลที่สามที่จับตาดูพวกเราอยู่ถึงกับผวา

 

 

“…….”

 

อันที่จริง บารอน เดอ บลังค์ตอนนี้เองก็กำลังอ้าปากค้างขณะมองพวกเรา

 

ผมพอเข้าใจแหละว่า เธอรู้สึกยังไง

เธอคงไม่คุ้นเคยกับบทสนทนาประมาณนี้

แต่ทำตัวให้คุ้นชินเถอะ

แล้วอะไรๆจะง่ายดายไปเองนั่นแหละ

 

 

“แล้วดยุคแห่งมิลาโน่จะตอบรับคำขอนั่นไหม? ”

 

“พาเวียสำคัญต่อเอิร์ลอย่างไร มิลาโน่ก็สำคัญกับดยุคอย่างนั้นนั่นแหละ ดยุคจะไม่ฟังเสียงของเอิร์ล ”

 

 

“และเมื่อเป็นเช่นนั้น เอิร์ลก็จะด่าทอว่า ดยุคเป็นพวกขี้ขลาดที่ไม่สนใจอะไรนอกจากดินแดนตัวเอง ”

 

“และนั่นก็จะยิ่งทำให้ดยุคโมโหโมหัน ทำให้เขาปล่อยให้เอิร์ลไปจัดการปัญหาดินแดนตัวเองไปก็แล้วกัน”

 

เอิร์ลประณามว่า ดยุคขี้ขลาดตาขาว ส่วนดยุคก็ประณามว่าเอิร์ลไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่เข้าใจกลยุทธทางการทหารแถมยังสนใจแต่เรื่องตัวเอง

 

ึเกิดความขัดแย้งขึ้นในหมู่ชนชั้นสูง

และนำมาซึ่งผลลัพธิ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

 

“เอิร์ลพาเวียจะเป็นผู้เดินทางไปเอง ”

 

“ไอ้พวกขี้ขลาดที่เอาแต่ซุกอยู่ในเมือง

‘ข้าจะไปประณามนังทาสกามนั่นเอง’

เขาจะพูดและทำอย่างนั้น

แม้เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือ การปล่อยให้คนของตัวเองได้หลบหนีไป ”

 

เราทั้งสองต่างหัวเราะพร้อมกัน

 

อ่า ช่างบันเทิงเริงรมณ์เสียเหลือเกิน ไม่มีอะไรที่จะสร้างความสนุกได้เท่ากับการที่ได้ยั่วแหย่กับของล้ำค่าของอีกฝ่าย แล้วก็สร้างความขัดแย้งภายไปพร้อมๆกัน

 

คนที่หฤหรรษ์กับเรื่องแบบนั้นย่อมเป็นคนเน่าหนอนโสโครกแห่งโลกใบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

 

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็แปลว่าทั้งผมและลอร่า เราต่างอยู่ที่ก้นบึ้งนรกกันทั้งคู่

 

ผมหยุดขำชั่วครู่ก่อนจะถาม

 

“ในเมื่อท่านเอิร์ลผู้นี้สมัครใจที่จะหนีออกจากเมืองอันแสนจะปลอดภัยด้วยตัวเองแล้ว

แล้วเธอตั้งใจจะปรุงเอิร์ลผู้นี่อย่างไรล่ะ นายพลลอร่า ?”

 

“ก็เห็นกันชัดๆอยู่แล้วนี่ ?”

 

ลอร่าชูมือขึ้นแล้วชี้ไปตรงหน้า

 

“รอจะมอบการต้อนรับให้กับแขกของพวกเราอย่างอบอุ่น ”

 

ทหารม้ากว่า  6,000 นาย เดินทางเตะฝุ่นจนตลบคลุ้ง

 

เป้าหมายของพวกเรา คือ พาเวีย

 

ไม่สิ พูดให้เจาะจงกว่านั้น

 

ป่าระหว่างพาเวียและมิลาโน่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด