Dungeon Defense (WN) 78 สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(4)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 78 สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

จอมมารตนอื่นๆวุ่นวายเพราะคำพูดยั่วยุของอามิอิ พวกเขาพูดถึงกันเรื่องที่แบ่งกองกองกำลังว่า มันเป็นเรื่องผิดปกติและเหนือเหตุเหนือผลเกินไป เซปาร์จึงหยุดพวกเขา

 

“เงียบซะ ดันทาเลี่ยน ขอฟังคำแนะนำของท่านหน่อย”

 

“ด้วยความยินดีครับ อย่างที่ข้าบอกไปก่อนหน้าแล้ว เราจะแบ่งกองหน้าออกเป็น 2 กลุ่ม แล้วเราจะแบ่งเป็นอีก 2 กลุ่ม รวมแล้วจะได้ มา 4 หน่วย”

 

อามิอิพ่นลมออกมา เขาจงใจทำแบบนั้นเพื่อให้คนรอบๆมองเราว่าเป็นไอ้เซ่อ ในขณะที่คนอื่นจริงๆมองว่า ผมนั้นบ้า

 

“สองหน่วยไม่พอ นี่แกยังแบ่งเป็นสี่หน่วยเรอะ? ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่า สมองแกยังปกติดีอยู่ไหม”

 

“ข้าบอกว่า ข้าจะฟังคำแนะนำของดันทาเลี่ยน”

 

ริมฝีปากของอามิอิบิดลงเพราะคำเตือนของเซปาร์ เขาเงียบแล้วบ่นกับตัวเอง เสียงของเขามันเบาซะจนผมคิดว่าเขากำลังพูดขอโทษผมอยู่

 

 

“ว่าต่อได้เลย”

 

“แล้วพวกเราก็จะมี 4หน่วย ของทหาร 500 นาย 1ในหน่วยพวกนั้นก็จะไม่สนใจป้อมปราการแล้วเดินทัพกันต่อ”

 

เซปาร์มองดูด้วยความสงสัย ถึงผมจะอ่านอารมณ์ของเขาไม่ออกแต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขากำลังคิดอะไร

 

มีเหตุผลอะไรที่ต้องเพิกเฉยต่อป้อมปราการพวกนั้น? นั่นคือ สิ่งที่เขาอยากจะถาม 

 

เป้าหมายของพวกเราในฐานะแนวหน้าคือ การเคลียร์เส้นทางเพื่อให้กองกำลังหลักสามารถผ่านประตูทั้งหลายได้ ในขณะที่สูญเสียให้น้อยที่สุด 

การไม่สนใจป้อมปราการเลยนั้นเป็นสิ่งที่ขัดกับเป้าหมายของปฏิบัติการณ์นี้

 

ผมยังคงรักษาน้ำเสียงสงบไว้

 

 

“ท่านครับ ขอโอกาสให้ผู้น้อยคนนี้อธิบายด้วยการใช้แผนที่นะครับ?”

 

“ข้าอนุญาต”

 

ทำให้ดูดีเข้าไว้ ผมได้ปรึกษาหารือกับลอร่านับครั้งไม่ถ้วนก่อนการประชุมครั้งนี้ ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ เด็กสาวผู้ในอนาคตจะกลายเป็นสุดยอดนักวางแผน ด้วยความช่วยเหลือของเธอและในฐานะที่ผมเล่นเกมนี้มาก่อน ผมรู้เป็นอย่างดีว่า แผนการนี้มันได้ผล มันไม่มีทางล้มเหลวอย่างแน่นอน

 

 

“ก่อนอื่นเลย ป้อมปราการทั้งสี่บนเส้นทางของเราที่นำไปสู่ฮับบวร์ก”

ผมชี้ไปที่ป้อมปราการทั้งหลายด้วยไม้คทา

 

 

“ป้อมปราการเขียว,ฟ้า,ทอง และแดง ต่างทำงานร่วมกันเป็นอย่างดี ป้อมปราการเขียวนั้นมีทหารปกป้องอยู่ราว 500 นาย ป้อมปราการฟ้าก็ 500 นาย ป้อมปราการทองและแดงนั้นมีทหารอยู่ป้อมละ 1000 นาย ตามลำดับ”

 

เซปาร์พยักหน้า เขาย่อมต้องรู้จำนวนทหารในป้อมพวกนั้นดีอยู่แล้ว จำนวนทหารทั้งหมดของศัตรูคือ  3,000 นาย เมื่อเทียบกับทหารของพวกเรา 2,000 นาย พวกเขานั้นมีจำนวนทหารมากกว่าเรา 1.5 เท่า

 

“ท่านไม่คิดว่า มันแปลกบ้างหรือครับ? พวกมนุษย์นั้นสร้างป้อมมาหลายป้อมแล้วแบ่งแยกกองกำลังตัวเองออก หากเป้าหมายคือ เพื่อป้องกันแล้ว มันไม่ดีกว่าหรือหากจะพุ่งเป้ากองกำลังทหารไปเพียงที่ป้อมปราการเดียวไปเลย ป้อมปราการหนึ่งก็ใช้ 500 นาย ส่วนอีกป้อมก็ใช้ 2,500 นาย เพียงเท่านี้ก็ชัดแล้วว่า มันจะกลายเป็นป้อมปราการแข็งแกร่งระดับที่ไม่มีวันพังทลาย”

 

มันเป็นการยากที่จะเข้าใจเหตุผลถึงการเอาทหารแยกไปทั้ง 4 ป้อมปราการ เพราะกองทหารมอนสเตอร์ระดับสูงสักพันตัวก็เพียงพอต่อการบุกทะลวงการป้องกันประตูโดยทหารมนุษย์เพียง 500ได้แล้ว

 

หากเป้าหมายของพวกเขาคือ การป้องกัน มันก็น่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือ หากจะรวมทหารที่ป้อมปราการเขียว กับป้อมปราการแดงที่มี ทหารป้อมละ 500เข้าด้วยกัน

แต่ถึงอย่างนั้น พวกมนุษย์ก็ยังเลือกใช้วิธีที่ไม่มีประสิทธิภาพแบบนั้น ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นกันล่ะ? นี่เป็นเพราะพวกเขานั้นโง่เง่าหรือว่า……?

 

เซปาร์หรี่ตาลง

 

“นี่ท่านกำลังจะบอกว่า ป้อมปราการพวกนั้นไม่ได้มีไว้ป้องกันพวกเราอย่างนั้นรึ?”

 

“ถูกต้องครับ”

 

เขาเข้าใจได้ในทันทีถึงสิ่งที่ผมจะพูดต่อ สมกับเป็นคนที่บาร์บาทอสไว้ใจให้เป็นหัวหน้าของแนวหน้าจริงๆ

 

“ป้อมปราการพวกนั้นน่ะสร้างขึ้นมาเพื่อกีดขวางกองพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ไม่มีใครแม้แต่พวกมนุษย์เองจะคิดหรอกว่า แค่ป้อมเดียวจะเพียงพอต่อการต้านกองพันธมิตรของพวกเราไหว พวกเขาคาดหวังเพียงสิ่งเดียว จากการที่มี 4 ประตู พวกเขาหวังว่า ประตูพวกนั้นจะยื้อเวลาให้พวกเขาเพื่อให้ยกทัพใหญ่มาได้ทัน”

 

ป้อมปราการพวกนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อตั้งรับป้องกัน พวกมันมีไว้เพื่อชะลอพวกเรา พอสามารถชะลอการเดินทัพของพวกเราได้หน้าที่ของมันก็หมดลงแล้ว

 

ถึงแม้จะมีทหารเพียง 500 นายที่ป้องกันป้อมปราการเขียวอยู่ แต่จอมมารก็ต้องเสียเวลาหยุดการบุกสักระยะหนึ่งเพื่อการโอบล้อม ใช้เวลาอย่างน้อยก็วันหนึ่ง ระหว่างนั้นเองพวกมนุษย์ก็จะใช้อุปกรณ์เวทย์มนตร์เพื่อส่งรายงานไปยังจักรวรรดิ์ฮับบวร์ก พวกมาร์คกราฟแห่งจักรวรรดิก็จะส่งทหารมาในทันที

 

 

“ป้อมปราการพวกนั้นไม่ต่างจากแกะสังเวย ถ้าพูดตรงๆทั้งป้อมเขียว น้ำเงิน และทอง ต่างก็เป็นเหมือนเพื่อนเจ้าสาวที่มีหน้าที่สนับสนุนเจ้าสาวอย่าง ป้อมปราการแดง เท่านั้น 

หน้าที่ของแกะสังเวยมีเพียงอย่างเดียวคือ ชะลอพวกเราจนกว่ามาร์คกราฟจะสามารถส่งกำลังหนุนไปยังป้อมปราการแดงได้”

 

ไม่ว่าทหารของพวกเราจะเดินทัพเร็วแค่ไหน ก็ใช้เวลาหนึ่งวันเพื่อไปถึงป้อมปราการเขียว หนึ่งวันเพื่อพิชิตป้อมปราการเขียว หนึ่งวันเดินทางไปป้อมปราการฟ้า และอีกครึ่งวันเพื่อพิชิตป้อมปราการฟ้า หนึ่งวันเพื่อไปถึงป้อมปราการทอง

 

……. หากเป็นอย่างนี้ก็ใช้เวลาไปอย่างน้อย 5 วันแล้ว ในช่วงเวลา 5 วันนั่นเอง ที่พวกมาร์คกราฟนั้นจะสามารถส่งทหารม้าชั้นแนวหน้ามา แล้วพวกเขาก็พร้อมแล้วที่ป้อมปราการแดง แถมยังอาจจะมีทหารราบมากมายเพิ่มเติมด้วย

 

 

“ท่านครับ เรื่องนี้มันทำให้ผมเป็นห่วงมาก ทหารที่ประจำตามป้อมต่างๆนั้น พวกเขาสู้กับเราทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นเพียงแกะสังเวย พวกเขาน่ะพร้อมจะตายอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาพร้อมจะสู้อย่างสิ้นหวังตราบจนลมหายใจสุดท้าย เพียงเพื่อชะลอการเดินทัพของพวกเราให้ได้สักวันหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่เป็นการฉลาดเลยที่จะเอาใช้วิธีโอบล้อมมาใช้กับป้อมปราการที่มีแต่คนประเภทนั้น”

 

“ข้าเข้าใจเรื่องนั้นแล้ว”

 

เซปาร์พูดขึ้นมา

 

“แต่ถึงอย่างนั้น การที่ศัตรูของเรากล้าหาญก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะเลี่ยงการปะทะ”

 

“ท่านครับ ข้าไม่ได้แนะนำว่าให้พวกเราเลี่ยงการต่อสู้ ข้าเพียงแต่บอกว่า ให้เลี่ยงการปิดล้อม”

 

“……นี่ท่านหมายความว่า?”

 

เซปาร์ ดูเหมือนท่านจะไม่ใช่นักยุทธศาสตร์หรือนักกลยุทธ 

กลยุทธคือ สิ่งที่ที่แสดงออกมาระหว่างการสู้รบ ในขณะยุทธศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความสำคัญของยุทธศาสตร์คือ การที่ขัดขวางยุทธศาสตร์ของอีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์

 

“หลังจากแบ่งทัพแนวหน้าเป็น 4 หน่วย พวกเราจะจัดหนึ่งหน่วยไปอยู่ระหว่างป้อมปราการเขียวและน้ำเงิน เราจะให้หน่วยนั้นทำการตั้งค่ายปักหลัก แล้วพวกทหารมนุษย์จะสับสน ตรงจุดนั้นเอง ที่อีกหน่วยหนึ่งจะจู่โจมจากด้านหน้า”

 

“นั่นคือ กลยุทธเบี่ยงเบนความสนใจอย่างนั้นรึ?”

 

500 จากด้านหลัง และ 500 จากด้านหน้า รวมแล้วก็ทหาร พันนายที่จะจู่โจมป้อมปราการพร้อมกันทั้งสองฟาก ป้อมปราการเขียวก็จะถูกยึดอย่างง่ายดาย

 

“ข้าเข้าใจแล้วว่า นี่จะเป็นวิธีการโจมตีที่มีประสิทธิภาพกว่าการบุกด้านเดียว ถึงอย่างนั้นข้าสงสัยว่า ทำไมท่านถึงเลือกที่จะไม่ใช้การแบ่งกำลัง 500 นายเป็นสองหน่วย”

 

แหมท่านครับ ท่านนายพลเซปาร์ การใช้แบ่งแยกทัพนั้นไม่ใช่เป้าหมาย มันเป็นแค่ทริคเล็กๆ

 

“เนื่องจากการที่เราได้ปิดบังกำลังรบจากป้อมปราการอื่นทั้งหมด พอป้อมปราการเขียวถูกยึดด้วยการใช้การแบ่งทัพแล้ว

 

พวกมนุษย์ก็จะคิดอย่างนี้: กองกำลังจอมมารที่บุกคราวนี้มีเพียงพันนาย พวกเขาใช้กลยุทธแบ่งแยกเพื่อรักษาจำนวนให้มีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้…….”

 

จอมมารตนอื่นต่างกระพริบตาปริบๆ ดูเหมือนจะไม่เข้าใจกัน ผมจึงอธิบายเพิ่มให้

 

 

“กองกำลังทหารเพียงแค่พันนาย ป้อมปราการที่มีอยู่ก็เพียงพอต่อการป้องกันอยู่แล้ว ดังนั้นพวกมาร์คกราฟจะไม่ทำอะไรทั้งสิ้น”

 

“……!”

ดวงตาของเซปาร์นั้นเบิกกว้าง

 

 

“ถ้าอย่างนั้นกลยุทธการแบ่งกองกำลังเป็นแค่ตัวล่อ!”

 

“ถูกต้อง หลังจากป้อมปราการเขียว ก็ต่อด้วยป้อมปราการน้ำเงิน พวกเราก็ทำแบบเดิมซ้ำ พวกเราจะให้ทหาร 500นาย เมินป้อมปราการแล้วบุกไปในภูเขา สั่งให้พวกเขาตั้งค่ายปักหลักอยู่ระหว่างป้อมปราการน้ำเงินกับทอง ไม่มีเหตุผลที่พวกเราต้องรีบ แต่มันจะสมบูรณ์แบบมากถ้าเราเดินทัพภายใน 2 วัน ”

 

ผมยิ้มบางๆ

 

 

“ยิ่งพวกเราเดินทัพช้า อีกฝ่ายก็ยิ่งงุนงงสับสนถึงจุดประสงค์ของพวกเรา 

เป็นไปได้ไหมว่า พวกจอมมารพยายามทะลวงทุกทางไปยังป้อมปราการแห่งสุดท้าย? 

เป็นไปได้ไหมว่า พวกจอมมารพยายามที่จะผ่านไปยังป้อมปราการทองเพื่อรวมกองกำลังกัน? 

พวกเราได้หว่านเมล็ดแห่งความกังวลใส่พวกเขา มันมีโอกาสสูงมากที่พวกมนุษย์นั้นจะตีความว่า พวกเรากำลังจะใช้แผนค้อนกับทั่ง”

 

ผมหันมองไปที่ เอมิอิ สีหน้าของเขาดูโกรธจัด นี่ยังคงตามแผนไม่ทันอีกหรือไง 

เดี๋ยวก่อนสิ การที่ผมอธิบายให้พวกนายฟังอย่างละเอียดขนาดนี้นับว่า วันนี้ผมใจดีมากแล้วนะ

 

“พวกระดับหัวหน้าประจำป้อมก็คงจะคิดประมาณนี้ : 

ความแข็งแกร่งของทัพจอมมารมีประมาณพัน แล้วเป้าหมายของพวกเขาคืออะไร? เพื่อรักษากองกำลังทหารให้มากที่สุดและยึดป้อมปราการได้ 

แล้วอะไรที่พวกเขาหวาดกลัวที่สุด? การที่ทหารรวมตัวกันแล้วในป้อมแห่งเดียวแล้วกลายเป็นกำแพงที่เจาะไม่เข้า”

 

พอคิดอย่างนั้น พวกมนุษย์ก็จะสรุปว่า เหล่าปีศาจกำลังพยายามตัดการเชื่อมต่อระหว่างแต่ละป้อม

 

“โดยมากแล้วกองทหารพันนายสามารถเอาชนะกองทหารพันนายที่ตั้งรับได้ด้วยการปิดล้อม 

 

พอเป็นอย่างนั้นพวกจอมมารก็จะทำตัวเป็นเครื่องกีดขวางไม่ให้ มีโอกาสที่กองกำลังที่ป้องกันอยู่นั้นมีทหารเพิ่มเข้ามาเกินพันนายอันเนื่องมาจากการที่ป้อมอื่นส่งกำลังพลมาหนุน

 

…….สำหรับพวกมนุษย์ 500 นายที่อยู่ระหว่างป้อมปราการทั้งสองมันดูเหมือนทั่ง และอีก500 นายที่บุกโจมตีจากข้างหน้านั้นเป็นเหมือนค้อน”

 

ในสถานการณ์เช่นนี้ อะไรเป็นตาเดินที่ดีที่สุดของพวกมนุษย์ที่จะทำได้?

 

ผมยิ้มชั่วร้าย โอ้ แหม แหม 

 

นิสัยแย่ๆของผมมันออกมาเสียแล้ว ผมมักจะเผลอยิ้มชั่วร้ายออกมาเมื่อผมสามารถทำนายสิ่งต่างๆได้ นั่นคือ สาเหตุที่ว่า ทำไมถึงไม่สามารถมองหาความสูงส่งจากจอมมารจากผมได้ แต่ถึงอย่างนั้นการกลั้นยิ้มแบบนั้นมันทำไม่ได้จริงๆนะ

 

“ท่านครับ พอปรากฏว่า กองทัพปีศาจแยกกองกำลัง พันนายเพื่อพิชิตแต่ละป้อมปราการ ท่านคิดว่า มนุษย์จะทำอะไรครับ พอเห็นอย่างนั้นแล้ว?”

 

“พวกมันก็จะออกมาจากป้อมปราการแล้วจัดการพวกเรา……!”

 

เซปาร์ทุบโต๊ะด้วยกำปั้น เขาตื่นเต้นมาก ผมผงกหัวให้

 

ป้อมปราการน้ำเงินมีทหาร 500 นาย ถ้ามอนสเตอร์ 500 ตัวบุกโจมตีจากทั้งสองฝั่งให้ดีแล้ว ป้อมพวกนั้นก็ไม่มีทางจะสู้ได้ พอเป็นเช่นนั้น พวกมนุษย์ไม่มีทางเลือกนอกจากจะเป็นฝ่ายโจมตีก่อน

 

ถ้าหาก ทหาร 2,000 นายจากทั้งป้อมปราการทองและแดง ถูกจู่โจมจากมอนสเตอร์ 500 ตัวจากด้านหลัง พวกมอนสเตอร์ก็ถูกกวาดล้างหมดไปในชั่วพริบตาเนื่องจากกำลังทหารที่ต่างกันถึง 4 เท่า 

 

เวลานั้นเองที่ป้อมปราการน้ำเงินจะยังคงตั้งรับการโจมตีของมอนสเตอร์จากด้านหน้าต่อไป

 

เรามาจัดระเบียบความคิดกันดีๆ

 

มนุษย์จะพยายามตอบสนองต่อแผนแบ่งกองกำลัง ด้วยการแบ่งกองกำลังแล้วพิชิตพวกเรา

 

่ก่อนอื่นเลย ป้อมปราการน้ำเงิน จะป้องกันหน่วยมอนสเตอร์ที่จู่โจมจากด้านหน้า ทหารจากป้อมปราการทองและแดง จะกวาดล้างพวกมอนสเตอร์จากด้านหลัง

 

พวกเขาจะรวมกำลังกับป้อมปราการน้ำเงินเพื่อเอาชนะมอนสเตอร์ทั้งหมด

 

พวกมนุษย์นั้นจะเชื่อว่า กลยุทธนี้จะนำชัยมาสู่พวกเขาอย่างแน่นอน โดยไม่ต้องสงสัยเลย ถ้าหากว่า……

 

 

“ถ้าหากว่า กองกำลังแนวหน้าของเรามีแค่ หนึ่งพันนายจริงๆก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ พวกเราจะเคลื่อนกองกำลังทหารที่เหลืออยู่แล้วไปพิชิตป้อมปราการน้ำเงินแท้ ซึ่งนั่นทำให้มันผิดความคาดหมายของพวกเขา ในการที่มีมอนสเตอร์หนึ่งพันห้าร้อยตัวโจมตีจากด้านหน้า!”

 

“…….”

 

“ท่านครับ ต่อไปนี้จะเป็นไฮไล้ท์ของปฏิบัติการณ์นี้แล้ว”

 

ดวงตาของเซปาร์นั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แม้เขาจะไม่ได้ยกยิ้มออกมา แต่ผมก็รู้เลยว่า เขาน่ะออกจะบันเทิงใจกับแทคติกกลลวง

 

ศัตรูของเราจะคิดว่า นี่มันเป็นการบุกระดับเล็กๆที่เกิดขึ้นทุกปี

 

แต่มันผิดแล้วล่ะ นี่คือ การต่อสู้ของกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ด้วยการเดินทัพที่ช้าและยืดระยะการสงครามออก พวกเราจะทำให้ศัตรูเชื่อว่า มันไม่ใช่กองทัพพันธมิตร

 

พวกเขาจะหลงคิดว่า เรากำลังใช้การศึกแบบยืดเยื้อ

 

แต่ความจริงแล้วมันผิดไปเลย พวกเราวางแผนรบในระยะเวลาสั้้นๆและบังคับให้พวกเขารบแบบนั้น เราจะทำให้พวกเขาเป็นห่วงป้อมปราการน้ำเงินที่อาจพังทลายด้วยการกลศึกหลอกลวง หากพวกเขาไม่รีบจบการศึกได้เร็วพอ 

 

พวกเราจะใช้ความกังวลตรงจุดนั้นนี่แหละ

 

พวกเขาจะคิดว่า พวกเรากำลังหลอกให้สับสน

แต่นั่นมันผิดถนัด การลวงหลอกนั่นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเหยื่อล่อ

 

เราตั้งใจทำให้พวกเขานั้นประเมินกำลังทหารของเราต่ำเกินไป พวกมาร์คกราฟของจักรวรรดิก็จะได้ข้อสรุปว่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเคลื่อนย้ายกองทหารไป หากมีมอนสเตอร์บุกมาแค่พันตัว 

พวกเขาเชื่อว่า กองทหารที่ประจำการอยู่ที่ป้อมนั้นเพียงพอแล้วที่จะจัดการกับพวกเราได้โดยง่าย

 

พวกนั้นจะคิดว่า ตัวเองกำลังแบ่งกองกำลังแล้วเอาชนะเราได้

นั่นก็พลาดไปเหมือนกัน ที่คิดว่า ป้อมปราการน้ำเงินจะสามารถรั้งเราไว้ในขณะที่ ทหารจากป้อมปราการทองและแดงเข้ามาโจมตีพวกเราจากด้านหลัง 

แต่ความจริงก็คือ หน่วยกองที่พวกเราวางไว้ระหว่างแต่ละป้อมปราการนั้นจะคอยขัดขวางพวกเขา ระหว่างที่หน่วยอื่นของเราบุกโจมตีป้อมน้ำเงิน

 

 

“ศัตรูของเราจะมั่นใจและเชื่อว่า ได้ผลักเราติดหล่มโคลนแล้ว แต่ความจริงมันกลับกันต่างหาก

ในชั่วขณะที่พวกเข้าไม่ได้เข้าใจถึง คุณค่าเชิงยุทธศาสตร์ของป้อมปราการ แนวหน้าของพวกเราก็จะพิชิตเจ้าพวกป้อมว่างๆนั่นโดยไม่เสียเลือดแม้แต่หยดเดียว และ ฟุฟุ”

 

“…….”

 

“อะ-ต้องขออภัยด้วย ข้ากำลังจินตนาการว่า ผู้บัญชาการบาร์บาทอสจะทำหน้าอย่างไรตอนที่เธอมาที่นี่แล้วพบว่า แทนที่เราจะพิชิตป้อมปราการแดงแล้ว ทั้งที่เธอคาดหวังไว้แค่ให้เราไปถึงป้อมปราการทองก็พอ ข้าจึงอดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้”

 

ผมระเบิดหัวเราะออกมา แม้จะไม่ได้หนักก่อนหน้าแต่ดูเหมือนผมจะเป็นไบโพลาร์ไปแล้ว

 

“ฮุฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

ผู้พันเซปาร์ไม่อาจทนกลั้นขำต่อไปได้จึงหัวเราะออกมาพร้อมกับผม อย่างที่คิดจริงๆ เขาอาจจะดูเป็นคนนิ่งขรึม เป็นสุภาพบุรุษจากภายนอก แต่ก็ยังเป็นคนอารมณ์ขันอยู่เหมือนกัน 

ไม่มีทางหรอกที่บุคคลที่เป็นข้ารับใช้บาร์บาทอสจะไม่มีอารมณ์ขันน่ะ ยัยนั่นมันคนเพี้ยน น็อตในหัวหลวม

 

คนอื่นนอกจากเราสองคนไม่มีใครขำเลย ด้วยเหตุผลบางอย่างพวกจอมมารหน้าใหม่ได้แต่มองไปมองมาระหว่างผมกับเซปาร์ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว เต็มไปด้วยความตกตะลึง

 

 

อะไรกันน่ะ? ที่พูดจากใหญ่โตนั่นหายไปไหนแล้วล่ะ เอมิอิ? นี่เป็นตลกที่น่าขำดีไม่ใช่หรือ? หัวเราะให้เต็มที่เลยสิ มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ผมอายได้ในฐานะเป็นคนยิงมุกนะ ถึงตอนนี้นายจะทำหน้าคร่ำเครียดอยู่ก็เถอะ

 

หากบาร์บาทอสอยู่ที่นี่ด้วย ป่านนี้คงขำกลิ้งกับพื้นไปแล้ว 

แค่หวังจะให้เอมิอินั้นเป็นผู้มีอารมณ์ขันบ้างนี่ คงขอมากไปสินะ? ผมล่ะเสียใจแทนจริงๆ

 

 

“ดีมาก เรามาทำตามแผนของดันทาเลี่ยนกันเถอะ ทุกคน เราไปทลายป้อมปราการเขียวกันเลย!”

 

ในวันนั้นเอง ผู้พันเซปาร์เลือกที่ทำตามแผนการของผม

 

ปฏิบัติการ <ดักแมลง>* ,<Flytrap>

ผู้พันเป็นคนมอบชื่อนี้ให้เอง ไม่คิดว่าเป็นชื่อที่เยี่ยมไปเลยหรือไง? หน่วยทหารของเรา 500 นาย กลายเป็น ตัวดักแมลง แล้วล่อให้ทหาร 2,500 นายที่ประจำอยู่ในป้อมปราการออกมา 

 

 

ถ้าจำไม่ผิดนี่ พวกทหารเหล่านั้นเรียกตนเองว่าเป็น สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติใช่ไหม? 

 

ดีจริงๆที่พวกเขาเรียกตัวเองว่าเป็นหมา แต่ถึงอย่างนั้นพวกนายน่ะก็ไม่มีโอกาสหรอก หมาเฝ้าบ้านของพวกแกจะตายอย่างเอน็จอนาถโดยที่ไม่มีโอกาสได้ร้องเรียกหาเจ้านายเลยแม้สักแอะเดียว ซึ่งทั้งหมดนั่นเป็นเพราะผมคนนี้…….

 

 

——–

 

 

 

 

*Flytrap  หมายถึง Venus fly trap 

ชื่อภาษาไทย ต้นกาบหอยแครง 

เป็นพืชที่กินสัตว์ คอยดักจับและย่อยเหยื่อโดยส่วนมากเป็นแมลงและแมง มีโครงสร้างกับดักคล้ายบานพับ 2 กลีบอยู๋ที่ปลายใบแต่ละใบ มีขนกระตุ้นบางๆบนผิวด้านในของกับดัก

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 78 สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(4)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 78 สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

จอมมารตนอื่นๆวุ่นวายเพราะคำพูดยั่วยุของอามิอิ พวกเขาพูดถึงกันเรื่องที่แบ่งกองกองกำลังว่า มันเป็นเรื่องผิดปกติและเหนือเหตุเหนือผลเกินไป เซปาร์จึงหยุดพวกเขา

 

“เงียบซะ ดันทาเลี่ยน ขอฟังคำแนะนำของท่านหน่อย”

 

“ด้วยความยินดีครับ อย่างที่ข้าบอกไปก่อนหน้าแล้ว เราจะแบ่งกองหน้าออกเป็น 2 กลุ่ม แล้วเราจะแบ่งเป็นอีก 2 กลุ่ม รวมแล้วจะได้ มา 4 หน่วย”

 

อามิอิพ่นลมออกมา เขาจงใจทำแบบนั้นเพื่อให้คนรอบๆมองเราว่าเป็นไอ้เซ่อ ในขณะที่คนอื่นจริงๆมองว่า ผมนั้นบ้า

 

“สองหน่วยไม่พอ นี่แกยังแบ่งเป็นสี่หน่วยเรอะ? ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่า สมองแกยังปกติดีอยู่ไหม”

 

“ข้าบอกว่า ข้าจะฟังคำแนะนำของดันทาเลี่ยน”

 

ริมฝีปากของอามิอิบิดลงเพราะคำเตือนของเซปาร์ เขาเงียบแล้วบ่นกับตัวเอง เสียงของเขามันเบาซะจนผมคิดว่าเขากำลังพูดขอโทษผมอยู่

 

 

“ว่าต่อได้เลย”

 

“แล้วพวกเราก็จะมี 4หน่วย ของทหาร 500 นาย 1ในหน่วยพวกนั้นก็จะไม่สนใจป้อมปราการแล้วเดินทัพกันต่อ”

 

เซปาร์มองดูด้วยความสงสัย ถึงผมจะอ่านอารมณ์ของเขาไม่ออกแต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขากำลังคิดอะไร

 

มีเหตุผลอะไรที่ต้องเพิกเฉยต่อป้อมปราการพวกนั้น? นั่นคือ สิ่งที่เขาอยากจะถาม 

 

เป้าหมายของพวกเราในฐานะแนวหน้าคือ การเคลียร์เส้นทางเพื่อให้กองกำลังหลักสามารถผ่านประตูทั้งหลายได้ ในขณะที่สูญเสียให้น้อยที่สุด 

การไม่สนใจป้อมปราการเลยนั้นเป็นสิ่งที่ขัดกับเป้าหมายของปฏิบัติการณ์นี้

 

ผมยังคงรักษาน้ำเสียงสงบไว้

 

 

“ท่านครับ ขอโอกาสให้ผู้น้อยคนนี้อธิบายด้วยการใช้แผนที่นะครับ?”

 

“ข้าอนุญาต”

 

ทำให้ดูดีเข้าไว้ ผมได้ปรึกษาหารือกับลอร่านับครั้งไม่ถ้วนก่อนการประชุมครั้งนี้ ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ เด็กสาวผู้ในอนาคตจะกลายเป็นสุดยอดนักวางแผน ด้วยความช่วยเหลือของเธอและในฐานะที่ผมเล่นเกมนี้มาก่อน ผมรู้เป็นอย่างดีว่า แผนการนี้มันได้ผล มันไม่มีทางล้มเหลวอย่างแน่นอน

 

 

“ก่อนอื่นเลย ป้อมปราการทั้งสี่บนเส้นทางของเราที่นำไปสู่ฮับบวร์ก”

ผมชี้ไปที่ป้อมปราการทั้งหลายด้วยไม้คทา

 

 

“ป้อมปราการเขียว,ฟ้า,ทอง และแดง ต่างทำงานร่วมกันเป็นอย่างดี ป้อมปราการเขียวนั้นมีทหารปกป้องอยู่ราว 500 นาย ป้อมปราการฟ้าก็ 500 นาย ป้อมปราการทองและแดงนั้นมีทหารอยู่ป้อมละ 1000 นาย ตามลำดับ”

 

เซปาร์พยักหน้า เขาย่อมต้องรู้จำนวนทหารในป้อมพวกนั้นดีอยู่แล้ว จำนวนทหารทั้งหมดของศัตรูคือ  3,000 นาย เมื่อเทียบกับทหารของพวกเรา 2,000 นาย พวกเขานั้นมีจำนวนทหารมากกว่าเรา 1.5 เท่า

 

“ท่านไม่คิดว่า มันแปลกบ้างหรือครับ? พวกมนุษย์นั้นสร้างป้อมมาหลายป้อมแล้วแบ่งแยกกองกำลังตัวเองออก หากเป้าหมายคือ เพื่อป้องกันแล้ว มันไม่ดีกว่าหรือหากจะพุ่งเป้ากองกำลังทหารไปเพียงที่ป้อมปราการเดียวไปเลย ป้อมปราการหนึ่งก็ใช้ 500 นาย ส่วนอีกป้อมก็ใช้ 2,500 นาย เพียงเท่านี้ก็ชัดแล้วว่า มันจะกลายเป็นป้อมปราการแข็งแกร่งระดับที่ไม่มีวันพังทลาย”

 

มันเป็นการยากที่จะเข้าใจเหตุผลถึงการเอาทหารแยกไปทั้ง 4 ป้อมปราการ เพราะกองทหารมอนสเตอร์ระดับสูงสักพันตัวก็เพียงพอต่อการบุกทะลวงการป้องกันประตูโดยทหารมนุษย์เพียง 500ได้แล้ว

 

หากเป้าหมายของพวกเขาคือ การป้องกัน มันก็น่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือ หากจะรวมทหารที่ป้อมปราการเขียว กับป้อมปราการแดงที่มี ทหารป้อมละ 500เข้าด้วยกัน

แต่ถึงอย่างนั้น พวกมนุษย์ก็ยังเลือกใช้วิธีที่ไม่มีประสิทธิภาพแบบนั้น ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นกันล่ะ? นี่เป็นเพราะพวกเขานั้นโง่เง่าหรือว่า……?

 

เซปาร์หรี่ตาลง

 

“นี่ท่านกำลังจะบอกว่า ป้อมปราการพวกนั้นไม่ได้มีไว้ป้องกันพวกเราอย่างนั้นรึ?”

 

“ถูกต้องครับ”

 

เขาเข้าใจได้ในทันทีถึงสิ่งที่ผมจะพูดต่อ สมกับเป็นคนที่บาร์บาทอสไว้ใจให้เป็นหัวหน้าของแนวหน้าจริงๆ

 

“ป้อมปราการพวกนั้นน่ะสร้างขึ้นมาเพื่อกีดขวางกองพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ไม่มีใครแม้แต่พวกมนุษย์เองจะคิดหรอกว่า แค่ป้อมเดียวจะเพียงพอต่อการต้านกองพันธมิตรของพวกเราไหว พวกเขาคาดหวังเพียงสิ่งเดียว จากการที่มี 4 ประตู พวกเขาหวังว่า ประตูพวกนั้นจะยื้อเวลาให้พวกเขาเพื่อให้ยกทัพใหญ่มาได้ทัน”

 

ป้อมปราการพวกนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อตั้งรับป้องกัน พวกมันมีไว้เพื่อชะลอพวกเรา พอสามารถชะลอการเดินทัพของพวกเราได้หน้าที่ของมันก็หมดลงแล้ว

 

ถึงแม้จะมีทหารเพียง 500 นายที่ป้องกันป้อมปราการเขียวอยู่ แต่จอมมารก็ต้องเสียเวลาหยุดการบุกสักระยะหนึ่งเพื่อการโอบล้อม ใช้เวลาอย่างน้อยก็วันหนึ่ง ระหว่างนั้นเองพวกมนุษย์ก็จะใช้อุปกรณ์เวทย์มนตร์เพื่อส่งรายงานไปยังจักรวรรดิ์ฮับบวร์ก พวกมาร์คกราฟแห่งจักรวรรดิก็จะส่งทหารมาในทันที

 

 

“ป้อมปราการพวกนั้นไม่ต่างจากแกะสังเวย ถ้าพูดตรงๆทั้งป้อมเขียว น้ำเงิน และทอง ต่างก็เป็นเหมือนเพื่อนเจ้าสาวที่มีหน้าที่สนับสนุนเจ้าสาวอย่าง ป้อมปราการแดง เท่านั้น 

หน้าที่ของแกะสังเวยมีเพียงอย่างเดียวคือ ชะลอพวกเราจนกว่ามาร์คกราฟจะสามารถส่งกำลังหนุนไปยังป้อมปราการแดงได้”

 

ไม่ว่าทหารของพวกเราจะเดินทัพเร็วแค่ไหน ก็ใช้เวลาหนึ่งวันเพื่อไปถึงป้อมปราการเขียว หนึ่งวันเพื่อพิชิตป้อมปราการเขียว หนึ่งวันเดินทางไปป้อมปราการฟ้า และอีกครึ่งวันเพื่อพิชิตป้อมปราการฟ้า หนึ่งวันเพื่อไปถึงป้อมปราการทอง

 

……. หากเป็นอย่างนี้ก็ใช้เวลาไปอย่างน้อย 5 วันแล้ว ในช่วงเวลา 5 วันนั่นเอง ที่พวกมาร์คกราฟนั้นจะสามารถส่งทหารม้าชั้นแนวหน้ามา แล้วพวกเขาก็พร้อมแล้วที่ป้อมปราการแดง แถมยังอาจจะมีทหารราบมากมายเพิ่มเติมด้วย

 

 

“ท่านครับ เรื่องนี้มันทำให้ผมเป็นห่วงมาก ทหารที่ประจำตามป้อมต่างๆนั้น พวกเขาสู้กับเราทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นเพียงแกะสังเวย พวกเขาน่ะพร้อมจะตายอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาพร้อมจะสู้อย่างสิ้นหวังตราบจนลมหายใจสุดท้าย เพียงเพื่อชะลอการเดินทัพของพวกเราให้ได้สักวันหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่เป็นการฉลาดเลยที่จะเอาใช้วิธีโอบล้อมมาใช้กับป้อมปราการที่มีแต่คนประเภทนั้น”

 

“ข้าเข้าใจเรื่องนั้นแล้ว”

 

เซปาร์พูดขึ้นมา

 

“แต่ถึงอย่างนั้น การที่ศัตรูของเรากล้าหาญก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะเลี่ยงการปะทะ”

 

“ท่านครับ ข้าไม่ได้แนะนำว่าให้พวกเราเลี่ยงการต่อสู้ ข้าเพียงแต่บอกว่า ให้เลี่ยงการปิดล้อม”

 

“……นี่ท่านหมายความว่า?”

 

เซปาร์ ดูเหมือนท่านจะไม่ใช่นักยุทธศาสตร์หรือนักกลยุทธ 

กลยุทธคือ สิ่งที่ที่แสดงออกมาระหว่างการสู้รบ ในขณะยุทธศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความสำคัญของยุทธศาสตร์คือ การที่ขัดขวางยุทธศาสตร์ของอีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์

 

“หลังจากแบ่งทัพแนวหน้าเป็น 4 หน่วย พวกเราจะจัดหนึ่งหน่วยไปอยู่ระหว่างป้อมปราการเขียวและน้ำเงิน เราจะให้หน่วยนั้นทำการตั้งค่ายปักหลัก แล้วพวกทหารมนุษย์จะสับสน ตรงจุดนั้นเอง ที่อีกหน่วยหนึ่งจะจู่โจมจากด้านหน้า”

 

“นั่นคือ กลยุทธเบี่ยงเบนความสนใจอย่างนั้นรึ?”

 

500 จากด้านหลัง และ 500 จากด้านหน้า รวมแล้วก็ทหาร พันนายที่จะจู่โจมป้อมปราการพร้อมกันทั้งสองฟาก ป้อมปราการเขียวก็จะถูกยึดอย่างง่ายดาย

 

“ข้าเข้าใจแล้วว่า นี่จะเป็นวิธีการโจมตีที่มีประสิทธิภาพกว่าการบุกด้านเดียว ถึงอย่างนั้นข้าสงสัยว่า ทำไมท่านถึงเลือกที่จะไม่ใช้การแบ่งกำลัง 500 นายเป็นสองหน่วย”

 

แหมท่านครับ ท่านนายพลเซปาร์ การใช้แบ่งแยกทัพนั้นไม่ใช่เป้าหมาย มันเป็นแค่ทริคเล็กๆ

 

“เนื่องจากการที่เราได้ปิดบังกำลังรบจากป้อมปราการอื่นทั้งหมด พอป้อมปราการเขียวถูกยึดด้วยการใช้การแบ่งทัพแล้ว

 

พวกมนุษย์ก็จะคิดอย่างนี้: กองกำลังจอมมารที่บุกคราวนี้มีเพียงพันนาย พวกเขาใช้กลยุทธแบ่งแยกเพื่อรักษาจำนวนให้มีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้…….”

 

จอมมารตนอื่นต่างกระพริบตาปริบๆ ดูเหมือนจะไม่เข้าใจกัน ผมจึงอธิบายเพิ่มให้

 

 

“กองกำลังทหารเพียงแค่พันนาย ป้อมปราการที่มีอยู่ก็เพียงพอต่อการป้องกันอยู่แล้ว ดังนั้นพวกมาร์คกราฟจะไม่ทำอะไรทั้งสิ้น”

 

“……!”

ดวงตาของเซปาร์นั้นเบิกกว้าง

 

 

“ถ้าอย่างนั้นกลยุทธการแบ่งกองกำลังเป็นแค่ตัวล่อ!”

 

“ถูกต้อง หลังจากป้อมปราการเขียว ก็ต่อด้วยป้อมปราการน้ำเงิน พวกเราก็ทำแบบเดิมซ้ำ พวกเราจะให้ทหาร 500นาย เมินป้อมปราการแล้วบุกไปในภูเขา สั่งให้พวกเขาตั้งค่ายปักหลักอยู่ระหว่างป้อมปราการน้ำเงินกับทอง ไม่มีเหตุผลที่พวกเราต้องรีบ แต่มันจะสมบูรณ์แบบมากถ้าเราเดินทัพภายใน 2 วัน ”

 

ผมยิ้มบางๆ

 

 

“ยิ่งพวกเราเดินทัพช้า อีกฝ่ายก็ยิ่งงุนงงสับสนถึงจุดประสงค์ของพวกเรา 

เป็นไปได้ไหมว่า พวกจอมมารพยายามทะลวงทุกทางไปยังป้อมปราการแห่งสุดท้าย? 

เป็นไปได้ไหมว่า พวกจอมมารพยายามที่จะผ่านไปยังป้อมปราการทองเพื่อรวมกองกำลังกัน? 

พวกเราได้หว่านเมล็ดแห่งความกังวลใส่พวกเขา มันมีโอกาสสูงมากที่พวกมนุษย์นั้นจะตีความว่า พวกเรากำลังจะใช้แผนค้อนกับทั่ง”

 

ผมหันมองไปที่ เอมิอิ สีหน้าของเขาดูโกรธจัด นี่ยังคงตามแผนไม่ทันอีกหรือไง 

เดี๋ยวก่อนสิ การที่ผมอธิบายให้พวกนายฟังอย่างละเอียดขนาดนี้นับว่า วันนี้ผมใจดีมากแล้วนะ

 

“พวกระดับหัวหน้าประจำป้อมก็คงจะคิดประมาณนี้ : 

ความแข็งแกร่งของทัพจอมมารมีประมาณพัน แล้วเป้าหมายของพวกเขาคืออะไร? เพื่อรักษากองกำลังทหารให้มากที่สุดและยึดป้อมปราการได้ 

แล้วอะไรที่พวกเขาหวาดกลัวที่สุด? การที่ทหารรวมตัวกันแล้วในป้อมแห่งเดียวแล้วกลายเป็นกำแพงที่เจาะไม่เข้า”

 

พอคิดอย่างนั้น พวกมนุษย์ก็จะสรุปว่า เหล่าปีศาจกำลังพยายามตัดการเชื่อมต่อระหว่างแต่ละป้อม

 

“โดยมากแล้วกองทหารพันนายสามารถเอาชนะกองทหารพันนายที่ตั้งรับได้ด้วยการปิดล้อม 

 

พอเป็นอย่างนั้นพวกจอมมารก็จะทำตัวเป็นเครื่องกีดขวางไม่ให้ มีโอกาสที่กองกำลังที่ป้องกันอยู่นั้นมีทหารเพิ่มเข้ามาเกินพันนายอันเนื่องมาจากการที่ป้อมอื่นส่งกำลังพลมาหนุน

 

…….สำหรับพวกมนุษย์ 500 นายที่อยู่ระหว่างป้อมปราการทั้งสองมันดูเหมือนทั่ง และอีก500 นายที่บุกโจมตีจากข้างหน้านั้นเป็นเหมือนค้อน”

 

ในสถานการณ์เช่นนี้ อะไรเป็นตาเดินที่ดีที่สุดของพวกมนุษย์ที่จะทำได้?

 

ผมยิ้มชั่วร้าย โอ้ แหม แหม 

 

นิสัยแย่ๆของผมมันออกมาเสียแล้ว ผมมักจะเผลอยิ้มชั่วร้ายออกมาเมื่อผมสามารถทำนายสิ่งต่างๆได้ นั่นคือ สาเหตุที่ว่า ทำไมถึงไม่สามารถมองหาความสูงส่งจากจอมมารจากผมได้ แต่ถึงอย่างนั้นการกลั้นยิ้มแบบนั้นมันทำไม่ได้จริงๆนะ

 

“ท่านครับ พอปรากฏว่า กองทัพปีศาจแยกกองกำลัง พันนายเพื่อพิชิตแต่ละป้อมปราการ ท่านคิดว่า มนุษย์จะทำอะไรครับ พอเห็นอย่างนั้นแล้ว?”

 

“พวกมันก็จะออกมาจากป้อมปราการแล้วจัดการพวกเรา……!”

 

เซปาร์ทุบโต๊ะด้วยกำปั้น เขาตื่นเต้นมาก ผมผงกหัวให้

 

ป้อมปราการน้ำเงินมีทหาร 500 นาย ถ้ามอนสเตอร์ 500 ตัวบุกโจมตีจากทั้งสองฝั่งให้ดีแล้ว ป้อมพวกนั้นก็ไม่มีทางจะสู้ได้ พอเป็นเช่นนั้น พวกมนุษย์ไม่มีทางเลือกนอกจากจะเป็นฝ่ายโจมตีก่อน

 

ถ้าหาก ทหาร 2,000 นายจากทั้งป้อมปราการทองและแดง ถูกจู่โจมจากมอนสเตอร์ 500 ตัวจากด้านหลัง พวกมอนสเตอร์ก็ถูกกวาดล้างหมดไปในชั่วพริบตาเนื่องจากกำลังทหารที่ต่างกันถึง 4 เท่า 

 

เวลานั้นเองที่ป้อมปราการน้ำเงินจะยังคงตั้งรับการโจมตีของมอนสเตอร์จากด้านหน้าต่อไป

 

เรามาจัดระเบียบความคิดกันดีๆ

 

มนุษย์จะพยายามตอบสนองต่อแผนแบ่งกองกำลัง ด้วยการแบ่งกองกำลังแล้วพิชิตพวกเรา

 

่ก่อนอื่นเลย ป้อมปราการน้ำเงิน จะป้องกันหน่วยมอนสเตอร์ที่จู่โจมจากด้านหน้า ทหารจากป้อมปราการทองและแดง จะกวาดล้างพวกมอนสเตอร์จากด้านหลัง

 

พวกเขาจะรวมกำลังกับป้อมปราการน้ำเงินเพื่อเอาชนะมอนสเตอร์ทั้งหมด

 

พวกมนุษย์นั้นจะเชื่อว่า กลยุทธนี้จะนำชัยมาสู่พวกเขาอย่างแน่นอน โดยไม่ต้องสงสัยเลย ถ้าหากว่า……

 

 

“ถ้าหากว่า กองกำลังแนวหน้าของเรามีแค่ หนึ่งพันนายจริงๆก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ พวกเราจะเคลื่อนกองกำลังทหารที่เหลืออยู่แล้วไปพิชิตป้อมปราการน้ำเงินแท้ ซึ่งนั่นทำให้มันผิดความคาดหมายของพวกเขา ในการที่มีมอนสเตอร์หนึ่งพันห้าร้อยตัวโจมตีจากด้านหน้า!”

 

“…….”

 

“ท่านครับ ต่อไปนี้จะเป็นไฮไล้ท์ของปฏิบัติการณ์นี้แล้ว”

 

ดวงตาของเซปาร์นั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แม้เขาจะไม่ได้ยกยิ้มออกมา แต่ผมก็รู้เลยว่า เขาน่ะออกจะบันเทิงใจกับแทคติกกลลวง

 

ศัตรูของเราจะคิดว่า นี่มันเป็นการบุกระดับเล็กๆที่เกิดขึ้นทุกปี

 

แต่มันผิดแล้วล่ะ นี่คือ การต่อสู้ของกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ด้วยการเดินทัพที่ช้าและยืดระยะการสงครามออก พวกเราจะทำให้ศัตรูเชื่อว่า มันไม่ใช่กองทัพพันธมิตร

 

พวกเขาจะหลงคิดว่า เรากำลังใช้การศึกแบบยืดเยื้อ

 

แต่ความจริงแล้วมันผิดไปเลย พวกเราวางแผนรบในระยะเวลาสั้้นๆและบังคับให้พวกเขารบแบบนั้น เราจะทำให้พวกเขาเป็นห่วงป้อมปราการน้ำเงินที่อาจพังทลายด้วยการกลศึกหลอกลวง หากพวกเขาไม่รีบจบการศึกได้เร็วพอ 

 

พวกเราจะใช้ความกังวลตรงจุดนั้นนี่แหละ

 

พวกเขาจะคิดว่า พวกเรากำลังหลอกให้สับสน

แต่นั่นมันผิดถนัด การลวงหลอกนั่นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเหยื่อล่อ

 

เราตั้งใจทำให้พวกเขานั้นประเมินกำลังทหารของเราต่ำเกินไป พวกมาร์คกราฟของจักรวรรดิก็จะได้ข้อสรุปว่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเคลื่อนย้ายกองทหารไป หากมีมอนสเตอร์บุกมาแค่พันตัว 

พวกเขาเชื่อว่า กองทหารที่ประจำการอยู่ที่ป้อมนั้นเพียงพอแล้วที่จะจัดการกับพวกเราได้โดยง่าย

 

พวกนั้นจะคิดว่า ตัวเองกำลังแบ่งกองกำลังแล้วเอาชนะเราได้

นั่นก็พลาดไปเหมือนกัน ที่คิดว่า ป้อมปราการน้ำเงินจะสามารถรั้งเราไว้ในขณะที่ ทหารจากป้อมปราการทองและแดงเข้ามาโจมตีพวกเราจากด้านหลัง 

แต่ความจริงก็คือ หน่วยกองที่พวกเราวางไว้ระหว่างแต่ละป้อมปราการนั้นจะคอยขัดขวางพวกเขา ระหว่างที่หน่วยอื่นของเราบุกโจมตีป้อมน้ำเงิน

 

 

“ศัตรูของเราจะมั่นใจและเชื่อว่า ได้ผลักเราติดหล่มโคลนแล้ว แต่ความจริงมันกลับกันต่างหาก

ในชั่วขณะที่พวกเข้าไม่ได้เข้าใจถึง คุณค่าเชิงยุทธศาสตร์ของป้อมปราการ แนวหน้าของพวกเราก็จะพิชิตเจ้าพวกป้อมว่างๆนั่นโดยไม่เสียเลือดแม้แต่หยดเดียว และ ฟุฟุ”

 

“…….”

 

“อะ-ต้องขออภัยด้วย ข้ากำลังจินตนาการว่า ผู้บัญชาการบาร์บาทอสจะทำหน้าอย่างไรตอนที่เธอมาที่นี่แล้วพบว่า แทนที่เราจะพิชิตป้อมปราการแดงแล้ว ทั้งที่เธอคาดหวังไว้แค่ให้เราไปถึงป้อมปราการทองก็พอ ข้าจึงอดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้”

 

ผมระเบิดหัวเราะออกมา แม้จะไม่ได้หนักก่อนหน้าแต่ดูเหมือนผมจะเป็นไบโพลาร์ไปแล้ว

 

“ฮุฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

ผู้พันเซปาร์ไม่อาจทนกลั้นขำต่อไปได้จึงหัวเราะออกมาพร้อมกับผม อย่างที่คิดจริงๆ เขาอาจจะดูเป็นคนนิ่งขรึม เป็นสุภาพบุรุษจากภายนอก แต่ก็ยังเป็นคนอารมณ์ขันอยู่เหมือนกัน 

ไม่มีทางหรอกที่บุคคลที่เป็นข้ารับใช้บาร์บาทอสจะไม่มีอารมณ์ขันน่ะ ยัยนั่นมันคนเพี้ยน น็อตในหัวหลวม

 

คนอื่นนอกจากเราสองคนไม่มีใครขำเลย ด้วยเหตุผลบางอย่างพวกจอมมารหน้าใหม่ได้แต่มองไปมองมาระหว่างผมกับเซปาร์ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว เต็มไปด้วยความตกตะลึง

 

 

อะไรกันน่ะ? ที่พูดจากใหญ่โตนั่นหายไปไหนแล้วล่ะ เอมิอิ? นี่เป็นตลกที่น่าขำดีไม่ใช่หรือ? หัวเราะให้เต็มที่เลยสิ มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ผมอายได้ในฐานะเป็นคนยิงมุกนะ ถึงตอนนี้นายจะทำหน้าคร่ำเครียดอยู่ก็เถอะ

 

หากบาร์บาทอสอยู่ที่นี่ด้วย ป่านนี้คงขำกลิ้งกับพื้นไปแล้ว 

แค่หวังจะให้เอมิอินั้นเป็นผู้มีอารมณ์ขันบ้างนี่ คงขอมากไปสินะ? ผมล่ะเสียใจแทนจริงๆ

 

 

“ดีมาก เรามาทำตามแผนของดันทาเลี่ยนกันเถอะ ทุกคน เราไปทลายป้อมปราการเขียวกันเลย!”

 

ในวันนั้นเอง ผู้พันเซปาร์เลือกที่ทำตามแผนการของผม

 

ปฏิบัติการ <ดักแมลง>* ,<Flytrap>

ผู้พันเป็นคนมอบชื่อนี้ให้เอง ไม่คิดว่าเป็นชื่อที่เยี่ยมไปเลยหรือไง? หน่วยทหารของเรา 500 นาย กลายเป็น ตัวดักแมลง แล้วล่อให้ทหาร 2,500 นายที่ประจำอยู่ในป้อมปราการออกมา 

 

 

ถ้าจำไม่ผิดนี่ พวกทหารเหล่านั้นเรียกตนเองว่าเป็น สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติใช่ไหม? 

 

ดีจริงๆที่พวกเขาเรียกตัวเองว่าเป็นหมา แต่ถึงอย่างนั้นพวกนายน่ะก็ไม่มีโอกาสหรอก หมาเฝ้าบ้านของพวกแกจะตายอย่างเอน็จอนาถโดยที่ไม่มีโอกาสได้ร้องเรียกหาเจ้านายเลยแม้สักแอะเดียว ซึ่งทั้งหมดนั่นเป็นเพราะผมคนนี้…….

 

 

——–

 

 

 

 

*Flytrap  หมายถึง Venus fly trap 

ชื่อภาษาไทย ต้นกาบหอยแครง 

เป็นพืชที่กินสัตว์ คอยดักจับและย่อยเหยื่อโดยส่วนมากเป็นแมลงและแมง มีโครงสร้างกับดักคล้ายบานพับ 2 กลีบอยู๋ที่ปลายใบแต่ละใบ มีขนกระตุ้นบางๆบนผิวด้านในของกับดัก

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+