Dungeon Defense (WN) 68 สองแผนร้าย(9)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 68 สองแผนร้าย(9) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 “เอาล่ะ เอาออกไปเพิ่มอีกหน่อยดีกว่า……อ้อ แต่ก่อนหน้านั้นขอให้ข้าดื่มดับกระหายสักหน่อยก่อน”

 

ดันทาเลี่ยนจิบไวน์ในแก้วตัวเอง การที่เขาเอาชนะข้อแก้ต่างแรกได้มันทำให้เลือดของดันทาเลี่ยนสูบฉีด บาร์บาทอสมองเขาอย่างไม่พอใจนัก

 

“คำพูดของเจ้าอาจฟังดูมีเหตุผล แต่ก็มีช่องโหว่อยู่ โหว่อย่างกับรูบนสวิสชีส แล้วถ้าหากมีไอ้บ้าห่าเหวในฝ่ายภูเขามันคลั่งขึ้นมาล่ะ? แบบที่มันไม่สนเลยว่าจะได้ประโยชน์อะไรในฝั่งตัวเอง แล้วยังมาจัดแผนการใหญ่โตเพียงเพื่อจะกวนเจ้าล่ะ ดันทาเลี่ยน?”

 

ดันทาเลี่ยนผงกหัว

 

“แน่นอนว่า ข้าคิดถึงในกรณีที่ผู้บงการนั้นมีเหตุผลในการกระทำนั้น”

 

“ใช่เลย แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอก จอมมารครึ่งหนึ่งพวกแม่งก็บ้ากันทั้งนั้น เป็นความจริงที่น่าเจ็บปวด มีโอกาสที่เจ้างั่งบาเรี่ยลจะทิ้งรอยนั่นไว้บนศพของริฟด้วยตัวเองเพราะอาจจะโง่หรืออาจจะสติแตกไปเลยก็ได้…….”

 

“หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ท่านอยากจะพึ่งพาคำว่า ‘เหตุบังเอิญ’ ใช่ไหม?”

เธอเงียบทันที

 

ดันทาเลี่ยนหมุนแก้วแล้วของเหลวสีแดงที่อยู่ในนั้นก็ไหลวนไปวนมา

 

“ไม่ว่า ข้าจะคำนวนอย่างดีแล้วว่าท่านนั้นเป็นคนร้ายตัวจริง หรือข้าอาจจะแค่หลงผิดคิดมโนไปเอง หรือแค่บังเอิญข้ามั่วเลือกท่านเป็นคนร้าย 

 

ถึงอย่างนั้นข้าก็ได้นำไวน์เบเลอปี 505 มา ก็เพราะข้าไม่มั่นใจในข้อสันนิษฐานอนุมาน และได้ใช้มันเป็นเครื่องยืนยันว่า ที่ข้าคิดนั้นถูกหรือไม่

……บาร์บาทอส ท่านแนะนำให้มีการดวลนี้ขึ้นเพื่อยืนยันสิ่งนี้ไม่ใช่หรืออย่างไร 

 

แล้วตอนนี้ท่านก็กำลังพยายามจะแย้งด้วยการใช้อะไรที่ไร้เหตุผลแบบนั้น”

 

เขามองตรงไปยังบาร์บาทอส

 

 

“หากเป็นอย่างที่ท่านว่า คงมีไอ้บ้าโรคจิตสักคนที่ทำตัวแบบไร้เหตุเหนือผล รอยสัญลักษณ์ที่ทิ้งไว้บนศพริฟมันก็เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ เอาอย่างนี้ดีไหมล่ะ? 

ลำดับ 7 อามอน(Rank 7 Amon) ก็มีพลังตาทิพย์ด้วย ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ในงานราตรีวัลเพอกีส ก็มีโอกาสที่จะเฝ้าดูการพิจารณาคดีด้วยพลังของเขา ถูกไหมล่ะ?”

 

“นั่นมัน…….”

 

“หากเราจะรวมอามอนไปในรายชื่อผู้ต้องสงสัย ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ไม่ได้มีแค่ จอมมาร32 ตน แต่เป็น 33 ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม อามอนต้องมาสนใจข้านัก ที่อยู่อันดับ 71 และมาจัดฉากเบเลี่ยล ลำดับ 68 แต่อามอนก็อาจทำแบบนั้นเพราะเขาบ้าไปแล้ว”

 

ดันทาเลี่ยนหัวเราะเอิ้ก

 

“ไม่ใช่สิ มันก็มีโอกาสที่ข้าเป็นเป็นผู้ทำหลักฐานปลอมนั่นขึ้นมาเอง เพราะข้าอยากจะก่อกวนท่านอย่างไม่มีเหตุไม่มีผล หลังจากที่ข้าสร้างตราสัญลักษณ์ขึ้นมาบนศพริฟด้วยตัวเองแล้วน่ะ 

แหม อย่างน้อยๆนี่ก็ฟังดูเป็นไปได้มากกว่าให้อาม่อนเป็นผู้ต้องสงสัยนะ”

 

บาร์บาทอสไม่ตอบอะไรกลับไป

 

เขาถามเธอว่า เธอต้องการที่จะปฏิเสธเป้าหมายของการดวลครั้งนี้ไหม เขารู้อยู่แล้วว่า การโต้แย้งว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความบังเอิญนั้นมีอยู่ แต่ถึงอย่างนั้น หากเธอเลือกที่จะหักล้างด้วยวิธีนั้นจริง เป้าหมายแรกเริ่มเดิมทีทั้งหมดที่ไม่คิดว่า เป็นแค่เพราะโชคดี มันจะไปอยู่ที่ไหนซะล่ะ? เธอต้องการที่จะทำลายการดวลนี้ทิ้งด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ? 

 

 

“ขอโทษ มันเป็นความผิดของข้าเอง”

 

เธอยอมรับมันอย่างจริงใจ นี่ไม่ใช่ละครสืบสวนที่มาเที่ยวขุดคุ้ยความจริงอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง 

 

มันคือ การดวลที่มีกติกาและเป้าหมาย บาร์บาทอสนั้นถอนใจเมื่อเธอตระหนักได้ว่า ตัวเธอเองนั้นหลงลืมสิ่งที่เป็นพื้นฐานสำคัญไป เธออาจแค่รู้สึกสิ้นหวังที่เห็นรายชื่อผู้ต้องสงสัยโดนขีดฆ่าออกไป

 

ดังนั้นข้อโต้แย้งล่าสุดก็เป็นอันตกไป

 

ดันทาเลี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ต่อไปก็ ข้าจะขีดฆ่ารายชื่อของฝ่ายที่ราบออกทั้งหมดจากรายนามผู้ต้องสงสัย แน่นอนว่า ยกเว้นท่านนะ”

 

“อะ-อะไรวะ!?”

 

ดวงตาของบาร์บาทอสเบิกกว้าง ในบรรดาผู้ต้องสงสัยทั้ง 14ที่เหลือ 9คนนั้นเป็นของฝ่ายที่ราบ หากไม่นับบาร์บาทอสแล้วตัดรายชื่อ 8 คนออก บนรายชื่อทั้งหมดก็จะเหลือผู้ต้องสงสัยเพียง 6 คนเท่านั้น! ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องป้องกันไว้ให้ได้!

 

“เฮ้ย มันจะตลกเกินไปแล้ว!”

 

“ไม่เลย มันเป็นไปได้ ฝ่ายที่ราบนั้นถูกลบออกจากรายชื่อด้วยเหตุผลง่ายๆเพราะพวกเขาเป็นฝ่ายที่ราบ”

 

ดันทาเลี่ยนพูดต่อ

 

“สมาชิกทุกคนของฝ่ายที่ราบที่เข้าร่วมการพิจารณาคดีรู้ดีอยู่แล้วเรื่องที่ท่านต้องการจะปกป้องข้าน่ะ บาร์บาทอส 

พวกเขายังรู้ด้วยว่า ท่านน่ะพาข้าไปเที่ยวทัวร์รอบเมืองหลังการพิจารณาคดีจบลง แล้วทีนี้ลองมาคิดดูว่า ถ้าหากสมาชิกในฝ่ายที่ราบนั้นเป็นคนทิ้งสัญลักษณ์นั้นไว้บนศพของริฟล่ะ

พวกเขาจะทำแบบนั้นไปทำไม!”

 

ดันทาเลี่ยนถามตัวเองออกมาดังๆ

 

 

“หากเบเลี่ยลเป็นผู้ลงมือจริง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเปิดโอกาสให้ผมเอาคืนได้หรอก 

ไพมอนที่แพ้การพิจารณาคดีในงานเมื่อหลายวันก่อน เหล่าสมาชิกของฝ่ายภูเขาก็ต้องบุกโจมตีดันทาเลี่ยนอย่างไม่เกรงใจทันทีหลังจากพิจารณาคดีจบ

เพิ่มเติมเรื่อง สมาชิกฝ่ายที่ราบมีหลักฐานเรื่องนี้เข้าไปอีกล่ะ?  

 

……ถ้าพวกเขารู้จักใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ให้ดี พวกเราก็สามารถจะซัดตูมใหญ่ใส่ฝ่ายภูเขาได้สบายๆ”

 

แต่ถึงอย่างนั้นฝ่ายที่ราบกลับยังคงอยู่เงียบๆ

 

พวกเขาแค่พอใจกับการทิ้งสัญลักษณ์บนศพของริฟ ฝ่ายที่ราบไม่ได้มีปฏิกริยาอะไรทั้งเดือน หรืออย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ควรจะเข้าหาดันทาเลี่ยนแล้วแนะนำให้คิดบัญชีกับพวกฝ่ายภูเขา

 

“การกระทำสองอย่าง ‘หวังทำร้ายฝ่ายภูเขา’ และ ‘ไม่โจมตีฝ่ายภูเขา’ สองอย่างนี้มันขัดแย้งกัน ดังนั้นจึงได้ข้อสรุปข้อเดียว พวกเขาแม้จะอยากโจมตีฝ่ายภูเขาแต่ไม่สามารถทำได้ 

เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่า บาเรี่ยลเป็นผู้บงการเรื่องนี้!”

 

ดันทาเลี่ยนเร่งเสียงขึ้น

 

“ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงจัดฉากเบเลี่ยล ทำไมกันล่ะ? 

ทำไมถึงต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากซับซ้อนอย่างการจัดฉากเบเลี่ยลล่ะ? 

เหตุผลอะไรที่ต้องลงทุนลงแรงจัดแผนยิ่งใหญ่เพียงเพื่อจัดฉากจอมมารดาดๆ ลำดับ 68 ด้วย?

 

ข้อโต้แย้งก่อนหน้าก็ระบุไว้ชัดแล้ว เพราะพวกเขานั้นอ่อนแอกว่าเบเลี่ยล แต่อย่างไรก็ดี”

 

ดันทาเลี่ยนชี้ไปที่รายชื่อแผ่นใหญ่ด้วยนิ้วชี้

 

“ก็อย่างที่ท่านเห็น ไม่มีสมาชิกฝ่ายที่ราบคนไหนที่ลำดับต่ำกว่า เบเลี่ยล!

แม้แต่สมาชิกที่มีลำดับต่ำที่สุดของฝ่ายที่ราบก็ยังคงเป็น ลำดับที่ 50 เฟอร์คาส(Rank 50 Furcas) แถมยังห่างถึง 18 ลำดับ ข้านึกไม่ถึงเลยว่า บุคคลนั้นน่ะจะปล่อยให้อำนาจการแก้แค้นอยู่ในมือข้า ดันทาเลี่ยนจอมมารที่อ่อนแอที่สุด”

 

“ข้าคัดค้าน!”

 

บาร์บาทอสขบฟัน

 

“เจ้าตั้งทฤษฏีขึ้นจากแนวคิดว่า เป้นหมายของฝ่ายที่ราบนั้นคือ การจัดฉากใส่ร้ายบาเรี่ยลเพียงอย่างเดียว! นั่นเป็นสิ่งไร้สาระที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมา หากจะมีฝ่ายที่ราบที่มีเป้าหมายแน่ชัดระดับนั้นไม่มีทางที่จะมุ่งไปที่บาเรี่ยลคนเดียว หากแต่จะต้องเป็นทั้งฝ่ายภูเขา! 

 

ไม่สำคัญว่า ระดับจะต่างกันแค่ไหนในลำดับแต่ก็ยังมีเหตุผลอยู่มากมายที่ทำให้ต้องจัดฉากเบเรี่ยลเพราะเขาอยู่ในฝ่ายภูเขา”

 

“ข้าค่อนข้างเห็นด้วยมาก”

 

ดันทาเลี่ยนหัวเราะ เขายังคงพูดต่อทันที ก่อนที่บาร์บาทอสจะไม่พอใจกับเสียงหัวเราะของเขา

 

“ก็อย่างที่ท่านพูดนั่นแหละ เบเลี่ยลนั้นไม่ใช่เป้าหมายของฝ่ายที่ราบหรอก พวกเขาเล็งเป้าไปที่ฝ่ายภูเขาทั้งฝ่ายต่างหาก แต่ขอถามอย่างหนึ่ง

 

แต่จะต้องมีอำนาจขนาดไหน จอมมารถึงสามารถโจมตีฝ่ายภูเขาได้โดยที่ไม่ต้องใช้หลักฐานล่ะ!”

 

“……!”

 

บาร์บาทอสแทบหยุดหายใจ

เธอพลาดท่าเสียแล้ว

 

ดันทาเลี่ยนทำให้เธอยอมรับว่า

 

‘หากฝ่ายที่ราบจัดฉากเบเลี่ยลจริงๆแล้วล่ะก็ บุคคลนั้นต้องมีอำนาจมากพอที่จะเผชิญหน้าคุกคามพวกฝ่ายภูเขาทั้งฝ่ายได้แม้ไม่มีหลักฐาน และหากเป็นอย่างนั้น⎯⎯

 

“มันก็สมดังชื่อนั่นแหละ ฝ่ายภูเขาอาจจะเป็นฝ่ายที่ดูยิ่งใหญ่ แต่หนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถจัดการฝ่ายภูเขาทั้งฝ่ายได้ ก็คือฝ่ายที่ราบ 

ท่ามกลางเหล่าสมาชิกทั้งหลายเหล่านั้นมีจอมมารเพียงตนเดียวที่ทำให้ทั้งฝ่ายที่ราบเคลื่อนไหวได้”

 

ดันทาเลี่ยนชี้ไปที่เธอ

 

หัวหน้าของฝ่ายที่ราบ ผู้ชิงชังฝ่ายภูเขามากที่สุด

 

“มีแค่ท่านคนเดียวเท่านั้นแหละ บาร์บาทอส”

 

“…….”

 

เธอเพิ่งตระหนักได้ว่า ตัวเองถูกดันเข้าไปติดมุม

 

จากผู้ต้องสงสัยทั้ง 32 ในตอนแรก ต่อมาไม่นานเหลือ 14 และก็ตัดออกออกไปจนเหลือลูกศรที่ชี้มาทางเธอเพียงคนเดียว สถานการณ์เปลี่ยนไปได้หากฝ่ายที่ราบเป็นผู้ร้ายตัวจริง ก็มีแค่บาร์บาทอสเท่านั้นแหละที่เป็นคนต้นคิด

 

 

“……เฮะ”

เธอหัวเราะออกมา

 

บาร์บาทอสนั้นยังคงรู้สึกได้ว่า ดันทาเลี่ยนจะชนะการดวลครั้งนี้ ญาณหยั่งรู้ของเธอนั้นช่วยชีวิตเธอไว้นับครั้งไม่ถ้วน 

 

แม้จะยังมีข้อคัดค้านเหลืออยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไร ในการโต้เถียงอันแสนสิ้นหวังนี้ สุดท้ายแล้วดันทาเลี่ยนจะจบลงด้วยชัยชนะอยู่ดี นั่นคือ สิ่งที่เธอคิด

 

บาร์บาทอสนั้นเฝ้าแสวงหาการต่อสู้ด้วยการเดิมพันเกียรติยศศักดิ์ศรีอยู่เสมอ

 

ในฐานะจอมมาร เกียรติยศนั้นคือ การที่พิชิตโลกมนุษย์ได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอจึงยืนอยู่แนวหน้าของพันธมิตรเสี้ยวจันทรา แม้จะพ่ายแพ้มานับครั้งไม่ถ้วน เธอก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปด้วยเชื่อว่า เกียรติยศในท้ายที่สุดนั้นยังรอเธออยู่ปลายเส้นทาง มันไม่สำคัญเลยว่า จะจบลงที่ได้รับชัยชนะหรือความตาย

 

ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการต่อสู้เท่านั้น การต่อสู้อันทรงเกียรติ

 

 

แม้จะผ่านไป 2,000ปี เธอก็ยังไม่สามารถสัมผัสถึงความปรารถนาดังกล่าวได้ พันธมิตรเสี้ยวจันทรานั้นแตกเป็นเสี่ยงๆด้วยความขัดแย้งภายในครั้งแล้วครั้งเล่า

 

ไร้ซึ่งความภาคภูมิโดยสิ้นเชิง ความขี้ขลาดและหวาดกลัว ความอิจฉาและริษยากัน เหนือไปกว่านั้นคือ ความโง่เขลาที่มีอำนาจสูงสุด สหายศึกของเธอค่อยๆอ่อนล้าลง พวกเขาหันหลังให้และบางส่วนก็จากไป

 

มันยากสำหรับเธอที่จะไม่รู้สึกเหนื่อยล้า

‘ถ้าหากเป็นเจ้าหมอนี่’

ปลายมุมปากบาร์บาทอสยกขึ้น

 

ถ้าหากชายคนนี้อยู่ฝั่งเดียวกับเธอ เธออาจจะได้รับมันทั้งหมด เธอสามารถทนได้อีก 2,000 ปีด้วยซ้ำ

 

ผิดกับตัวเธอที่ขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณและญาณหยั่งรู้ ดันทาเลี่ยนนั้นจะช่วยสนับสนุนพันธมิตรเสี้ยวจันทราด้วยสติปัญญาและความมากเล่ห์เพทุบาย บางทีความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่อย่างมหาสงครามที่เธอเคยเฝ้าฝันมาตลอดอาจมาอยู่ตรงหน้าเธอก็เป็นได้

 

แต่ก่อนหน้านั้นต้องทดสอบเขาเป็นอย่างสุดท้ายก่อน

 

ลองทำลายข้อโต้แย้งนี้ดูสิ ข้าจะทดสอบว่า เจ้าคู่ควรต่อการสนับสนุนของจอมมารที่มีกองทัพนับหมื่นไหม

 

 

“พล่ามอะไรไร้สาระ!”

 

บาร์บาทอสสบถออกมา มีรอยยิ้มสุดสนุกปรากฏบนหน้าของเธอ

 

 

“ข้อสมมุติฐานของแกนั่น มันตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า ฝ่ายที่ราบนั้นเป็นผู้บงการ! โธ่เอ๊ย! แม้ฝ่ายภูเขากับฝ่ายที่ราบจะไม่ลงรอยกัน แต่ก็ยังมีผู้ต้องสงสัยเหลือ 6คนไง! รวมข้าไปด้วยก็ยังมีเหลือ 6คน!”

 

เธอโบกมือ เสียงกร่อบแกร่บดังขึ้นอีกครั้ง รายชื่อของฝ่ายที่ราบทั้งหมดถูกขีดฆ่าชื่อ เหลือแค่บาร์บาทอสที่ยังอยู่

 

“ข้าขอชมเจ้าจากใจจริงเลยที่สามารถลดผู้ต้องสงสัยจาก32ให้เหลือ6ได้! 

แต่ถึงอย่างนั้น แล้วเจ้าจะกาหัวว่า เป็นข้าจาก 6 นั่นได้อย่างไร? 

ยังมีฝ่ายที่เป็นกลางที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอีกด้วย มันมีโอกาสที่หนึ่งในนั้นจะทิ้งรอยไว้บนอกของริฟ เพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างฝ่ายภูเขาและฝ่ายที่ราบด้วยไม่ใช่รึไง”

 

เธอกำหมัด

 

 

“นอกเหนือจาก 6 ผู้ต้องสงสัย ยังมีคนหนึ่งที่อ่อนแอกว่าเบเลี่ยล นั่นคือ ลำดับที่70 ซีเร่! (Rank 70 Seere) 

อย่างที่เจ้าเคยบอกไว้ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปทำ ‘สิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อนน่าเหนื่อยหน่าย’ มีเพียงผู้อ่อนแอเท่านั้นที่จะมาพึ่งพาแผนเพื่อคุกคามผู้แข็งแกร่ง 

ดังนั้นแล้ว นี่แหละเป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับอะไรบางอย่างจากการฉวยโอกาสสร้างความร้าวฉานกันระหว่างเจ้า กับเบเลี่ยล ยิ่งไปกว่านั้น!”

 

บาร์บาทอสชี้นิ้วไปบนสุดของรายชื่อ

 

 

“หัวหน้าของฝ่ายกองกำลังเป็นกลาง ลำดับที่ 5 มาร์บาส(Rank 5 Marbas)

 

ตาแก่นั่นไม่ชอบทั้งฝั่งภูเขาและทั้งฝั่งที่ราบมาเนิ่นนานแล้ว หากเป็นชายแก่คนนั้นคงไม่ลังเลที่จะจัดฉากใส่ร้ายฝ่ายภูเขาโดยไม่ต้องมีหลักฐานด้วยซ้ำ! เขาจะไปสนใจอะไรทำไมล่ะ! ก็ในเมื่อเขาแค่อยู่เฉยๆฝ่ายเป็นกลางก็แข็งแกร่งขึ้นในขณะที่อีกสองฝักฝ่ายมัวแต่ยุ่งวุ่นกับการตีกันเองน่ะ!”

 

เธอยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

 

 

ดันทาเลี่ยนตอนนี้ตรรกะอยู่สองอย่าง

 

‘ไม่มีเหตุผลที่ระดับสูงๆนั้นจะมาจัดฉากให้ร้ายเบเลี่ยล’ 

และ

‘ไม่มีเหตุผลที่ระดับต่ำๆนั้นจะคุกคามทำร้ายฝ่ายภูเขา’

 

เมื่อมันออกมาในรูปนี้ แม้แต่ลำดับ 70 ซีเร่ก็อยู่ในกรณีหลัง ส่วนลำดับ 5 มาร์บอสเองก็ด้วย รวมถึงบาร์บาทอสอย่างน้อยก็ยังมีเหลือ 3 ผู้ต้องสงสัย

 

“แล้วทำไมถึงเป็นข้า บาร์บาทอสเล่า ทั้งที่ยังมีผู้ต้องสงสัยอื่นอยู่!?”

ความตื่นเต้นของเธอนั้นแทบท่วมทะลักออกมา

 

 

“เจ้าคิดว่า จะเอาชนะข้าได้รึไง!?”

หัวใจของเธอนั้นเต้นเสียงดัง

 

 

“แสดงศักยภาพของเจ้าออกมาซะ!!”

น้ำเสียงของเธอสะท้อนผ่านห้องโถงอันกว้างใหญ่ สะท้อนดังไปจนถึงเพดานที่สูง เดธไน้ท์ทั้ง 500 ตน ที่รับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นของผู้เป็นเจ้านายจึงหอนขึ้น พวกเขากำสลับคลายมือราวกับอยากจะขยี้สารเลวผู้ยโสโอหังให้แหลกคามือ ในทันทีที่ได้รับคำสั่งจากเจ้านาย

 

วังของจอมมารบาร์บาทอสนั้นเต็มไปด้วยความกระหายเลือด พอตัวเธอเองนั้นเริ่มเครื่องติดขึ้นมา ประสาทสัมผัสรับรู้ก็จดจ่ออยู่ที่สิ่งๆเดียว นั่นคือ ริมฝีปากของดันทาเลี่ยน 

เขาจะหักล้างเจ้าสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน? 

ไม่สิ แม้มันจะเป็นไปได้ก็ตาม แต่เขาจะหักล้างมันได้ยังไงล่ะ ด้วยวิธีไหนกัน?

 

ริมฝีปากของเขาขยับ

 

“ยังมีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่เรามองข้ามไป มันเป็นความจริงที่สำคัญมากเสียด้วย”

น้ำเสียงสงบแผ่ออกไปในวังจอมมาร

 

 

“ต่อคำถามที่ว่า ใครคือ ผู้ฆ่าริฟ”

 

“…….”

บาร์บาทอสนั้นแน่นิ่งไป

 

“อีกทั้งคำถามว่า สัญลักษณ์บนศพของริฟนั้นมีขึ้นเมื่อไหร่ เพราะเมื่อพบศพแล้วก็มีเวทย์ที่ร่ายไว้เพื่อป้องกันสัตว์และแมลงมากิน ผู้ต้องสงสัยนั้นได้ร่ายเวทย์แบบเดียวกันไว้รอบข้างเช่นเดียวกับที่ร่ายใส่ศพด้วย”

เธอยืนนิ่ง และคิดในขณะที่ยังมองริมฝีปากนั่นขยับไม่หยุด

 

อ่า

้ข้าเข้าใจแล้ว

มันเคยเป็นเช่นนั้นเอง

 

 

“ใครกันที่ฆ่าริฟแล้วร่ายเวทย์นั่น? มันง่ายมาก แทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ในปาร์ตี้นักผจญภัยของเขา มีสองคนที่หนีรอดไปได้ ริฟและนักเวทย์ที่รู้ที่มา นักเวทย์คนนั้นฆ่าริฟและทำสัญลักษณ์บนศพของเขา ทั้งยังร่ายเวทย์รอบๆร่างอีก”

 

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นี่คือ การต่อสู้ที่แท้จริงที่เธอตามหามาตลอด 2,000 ปี

 บทสรุปของทุกสิ่งที่เธอต้องการ

 

 

“คำถามต่อไป นักเวทย์คนนั้นเป็นใคร? ผมพยายามหาข้อมูลจากสมาคมนักผจญภัยในเมืองที่ริฟพักอยู่ แต่กลับไม่ปรากฏถึงข้อมูลนักเวทย์ที่ริฟจ้างในเอกสารเลย พวกเขาไม่ได้เซ็นสัญญากับหอคอยนักเวทย์ การมีตัวตนอยู่ของบุคคลนั้นจึงมีกลิ่นน่าสงสัยเหม็นโฉ่”

แม้ที่นี่จะไม่ใช่สมรภูมิรบที่เต็มไปด้วยเหล็กคมและเลือดที่สาดกระจาย เธอจะได้ประสบการณ์แบบนั้นจากที่นี่อย่างนั้นหรือ?

 

“นักเวทย์ที่ดูเหมือนกับเป็นนักเวทย์สี่วงเวทย์ หรือพูดสั้นๆว่า เป็นนักเวทย์ระดับสูง ปัญหาคือ สีของมานานักเวทย์คนนั้นเป็นสีดำ เมื่อหันมาดูผู้ต้องสงสัยทั้ง 6 ราย อาจจะเป็นไปได้ว่า ผู้ต้องสงสัยอาจเป็นจอมมารที่ยังมีตัวตนอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน ซึ่งมันก็ง่ายมากที่จะหาข้อมูล ทั้งตัวพวกเขาและข้ารับใช้”

 

เธอเชื่อว่า มันผ่านมานานมากแล้ว

 

 

“ในหมู่พวกเขา มีราว170คนที่เป็นนักเวทย์ 21คนนั้นเป็นนักเวทย์ระดับสูงกว่า นักเวทย์ระดับสี่วงเวทย์ 

และนอกจากนั้นมีเพียง 3 คนที่มีมานาสีดำ 

 

พอรายชื่อนี้มันน้อยลงก็จริงแต่ก็ยังมีปัญหาอยู่อีกอย่าง ทั้งสามนั้นไม่ใช่มนุษย์  นักเวทย์ที่อยู่กับริฟนั้นชัดเจนโดยไม่ต้องสงสัยว่าเป็นมนุษย์เพศหญิง แล้วมันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรกัน? 

หากเราเปลี่ยนวิธีคิดแบบนี้ล่ะ อ่า”

 

เธอเชื่อว่า ตัวเธอเองนั้นอดทนได้ดีพอสมควร

 

 

“คนๆนั้นใช้เวทย์ปลอมแปลง เวทย์ปลอมแปลงนั้นเป็นเวทย์ที่สูงกว่าระดับเจ็ดวงเวทย์ ฮ่าช์! แค่นั้นไง ทุกอย่างมันก็ง่ายขึ้น จาก170นักเวทย์ เหลือเพียง 3 คนที่เหนือกว่าระดับ หกวง”

 

เธอไม่เคยมีเพื่อนที่สามารถพูดคุยได้อย่างสบายใจมาก่อนเลย เธอนั้นต้องอยู่ฝ่าไปท่ามกลางการสาดโคลนและความขัดแย้งทางการเมืองในขณะที่นำกองกำลังฝ่ายก็เริ่มเสื่อมถอย

เธอย้อนระลึกถึงวันเวลาพวกนั้นที่ผ่านไปแล้ว บาร์บาทอสมองไปยังชายตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

 

“หลังจากที่เหลือเพียง 3 คน หนึ่งในนั้นเป็น อาร์คเมจที่มีมานาสีดำ”

 

ดันทาเลี่ยนยิ้ม

 

 

“ท่านนั่นเอง”

 

 

เงียบเชียบ

 

ภาวะอันนิ่งงันไหลทั่ววังจอมมาร

ดันทาเลี่ยนไม่เห็นสีหน้าของบาร์บาทอสอีกต่อไป เธอก้มหน้าลงโดยที่เขาไม่ทันสังเกต

 

เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว เวลาผ่านไปสักพักก่อนที่เธอจะเริ่มขยับมือขวาอย่างเชื่องช้า

 

5 ชื่อที่เหลือถูกขีดฆ่าทิ้ง

 

ลำดับ 8 บาร์บาทอส

มีเพียงชื่อของเธอเท่านั้นที่ยังคงอยู่

 

“ฟิ่ววว”

 

ดันทาเลี่ยนถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาสามารถหักล้างข้อโต้แย้งที่สามและเป็นข้อโต้แย้งสุดท้ายลงได้ บางสิ่งที่คล้ายกับอาการหลังจากออกกำลังกายอย่างหนักได้แพร่ออกไปทั่วทั้งร่างกาย

 

แค่คิดถึงภาพของ เดธไน้ท์ แค่คิดถึงภาพว่า มอนสเตอร์ระดับแร๊ง A จำนวน 12 ตัว จะช่วยเขาได้มากขนาดไหน มันก็ทำให้เขายิ้มออกมาได้แล้ว

 

 

“เอาล่ะ เกิดอะไรขึ้นน่ะ เห็นเงียบมาก่อนหน้านี้แล้ว ข้าคิดไว้บ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดออกทั้งหมดในทันทีหรอกนะ”

 

“…….”

 

“ดังนั้นไม่ต้องให้มากขนาดนั้นก็ได้ ฮ่าฮ่า เอาจริงๆนะ เดธไน้ท์ 12 ตัวนี่ออกจะหือ……? บาร์บาทอส?”

 

จู่ๆดันทาเลี่ยนก็หยุดไป หัวของเธอยังคงก้มอยู่ บาร์บาทอสนั้นเข้ามาหาเขาทีละก้าวทีละก้าว แทนที่จะไต่ถามว่าเขาทำผิดอะไร เขากลับพูดไม่ออก เธอยังคงเดินเข้ามาใกล้เขา

 

และในที่สุดบาร์บาทอสก็มายืนตรงหน้า

 

“…….”

 

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ท่านต้องการที่จะสู้กับ……ห้ะ?”

 

มือเล็กๆของเธอนั้นจับหัวดันทาเลี่ยนไว้

 

 

“⎯⎯อืมอืมม!?”

 

เพียงชั่วพริบตา เธอดึงหัวของเขาลงมา แล้วตอนนั้นเองที่เธอเขย่งเท้าขึ้น ความสูงต่างระดับหายไปในพริบตา ระยะที่ห่างระหว่างกันถูกกำจัดทิ้ง ริมฝีปากต่อริมฝีปากสัมผัสกัน

 

ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจ บาร์บาทอสหลับตาของเธอ เวลานั้นไหลผ่านไปไม่นาน มือของเธอยังคงประคองหัวของเขาอยู่ เธอถอนริมฝีปากกลับมาและกำลังยิ้ม

 

 

“แกรู้ไหม? ว่าแกนี่มันโคตรของโคตรจะเท่เลยว่ะ”

 

ก่อนที่เขาจะให้คำตอบอะไรกลับไป เธอก็ชิงริมฝีปากของเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นดีพคิส

 

ที่แม้แต่เดธไน้ท์ยังไม่อยากจะเห็นเจ้านายของตนมีพฤติกรรมน่าอาย จึงได้แต่หันหัวไปทางอื่น ภายในวังที่กว้างใหญ่ของจอมมาร มีเสียงชายผู้หนึ่งร้องครางออกมาแผ่วเบา

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 68 สองแผนร้าย(9)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 68 สองแผนร้าย(9) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 “เอาล่ะ เอาออกไปเพิ่มอีกหน่อยดีกว่า……อ้อ แต่ก่อนหน้านั้นขอให้ข้าดื่มดับกระหายสักหน่อยก่อน”

 

ดันทาเลี่ยนจิบไวน์ในแก้วตัวเอง การที่เขาเอาชนะข้อแก้ต่างแรกได้มันทำให้เลือดของดันทาเลี่ยนสูบฉีด บาร์บาทอสมองเขาอย่างไม่พอใจนัก

 

“คำพูดของเจ้าอาจฟังดูมีเหตุผล แต่ก็มีช่องโหว่อยู่ โหว่อย่างกับรูบนสวิสชีส แล้วถ้าหากมีไอ้บ้าห่าเหวในฝ่ายภูเขามันคลั่งขึ้นมาล่ะ? แบบที่มันไม่สนเลยว่าจะได้ประโยชน์อะไรในฝั่งตัวเอง แล้วยังมาจัดแผนการใหญ่โตเพียงเพื่อจะกวนเจ้าล่ะ ดันทาเลี่ยน?”

 

ดันทาเลี่ยนผงกหัว

 

“แน่นอนว่า ข้าคิดถึงในกรณีที่ผู้บงการนั้นมีเหตุผลในการกระทำนั้น”

 

“ใช่เลย แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอก จอมมารครึ่งหนึ่งพวกแม่งก็บ้ากันทั้งนั้น เป็นความจริงที่น่าเจ็บปวด มีโอกาสที่เจ้างั่งบาเรี่ยลจะทิ้งรอยนั่นไว้บนศพของริฟด้วยตัวเองเพราะอาจจะโง่หรืออาจจะสติแตกไปเลยก็ได้…….”

 

“หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ท่านอยากจะพึ่งพาคำว่า ‘เหตุบังเอิญ’ ใช่ไหม?”

เธอเงียบทันที

 

ดันทาเลี่ยนหมุนแก้วแล้วของเหลวสีแดงที่อยู่ในนั้นก็ไหลวนไปวนมา

 

“ไม่ว่า ข้าจะคำนวนอย่างดีแล้วว่าท่านนั้นเป็นคนร้ายตัวจริง หรือข้าอาจจะแค่หลงผิดคิดมโนไปเอง หรือแค่บังเอิญข้ามั่วเลือกท่านเป็นคนร้าย 

 

ถึงอย่างนั้นข้าก็ได้นำไวน์เบเลอปี 505 มา ก็เพราะข้าไม่มั่นใจในข้อสันนิษฐานอนุมาน และได้ใช้มันเป็นเครื่องยืนยันว่า ที่ข้าคิดนั้นถูกหรือไม่

……บาร์บาทอส ท่านแนะนำให้มีการดวลนี้ขึ้นเพื่อยืนยันสิ่งนี้ไม่ใช่หรืออย่างไร 

 

แล้วตอนนี้ท่านก็กำลังพยายามจะแย้งด้วยการใช้อะไรที่ไร้เหตุผลแบบนั้น”

 

เขามองตรงไปยังบาร์บาทอส

 

 

“หากเป็นอย่างที่ท่านว่า คงมีไอ้บ้าโรคจิตสักคนที่ทำตัวแบบไร้เหตุเหนือผล รอยสัญลักษณ์ที่ทิ้งไว้บนศพริฟมันก็เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ เอาอย่างนี้ดีไหมล่ะ? 

ลำดับ 7 อามอน(Rank 7 Amon) ก็มีพลังตาทิพย์ด้วย ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ในงานราตรีวัลเพอกีส ก็มีโอกาสที่จะเฝ้าดูการพิจารณาคดีด้วยพลังของเขา ถูกไหมล่ะ?”

 

“นั่นมัน…….”

 

“หากเราจะรวมอามอนไปในรายชื่อผู้ต้องสงสัย ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ไม่ได้มีแค่ จอมมาร32 ตน แต่เป็น 33 ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม อามอนต้องมาสนใจข้านัก ที่อยู่อันดับ 71 และมาจัดฉากเบเลี่ยล ลำดับ 68 แต่อามอนก็อาจทำแบบนั้นเพราะเขาบ้าไปแล้ว”

 

ดันทาเลี่ยนหัวเราะเอิ้ก

 

“ไม่ใช่สิ มันก็มีโอกาสที่ข้าเป็นเป็นผู้ทำหลักฐานปลอมนั่นขึ้นมาเอง เพราะข้าอยากจะก่อกวนท่านอย่างไม่มีเหตุไม่มีผล หลังจากที่ข้าสร้างตราสัญลักษณ์ขึ้นมาบนศพริฟด้วยตัวเองแล้วน่ะ 

แหม อย่างน้อยๆนี่ก็ฟังดูเป็นไปได้มากกว่าให้อาม่อนเป็นผู้ต้องสงสัยนะ”

 

บาร์บาทอสไม่ตอบอะไรกลับไป

 

เขาถามเธอว่า เธอต้องการที่จะปฏิเสธเป้าหมายของการดวลครั้งนี้ไหม เขารู้อยู่แล้วว่า การโต้แย้งว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความบังเอิญนั้นมีอยู่ แต่ถึงอย่างนั้น หากเธอเลือกที่จะหักล้างด้วยวิธีนั้นจริง เป้าหมายแรกเริ่มเดิมทีทั้งหมดที่ไม่คิดว่า เป็นแค่เพราะโชคดี มันจะไปอยู่ที่ไหนซะล่ะ? เธอต้องการที่จะทำลายการดวลนี้ทิ้งด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ? 

 

 

“ขอโทษ มันเป็นความผิดของข้าเอง”

 

เธอยอมรับมันอย่างจริงใจ นี่ไม่ใช่ละครสืบสวนที่มาเที่ยวขุดคุ้ยความจริงอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง 

 

มันคือ การดวลที่มีกติกาและเป้าหมาย บาร์บาทอสนั้นถอนใจเมื่อเธอตระหนักได้ว่า ตัวเธอเองนั้นหลงลืมสิ่งที่เป็นพื้นฐานสำคัญไป เธออาจแค่รู้สึกสิ้นหวังที่เห็นรายชื่อผู้ต้องสงสัยโดนขีดฆ่าออกไป

 

ดังนั้นข้อโต้แย้งล่าสุดก็เป็นอันตกไป

 

ดันทาเลี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ต่อไปก็ ข้าจะขีดฆ่ารายชื่อของฝ่ายที่ราบออกทั้งหมดจากรายนามผู้ต้องสงสัย แน่นอนว่า ยกเว้นท่านนะ”

 

“อะ-อะไรวะ!?”

 

ดวงตาของบาร์บาทอสเบิกกว้าง ในบรรดาผู้ต้องสงสัยทั้ง 14ที่เหลือ 9คนนั้นเป็นของฝ่ายที่ราบ หากไม่นับบาร์บาทอสแล้วตัดรายชื่อ 8 คนออก บนรายชื่อทั้งหมดก็จะเหลือผู้ต้องสงสัยเพียง 6 คนเท่านั้น! ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องป้องกันไว้ให้ได้!

 

“เฮ้ย มันจะตลกเกินไปแล้ว!”

 

“ไม่เลย มันเป็นไปได้ ฝ่ายที่ราบนั้นถูกลบออกจากรายชื่อด้วยเหตุผลง่ายๆเพราะพวกเขาเป็นฝ่ายที่ราบ”

 

ดันทาเลี่ยนพูดต่อ

 

“สมาชิกทุกคนของฝ่ายที่ราบที่เข้าร่วมการพิจารณาคดีรู้ดีอยู่แล้วเรื่องที่ท่านต้องการจะปกป้องข้าน่ะ บาร์บาทอส 

พวกเขายังรู้ด้วยว่า ท่านน่ะพาข้าไปเที่ยวทัวร์รอบเมืองหลังการพิจารณาคดีจบลง แล้วทีนี้ลองมาคิดดูว่า ถ้าหากสมาชิกในฝ่ายที่ราบนั้นเป็นคนทิ้งสัญลักษณ์นั้นไว้บนศพของริฟล่ะ

พวกเขาจะทำแบบนั้นไปทำไม!”

 

ดันทาเลี่ยนถามตัวเองออกมาดังๆ

 

 

“หากเบเลี่ยลเป็นผู้ลงมือจริง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเปิดโอกาสให้ผมเอาคืนได้หรอก 

ไพมอนที่แพ้การพิจารณาคดีในงานเมื่อหลายวันก่อน เหล่าสมาชิกของฝ่ายภูเขาก็ต้องบุกโจมตีดันทาเลี่ยนอย่างไม่เกรงใจทันทีหลังจากพิจารณาคดีจบ

เพิ่มเติมเรื่อง สมาชิกฝ่ายที่ราบมีหลักฐานเรื่องนี้เข้าไปอีกล่ะ?  

 

……ถ้าพวกเขารู้จักใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ให้ดี พวกเราก็สามารถจะซัดตูมใหญ่ใส่ฝ่ายภูเขาได้สบายๆ”

 

แต่ถึงอย่างนั้นฝ่ายที่ราบกลับยังคงอยู่เงียบๆ

 

พวกเขาแค่พอใจกับการทิ้งสัญลักษณ์บนศพของริฟ ฝ่ายที่ราบไม่ได้มีปฏิกริยาอะไรทั้งเดือน หรืออย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ควรจะเข้าหาดันทาเลี่ยนแล้วแนะนำให้คิดบัญชีกับพวกฝ่ายภูเขา

 

“การกระทำสองอย่าง ‘หวังทำร้ายฝ่ายภูเขา’ และ ‘ไม่โจมตีฝ่ายภูเขา’ สองอย่างนี้มันขัดแย้งกัน ดังนั้นจึงได้ข้อสรุปข้อเดียว พวกเขาแม้จะอยากโจมตีฝ่ายภูเขาแต่ไม่สามารถทำได้ 

เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่า บาเรี่ยลเป็นผู้บงการเรื่องนี้!”

 

ดันทาเลี่ยนเร่งเสียงขึ้น

 

“ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงจัดฉากเบเลี่ยล ทำไมกันล่ะ? 

ทำไมถึงต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากซับซ้อนอย่างการจัดฉากเบเลี่ยลล่ะ? 

เหตุผลอะไรที่ต้องลงทุนลงแรงจัดแผนยิ่งใหญ่เพียงเพื่อจัดฉากจอมมารดาดๆ ลำดับ 68 ด้วย?

 

ข้อโต้แย้งก่อนหน้าก็ระบุไว้ชัดแล้ว เพราะพวกเขานั้นอ่อนแอกว่าเบเลี่ยล แต่อย่างไรก็ดี”

 

ดันทาเลี่ยนชี้ไปที่รายชื่อแผ่นใหญ่ด้วยนิ้วชี้

 

“ก็อย่างที่ท่านเห็น ไม่มีสมาชิกฝ่ายที่ราบคนไหนที่ลำดับต่ำกว่า เบเลี่ยล!

แม้แต่สมาชิกที่มีลำดับต่ำที่สุดของฝ่ายที่ราบก็ยังคงเป็น ลำดับที่ 50 เฟอร์คาส(Rank 50 Furcas) แถมยังห่างถึง 18 ลำดับ ข้านึกไม่ถึงเลยว่า บุคคลนั้นน่ะจะปล่อยให้อำนาจการแก้แค้นอยู่ในมือข้า ดันทาเลี่ยนจอมมารที่อ่อนแอที่สุด”

 

“ข้าคัดค้าน!”

 

บาร์บาทอสขบฟัน

 

“เจ้าตั้งทฤษฏีขึ้นจากแนวคิดว่า เป้นหมายของฝ่ายที่ราบนั้นคือ การจัดฉากใส่ร้ายบาเรี่ยลเพียงอย่างเดียว! นั่นเป็นสิ่งไร้สาระที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมา หากจะมีฝ่ายที่ราบที่มีเป้าหมายแน่ชัดระดับนั้นไม่มีทางที่จะมุ่งไปที่บาเรี่ยลคนเดียว หากแต่จะต้องเป็นทั้งฝ่ายภูเขา! 

 

ไม่สำคัญว่า ระดับจะต่างกันแค่ไหนในลำดับแต่ก็ยังมีเหตุผลอยู่มากมายที่ทำให้ต้องจัดฉากเบเรี่ยลเพราะเขาอยู่ในฝ่ายภูเขา”

 

“ข้าค่อนข้างเห็นด้วยมาก”

 

ดันทาเลี่ยนหัวเราะ เขายังคงพูดต่อทันที ก่อนที่บาร์บาทอสจะไม่พอใจกับเสียงหัวเราะของเขา

 

“ก็อย่างที่ท่านพูดนั่นแหละ เบเลี่ยลนั้นไม่ใช่เป้าหมายของฝ่ายที่ราบหรอก พวกเขาเล็งเป้าไปที่ฝ่ายภูเขาทั้งฝ่ายต่างหาก แต่ขอถามอย่างหนึ่ง

 

แต่จะต้องมีอำนาจขนาดไหน จอมมารถึงสามารถโจมตีฝ่ายภูเขาได้โดยที่ไม่ต้องใช้หลักฐานล่ะ!”

 

“……!”

 

บาร์บาทอสแทบหยุดหายใจ

เธอพลาดท่าเสียแล้ว

 

ดันทาเลี่ยนทำให้เธอยอมรับว่า

 

‘หากฝ่ายที่ราบจัดฉากเบเลี่ยลจริงๆแล้วล่ะก็ บุคคลนั้นต้องมีอำนาจมากพอที่จะเผชิญหน้าคุกคามพวกฝ่ายภูเขาทั้งฝ่ายได้แม้ไม่มีหลักฐาน และหากเป็นอย่างนั้น⎯⎯

 

“มันก็สมดังชื่อนั่นแหละ ฝ่ายภูเขาอาจจะเป็นฝ่ายที่ดูยิ่งใหญ่ แต่หนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถจัดการฝ่ายภูเขาทั้งฝ่ายได้ ก็คือฝ่ายที่ราบ 

ท่ามกลางเหล่าสมาชิกทั้งหลายเหล่านั้นมีจอมมารเพียงตนเดียวที่ทำให้ทั้งฝ่ายที่ราบเคลื่อนไหวได้”

 

ดันทาเลี่ยนชี้ไปที่เธอ

 

หัวหน้าของฝ่ายที่ราบ ผู้ชิงชังฝ่ายภูเขามากที่สุด

 

“มีแค่ท่านคนเดียวเท่านั้นแหละ บาร์บาทอส”

 

“…….”

 

เธอเพิ่งตระหนักได้ว่า ตัวเองถูกดันเข้าไปติดมุม

 

จากผู้ต้องสงสัยทั้ง 32 ในตอนแรก ต่อมาไม่นานเหลือ 14 และก็ตัดออกออกไปจนเหลือลูกศรที่ชี้มาทางเธอเพียงคนเดียว สถานการณ์เปลี่ยนไปได้หากฝ่ายที่ราบเป็นผู้ร้ายตัวจริง ก็มีแค่บาร์บาทอสเท่านั้นแหละที่เป็นคนต้นคิด

 

 

“……เฮะ”

เธอหัวเราะออกมา

 

บาร์บาทอสนั้นยังคงรู้สึกได้ว่า ดันทาเลี่ยนจะชนะการดวลครั้งนี้ ญาณหยั่งรู้ของเธอนั้นช่วยชีวิตเธอไว้นับครั้งไม่ถ้วน 

 

แม้จะยังมีข้อคัดค้านเหลืออยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไร ในการโต้เถียงอันแสนสิ้นหวังนี้ สุดท้ายแล้วดันทาเลี่ยนจะจบลงด้วยชัยชนะอยู่ดี นั่นคือ สิ่งที่เธอคิด

 

บาร์บาทอสนั้นเฝ้าแสวงหาการต่อสู้ด้วยการเดิมพันเกียรติยศศักดิ์ศรีอยู่เสมอ

 

ในฐานะจอมมาร เกียรติยศนั้นคือ การที่พิชิตโลกมนุษย์ได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอจึงยืนอยู่แนวหน้าของพันธมิตรเสี้ยวจันทรา แม้จะพ่ายแพ้มานับครั้งไม่ถ้วน เธอก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปด้วยเชื่อว่า เกียรติยศในท้ายที่สุดนั้นยังรอเธออยู่ปลายเส้นทาง มันไม่สำคัญเลยว่า จะจบลงที่ได้รับชัยชนะหรือความตาย

 

ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการต่อสู้เท่านั้น การต่อสู้อันทรงเกียรติ

 

 

แม้จะผ่านไป 2,000ปี เธอก็ยังไม่สามารถสัมผัสถึงความปรารถนาดังกล่าวได้ พันธมิตรเสี้ยวจันทรานั้นแตกเป็นเสี่ยงๆด้วยความขัดแย้งภายในครั้งแล้วครั้งเล่า

 

ไร้ซึ่งความภาคภูมิโดยสิ้นเชิง ความขี้ขลาดและหวาดกลัว ความอิจฉาและริษยากัน เหนือไปกว่านั้นคือ ความโง่เขลาที่มีอำนาจสูงสุด สหายศึกของเธอค่อยๆอ่อนล้าลง พวกเขาหันหลังให้และบางส่วนก็จากไป

 

มันยากสำหรับเธอที่จะไม่รู้สึกเหนื่อยล้า

‘ถ้าหากเป็นเจ้าหมอนี่’

ปลายมุมปากบาร์บาทอสยกขึ้น

 

ถ้าหากชายคนนี้อยู่ฝั่งเดียวกับเธอ เธออาจจะได้รับมันทั้งหมด เธอสามารถทนได้อีก 2,000 ปีด้วยซ้ำ

 

ผิดกับตัวเธอที่ขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณและญาณหยั่งรู้ ดันทาเลี่ยนนั้นจะช่วยสนับสนุนพันธมิตรเสี้ยวจันทราด้วยสติปัญญาและความมากเล่ห์เพทุบาย บางทีความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่อย่างมหาสงครามที่เธอเคยเฝ้าฝันมาตลอดอาจมาอยู่ตรงหน้าเธอก็เป็นได้

 

แต่ก่อนหน้านั้นต้องทดสอบเขาเป็นอย่างสุดท้ายก่อน

 

ลองทำลายข้อโต้แย้งนี้ดูสิ ข้าจะทดสอบว่า เจ้าคู่ควรต่อการสนับสนุนของจอมมารที่มีกองทัพนับหมื่นไหม

 

 

“พล่ามอะไรไร้สาระ!”

 

บาร์บาทอสสบถออกมา มีรอยยิ้มสุดสนุกปรากฏบนหน้าของเธอ

 

 

“ข้อสมมุติฐานของแกนั่น มันตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า ฝ่ายที่ราบนั้นเป็นผู้บงการ! โธ่เอ๊ย! แม้ฝ่ายภูเขากับฝ่ายที่ราบจะไม่ลงรอยกัน แต่ก็ยังมีผู้ต้องสงสัยเหลือ 6คนไง! รวมข้าไปด้วยก็ยังมีเหลือ 6คน!”

 

เธอโบกมือ เสียงกร่อบแกร่บดังขึ้นอีกครั้ง รายชื่อของฝ่ายที่ราบทั้งหมดถูกขีดฆ่าชื่อ เหลือแค่บาร์บาทอสที่ยังอยู่

 

“ข้าขอชมเจ้าจากใจจริงเลยที่สามารถลดผู้ต้องสงสัยจาก32ให้เหลือ6ได้! 

แต่ถึงอย่างนั้น แล้วเจ้าจะกาหัวว่า เป็นข้าจาก 6 นั่นได้อย่างไร? 

ยังมีฝ่ายที่เป็นกลางที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอีกด้วย มันมีโอกาสที่หนึ่งในนั้นจะทิ้งรอยไว้บนอกของริฟ เพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างฝ่ายภูเขาและฝ่ายที่ราบด้วยไม่ใช่รึไง”

 

เธอกำหมัด

 

 

“นอกเหนือจาก 6 ผู้ต้องสงสัย ยังมีคนหนึ่งที่อ่อนแอกว่าเบเลี่ยล นั่นคือ ลำดับที่70 ซีเร่! (Rank 70 Seere) 

อย่างที่เจ้าเคยบอกไว้ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปทำ ‘สิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อนน่าเหนื่อยหน่าย’ มีเพียงผู้อ่อนแอเท่านั้นที่จะมาพึ่งพาแผนเพื่อคุกคามผู้แข็งแกร่ง 

ดังนั้นแล้ว นี่แหละเป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับอะไรบางอย่างจากการฉวยโอกาสสร้างความร้าวฉานกันระหว่างเจ้า กับเบเลี่ยล ยิ่งไปกว่านั้น!”

 

บาร์บาทอสชี้นิ้วไปบนสุดของรายชื่อ

 

 

“หัวหน้าของฝ่ายกองกำลังเป็นกลาง ลำดับที่ 5 มาร์บาส(Rank 5 Marbas)

 

ตาแก่นั่นไม่ชอบทั้งฝั่งภูเขาและทั้งฝั่งที่ราบมาเนิ่นนานแล้ว หากเป็นชายแก่คนนั้นคงไม่ลังเลที่จะจัดฉากใส่ร้ายฝ่ายภูเขาโดยไม่ต้องมีหลักฐานด้วยซ้ำ! เขาจะไปสนใจอะไรทำไมล่ะ! ก็ในเมื่อเขาแค่อยู่เฉยๆฝ่ายเป็นกลางก็แข็งแกร่งขึ้นในขณะที่อีกสองฝักฝ่ายมัวแต่ยุ่งวุ่นกับการตีกันเองน่ะ!”

 

เธอยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

 

 

ดันทาเลี่ยนตอนนี้ตรรกะอยู่สองอย่าง

 

‘ไม่มีเหตุผลที่ระดับสูงๆนั้นจะมาจัดฉากให้ร้ายเบเลี่ยล’ 

และ

‘ไม่มีเหตุผลที่ระดับต่ำๆนั้นจะคุกคามทำร้ายฝ่ายภูเขา’

 

เมื่อมันออกมาในรูปนี้ แม้แต่ลำดับ 70 ซีเร่ก็อยู่ในกรณีหลัง ส่วนลำดับ 5 มาร์บอสเองก็ด้วย รวมถึงบาร์บาทอสอย่างน้อยก็ยังมีเหลือ 3 ผู้ต้องสงสัย

 

“แล้วทำไมถึงเป็นข้า บาร์บาทอสเล่า ทั้งที่ยังมีผู้ต้องสงสัยอื่นอยู่!?”

ความตื่นเต้นของเธอนั้นแทบท่วมทะลักออกมา

 

 

“เจ้าคิดว่า จะเอาชนะข้าได้รึไง!?”

หัวใจของเธอนั้นเต้นเสียงดัง

 

 

“แสดงศักยภาพของเจ้าออกมาซะ!!”

น้ำเสียงของเธอสะท้อนผ่านห้องโถงอันกว้างใหญ่ สะท้อนดังไปจนถึงเพดานที่สูง เดธไน้ท์ทั้ง 500 ตน ที่รับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นของผู้เป็นเจ้านายจึงหอนขึ้น พวกเขากำสลับคลายมือราวกับอยากจะขยี้สารเลวผู้ยโสโอหังให้แหลกคามือ ในทันทีที่ได้รับคำสั่งจากเจ้านาย

 

วังของจอมมารบาร์บาทอสนั้นเต็มไปด้วยความกระหายเลือด พอตัวเธอเองนั้นเริ่มเครื่องติดขึ้นมา ประสาทสัมผัสรับรู้ก็จดจ่ออยู่ที่สิ่งๆเดียว นั่นคือ ริมฝีปากของดันทาเลี่ยน 

เขาจะหักล้างเจ้าสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน? 

ไม่สิ แม้มันจะเป็นไปได้ก็ตาม แต่เขาจะหักล้างมันได้ยังไงล่ะ ด้วยวิธีไหนกัน?

 

ริมฝีปากของเขาขยับ

 

“ยังมีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่เรามองข้ามไป มันเป็นความจริงที่สำคัญมากเสียด้วย”

น้ำเสียงสงบแผ่ออกไปในวังจอมมาร

 

 

“ต่อคำถามที่ว่า ใครคือ ผู้ฆ่าริฟ”

 

“…….”

บาร์บาทอสนั้นแน่นิ่งไป

 

“อีกทั้งคำถามว่า สัญลักษณ์บนศพของริฟนั้นมีขึ้นเมื่อไหร่ เพราะเมื่อพบศพแล้วก็มีเวทย์ที่ร่ายไว้เพื่อป้องกันสัตว์และแมลงมากิน ผู้ต้องสงสัยนั้นได้ร่ายเวทย์แบบเดียวกันไว้รอบข้างเช่นเดียวกับที่ร่ายใส่ศพด้วย”

เธอยืนนิ่ง และคิดในขณะที่ยังมองริมฝีปากนั่นขยับไม่หยุด

 

อ่า

้ข้าเข้าใจแล้ว

มันเคยเป็นเช่นนั้นเอง

 

 

“ใครกันที่ฆ่าริฟแล้วร่ายเวทย์นั่น? มันง่ายมาก แทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ในปาร์ตี้นักผจญภัยของเขา มีสองคนที่หนีรอดไปได้ ริฟและนักเวทย์ที่รู้ที่มา นักเวทย์คนนั้นฆ่าริฟและทำสัญลักษณ์บนศพของเขา ทั้งยังร่ายเวทย์รอบๆร่างอีก”

 

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นี่คือ การต่อสู้ที่แท้จริงที่เธอตามหามาตลอด 2,000 ปี

 บทสรุปของทุกสิ่งที่เธอต้องการ

 

 

“คำถามต่อไป นักเวทย์คนนั้นเป็นใคร? ผมพยายามหาข้อมูลจากสมาคมนักผจญภัยในเมืองที่ริฟพักอยู่ แต่กลับไม่ปรากฏถึงข้อมูลนักเวทย์ที่ริฟจ้างในเอกสารเลย พวกเขาไม่ได้เซ็นสัญญากับหอคอยนักเวทย์ การมีตัวตนอยู่ของบุคคลนั้นจึงมีกลิ่นน่าสงสัยเหม็นโฉ่”

แม้ที่นี่จะไม่ใช่สมรภูมิรบที่เต็มไปด้วยเหล็กคมและเลือดที่สาดกระจาย เธอจะได้ประสบการณ์แบบนั้นจากที่นี่อย่างนั้นหรือ?

 

“นักเวทย์ที่ดูเหมือนกับเป็นนักเวทย์สี่วงเวทย์ หรือพูดสั้นๆว่า เป็นนักเวทย์ระดับสูง ปัญหาคือ สีของมานานักเวทย์คนนั้นเป็นสีดำ เมื่อหันมาดูผู้ต้องสงสัยทั้ง 6 ราย อาจจะเป็นไปได้ว่า ผู้ต้องสงสัยอาจเป็นจอมมารที่ยังมีตัวตนอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน ซึ่งมันก็ง่ายมากที่จะหาข้อมูล ทั้งตัวพวกเขาและข้ารับใช้”

 

เธอเชื่อว่า มันผ่านมานานมากแล้ว

 

 

“ในหมู่พวกเขา มีราว170คนที่เป็นนักเวทย์ 21คนนั้นเป็นนักเวทย์ระดับสูงกว่า นักเวทย์ระดับสี่วงเวทย์ 

และนอกจากนั้นมีเพียง 3 คนที่มีมานาสีดำ 

 

พอรายชื่อนี้มันน้อยลงก็จริงแต่ก็ยังมีปัญหาอยู่อีกอย่าง ทั้งสามนั้นไม่ใช่มนุษย์  นักเวทย์ที่อยู่กับริฟนั้นชัดเจนโดยไม่ต้องสงสัยว่าเป็นมนุษย์เพศหญิง แล้วมันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรกัน? 

หากเราเปลี่ยนวิธีคิดแบบนี้ล่ะ อ่า”

 

เธอเชื่อว่า ตัวเธอเองนั้นอดทนได้ดีพอสมควร

 

 

“คนๆนั้นใช้เวทย์ปลอมแปลง เวทย์ปลอมแปลงนั้นเป็นเวทย์ที่สูงกว่าระดับเจ็ดวงเวทย์ ฮ่าช์! แค่นั้นไง ทุกอย่างมันก็ง่ายขึ้น จาก170นักเวทย์ เหลือเพียง 3 คนที่เหนือกว่าระดับ หกวง”

 

เธอไม่เคยมีเพื่อนที่สามารถพูดคุยได้อย่างสบายใจมาก่อนเลย เธอนั้นต้องอยู่ฝ่าไปท่ามกลางการสาดโคลนและความขัดแย้งทางการเมืองในขณะที่นำกองกำลังฝ่ายก็เริ่มเสื่อมถอย

เธอย้อนระลึกถึงวันเวลาพวกนั้นที่ผ่านไปแล้ว บาร์บาทอสมองไปยังชายตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

 

“หลังจากที่เหลือเพียง 3 คน หนึ่งในนั้นเป็น อาร์คเมจที่มีมานาสีดำ”

 

ดันทาเลี่ยนยิ้ม

 

 

“ท่านนั่นเอง”

 

 

เงียบเชียบ

 

ภาวะอันนิ่งงันไหลทั่ววังจอมมาร

ดันทาเลี่ยนไม่เห็นสีหน้าของบาร์บาทอสอีกต่อไป เธอก้มหน้าลงโดยที่เขาไม่ทันสังเกต

 

เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว เวลาผ่านไปสักพักก่อนที่เธอจะเริ่มขยับมือขวาอย่างเชื่องช้า

 

5 ชื่อที่เหลือถูกขีดฆ่าทิ้ง

 

ลำดับ 8 บาร์บาทอส

มีเพียงชื่อของเธอเท่านั้นที่ยังคงอยู่

 

“ฟิ่ววว”

 

ดันทาเลี่ยนถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาสามารถหักล้างข้อโต้แย้งที่สามและเป็นข้อโต้แย้งสุดท้ายลงได้ บางสิ่งที่คล้ายกับอาการหลังจากออกกำลังกายอย่างหนักได้แพร่ออกไปทั่วทั้งร่างกาย

 

แค่คิดถึงภาพของ เดธไน้ท์ แค่คิดถึงภาพว่า มอนสเตอร์ระดับแร๊ง A จำนวน 12 ตัว จะช่วยเขาได้มากขนาดไหน มันก็ทำให้เขายิ้มออกมาได้แล้ว

 

 

“เอาล่ะ เกิดอะไรขึ้นน่ะ เห็นเงียบมาก่อนหน้านี้แล้ว ข้าคิดไว้บ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดออกทั้งหมดในทันทีหรอกนะ”

 

“…….”

 

“ดังนั้นไม่ต้องให้มากขนาดนั้นก็ได้ ฮ่าฮ่า เอาจริงๆนะ เดธไน้ท์ 12 ตัวนี่ออกจะหือ……? บาร์บาทอส?”

 

จู่ๆดันทาเลี่ยนก็หยุดไป หัวของเธอยังคงก้มอยู่ บาร์บาทอสนั้นเข้ามาหาเขาทีละก้าวทีละก้าว แทนที่จะไต่ถามว่าเขาทำผิดอะไร เขากลับพูดไม่ออก เธอยังคงเดินเข้ามาใกล้เขา

 

และในที่สุดบาร์บาทอสก็มายืนตรงหน้า

 

“…….”

 

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ท่านต้องการที่จะสู้กับ……ห้ะ?”

 

มือเล็กๆของเธอนั้นจับหัวดันทาเลี่ยนไว้

 

 

“⎯⎯อืมอืมม!?”

 

เพียงชั่วพริบตา เธอดึงหัวของเขาลงมา แล้วตอนนั้นเองที่เธอเขย่งเท้าขึ้น ความสูงต่างระดับหายไปในพริบตา ระยะที่ห่างระหว่างกันถูกกำจัดทิ้ง ริมฝีปากต่อริมฝีปากสัมผัสกัน

 

ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจ บาร์บาทอสหลับตาของเธอ เวลานั้นไหลผ่านไปไม่นาน มือของเธอยังคงประคองหัวของเขาอยู่ เธอถอนริมฝีปากกลับมาและกำลังยิ้ม

 

 

“แกรู้ไหม? ว่าแกนี่มันโคตรของโคตรจะเท่เลยว่ะ”

 

ก่อนที่เขาจะให้คำตอบอะไรกลับไป เธอก็ชิงริมฝีปากของเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นดีพคิส

 

ที่แม้แต่เดธไน้ท์ยังไม่อยากจะเห็นเจ้านายของตนมีพฤติกรรมน่าอาย จึงได้แต่หันหัวไปทางอื่น ภายในวังที่กว้างใหญ่ของจอมมาร มีเสียงชายผู้หนึ่งร้องครางออกมาแผ่วเบา

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+