Dungeon Defense (WN) 369 สงครามดอกเบญจมาศ ครั้งที่ II (10)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 369 สงครามดอกเบญจมาศ ครั้งที่ II (10) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 369 – สงครามดอกเบญจมาศ ครั้งที่ II (10)

 

 

 

 

ทหารม้าที่รับคำสั่งไปว่า ให้พวกเขาไล่ตามผู้ลี้ภัยไปอย่างครึ่งๆกลางๆ ก็ตั้งใจทำตามคำสั่งเต็มที่

 

แน่นอนว่า มันก็แค่ครึ่งๆกลางๆจากมุมมองของพวกเรานั่นแหละ แต่สำหรับพวกนักโทษหลบนี้ที่วิ่งเท้าเปล่าแล้ว การที่ทหารม้าค่อยๆคืบคลานตามหลังมาช้าๆนี่ก่อให้เกิดความหวาดผวาอย่างหนัก

 

แล้วยิ่งรู้ด้วยว่า เป็นหัวหน้าทหารม้าด้วยแล้ว พวกนักโทษหลบหนีก็ยิ่งวิ่งกันตีนแตก

 

“ท่านคะ พวกเรายืนยันได้แล้วว่า ผู้หลบหนีกำลังมุ่งหน้าไปยังปีเอเซนซา”

 

ผู้รายงานคือ บารอน จูเลียน่า เดอ บลังค์

 

หน้าของเธอดูซูบซีดด้วยความเหนื่อยล้าเนื่องจากพึ่งกลับมาจากภารกิจไล่ล่านักโทษตลอดทั้งคืน

 

 

“พวกเรายิงธนูไล่หลังไปค่ะ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเราตั้งใจจะไล่ล่าพวกเขาจริงๆ

โชคไม่ดีที่มีคนหนึ่งโดนธนูแล้วล้มลง

พวกยามเฝ้าปิเอเซนซ่าเห็นเหตุการณ์ชัดเจน พวกเขาจึงไม่คิดสงสัยว่า พวกนั้นจะเป็นสปาย”

 

 

“ทำได้ดีมาก บารอน เธอควรไปพักเสียหน่อย ”

 

 

บารอนแสดงความซาบซึ้งใจก่อนจะออกไปจากออฟฟิศ

ผมถามคำถามหนึ่งหลังบารอนออกไปแล้ว

 

“ลอร่า ทำไมเจ้าถึงได้ตั้งใจจะปล่อยพวกนักโทษไปหาแกรนดยุค?

พวกนักโทษก็จะรู้ว่า กองทัพเราอยู่ที่ไหน

นี่แทบไม่ต่างจากเอาข้อมูลให้เจ้านั่นฟรีๆ”

 

“เพื่อล่อดยุคฟลอเรนซ์เข้ามาค่ะ ”

 

ล่อเขาเข้ามาอย่างนั้นรึ ?

ลอร่าพยักหน้า

 

“แกรนดยุคน่ะคงสงสัยเรื่องว่าทั้งหมดเป็นกลยุทธฝ่ายเรามาตลอด จนกระทั่งถึงตอนนี้นี่แหละค่ะ ”

 

 

* * *

 

 

“……ข้าตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้ ”

 

แกรนดยุคแห่งฟลอเรนซ์กำลังย่นหน้าผากสีขาวซีด

แม้หน้าตาจะบึ้งอยู่แต่ก็ยังดูงดงามสูงส่ง

เหล่าผู้บัญชาการทั้งหลายต่างมารวมตัวกันก็ได้แต่อยู่เงียบๆแล้วจ้องหน้าผู้บัญชาการของตน

 

 

 

“ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงเอาแต่ส่งทหารสอดแนมไม่หยุด ?

แถมไม่ได้ส่งหน่วยร้อยนาย

จนถึงตอนนี้ก็ยังคงส่งทหารสอดแนมเรื่อยๆกันไม่หยุด ไม่ต่างจากเมนูออเดิร์ฟบนโต๊ะอาหาร ”

 

บรรดาหัวหน้ากองต่างมองกันไปกันมาด้วยความอึดอัด

แม้ตอนนี้พวกเขาจะได้รับชัยชนะต่อเนื่อง 

แต่ด้วยเหตุผลบางประการพวกเขาไม่อาจยินดีกับชัยชนะที่ได้มา นั่นก็เพราะศัตรูยังคงส่งทหารหน่วยเล็กออกมาไม่หยุด

 

จำนวนทหารหน่วยย่อยที่ส่งมามีตั้งแต่ห้าสิบจนถึงสองร้อยนาย

แถมยังมีการเข้าปะทะแล้วขี่ม้าหนีอย่างรวดเร็ว

การเข้าปะทะกันมันเหมือนกับบังเอิญเจอแล้วเข้าฟาดฟันมากกว่าการรบจริงๆด้วยซ้ำ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมพวกเขาถึงอายที่จะพูดได้ว่า พวกเขาได้รับชัยชนะ

 

“ข้าเชื่อว่า พวกนั้นพยายามทำให้เราประมาทด้วยการปล่อยให้เราได้รับชัยชนะต่อเรื่อง แต่ …….”

 

“แต่มันโจ่งแจ้งเกินกว่าที่จะเป็นแผน …….”

 

“อ่า ใช่ ถูกแล้วครับ ”

 

 

สีหน้าของพวกทหารระดับหัวหน้าจึงดูกระอักกระอ่วน

 

การที่ได้รับชัยชนะต่อเนื่องส่งผลให้การเกิดความที่ว่า ฝ่ายศัตรูนั้นอ่อนแอ และตรงจุดนั้นเองที่ทำให้ฝ่ายเราเกิดความย่ามใจ และพวกนั้นก็จะฉวยโอกาสนี้เพื่อโจมตี

 

มันเป็นกลยุทธพื้นฐาน

 

สิ่งสำคัญที่ทำให้กลยุทธนี้ได้ผล ก็คือ ชัยชนะเล็กน้อยที่ว่า จะต้องมีขนาดที่ใหญ่พอสมควร

มันคงไม่มีใครโง่ขนาดที่ว่า จะประมาทลดการ์ดลงเพียงเพราะชนะทหารสอดแนมแค่ร้อยคน

 

 

หรืออย่างน้อยๆ แกรนดยุค คอสสิโม เดอ เมดิชีก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นฃ

หนึ่งในทหารหัวหน้าพูดขึ้นมา

 

 

“ฝ่ายศัตรูกลัวว่า พวกเราจะไปร่วมทัพกับมิลาโน่ได้

พวกนั้นไม่แข็งแกร่งพอหากพวกเรารวมทัพได้แล้ว ข้าเชื่อว่า เจ้าพวกนั้นคงพยายามทำให้พวกเราคิดแบบนั้นกันอยู่ ”

 

“ทหารทุกนาย นี่ก็แปลว่า เจ้าพวกนั้นคิดว่า เรานั้นโง่เง่า”

 

“…….”

 

 

สิ่งนี้เองที่รบกวนใจพวกเขา

แกรนดยุคฟลอเรนซ์เองก็มิได้ประเมินลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ ไว้สูงนัก

แต่ก็มิได้ประเมินเธอไว้ต่ำด้วยเช่นกัน

 

เธอนั้นสามารถสร้างหน่วยทหารรับจ้างของเฮลเวติก้าให้กลายเป็นสายบัญชาการของตัวเอง

 

หน่วยทหารที่มีประวัติยาวนานมากกว่า 200ปี

 

ไม่มีทางที่หัวหน้าหน่วยทหารรับจ้างในตำนานแบบนั้นจะไม่ให้คำแนะนำใดๆกับลอร่า เดอ ฟาร์นาเซอยู่แล้ว

พวกนั้นน่าจะบอกให้เธอรู้ว่า การใช้ลูกเล่นแบบนี้มันคงไม่ได้ผลเท่าไหร่นัก

 

 

“เป็นไปได้หรือที่ผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพจักรวรรดิจะโง่กว่าที่เราคิดไว้อีก ? 

ยัยนั่นเป็นคนที่ไม่สนใจคำแนะนำของผู้ใต้บังคับบัญชาการจริงๆหรือ ……?”

 

“ฮ่าฮ่า ”

 

พวกทหารทั้งหลายต่างหัวเราะฮากัน

 

 

แต่หากแม่นั่นโง่เกินไปขนาดนั้น ก็ไม่มีทางเอาชนะพวกบริททานี่ได้หรอก

 

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วแสดงว่า ฝ่ายศัตรูมีจุดมุ่งหมายอื่นแฝงอยู่

แกรนดยุคยักไหล่ ขณะที่เหล่าทหารยังคงขำเรื่องก่อนหน้ากันอยู่

 

 

“ดูเหมือนพวกจักรวรรดิอยากให้เราหุนหันพลันแล่น แต่พวกเราไม่ยอมตกหลุมพรางนั่นหรอก

เรามาเสริมกำลังแนวตั้งรับที่ปิเอเซนซ่าด้วยรั้วไม้เถอะ ”

 

“ครับ ท่าน !”

 

 

 

สองวันผ่านไป

 

 

ทหารได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่

 

แกรนดยุคแห่งฟลอเร้นกำลังคิดถึงการรุกคืบเข้าโจมตีพาเวียในเร็ววันนี้

ตอนนั้นเองที่ผู้ส่งข่าวของแกรนดยุคก็มาถึงออฟฟิศ

 

 

“ด้วยความภักดีและเรืองโรจน์ชั่วกาลนาน กระผมมีรายงานครับ ”

 

“อื้ม ว่ามา”

 

 

แกรนดยุคที่นั่งอยู่บนโต๊ะพยักหน้าให้

 

 

อันที่จริงบุคคลที่มีฐานะต่ำกว่าหากต้องการจะมาเข้าพบผู้มีฐานะสูงกว่าจะแสดงมารยาทด้วยการเคาะประตูก่อนเข้าห้อง ;  แต่ถึงกระนั้นแกรนดยุคขอให้งดเว้นมารยาทแบบนั้นในกองทัพ

 

“เราได้รับรายงานว่า เกิดการปฏิวัติขึ้นที่พาเวีย ครับท่านครับ ”

 

“การปฏิวัติอย่างนั้นรึ ?”

 

ปากกาของแกรนดยุคหยุดกึก

 

เขาอยู่ระหว่างการเขียนรายงานเพื่อส่งบันทึกไปให้ราชวงศ์ แต่เขารู้ได้ในทันทีว่า ข่าวที่พึ่งได้ยินมานั้นสำคัญยิ่งกว่ารายงานธรรมดาๆที่กำลังเขียนอยู่

 

“บอกรายละเอียดมา ”

 

“ชาวเมืองในพาเวียที่ถูกจับเป็นนักโทษต่างหลบหนีครั้งใหญ่ 

เมื่อห้านาทีที่แล้ว มีชาวเมืองเจ็ดคนหนีมาที่ค่ายของเราครับ ”

 

“เรื่องรายงานข้าจะฟังระหว่างเดินไป พาข้าไปหาชาวเมืองพวกนั้น ”

 

แกรนดยุคฟลอเรนซ์ลุกขึ้นทันที

 

เขาคว้าผ้าคลุมมาห่มสวมและก้าวเท้าเร่ง

ผ้าคลุมของเขานั้นเป็นสีแดงแสดงถึงตระกูลเมดิชี

 

“เจ้าแน่ใจนะว่า พวกเขาใช่ชาวเมืองจริง ? มีโอกาสสูงมากที่พวกนั้นจะเป็นสปาย ”

 

 

“ทหารจักรวรรดิไล่ต้อนพวกนั้นมาจนถึงที่นี่ครับ”

 

“หืมม แล้วพวกนั้นได้ไล่ล่าระดับไหนกัน ?”

 

“พวกนั้นยิงธนูใส่ครับ

จริงๆมีชาวเมืองที่หลบหนีออกมาเก้าคน แต่ถูกยิงตายไปสองคน 

พวกเราเลยรีบส่งทหารฝ่ายเราไปขับไล่พวกทหารจักรวรรดิ ”

 

แกรนดยุคพยักหน้า

 

ทั้งทหารและผู้ติดตามต่างแหวกทางให้ในทันทีที่เห็นแกรนดยุคเข้าฮอลมา

 

เส้นทางแหวกเปิดออกสำหรับคนๆนั้น ทหารที่ยืนอยู่ทั้งสองฝั่งต่างก้มหัวแสดงความเคารพ

ผ้าคลุมสีแดงของแกรนดยุคลู่ไปกับพื้น

เขาสวมเสื้อคลุมยาวจนชายผ้าเลอะและรุ่ย

 

 

“ไปเรียก เซอร์เดอเรสมา

ให้เขาใช้เวทย์จับโกหก และเพื่อระบุตัวตนพวกนั้น”

 

“ท่านเซอร์เดอเรส ตอนนี้กำลังเดินทางมาครับ”

 

“ดีมาก ”

 

 

สองคนเดินเข้ามา ถึงที่หน้าสวน

ทั้งสองนั้นเป็นชาวเมืองที่พามาดูหวาดกลัวทุกอย่าง

พอพวกเขาได้นั่งเก้าอี้ที่ข้ารับใช้จัดหามาให้ก็เริ่มร้องไห้ออกมา

เหล่าทหารที่อยู่รายล้อมต่างทำสีหน้าปั้นยาก

 

ทั้งสองลุกขึ้นทันทีที่เห็นแกรนดยุค

และยังมีนักเวทย์ผู้สวมชุดคลุมสีน้ำเงินครามเดินด้วยฝีเท้าเร็วๆก้าวสั้นๆ

 

“ภักดีแด่ความรุ่งโรจ์ไปชั่วนิรันดร์ ”

 

“ได้ยินว่า เจ้าทำงานแต่เช้าตรู่ ตรวจสอบพวกเขาเรียบร้อยหรือยัง ?”

 

“ครับ ท่านครับ พวกเขาเป็นชาวเมืองพาเวียอย่างไม่ต้องสงสัยครับ”

 

นักเวทย์เฒ่าผู้นั้นเอนกายเข้ามาเพื่อกระซิบ

 

“พวกเขาบอกว่า จริงๆชาวเมืองพยายามหลบหนีน่ะมีเกือบสามร้อยคน ”

 

“แต่ตรงหน้าข้ามีแค่เจ็ดคน”

 

“……นั่นแสดงว่า เจ้าพวกนั้นมันไล่ตามกันจริงจัง

ท่านครับ, กระผมขอให้ท่านช่วยเยียวยาดวงวิญญาณที่น่าสงสารพวกนี้ด้วยเถิด

พาเวียตอนนี้กลายเป็นนรก ส่วนไอ้พวกทหารรับจ้างก็โหดเหี้ยมดั่งปีศาจร้าย

ชาวเมืองนั้นต้องเสียทั้งภริยาและลูกสาวไป ”

 

แกรนดยุควางมือบนหน้าผาก

 

 

“……เรื่องนั้นเราค่อยคุยกันทีหลัง

แต่ตอนนี้ พาแขกของพวกเราไปกินอาหารอุ่นๆ นอนที่นอนดีๆ ”

 

“โอ้ เมดิชี่ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ”

 

นักเวทย์ผู้นั้นส่ายหน้า

 

“แม้พวกเขาจะมิได้มีความสามารถใด , แต่กระผมจะแบ่งปันโพชั่นเพื่อให้พวกเขาฟื้นฟูกำลังวังชา

กระผมกล้าพูดไำด้เลยว่า ตราบใดที่พวกเขาล่วงรู้ถึงกำลังทหารและอาวุธของฝ่ายนั้น พวกเราก็ควรจะเอาข้อมูลนั้นมาใช้และหาทางรับมือ ”

 

แกรนดยุคถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เจ้ากำลังบอกว่า เราควรจะสืบสวนเหล่าผู้หลบหนีมาจากพาเวียทันทีอย่างนั้นรึ ?”

 

“ข้อมูลที่พวกเขามีมา สามารถทำให้เราได้รับชัยชนะครับ ท่านครับ

อาจจะไม่ใช่เรื่องของการเยียวยาจิตใจพวกเขาได้ หากแต่เป็นการแก้แค้นแทนพวกเขาด้วยครับ ”

 

“…….”

 

แกรนดยุคพยักหน้า ราวกับการพยักหน้านั้นเป็นการโน้มน้าวใจตัวเอง

 

 

การสอบสวนนั้นค่อยเป็นค่อยไปเมื่ออยู่ต่อหน้าแกรนดยุคหนุ่ม

มันไม่ใช่การสอบสวนนักโทษ หากแต่เป็นการถามคำถามต่อชาวเมืองท้องถิ่นหลังจากได้รับอนุญาตจากเจ้าตัวเอง

ชาวเมืองเหล่านั้นตอบด้วยน้ำตา ขณะที่ฝ่ายผู้ไต่ถามเองก็ถามด้วยความเคารพ

 

 

“มีทหารสามคนในบ้านข้า

คืนแรกพวกมันข่มขืนลูกสาวข้า …… ข้ากับลูกชายข้าก็พยายามหยุดพวกเขาไว้แต่มันเปล่าประโยชน์ …….แถมมันยังไปชวนทหารบ้านข้างๆมาด้วย แม้แต่ลูกสาวบ้านข้างๆเอง …….”

 

“ไอ้ระยำเอ๊ย !”

 

เจ้าหน้าที่ที่ทำงานอยู่ไม่อาจกลั้นข่มความโกรธไหว จึงตะโกนออกมา

 

แกรนดยุคและเหล่าทหารซาร์ดิเนียต่างพูดไม่ออกขณะที่รับฟังสิ่งที่ทหารจักรวรรดิสร้าง ‘ความบันเทิง’แก่พวกตน

พาเวียนั้นกลายเป็นนรกไปอย่างไม่ต้องสืบ ทั้งฆ่า ข่มขืน และเผาวางเพลิงท่ามกลางเสียงร้องไห้

 

“พวกผีบ้าเท่ามันทำลายเมืองตั้งแต่เมื่อคืน! พวกมันไม่สนด้วยซ้ำว่าจะกำแพงเมืองหรือบ้านคน พวกมัน พวกมัน —”

 

“เดี๋ยวก่อน ”

 

ดยุคฟลอเร้นยกมือขัด

 

“ศัตรูทำลายกำแพงเมืองอย่างนั้นรึ ?”

 

“ชะ ใช่ครับ พวกมันเผาทุกอย่างที่ขวางหน้า ”

 

“…….”

 

แกรนดยุคขมวดคิ้วเพราะมีอะไรบางอย่างกวนใจเขาอยู่ก่อนจะพูดกับตัวเอง

 

 

“……อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว นั่นคือ คำอธิบายในเรื่องนั้นนี่เอง ”

 

“ท่านครับ ?”

 

“พาคนเหล่านี้ไปพักดีๆล่ะ ”

 

แกรนดยุคเรียกเหล่าหัวหน้าทหารมาประชุม

 

พอทุกคนมาถึงพร้อมกันแกรนดยุคก็ออกคำสั่ง

 

“ทุกท่าน เราจะเดินทัพไปยังพาเวียในทันที !”

 

หัวหน้าทหารคนหนึ่งสะดุ้งทันทีที่ได้ยินคำสั่ง

 

“ท่านครับ , ท่านเพิ่งบอกว่า ให้พวกเราเสริมกำแพงแนวป้องกันให้แน่นหนาไม่ใช่หรือครับ ? 

พวกเราอยากรู้ทำไมอยู่ๆท่านเปลี่ยนใจ ”

 

“ข้ารู้แล้วว่า ทำไมพวกศัตรูถึงเอาแต่ส่งหน่วยทหารกองเล็กเพื่อไปสอดแนม ”

 

แกรนดยุคพูดด้วยความมั่นใจ

 

 

รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนหน้าของเขา

 

“พวกมันน่ะพยายามจะหนีออกจากการโดนล้อม !”

 

 

 

* * *

 

 

“ทำไมพวกเราถึงทำลายเมืองทิ้งทั้งที่พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะยึดมัน ?

แกรนดยุคจะต้องตั้งคำถามมาถึงจุดนี้แน่ ”

 

ลอร่ายิ้มที่มุมปาก

 

 

“พาเวียนั้นโดนห้อมล้อมด้วยกำแพงแข็งหนา

หากพวกเราต้องตั้งรับการปิดล้อมหลังกำแพง มันย่อมง่ายกว่าที่จะสู้กับทหารที่มีจำนวนสามหรือห้าหมื่นนาย

การทำลายกำแพงพวกนั้นทิ้งจะสร้างความสงสัยให้กับพวกนั้น …….”

 

ลอร่าแตะด้านหนึ่งของหัวตัวเอง

 

 

“แล้วตอนนั้นเอง แกรนดยุคก็จะนึกอะไรบางอย่างออก

เขาจะนึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องที่พวกเราส่งทหารสอดแนมออกไปไม่หยุดหย่อน

ทำไมพวกเราถึงต้องส่งทหารสอดแนมไปหาพวกเขาทั้งๆที่ก็เห็นๆอยู่ว่า สร้างความคุกคามอะไรไม่ได้เลย ?

แล้วทำไมพวกเราถึงเพิ่งมาทำลายกำแพงเมืองเอาตอนนี้ ? 

คำตอบของคำถามพวกนั้นก็คือ …….”

 

 

* * *

 

 

“ท่านครับ ที่บอกว่า กำลังโดนโอบล้อมหมายความว่าอย่างไรครับ ?”

 

“เรากำลังเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ผิดไป เราคิดแต่ในมุมของตัวเองแต่ลืมคิดในมุมของฝ่ายศัตรูของพวกเรา”

 

แกรนดยุคชี้ไปที่แผนที่

 

“ณ ตอนนี้ กองกำลังเรายังไม่ได้เข้าร่วมกับมิลาโน่ 

เพราะข้ากับดยุคมิลาโน่มีปัญหาไม่ลงรอยกันอยู่

แต่ไม่มีทางที่พวกศัตรูจะรู้เรื่องสถานการณ์ภายในของพวกเราตอนนี้ได้ ”

 

“…….”

 

“จากมุมมองของพวกนั้น พวกเขากำลังโดนกดดันจากทั้งสองฝั่ง

ทั้งฝ่ายมิลาโน่และปิเอเซนซ่า พวกเขาไม่ได้คิดว่า พวกเราเป็นสองทัพแยกกัน พวกนั้นเชื่อว่า เรากำลังร่วมมือกันเพื่อทำการปิดล้อมพวกนั้นไว้ ! แถมยังมีกำลังพลเหนือกว่ามาก

แล้วเจ้าคิดว่า ฝ่ายศัตรูจะโต้ตอบเรื่องนี้ยังไงล่ะ ?”

 

“……! พวกมันก็น่าจะพยายามถอยทัพนะครับ ท่าน!”

 

แกรนดยุคพยักหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความแน่วแน่และความเดือดดาล

 

“พวกเราเข้าใจผิดไป ทหารจักรวรรดินั้นมิได้พยายามกันท่าไม่ให้เราร่วมกองกำลังกับมิลาโน่

ที่พวกเขากำลังทำอยู่คือ การประวิงเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ”

 

“เข้าใจแล้วครับ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำไพวกเขาเอาแต่ส่งทหารหน่วยเล็กหน่วยน้อยมาขัดขวางพวกเราสินะครับ ”

 

พวกหัวหน้าทหารเข้าใจกันในที่สุด

 

“ชั่วขณะที่พวกนั้นตัดสินใจที่จะถอนทัพ มันจึงเปล่าประโยชน์ที่จะปล่อยให้เรายึดพาเวียคืน พวกมันจึงตั้งใจที่จะเผาทำลายให้เสียหายมากที่สุดเพื่อไม่ให้พวกเราใช้ประโยชน์จากพาเวีย ”

 

 

“ท่านครับ หรือท่านกำลังจะบอกว่า พวกศัตรูกำลัง ……?”

 

“ค่อนข้างจะเป็นไปได้สูงเลยล่ะ พวกเขากำลังพยายามที่จะใช้กลยุทธถอนทัพ”

 

แกรนดยุคกำหมัดแน่น

 

“ตอนนี้ศัตรูมีเพียงสองทางเลือก !

ทางหนึ่ง คือ เอานักโทษหนึ่งหมื่นห้าพันคนไปด้วยพร้อมๆกัน หรือพวกเขาจะฆ่าทิ้งทั้งหมด ”

 

“พวกนั้นจะทำถึงขนาดนั้นหรือครับท่าน ……?”

 

“ยิ่งกว่าเป็นไปได้เสียอีกสำหรับมนุษย์ที่ชั่วร้ายที่คิดว่า พวกนักโทษชาวเมืองเป็นดั่งหินถ่วงเท้า”

 

หัวหน้าทหารครุ่นคิดสักพัก

 

“ท่านครับ หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเราก็ควรที่จะเร่งไปที่พาเวียโดยด่วน”

 

“แน่นอน หากเจ้าพวกนั้นหนีไปพร้อมนักโทษ ที่เราต้องทำก็แค่แหวกแนวหลังเจ้าพวกนั้นไป

 

หากพวกนั้นเลือกฆ่าพวกนักโทษ…… การฆ่าคนหนึ่งหมื่นห้าพันคนไม่ใช่งานที่ทำได้ง่ายๆ

ใช้เวลาอย่างน้อยก็หลายวัน

แถมยามเมื่อที่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย ชาวเมืองก็จะดิ้นรนสู้สุดชีวิตด้วย ”

 

แกรนดยุคทุบโต๊ะด้วยกำปั้น

 

“ในทางกลับกัน ตอนนี้ทหารของศัตรูอยู่ระหว่างความวุ่นวายแล้ว

นี่เป็นโอกาสดี ! ถ่ายทอดคำสั่งไป ! 

เราจะเดินทัพสู่พาเวีย !”

 

 

* * *

 

 

“พวกเราจะทิ้งพาเวียแล้วถอยหนีไป

นั่นเป็นข้อสรุปที่แกรนดยุคสรุปได้

และเขาจะคิดถึงความเป็นไปได้สามทาง ”

 

ลอร่าอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

 

“หากเราอาจหนีไปพร้อมนักโทษ ซึ่งพวกเขาก็จะใช้โอกาสนี้จู่โจมพวกเรา ระหว่างที่กำลังวุ่นอยู่กับการจัดการนักโทษ

 

หากเราประหารนักโทษระหว่างถอยไปด้วย พวกนั้นจะพยายามหยุดเรา

 

และหากเราทิ้งนักโทษไว้ แกรนดยุคก็จะกลายเป็นผู้ปลดปล่อยให้ชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ทั้งหนึ่งหมื่นห้าพันเป็นอิสระ

 

ไม่ว่าจะในกรณีไหน ก็ไม่แย่เลยสำหรับแกรนดยุค …….”

 

ลอร่าชี้ไป ณ จุดหนึ่งของแผนที่

 

“เราจะทุ่มกำลังทั้งหมดในการสกัดทัพแกรนดยุคที่พยายามไล่ตามเรา ! 

นี่จะเป็นศึกที่จบในม้วนเดียว ! 

พรุ่งนี้จะเป็นวันที่กองทัพของแกรนดยุคฟลอเร้นจะถูกกวาดล้าง !”

 

 

ผมมองไปที่ลอร่าแล้วยิ้มออกมา

 

ลอร่าประกาศชัดแล้วว่า เธอจะเปลี่ยนพาเวียให้กลายเป็นขุมนรก แต่พาเวียมิใช่สถานที่เดียวหรอกนะที่กลายเป็นนรกน่ะ 

ทั่วทั้งราชอาณาจักรซาร์ดิเนียกำลังจะได้เป็นนรกร่วมกันด้วย

 

ผมทำนายเลยว่า ผู้คนแห่งซาร์ดิเนียจะจงเกลียดจงชังชื่อของ ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ่ ยิ่งกว่าชื่อจอมมารตนใดๆเสียอีก …….

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด