Dungeon Defense (WN) 83 สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(9)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 83 สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(9) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

“ทำไมกัน!? ทำไมถึงมีมอนสเตอร์ออกมาจากป้อมปราการน้ำเงิน!?”

 

เคิร์ซนั้นตกตะลึง แถมในหมู่มอนสเตอร์ที่ออกมาจากประตูป้อมปราการนั้นยังเป็นออเกอร์ 

แม้เขาจะเห็นได้ไม่ชัดในความมืดแต่เขาก็แน่ใจว่า มันคือ ออเกอร์ เขาไม่เคยเห็นมอนสเตอร์ตัวไหนสูงเกินกว่า 4 เมตรมาก่อน

 

เขารู้ดีว่า ผู้บัญชาการนั้นต้องสงบนิ่งไว้เสมอ แต่ตอนนี้พวกเขาถูกลอบโจมตีแล้ว 

พวกเขาต้องสั่งการด้วยความคิดที่ว่า ‘ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกลอบโจมตีด้วยจำนวนทหารมากขนาดนี้’ 

มันไม่มีทางเลยที่เหล่าทหารจะรบได้อย่างสบายๆเมื่อผู้บัญชาการโดนปั่นหัวเสียขนาดนั้น

 

 

เคิร์ซยังคงช็อคอยู่อย่างนั้นโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้ ป้อมปราการน้ำเงินทนได้ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำอย่างนั้นหรือ? 

ทั้งที่ควรจะมีมอนสเตอร์อยู่ทั้งสองฝั่งของป้อมรวมกันแค่ 500นี่เอง แนวกำแพงสูงเกือบ 15 เมตร กำแพงพวกนั้นอย่างน้อยก็น่าจะถ่วงให้ได้2 หรือ 3 ชั่วโมงไม่ใช่หรือ?

 

 

 ……มันเป็นไปไม่ได้! นี่มันบ้าไปแล้ว!

 

“อั่ก! นายท่าน โปรดตามข้ามา!”

 

“ที่ท่านตั้งใจจะทำอะไร?”

 

เคิร์ซขบกราม นี่เขาตั้งใจทำอะไรกัน? 

……แทบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ! เขาอยากจะตายไปเลยตอนนี้ด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาแน่ใจอย่างนึงตอนนี้คือ เขาและหน่วยทหารม้าของเขานั้นโดนศัตรูทำให้แยกจากกันแล้ว

 

 

“เราต้องแหกออกไปจากที่นี่! ทหารม้า! ทุกนาย พวกเราจะหันหัวกลับ! เราจะแหวกเส้นทางกลับฐานของเรา!”

 

หน่วยทหารม้ามารวมกัน ณ ที่แห่งเดียว คำสั่งของเคิร์ซนั้นรับฟังในทันที หน่วยทหารม้านั้นมีจำนวนร้อยนายจากแต่ละป้อมปราการ จึงเป็นทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่พวกเขามี 

ทั้งหมดต่างเป็นนักรบระดับ 7 หรือสูงกว่า พวกเขาตะโกนตอบรับกลับมาโดยไม่สะดุด

 

“ข้า ผู้บัญชาการทหารม้าแห่งป้อมปราการทอง แรคเคนเบิร์กจะเจาะแนวทัพของพวกมันเอง!”

 

”ข้าคือ ผู้บัญชาการทหารม้าแห่งป้อมปราการแดง รูบร็อค ข้าจะสนับสนุนจากแนวหลัง!”

 

แม้จะถ่ายทอดคำสั่งได้ว่องไว แต่การประหารนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี  

ม้าได้หันหลังกลับแล้วเริ่มพุ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามจากที่มา 

รูปขบวนของพวกมันแตกกระเจิงแต่ออร์คและก็อบลินที่รอดชีวิตมาได้ก็มาเป็นกำแพงขวางทหารม้า

 

จริงอยู่ที่มอนสเตอร์ไม่อาจรับมือกับหอกของทหารม้าได้ แต่พวกมันก็ทำให้ทหารม้านั้นเชื่องช้าลง หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป วงล้อมของข้าศึกก็จะล้อมพวกเราโดยสมบูรณ์

 

จู่ๆก็มีใครบางคนตะโกนขึ้น

 

“อ-ออเกอร์ตามทันแล้ว!”

 

ออเกอร์!? เคิร์ซหันไปแต่หัวเพื่อมองตามเสียง บางสิ่งที่มีขนาดใหญ่เท่าก้อนหินกำลังไล่กำจัดทหารม้าจากด้านหลัง 

มันคือขวาน ขวานที่มีขนาดใหญ่เท่ากับตัวมนุษย์กำลังเหวี่ยงฟาดและฟันทั้งทหารและม้าขาดครึ่ง มันเป็นดั่งกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก แต่ละครั้งที่เหวี่ยงขวาน ทหารก็ถูกฝังไปทีละคน

 

 

“แนวหลังของเราถูกทำลายแล้ว!”

 

“รูบร็อค ตายแล้ว!”

 

มันเป็นฝันร้ายแห่งการหนี เขาไม่ได้เสียไปเพียง 20 นาย จากการที่ต้องใช้ทหารม้าทหารแนวรบของออร์ค 

พอออเกอร์ไล่ตามพวกเขาทัน ทั้งหน่วยก็โดนกำจัดหมดในทันที

 

เคิร์ซตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการฝึกทหารม้าขึ้นมาแต่ละคน

 

 

หากเขาได้เผชิญหน้ากับออเกอร์ตัวต่อตัว เขามั่นใจในความสามารถของตัวเองว่า จัดการมันได้ แต่ตอนนี้พวกเขากำลังจะหนีจากเงื้อมือของศัตรูให้เร็วที่สุด

ดังนั้นจึงไม่อาจหวังพึ่งกองสนับสนุนที่แยกออกไปด้านข้างแล้วได้ การติดอยู่ในวงล้อมของศัตรูหมายถึงความตาย

 

 

“ทะลวงออกไป! พวกเราต้องออกจากที่นี่!”

 

3 นาที ผ่านไปเพียง 3 นาที ทหารม้าได้ทะลวงออกจากจุดเดิมที่เข้ามาก่อนหน้า 

 

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็น 3 นาทีแห่งฝันร้าย ออเกอร์ตามติดด้านหลังราวกับหมาล่าเนื้อ และทหารม้าสามสิบนายอาสาที่จะหยุดการบุกของมัน ต้องขอบคุณพวกเขา ที่ทำให้ทั้งหน่วยทหารม้าสามารถถอยออกมา แล้วมุ่งกลับไปหากองทัพมนุษย์ที่เหลือได้

 

 

ชนชั้นสูงพูดขึ้น

“ผู้ช่วย เราทำสำเร็จแล้วนะ! พวกเราหนีออกมาได้แล้ว!”

 

“พวกเราไม่ได้ทำสำเร็จ สิ่งที่พวกเราทำคือ การสังเวย!”

 

เคิร์ซสบถด่าออกมาราวกับถุยเลือด ทหารม้าหนึ่งในสี่ถูกกำจัดไปในเวลาแค่ 3 นาที จนถึงตอนนี้นี่เองที่เคิร์ซพึ่งเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด

 

กองทัพของจอมมารไม่ได้มีกำลังพล 500 นาย สองหน่วย แต่กำลังพลทั้งหมดที่มีจริงๆคือราว 2,000 นาย เขาโดนพวกมันหลอก

 

ทหารม้าได้กลับไปรายงานตามสายบัญชาการถึงกองกำลังฝ่ายมนุษย์ เป็นอย่างที่เคิร์ซคาดไว้ พวกเขายังคงแตกตื่นอยู่

 

จู่ๆจำนวนมอนสเตอร์ก็เพิ่มขึ้นสองเท่ากะทันหันมาจากไหนก็ไม่รู้ 

มันไม่แปลกหรอกที่พวกเขาจะตกใจ แต่อย่างน้อยที่สุดเมื่อเคิร์ซกลับมา พวกเขาก็สงบลงบ้างแล้ว

 

“ขอรายงานความคืบหน้า”

 

เคิร์ซนั้นถอนใจ ก่อนจะพูดออกมา เขาลงจากม้าในทันทีแล้วเข้าร่วมกับคนอื่น ไม่มีเวลาให้พักแล้ว เหล่าที่ปรึกษาลนลานขณะตอบ

 

“ศัตรูล้อมพวกเราทั้งสามด้าน”

 

“หน่วยที่ส่งไปตีกระหนาบข้างนั้นถูกโดดเดี่ยวกำลังโดนจู่โจม พวกเราต้องรีบช่วยพวกเขาในทันที”

 

“พวกเรายืนยันแล้วว่า มีออเกอร์ 7 ตัว พวกเราไม่รู้ว่า จริงๆมีมากกว่านี้ไหมเพราะมันมืดมาก”

 

เคิร์ซขบฟัน

 

“เพิ่มไปอีกหนึ่งตัว พวกเราถูกตัวนึงไล่มาจากข้างหลัง”

 

“ออเกอร์ 8 ตัว…….”

 

มีคนบ่นพึมพัมขึ้นมา ความกดดันไร้รูปร่างนั้นกดทับทุกคน 

แม้แต่ตอนนี้เสียงของโลหะกระทบและเสียงกรีดร้องของทั้งมนุษย์มอนสเตอร์ยังคงดังก้องไปรอบพวกเขา

 

พวกพ้องของเขากำลังดึงเวลาให้ แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนต่างตระหนักดีถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย 

แถมไม่แน่ใจด้วยว่า พวกเพื่อนๆของเขานั้นจะทนการจู่โจมที่หนักหน่วงได้อีกนานแค่ไหน

 

เคิร์ซพูดขึ้นทันที

 

“เราหนีเถอะ”

 

“รักษาการณ์ผู้บัญชาการชไลเออมาเคอร์ ท่านก็รู้นี่ว่า การหนีในช่วงกลางคืนนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย…….”

 

“หรือท่านวางแผนจะตายที่นี่? แม้จะเป็นจำนวนน้อย แต่พวกเราก็ต้องหนีไป”

ผู้บัญชาการคนอื่นต่างไม่พอใจ สิ่งที่เคิร์ซแนะนำคือ ให้พวกเขาทิ้งพวกพ้องแล้วหนีไป ผู้บัญชาการทุกคนต่างถูกฝึกมาให้มีจิตวิญญาณนักสู้และรักพวกพ้อง 

ถึงพวกเขาจะรู้ว่ามันเป็นหนทางเดียวที่เหลืออยู่ แต่พวกเขาก็อดคิดหนักไม่ได้ ไม่สิ คำถามแท้จริงคือ พวกเขาจะสามารถหนีรอดไปได้หรือไม่ต่างหาก…….

 

“ข้าจะคอยเฝ้าระวังหลังให้”

 

“ระ-รักษาการณ์ผู้บัญชาการชไลเออมาเคอร์ !”

 

เคิร์ซพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่แน่ว

 

 

“ข้าเป็นหนึ่งในผู้วางแผนนี้ ดังนั้นจึงสมควรที่ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง”

 

 

“ให้พวกเราร่วมสู้จนถึงที่สุดเถอะ ยังไม่แน่นอนสักหน่อยว่าพวกเราจะแพ้…….”

 

“แล้วจะทำยังไงกับป้อมปราการล่ะห้ะ!?”

เคิร์ซตะโกนขึ้นมา

 

 

“ถ้าพวกเราตายกันหมดที่นี่ แล้วใครจะเป็นคนส่งข่าวให้ป้อมปราการแดงเรื่องกองทัพปีศาจ เราจะให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้ เราต้องรั้งป้อมไว้จนกว่ามาร์คกราฟจะส่งกองกำลังทหารมาเสริม

พวกเราต้องส่งคนของเรากลับไปให้ได้มากที่สุด หนีให้ไว ในขณะที่ข้าคอยระวังหลังไว้ให้!”

 

ผู้ช่วยกลับหุบปากเงียบทันที

 

“……นะ-หนีรึ มันอาจเป็นไปไม่ได้”

ตอนนั้นเองที่ชนชั้นสูงพูดขึ้นอย่างระวัง หนึ่งในผู้ช่วยขมวดคิ้วราวกับจะตั้งคำถามกับเขา

 

 

“นายท่าน นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

 

“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันหรอกแต่ว่า……หากให้ข้าคาดไว้ กองกำลังจอมมารมีทหารราว 2,000 นาย แต่พวกมันก็ยังโจมตีทั้งป้อมปราการเขียวและน้ำเงินโดยแสดงจำนวนแค่ 1,000 นายให้เรารู้ นี่ก็หมายความว่ามันตั้งใจจะลวงเราแต่แรก”

 

ชนชั้นสูงผมทองถอนใจออกมา

 

“พวกมันตั้งใจให้เราแบ่งกองทัพเพื่อปราบปรามพวกมัน 

ทันทีที่พวกเราเล่นไปตามแผนนั้น พวกมันก็เซอไพร้ส์เราด้วยการเอาทหารทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ออกมา 

นายน่ะ พวกนายทุกคนก็น่าจะเข้าใจแล้วนี่ว่ามันหมายความว่ายังไง”

 

“นี่พวกเราเต้นอยู่บนฝ่ามือของมันตั้งแต่เริ่มแล้ว……? ท่านจะพูดอย่างนั้นรึไง ?”

 

“ช่างเป็นโชคร้าย แต่ที่เจ้าพูดมาน่ะถูกต้องเลย”

 

เขาถูขอบตาของตน ดวงตาของเขานั้นเหนื่อยล้า การรบกลางคืนเป็นสิ่งที่สร้างความอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจให้กับมนุษย์

 

แต่มันไม่มีผลกระทบกับพวกมอนสเตอร์เลย พวกมันเห็นในความมืดได้อย่างกับสัตว์ร้าย ความแตกต่างที่ว่าเริ่มห่างมากขึ้นมากขึ้นเมื่อการสู้รบดำเนินต่อไป

 

ในหัวของชนชั้นสูงหนุ่ม เขารู้แล้วว่า นี่คือ ความพ่ายแพ้ ปัญหาก็คือ พวกเขามีเวลาเหลือแค่ไหนกัน 30นาทีอย่างนั้นหรือ? หากทำได้ดี อาจยื้อไปถึง หนึ่งชั่วโมง

 

 

……. แล้วหลังจากนั้น การกวาดล้างฝ่ายเดียวก็จะเริ่มขึ้น ภายใน 3 ชั่วโมง ทหารแนวหน้าของ จักรวรรดิ 2,000 นายจะถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น ชายหนุ่มพูดราวกับคำนวนคร่าวๆไว้แล้ว

 

 

“อืมม  ต่อให้พวกเราหนีรอดไปได้ด้วยจำนวนน้อยนิด มันก็สายเกินไป อย่างมากก็ 300 นายหนีไปได้ 

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้ที่ขวางการไล่ล่าของออเกอร์ด้วยพลเดินเท้า ทหาร 300 นาย

ไม่สามารถรักษารูปขบวนไว้ได้หรอกหากโดนขวานของพวกออเกอร์เหวี่ยงใส่ ข้าพูดอะไรผิดไหม?”

 

“……ไม่เลยครับ นายท่านพูดถูก”

 

“แม้ 300 คนของเราจะกลับไปสู่ป้อมปราการแดงได้ก็ไม่มีทางที่จะสามารถต่อต้านการปิดล้อมไหว มอนสเตอร์มีจำนวนมากกว่ามาก พวกเราแพ้แล้ว 

ไม่ว่าจะทำอะไร พวกเราไม่สามารถปกป้องป้อมปราการแดงได้แล้ว ภูเขาดำน่ะถูกยึดโดนกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราแล้ว…….”

 

หนึ่งในเหล่าผู้บัญชาการพูดขึ้นมาด้วยเสียงสั่น

“กะ-กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา? นี่ท่านพูดถึงเรื่องอะไรอยู่?”

 

“อืม ก็ ถ้าลองมาคิดถึงเป้าหมายของพวกมัน พวกมันพยายามที่จะยึดทุกอย่างไปจนถึงป้อมปราการแดงด้วยจำนวนมอนสเตอร์เพียง 2,000 นาย 

ถ้าเราดิ้นรนอย่างถึงที่สุด พวกเราก็อาจจะกำจัดพวกมันไปได้สักพันนึง……?”

 

ทุกคนต่างลืมหายใจตอนที่ฟังชายหนุ่ม

 

 

“ถะ-ถ้าอย่างนั้นพวกมันก็เหลือแค่ 1,500 ตัว ถ้าพวกมันยึดป้อมปราการแดงได้ พอมาร์คกราฟยกทัพมาถึง ท่านคิดว่า มอนสเตอร์เพียง1,500 นายจะรับมือกับกองทัพมหาศาลไหวเหรอ?”

 

ชายผมทองส่ายหัว

 

“มันเป็นไปไม่ได้หรอก และถึงเป็นอย่างนั้นจริง พวกมันก็ได้ป้อมปราการแดงไปแล้ว ถามว่าทำไมเหรอ? 

เหตุผลเดียว พวกมันมั่นใจว่า พวกมันสามารถกำจัดกองทัพมาร์คกราฟได้ยังไงล่ะ”

 

 

“⎯⎯พวกมันกำลังมา! พวกมันมีกำลังเสริมเข้ามาเพิ่ม!”

 

เคิร์ซถึงกับอึ้ง

 

ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

 

“ใช่แล้วล่ะ เป็นไปอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ…….

ศัตรูที่มาพร้อมกับกองหนุนจำนวนมาก และถ้าหากกองทัพของพวกมันสามารถส่งมอนสเตอร์มาถึง 2,000 ตัวมาเป็นแนวหน้า 

ก็จินตนาการได้ไม่ยากเลย ว่ากองกำลังหลักของพวกมันจะมีมากขนาดไหน…….

นี่คือ ทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา หรือไม่ก็ระดับเดียวกัน มนุษยชาติกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง…….”

 

ในที่สุดเคิร์ซก็เห็นภาพใหญ่ทั้งภาพแล้ว ศัตรูนั้นไม่ได้พยายามที่จะรบยืดเยื้อ สิ่งที่ต้องการคือ การรบแบบฉับพลัน การกวาดล้างทั้งหมดในคราวเดียว ชั่วขณะสั้นๆ 

นั่นคือ สาเหตุที่ว่า ทำไมพวกมันถึงได้ล่อทหารให้ออกมาจากป้อมปราการ เขานั้นเป็นคนลากทหารทั้ง 2,000 นาย ลงสู่ความตาย

 

“ข้าไม่รู้เลยว่า…… ข้าน่ะ…….”

 

คำพูดที่ขาดห่วง เคิร์ซไม่รู้เลยว่า ควรจะพูดอะไรออกมา แม้มันจะเป็นตัวเองก็ตาม

 

ชนชั้นสูงจึงพูดขึ้น

 

“อย่าตำหนิตนเองไปเลย ท่านรักษาการณ์ ข้าเป็นผู้ที่รับรองแผนของท่าน ดังนั้นความรับผิดชอบเป็นของข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น 

ทุกคนต่างรู้ดีว่า แผนของท่านเป็นแผนที่ดีที่สุดในตอนนั้น มันไม่ใช่ท่านเพียงคนเดียวที่ผลักทหารลงสู่ความตาย…….”

 

ทุกคนพยักหน้า แม้แต่หนึ่งในผู้ช่วยก็วางมือบนบ่าของเคิร์ซ 

เคิร์ซก้มหน้าลงเขารู้สึกสำนึกเสียใจ โกรธ และรู้สึกผิดกับทหารทั้งหลาย เคิร์ซพูดขึ้นราวกับกำลังคร่ำครวญ

 

 

“……ท่านผู้บัญชาการ ได้โปรดขึ้นม้าแล้วถอนตัวด้วย”

ชนชั้นสูงมองไปรอบๆ

 

“นะ-นี่ท่านพูดอะไรออกมา? 

หากข้าหนีไป ป้อมปราการแดงก็ต้องแตกพ่าย มันไม่มีประโยชน์เลย”

เคิร์ซตำหนิตนเอง ชายหนุ่มตรงหน้าที่สรุปว่า การตายของตัวเองนั้นเป็นข้อสรุปที่ลงตัวที่สุด 

เขาต้องการที่จะอยู่ที่นี่ต่อแม้จะปกป้องป้อมปราการแดงไม่ได้ก็ตามที เขาทำราวกับว่านี่เป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่

 

เขาไม่คิดที่จะทอดทิ้งทหารที่นี่เลยแม้แต่น้อย…….

 

หมอนี่มันเป็นชายชาติทหารแล้วนี่ ที่ผ่านมาทำไมเคิร์ซทำเหมือนกับหมอนี่เป็นเจ้าโง่ได้? 

ทำไมเขาถึงด่วนสรุปไปว่า เด็กหนุ่มตรงหน้ามาเพื่อรับผลสำเร็จในชีวิตเพียงเพราะเขายังหนุ่มและเป็นชนชั้นสูง……? 

ดูเหมือนเขาจะอ่านคนไม่ออกจริงๆ เคิร์ซตำหนิตนเอง

 

 

“ต้องมีใครสักคนไปรายงานมาร์คกราฟถึงสถานการณ์นี้ มันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า การรบเปิดสงคราม จากนี้ไป สงครามระหว่างทหารจักรวรรดิกับพันธมิตรเสี้ยวจันทราจะเริ่มขึ้นแล้ว 

ไม่ว่ามาร์คกราฟสามารถเดินทัพมาก่อนหรือพันธมิตรจะมาถึงป้อมปราการแดงก่อน สิ่งนั้นจะเป็นตัวกำหนดกระแสสงคราม”

 

เคิร์ซเงยหัวขึ้นแล้วมองไปที่ชนชั้นสูง

 

“ไปกับหน่วยทหารม้าแล้วรายงานมาร์คกราฟเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ หากท่านทำแบบนั้น การดิ้นรนของพวกเราจะไม่สูญเปล่า 

ตราบใดที่พวกเรายังรั้งศัตรูไว้ได้ นานเท่าไหร่ มาร์คกราฟก็ยิ่งระดมพลได้มากขึ้นเท่านั้น แม้เราจะต้องเสียที่นี่ไป แต่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสที่พวกเราจะได้เปรียบในสงครามการต่อสู้กับทัพพันธมิตร”

 

 

“เดี๋ยวก่อนๆ ตรรกะนั้นมันแปลกๆ”

ชนชั้นสูงหนุ่มขมวดคิ้ว

 

 

“มันไม่มีเหตุผลที่ข้าจะต้องเป็นผู้ไปบอกมาร์คกราฟเอง แค่ส่งหน่วยทหารม้าไปก็พอแล้ว”

 

 

“ข้ากล้าพูดได้เต็มปาก ข้าเชื่อมั่นในตนเองว่า ข้าไม่ใช่ผู้บัญชาการผู้โง่เขลา แต่ถึงอย่างนั้น ตัวข้าก็ถูกปั่นหัวเสียไม่ต่างจากของเล่นเด็ก 

กองทัพจอมมารมีผู้ให้คำแนะนำที่มีความสามารถน่ากลัว 

เจ้าบุคคลนั้นได้ทำให้ค่ำคืนนี้เป็นหายนะ…….”

 

แทนที่เขาจะรู้สึกโกรธต่อนักวางแผนผู้ไม่รู้นาม เคิร์ซกลับรู้สึกกลัว 

มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะรบชนะด้วยที่มากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นเจ้านักวางแผนคนนั้นกลับทำให้พวกเราล่มสลายด้วยการลดจำนวนของทหารตัวเอง 

มันไม่ใช่สิ่งที่นักวางแผนธรรมดาๆสามารถทำได้

 

 

“จนถึงตอนนี้ จอมมารไม่เคยใช้กลยุทธแบบนี้มาก่อน พวกมันมักจะพึ่งพาแต่มอนสเตอร์ที่แข็งแกร่ง 

ตอนนี้มีนักยุทธศาสตร์อยู่ในหมู่พวกมันแล้ว 

หากไม่ใช่นายท่าน พวกเราก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่า ทหารที่อยู่ข้างหน้าพวกเราเป็นแนวหน้าของกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา……. 

ยิ่งไปกว่านั้น นายท่านเองเป็นคนเดียวที่รู้เจตนาของศัตรู 

นับจากนี้ไป จักรวรรดิต้องการบุคคลเช่นท่าน ได้โปรดมีชีวิตรอดต่อไปเพื่อสู้กับนักยุทธศาสตร์ชั่วนั่นด้วย”

 

“ท่านรักษาการณ์ผู้บัญชาการชไลเออมาเคอร์…….”

 

ในดวงตาสีฟ้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความกังวล 

เขากำลังลังเลว่า สมควรจะรับผิดชอบต่อปฏิการณ์นี้ แล้วร่วมตายไปกับคนของเขาอย่างฮีโร่หรือควรจะมีชีวิตรอดต่อไปเพื่อสงครามต่อจากนี้ดี

 

 

“ข้าเห็นด้วย”

ผู้บัญชาการอื่นเดินออกมา

 

 

“นายท่าน พวกเราจะรับมือกับพวกมันเอง โปรดมีชีวิตรอดต่อไป”

 

 

เคิร์ซได้บอกเตือน

 

“ร้อยตรี แรคเคนเบิร์ก นี่ท่านพูดอะไรของท่าน? ท่านก็ต้องหนีไปด้วยนั่นแหละ ข้าเพียงคนเดียวก็เพียงพอต่อการคุมแนวหลังแล้ว”

 

“ไร้สาระ นี่ท่านไม่พูดอย่างนั้นกับตัวเองล่ะ? พวกเราต่างหากที่สามารถชะลอพวกมันได้นานกว่า”

 

ผู้บัญชาการอื่นต่างเห็นด้วย

 

“ข้าก็เห็นด้วย คนๆเดียวจะบัญชาการทหาร 2,000 นาย ได้อย่างไรกัน?”

 

“ท่านน่ะคงโดนกำจัดในทันทีนั่นแหละ ทำอะไรผิดลำดับสลับกันไปหมดแล้ว ข้านี่แหละที่จะรั้งท้ายให้”

 

“พวกโง่เอ๊ย!”

 

เคิร์ซตะโกนขึ้นมา ทหารบัญชาการทั้งหลายต่างถูกฝึกใต้การดูแลของเคิร์ซ แม้จะไม่เป็นทางการแต่ทุกคนต่างเป็นเหมือนพี่น้อง 

เคิร์ซจึงเลิกพูดเป็นทางการกับพวกเขาเนื่องจากการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล

 

“นี่พวกแกคิดว่า จะช่วยได้มากแค่ไหนกันวะ ถ้ายังรั้งท้ายให้เนี่ย!? ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!”

 

“แล้วคิดว่า ท่านเองจะแก้ในสิ่งที่ทำเสียไปได้เหรอครับ? 

ถ้าทำพลาดไป ผู้คนรอบๆก็พร้อมจะช่วยท่านอยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะแบกมันไว้เพียงลำพัง”

 

“เออสิวะ แล้วข้าจะหนีไปได้ยังไงถ้าหากยังต้องกังวลว่า แนวหลังจะพังไหม?”

 

เหล่าผู้บัญชาการต่างหัวเราะออกมา เคิร์ซดูเป็นคนโง่ในทันที แต่สุดท้ายทุกคนก็ต่างหัวเราะ แววตาของพวกเขานั้นมั่นคงไม่มีสั่นคลอน 

ดวงตาของพวกเขานั้นแสดงออกมาเห็นได้ชัดแล้วว่า พวกเขาเป็นผู้ที่พร้อมจะตาย เคิร์ซพบว่า ไม่มีทางที่ตัวเขาจะสามารถโน้มน้าวพวกของเขาได้

 

“เจ้าพวกงั่งนี่…….”

 

“ผู้บัญชาการครับ โปรดออกไปจากที่นี่พร้อมกับพวกเรา ให้เร็วที่สุดพร้อมกับทหารม้าของพวกเราด้วย”

 

ชายหนุ่มนั้นกลับเงียบ เขาไม่มั่นใจว่าจะให้อภัยตัวเองได้ไหมหากเขาหนีไปโดยเห็นภาพตรงหน้า 

เหตุผลเดียวที่พวกเขาเหล่านั้นสละชีพตนเองก็เพื่อให้เขามีชีวิตรอดไปได้ ไม่สิ เพื่อความอยู่รอดของจักรวรรดิ น้ำเสียงของเขาสั่น

 

 

“พวกนายทำให้ข้ารู้สึกอายตัวเอง”

 

“ใช่ พวกเราต้องขออภัยด้วย นายท่านต้องรอดต่อไปเพื่ออนาคตของจักรวรรดิฮับบวร์ก”

 

“……ได้ การตายไม่ใช่หนทางเดียวในการแบกรับความรับผิดชอบ”

ชายหนุ่มกวาดตามองเหล่าผู้บัญชาการทั้งหลายที่ยืนอยู่ตรงนั้

 

“ข้าอยากจะมีอาชีพการงานที่ก้าวหน้า นั่นเป็นสาเหตุที่ข้ามาอยู่ที่นี่ แม้ข้าจะไม่แน่ใจเรื่องการรบเลย

……นี่เป็นการรบครั้งแรกของข้า ข้าจึงดูเบามันแล้วปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นหน้าที่ของผู้อื่นโดยคิดว่า พวกเขามีประสบการณ์มากกว่าข้า 

ดังนั้นเป็นความรับผิดชอบของข้าเอง”

 

เคิร์ซนึกย้อนไปถึงตอนที่หนุ่มชนชั้นสูงนี่แนะนำว่า พวกเราไม่ควรออกจากป้องปราการ ตอนนั้นเคิร์ซคิดง่ายๆว่า เจ้าหมอนี่คงกลัวมอนสเตอร์ 

 

เขาคิดถึงแต่ว่า ชนชั้นสูงคงเห็นด้วยกับแผนเพราะอยากได้ผลงาน ได้ความก้าวหน้า

……. แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ชายหนุ่มตรงหน้าเขามีเป้าหมายของตัวเอง ดังนั้นจึงเป็นตัวเขาเองนั่นแหละ ที่คิดไปเองฝ่ายเดียว

 

“ข้าขอสาบานกับทุกท่าน ว่าข้าจะเอาชีวิตของนักวางแผนนั่นที่ทำให้ทหารแนวหน้าทั้ง 2,000 นายต้องตาย ข้าจะเอาหัวมันวางไว้บนหลุมศพพวกท่าน”

 

“ไม่มีอะไรดีไปกว่านั้นแล้ว”

 

เหล่าผู้บัญชาการต่างแสดงความเคารพกับชายหนุ่ม มันเป็นการแสดงความเคารพต่อกันที่นานกว่าปกติ ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ

 

 

 

“ชัยชนะแด่จักรพรรดิฮับบวร์ก”

 

“ชัยชนะแด่ฮับบวร์ก”

 

เคิร์ซและชายหนุ่มตัดสินใจสลับอุปกรณ์เพื่อระวังไว้ก่อน หากมอนสเตอร์พบว่า ผู้บัญชาการสูงสุดนั้นกำลังหลบหนีไป 

มันมีความเสี่ยงที่พวกมันจะตามล่าไปจนถึงที่สุด 

ดังนั้นเคิร์ซจงใจที่จะหลอกศัตรูด้วยการสวมชุดของผู้บัญชาการทหารสูงสุดแทน

 

ชนชั้นสูงนั้นหนีไปพร้อมกับ ทหารม้า ราว 100 นาย ที่รอดชีวิต พอพวกเขาหนีไปจนพ้นแล้ว เคิร์ซก็ตะโกนดังลั่นที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

 

 

“เจ้าพวกโง่นั่นหนีไปแล้ว แต่ข้าจะไม่ให้พวกแกน่ะตายสบายๆหรอก นับจากนี้ไปพวกแกจะยังตายไม่ได้ ถ้าหากยังไม่ฆ่าออเกอร์คนละอย่างน้อย 1 ตัว!”

 

“ออเกอร์คนละหนึ่งตัวเลยรึ? ถือว่า คุ้มเอาเรื่องเลยนี่”

 

เหล่าทหารทั้งหลายหัวเราะเอิ้ก เคิร์ซก็ร่วมหัวเราะด้วยเช่นกัน

 

“ใช่แล้วล่ะ การอยู่น่ะมันง่าย แต่การตายน่ะมันยาก สลักความจริงข้อนี้ไว้ในหัวศัตรูเลยก็แล้วกัน สลักมันไว้ในหลุมเลย! 

ก่อนอื่นพวกเรามาเริ่มผสานทัพสองฝั่งที่แยกออกจากกันก่อน! 

เราจะสร้างกลุ่มที่มีแต่นักรบระดับ 5 และสูงขึ้นไป เพื่อจัดการกับออเกอร์ไปด้วยกัน! เฮ้ย ทำอะไรอยู่น่ะ!? ให้ไวเลยเจ้าบ้าเอ้ย!”

 

“รับทราบ!”

 

พวกเขาต่างขานรับพร้อมเพรียงกัน

 

เคิร์ซคิดกับตัวเอง ใช่แล้วล่ะ การรบมันยังไม่จบ มันแค่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น แสดงให้พวกมันเห็นหน่อยถึงความน่ากลัวของสุนัขเฝ้าระวังของมนุษย์ชาติว่าเป็นอย่างไร 

 

เหล่าผู้บัญชาการตัดสินใจเช่นนั้น

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 83 สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(9)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 83 สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(9) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

“ทำไมกัน!? ทำไมถึงมีมอนสเตอร์ออกมาจากป้อมปราการน้ำเงิน!?”

 

เคิร์ซนั้นตกตะลึง แถมในหมู่มอนสเตอร์ที่ออกมาจากประตูป้อมปราการนั้นยังเป็นออเกอร์ 

แม้เขาจะเห็นได้ไม่ชัดในความมืดแต่เขาก็แน่ใจว่า มันคือ ออเกอร์ เขาไม่เคยเห็นมอนสเตอร์ตัวไหนสูงเกินกว่า 4 เมตรมาก่อน

 

เขารู้ดีว่า ผู้บัญชาการนั้นต้องสงบนิ่งไว้เสมอ แต่ตอนนี้พวกเขาถูกลอบโจมตีแล้ว 

พวกเขาต้องสั่งการด้วยความคิดที่ว่า ‘ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกลอบโจมตีด้วยจำนวนทหารมากขนาดนี้’ 

มันไม่มีทางเลยที่เหล่าทหารจะรบได้อย่างสบายๆเมื่อผู้บัญชาการโดนปั่นหัวเสียขนาดนั้น

 

 

เคิร์ซยังคงช็อคอยู่อย่างนั้นโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้ ป้อมปราการน้ำเงินทนได้ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำอย่างนั้นหรือ? 

ทั้งที่ควรจะมีมอนสเตอร์อยู่ทั้งสองฝั่งของป้อมรวมกันแค่ 500นี่เอง แนวกำแพงสูงเกือบ 15 เมตร กำแพงพวกนั้นอย่างน้อยก็น่าจะถ่วงให้ได้2 หรือ 3 ชั่วโมงไม่ใช่หรือ?

 

 

 ……มันเป็นไปไม่ได้! นี่มันบ้าไปแล้ว!

 

“อั่ก! นายท่าน โปรดตามข้ามา!”

 

“ที่ท่านตั้งใจจะทำอะไร?”

 

เคิร์ซขบกราม นี่เขาตั้งใจทำอะไรกัน? 

……แทบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ! เขาอยากจะตายไปเลยตอนนี้ด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาแน่ใจอย่างนึงตอนนี้คือ เขาและหน่วยทหารม้าของเขานั้นโดนศัตรูทำให้แยกจากกันแล้ว

 

 

“เราต้องแหกออกไปจากที่นี่! ทหารม้า! ทุกนาย พวกเราจะหันหัวกลับ! เราจะแหวกเส้นทางกลับฐานของเรา!”

 

หน่วยทหารม้ามารวมกัน ณ ที่แห่งเดียว คำสั่งของเคิร์ซนั้นรับฟังในทันที หน่วยทหารม้านั้นมีจำนวนร้อยนายจากแต่ละป้อมปราการ จึงเป็นทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่พวกเขามี 

ทั้งหมดต่างเป็นนักรบระดับ 7 หรือสูงกว่า พวกเขาตะโกนตอบรับกลับมาโดยไม่สะดุด

 

“ข้า ผู้บัญชาการทหารม้าแห่งป้อมปราการทอง แรคเคนเบิร์กจะเจาะแนวทัพของพวกมันเอง!”

 

”ข้าคือ ผู้บัญชาการทหารม้าแห่งป้อมปราการแดง รูบร็อค ข้าจะสนับสนุนจากแนวหลัง!”

 

แม้จะถ่ายทอดคำสั่งได้ว่องไว แต่การประหารนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี  

ม้าได้หันหลังกลับแล้วเริ่มพุ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามจากที่มา 

รูปขบวนของพวกมันแตกกระเจิงแต่ออร์คและก็อบลินที่รอดชีวิตมาได้ก็มาเป็นกำแพงขวางทหารม้า

 

จริงอยู่ที่มอนสเตอร์ไม่อาจรับมือกับหอกของทหารม้าได้ แต่พวกมันก็ทำให้ทหารม้านั้นเชื่องช้าลง หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป วงล้อมของข้าศึกก็จะล้อมพวกเราโดยสมบูรณ์

 

จู่ๆก็มีใครบางคนตะโกนขึ้น

 

“อ-ออเกอร์ตามทันแล้ว!”

 

ออเกอร์!? เคิร์ซหันไปแต่หัวเพื่อมองตามเสียง บางสิ่งที่มีขนาดใหญ่เท่าก้อนหินกำลังไล่กำจัดทหารม้าจากด้านหลัง 

มันคือขวาน ขวานที่มีขนาดใหญ่เท่ากับตัวมนุษย์กำลังเหวี่ยงฟาดและฟันทั้งทหารและม้าขาดครึ่ง มันเป็นดั่งกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก แต่ละครั้งที่เหวี่ยงขวาน ทหารก็ถูกฝังไปทีละคน

 

 

“แนวหลังของเราถูกทำลายแล้ว!”

 

“รูบร็อค ตายแล้ว!”

 

มันเป็นฝันร้ายแห่งการหนี เขาไม่ได้เสียไปเพียง 20 นาย จากการที่ต้องใช้ทหารม้าทหารแนวรบของออร์ค 

พอออเกอร์ไล่ตามพวกเขาทัน ทั้งหน่วยก็โดนกำจัดหมดในทันที

 

เคิร์ซตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการฝึกทหารม้าขึ้นมาแต่ละคน

 

 

หากเขาได้เผชิญหน้ากับออเกอร์ตัวต่อตัว เขามั่นใจในความสามารถของตัวเองว่า จัดการมันได้ แต่ตอนนี้พวกเขากำลังจะหนีจากเงื้อมือของศัตรูให้เร็วที่สุด

ดังนั้นจึงไม่อาจหวังพึ่งกองสนับสนุนที่แยกออกไปด้านข้างแล้วได้ การติดอยู่ในวงล้อมของศัตรูหมายถึงความตาย

 

 

“ทะลวงออกไป! พวกเราต้องออกจากที่นี่!”

 

3 นาที ผ่านไปเพียง 3 นาที ทหารม้าได้ทะลวงออกจากจุดเดิมที่เข้ามาก่อนหน้า 

 

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็น 3 นาทีแห่งฝันร้าย ออเกอร์ตามติดด้านหลังราวกับหมาล่าเนื้อ และทหารม้าสามสิบนายอาสาที่จะหยุดการบุกของมัน ต้องขอบคุณพวกเขา ที่ทำให้ทั้งหน่วยทหารม้าสามารถถอยออกมา แล้วมุ่งกลับไปหากองทัพมนุษย์ที่เหลือได้

 

 

ชนชั้นสูงพูดขึ้น

“ผู้ช่วย เราทำสำเร็จแล้วนะ! พวกเราหนีออกมาได้แล้ว!”

 

“พวกเราไม่ได้ทำสำเร็จ สิ่งที่พวกเราทำคือ การสังเวย!”

 

เคิร์ซสบถด่าออกมาราวกับถุยเลือด ทหารม้าหนึ่งในสี่ถูกกำจัดไปในเวลาแค่ 3 นาที จนถึงตอนนี้นี่เองที่เคิร์ซพึ่งเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด

 

กองทัพของจอมมารไม่ได้มีกำลังพล 500 นาย สองหน่วย แต่กำลังพลทั้งหมดที่มีจริงๆคือราว 2,000 นาย เขาโดนพวกมันหลอก

 

ทหารม้าได้กลับไปรายงานตามสายบัญชาการถึงกองกำลังฝ่ายมนุษย์ เป็นอย่างที่เคิร์ซคาดไว้ พวกเขายังคงแตกตื่นอยู่

 

จู่ๆจำนวนมอนสเตอร์ก็เพิ่มขึ้นสองเท่ากะทันหันมาจากไหนก็ไม่รู้ 

มันไม่แปลกหรอกที่พวกเขาจะตกใจ แต่อย่างน้อยที่สุดเมื่อเคิร์ซกลับมา พวกเขาก็สงบลงบ้างแล้ว

 

“ขอรายงานความคืบหน้า”

 

เคิร์ซนั้นถอนใจ ก่อนจะพูดออกมา เขาลงจากม้าในทันทีแล้วเข้าร่วมกับคนอื่น ไม่มีเวลาให้พักแล้ว เหล่าที่ปรึกษาลนลานขณะตอบ

 

“ศัตรูล้อมพวกเราทั้งสามด้าน”

 

“หน่วยที่ส่งไปตีกระหนาบข้างนั้นถูกโดดเดี่ยวกำลังโดนจู่โจม พวกเราต้องรีบช่วยพวกเขาในทันที”

 

“พวกเรายืนยันแล้วว่า มีออเกอร์ 7 ตัว พวกเราไม่รู้ว่า จริงๆมีมากกว่านี้ไหมเพราะมันมืดมาก”

 

เคิร์ซขบฟัน

 

“เพิ่มไปอีกหนึ่งตัว พวกเราถูกตัวนึงไล่มาจากข้างหลัง”

 

“ออเกอร์ 8 ตัว…….”

 

มีคนบ่นพึมพัมขึ้นมา ความกดดันไร้รูปร่างนั้นกดทับทุกคน 

แม้แต่ตอนนี้เสียงของโลหะกระทบและเสียงกรีดร้องของทั้งมนุษย์มอนสเตอร์ยังคงดังก้องไปรอบพวกเขา

 

พวกพ้องของเขากำลังดึงเวลาให้ แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนต่างตระหนักดีถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย 

แถมไม่แน่ใจด้วยว่า พวกเพื่อนๆของเขานั้นจะทนการจู่โจมที่หนักหน่วงได้อีกนานแค่ไหน

 

เคิร์ซพูดขึ้นทันที

 

“เราหนีเถอะ”

 

“รักษาการณ์ผู้บัญชาการชไลเออมาเคอร์ ท่านก็รู้นี่ว่า การหนีในช่วงกลางคืนนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย…….”

 

“หรือท่านวางแผนจะตายที่นี่? แม้จะเป็นจำนวนน้อย แต่พวกเราก็ต้องหนีไป”

ผู้บัญชาการคนอื่นต่างไม่พอใจ สิ่งที่เคิร์ซแนะนำคือ ให้พวกเขาทิ้งพวกพ้องแล้วหนีไป ผู้บัญชาการทุกคนต่างถูกฝึกมาให้มีจิตวิญญาณนักสู้และรักพวกพ้อง 

ถึงพวกเขาจะรู้ว่ามันเป็นหนทางเดียวที่เหลืออยู่ แต่พวกเขาก็อดคิดหนักไม่ได้ ไม่สิ คำถามแท้จริงคือ พวกเขาจะสามารถหนีรอดไปได้หรือไม่ต่างหาก…….

 

“ข้าจะคอยเฝ้าระวังหลังให้”

 

“ระ-รักษาการณ์ผู้บัญชาการชไลเออมาเคอร์ !”

 

เคิร์ซพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่แน่ว

 

 

“ข้าเป็นหนึ่งในผู้วางแผนนี้ ดังนั้นจึงสมควรที่ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง”

 

 

“ให้พวกเราร่วมสู้จนถึงที่สุดเถอะ ยังไม่แน่นอนสักหน่อยว่าพวกเราจะแพ้…….”

 

“แล้วจะทำยังไงกับป้อมปราการล่ะห้ะ!?”

เคิร์ซตะโกนขึ้นมา

 

 

“ถ้าพวกเราตายกันหมดที่นี่ แล้วใครจะเป็นคนส่งข่าวให้ป้อมปราการแดงเรื่องกองทัพปีศาจ เราจะให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้ เราต้องรั้งป้อมไว้จนกว่ามาร์คกราฟจะส่งกองกำลังทหารมาเสริม

พวกเราต้องส่งคนของเรากลับไปให้ได้มากที่สุด หนีให้ไว ในขณะที่ข้าคอยระวังหลังไว้ให้!”

 

ผู้ช่วยกลับหุบปากเงียบทันที

 

“……นะ-หนีรึ มันอาจเป็นไปไม่ได้”

ตอนนั้นเองที่ชนชั้นสูงพูดขึ้นอย่างระวัง หนึ่งในผู้ช่วยขมวดคิ้วราวกับจะตั้งคำถามกับเขา

 

 

“นายท่าน นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

 

“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันหรอกแต่ว่า……หากให้ข้าคาดไว้ กองกำลังจอมมารมีทหารราว 2,000 นาย แต่พวกมันก็ยังโจมตีทั้งป้อมปราการเขียวและน้ำเงินโดยแสดงจำนวนแค่ 1,000 นายให้เรารู้ นี่ก็หมายความว่ามันตั้งใจจะลวงเราแต่แรก”

 

ชนชั้นสูงผมทองถอนใจออกมา

 

“พวกมันตั้งใจให้เราแบ่งกองทัพเพื่อปราบปรามพวกมัน 

ทันทีที่พวกเราเล่นไปตามแผนนั้น พวกมันก็เซอไพร้ส์เราด้วยการเอาทหารทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ออกมา 

นายน่ะ พวกนายทุกคนก็น่าจะเข้าใจแล้วนี่ว่ามันหมายความว่ายังไง”

 

“นี่พวกเราเต้นอยู่บนฝ่ามือของมันตั้งแต่เริ่มแล้ว……? ท่านจะพูดอย่างนั้นรึไง ?”

 

“ช่างเป็นโชคร้าย แต่ที่เจ้าพูดมาน่ะถูกต้องเลย”

 

เขาถูขอบตาของตน ดวงตาของเขานั้นเหนื่อยล้า การรบกลางคืนเป็นสิ่งที่สร้างความอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจให้กับมนุษย์

 

แต่มันไม่มีผลกระทบกับพวกมอนสเตอร์เลย พวกมันเห็นในความมืดได้อย่างกับสัตว์ร้าย ความแตกต่างที่ว่าเริ่มห่างมากขึ้นมากขึ้นเมื่อการสู้รบดำเนินต่อไป

 

ในหัวของชนชั้นสูงหนุ่ม เขารู้แล้วว่า นี่คือ ความพ่ายแพ้ ปัญหาก็คือ พวกเขามีเวลาเหลือแค่ไหนกัน 30นาทีอย่างนั้นหรือ? หากทำได้ดี อาจยื้อไปถึง หนึ่งชั่วโมง

 

 

……. แล้วหลังจากนั้น การกวาดล้างฝ่ายเดียวก็จะเริ่มขึ้น ภายใน 3 ชั่วโมง ทหารแนวหน้าของ จักรวรรดิ 2,000 นายจะถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น ชายหนุ่มพูดราวกับคำนวนคร่าวๆไว้แล้ว

 

 

“อืมม  ต่อให้พวกเราหนีรอดไปได้ด้วยจำนวนน้อยนิด มันก็สายเกินไป อย่างมากก็ 300 นายหนีไปได้ 

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้ที่ขวางการไล่ล่าของออเกอร์ด้วยพลเดินเท้า ทหาร 300 นาย

ไม่สามารถรักษารูปขบวนไว้ได้หรอกหากโดนขวานของพวกออเกอร์เหวี่ยงใส่ ข้าพูดอะไรผิดไหม?”

 

“……ไม่เลยครับ นายท่านพูดถูก”

 

“แม้ 300 คนของเราจะกลับไปสู่ป้อมปราการแดงได้ก็ไม่มีทางที่จะสามารถต่อต้านการปิดล้อมไหว มอนสเตอร์มีจำนวนมากกว่ามาก พวกเราแพ้แล้ว 

ไม่ว่าจะทำอะไร พวกเราไม่สามารถปกป้องป้อมปราการแดงได้แล้ว ภูเขาดำน่ะถูกยึดโดนกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราแล้ว…….”

 

หนึ่งในเหล่าผู้บัญชาการพูดขึ้นมาด้วยเสียงสั่น

“กะ-กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา? นี่ท่านพูดถึงเรื่องอะไรอยู่?”

 

“อืม ก็ ถ้าลองมาคิดถึงเป้าหมายของพวกมัน พวกมันพยายามที่จะยึดทุกอย่างไปจนถึงป้อมปราการแดงด้วยจำนวนมอนสเตอร์เพียง 2,000 นาย 

ถ้าเราดิ้นรนอย่างถึงที่สุด พวกเราก็อาจจะกำจัดพวกมันไปได้สักพันนึง……?”

 

ทุกคนต่างลืมหายใจตอนที่ฟังชายหนุ่ม

 

 

“ถะ-ถ้าอย่างนั้นพวกมันก็เหลือแค่ 1,500 ตัว ถ้าพวกมันยึดป้อมปราการแดงได้ พอมาร์คกราฟยกทัพมาถึง ท่านคิดว่า มอนสเตอร์เพียง1,500 นายจะรับมือกับกองทัพมหาศาลไหวเหรอ?”

 

ชายผมทองส่ายหัว

 

“มันเป็นไปไม่ได้หรอก และถึงเป็นอย่างนั้นจริง พวกมันก็ได้ป้อมปราการแดงไปแล้ว ถามว่าทำไมเหรอ? 

เหตุผลเดียว พวกมันมั่นใจว่า พวกมันสามารถกำจัดกองทัพมาร์คกราฟได้ยังไงล่ะ”

 

 

“⎯⎯พวกมันกำลังมา! พวกมันมีกำลังเสริมเข้ามาเพิ่ม!”

 

เคิร์ซถึงกับอึ้ง

 

ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

 

“ใช่แล้วล่ะ เป็นไปอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ…….

ศัตรูที่มาพร้อมกับกองหนุนจำนวนมาก และถ้าหากกองทัพของพวกมันสามารถส่งมอนสเตอร์มาถึง 2,000 ตัวมาเป็นแนวหน้า 

ก็จินตนาการได้ไม่ยากเลย ว่ากองกำลังหลักของพวกมันจะมีมากขนาดไหน…….

นี่คือ ทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา หรือไม่ก็ระดับเดียวกัน มนุษยชาติกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง…….”

 

ในที่สุดเคิร์ซก็เห็นภาพใหญ่ทั้งภาพแล้ว ศัตรูนั้นไม่ได้พยายามที่จะรบยืดเยื้อ สิ่งที่ต้องการคือ การรบแบบฉับพลัน การกวาดล้างทั้งหมดในคราวเดียว ชั่วขณะสั้นๆ 

นั่นคือ สาเหตุที่ว่า ทำไมพวกมันถึงได้ล่อทหารให้ออกมาจากป้อมปราการ เขานั้นเป็นคนลากทหารทั้ง 2,000 นาย ลงสู่ความตาย

 

“ข้าไม่รู้เลยว่า…… ข้าน่ะ…….”

 

คำพูดที่ขาดห่วง เคิร์ซไม่รู้เลยว่า ควรจะพูดอะไรออกมา แม้มันจะเป็นตัวเองก็ตาม

 

ชนชั้นสูงจึงพูดขึ้น

 

“อย่าตำหนิตนเองไปเลย ท่านรักษาการณ์ ข้าเป็นผู้ที่รับรองแผนของท่าน ดังนั้นความรับผิดชอบเป็นของข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น 

ทุกคนต่างรู้ดีว่า แผนของท่านเป็นแผนที่ดีที่สุดในตอนนั้น มันไม่ใช่ท่านเพียงคนเดียวที่ผลักทหารลงสู่ความตาย…….”

 

ทุกคนพยักหน้า แม้แต่หนึ่งในผู้ช่วยก็วางมือบนบ่าของเคิร์ซ 

เคิร์ซก้มหน้าลงเขารู้สึกสำนึกเสียใจ โกรธ และรู้สึกผิดกับทหารทั้งหลาย เคิร์ซพูดขึ้นราวกับกำลังคร่ำครวญ

 

 

“……ท่านผู้บัญชาการ ได้โปรดขึ้นม้าแล้วถอนตัวด้วย”

ชนชั้นสูงมองไปรอบๆ

 

“นะ-นี่ท่านพูดอะไรออกมา? 

หากข้าหนีไป ป้อมปราการแดงก็ต้องแตกพ่าย มันไม่มีประโยชน์เลย”

เคิร์ซตำหนิตนเอง ชายหนุ่มตรงหน้าที่สรุปว่า การตายของตัวเองนั้นเป็นข้อสรุปที่ลงตัวที่สุด 

เขาต้องการที่จะอยู่ที่นี่ต่อแม้จะปกป้องป้อมปราการแดงไม่ได้ก็ตามที เขาทำราวกับว่านี่เป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่

 

เขาไม่คิดที่จะทอดทิ้งทหารที่นี่เลยแม้แต่น้อย…….

 

หมอนี่มันเป็นชายชาติทหารแล้วนี่ ที่ผ่านมาทำไมเคิร์ซทำเหมือนกับหมอนี่เป็นเจ้าโง่ได้? 

ทำไมเขาถึงด่วนสรุปไปว่า เด็กหนุ่มตรงหน้ามาเพื่อรับผลสำเร็จในชีวิตเพียงเพราะเขายังหนุ่มและเป็นชนชั้นสูง……? 

ดูเหมือนเขาจะอ่านคนไม่ออกจริงๆ เคิร์ซตำหนิตนเอง

 

 

“ต้องมีใครสักคนไปรายงานมาร์คกราฟถึงสถานการณ์นี้ มันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า การรบเปิดสงคราม จากนี้ไป สงครามระหว่างทหารจักรวรรดิกับพันธมิตรเสี้ยวจันทราจะเริ่มขึ้นแล้ว 

ไม่ว่ามาร์คกราฟสามารถเดินทัพมาก่อนหรือพันธมิตรจะมาถึงป้อมปราการแดงก่อน สิ่งนั้นจะเป็นตัวกำหนดกระแสสงคราม”

 

เคิร์ซเงยหัวขึ้นแล้วมองไปที่ชนชั้นสูง

 

“ไปกับหน่วยทหารม้าแล้วรายงานมาร์คกราฟเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ หากท่านทำแบบนั้น การดิ้นรนของพวกเราจะไม่สูญเปล่า 

ตราบใดที่พวกเรายังรั้งศัตรูไว้ได้ นานเท่าไหร่ มาร์คกราฟก็ยิ่งระดมพลได้มากขึ้นเท่านั้น แม้เราจะต้องเสียที่นี่ไป แต่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสที่พวกเราจะได้เปรียบในสงครามการต่อสู้กับทัพพันธมิตร”

 

 

“เดี๋ยวก่อนๆ ตรรกะนั้นมันแปลกๆ”

ชนชั้นสูงหนุ่มขมวดคิ้ว

 

 

“มันไม่มีเหตุผลที่ข้าจะต้องเป็นผู้ไปบอกมาร์คกราฟเอง แค่ส่งหน่วยทหารม้าไปก็พอแล้ว”

 

 

“ข้ากล้าพูดได้เต็มปาก ข้าเชื่อมั่นในตนเองว่า ข้าไม่ใช่ผู้บัญชาการผู้โง่เขลา แต่ถึงอย่างนั้น ตัวข้าก็ถูกปั่นหัวเสียไม่ต่างจากของเล่นเด็ก 

กองทัพจอมมารมีผู้ให้คำแนะนำที่มีความสามารถน่ากลัว 

เจ้าบุคคลนั้นได้ทำให้ค่ำคืนนี้เป็นหายนะ…….”

 

แทนที่เขาจะรู้สึกโกรธต่อนักวางแผนผู้ไม่รู้นาม เคิร์ซกลับรู้สึกกลัว 

มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะรบชนะด้วยที่มากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นเจ้านักวางแผนคนนั้นกลับทำให้พวกเราล่มสลายด้วยการลดจำนวนของทหารตัวเอง 

มันไม่ใช่สิ่งที่นักวางแผนธรรมดาๆสามารถทำได้

 

 

“จนถึงตอนนี้ จอมมารไม่เคยใช้กลยุทธแบบนี้มาก่อน พวกมันมักจะพึ่งพาแต่มอนสเตอร์ที่แข็งแกร่ง 

ตอนนี้มีนักยุทธศาสตร์อยู่ในหมู่พวกมันแล้ว 

หากไม่ใช่นายท่าน พวกเราก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่า ทหารที่อยู่ข้างหน้าพวกเราเป็นแนวหน้าของกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา……. 

ยิ่งไปกว่านั้น นายท่านเองเป็นคนเดียวที่รู้เจตนาของศัตรู 

นับจากนี้ไป จักรวรรดิต้องการบุคคลเช่นท่าน ได้โปรดมีชีวิตรอดต่อไปเพื่อสู้กับนักยุทธศาสตร์ชั่วนั่นด้วย”

 

“ท่านรักษาการณ์ผู้บัญชาการชไลเออมาเคอร์…….”

 

ในดวงตาสีฟ้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความกังวล 

เขากำลังลังเลว่า สมควรจะรับผิดชอบต่อปฏิการณ์นี้ แล้วร่วมตายไปกับคนของเขาอย่างฮีโร่หรือควรจะมีชีวิตรอดต่อไปเพื่อสงครามต่อจากนี้ดี

 

 

“ข้าเห็นด้วย”

ผู้บัญชาการอื่นเดินออกมา

 

 

“นายท่าน พวกเราจะรับมือกับพวกมันเอง โปรดมีชีวิตรอดต่อไป”

 

 

เคิร์ซได้บอกเตือน

 

“ร้อยตรี แรคเคนเบิร์ก นี่ท่านพูดอะไรของท่าน? ท่านก็ต้องหนีไปด้วยนั่นแหละ ข้าเพียงคนเดียวก็เพียงพอต่อการคุมแนวหลังแล้ว”

 

“ไร้สาระ นี่ท่านไม่พูดอย่างนั้นกับตัวเองล่ะ? พวกเราต่างหากที่สามารถชะลอพวกมันได้นานกว่า”

 

ผู้บัญชาการอื่นต่างเห็นด้วย

 

“ข้าก็เห็นด้วย คนๆเดียวจะบัญชาการทหาร 2,000 นาย ได้อย่างไรกัน?”

 

“ท่านน่ะคงโดนกำจัดในทันทีนั่นแหละ ทำอะไรผิดลำดับสลับกันไปหมดแล้ว ข้านี่แหละที่จะรั้งท้ายให้”

 

“พวกโง่เอ๊ย!”

 

เคิร์ซตะโกนขึ้นมา ทหารบัญชาการทั้งหลายต่างถูกฝึกใต้การดูแลของเคิร์ซ แม้จะไม่เป็นทางการแต่ทุกคนต่างเป็นเหมือนพี่น้อง 

เคิร์ซจึงเลิกพูดเป็นทางการกับพวกเขาเนื่องจากการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล

 

“นี่พวกแกคิดว่า จะช่วยได้มากแค่ไหนกันวะ ถ้ายังรั้งท้ายให้เนี่ย!? ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!”

 

“แล้วคิดว่า ท่านเองจะแก้ในสิ่งที่ทำเสียไปได้เหรอครับ? 

ถ้าทำพลาดไป ผู้คนรอบๆก็พร้อมจะช่วยท่านอยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะแบกมันไว้เพียงลำพัง”

 

“เออสิวะ แล้วข้าจะหนีไปได้ยังไงถ้าหากยังต้องกังวลว่า แนวหลังจะพังไหม?”

 

เหล่าผู้บัญชาการต่างหัวเราะออกมา เคิร์ซดูเป็นคนโง่ในทันที แต่สุดท้ายทุกคนก็ต่างหัวเราะ แววตาของพวกเขานั้นมั่นคงไม่มีสั่นคลอน 

ดวงตาของพวกเขานั้นแสดงออกมาเห็นได้ชัดแล้วว่า พวกเขาเป็นผู้ที่พร้อมจะตาย เคิร์ซพบว่า ไม่มีทางที่ตัวเขาจะสามารถโน้มน้าวพวกของเขาได้

 

“เจ้าพวกงั่งนี่…….”

 

“ผู้บัญชาการครับ โปรดออกไปจากที่นี่พร้อมกับพวกเรา ให้เร็วที่สุดพร้อมกับทหารม้าของพวกเราด้วย”

 

ชายหนุ่มนั้นกลับเงียบ เขาไม่มั่นใจว่าจะให้อภัยตัวเองได้ไหมหากเขาหนีไปโดยเห็นภาพตรงหน้า 

เหตุผลเดียวที่พวกเขาเหล่านั้นสละชีพตนเองก็เพื่อให้เขามีชีวิตรอดไปได้ ไม่สิ เพื่อความอยู่รอดของจักรวรรดิ น้ำเสียงของเขาสั่น

 

 

“พวกนายทำให้ข้ารู้สึกอายตัวเอง”

 

“ใช่ พวกเราต้องขออภัยด้วย นายท่านต้องรอดต่อไปเพื่ออนาคตของจักรวรรดิฮับบวร์ก”

 

“……ได้ การตายไม่ใช่หนทางเดียวในการแบกรับความรับผิดชอบ”

ชายหนุ่มกวาดตามองเหล่าผู้บัญชาการทั้งหลายที่ยืนอยู่ตรงนั้

 

“ข้าอยากจะมีอาชีพการงานที่ก้าวหน้า นั่นเป็นสาเหตุที่ข้ามาอยู่ที่นี่ แม้ข้าจะไม่แน่ใจเรื่องการรบเลย

……นี่เป็นการรบครั้งแรกของข้า ข้าจึงดูเบามันแล้วปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นหน้าที่ของผู้อื่นโดยคิดว่า พวกเขามีประสบการณ์มากกว่าข้า 

ดังนั้นเป็นความรับผิดชอบของข้าเอง”

 

เคิร์ซนึกย้อนไปถึงตอนที่หนุ่มชนชั้นสูงนี่แนะนำว่า พวกเราไม่ควรออกจากป้องปราการ ตอนนั้นเคิร์ซคิดง่ายๆว่า เจ้าหมอนี่คงกลัวมอนสเตอร์ 

 

เขาคิดถึงแต่ว่า ชนชั้นสูงคงเห็นด้วยกับแผนเพราะอยากได้ผลงาน ได้ความก้าวหน้า

……. แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ชายหนุ่มตรงหน้าเขามีเป้าหมายของตัวเอง ดังนั้นจึงเป็นตัวเขาเองนั่นแหละ ที่คิดไปเองฝ่ายเดียว

 

“ข้าขอสาบานกับทุกท่าน ว่าข้าจะเอาชีวิตของนักวางแผนนั่นที่ทำให้ทหารแนวหน้าทั้ง 2,000 นายต้องตาย ข้าจะเอาหัวมันวางไว้บนหลุมศพพวกท่าน”

 

“ไม่มีอะไรดีไปกว่านั้นแล้ว”

 

เหล่าผู้บัญชาการต่างแสดงความเคารพกับชายหนุ่ม มันเป็นการแสดงความเคารพต่อกันที่นานกว่าปกติ ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ

 

 

 

“ชัยชนะแด่จักรพรรดิฮับบวร์ก”

 

“ชัยชนะแด่ฮับบวร์ก”

 

เคิร์ซและชายหนุ่มตัดสินใจสลับอุปกรณ์เพื่อระวังไว้ก่อน หากมอนสเตอร์พบว่า ผู้บัญชาการสูงสุดนั้นกำลังหลบหนีไป 

มันมีความเสี่ยงที่พวกมันจะตามล่าไปจนถึงที่สุด 

ดังนั้นเคิร์ซจงใจที่จะหลอกศัตรูด้วยการสวมชุดของผู้บัญชาการทหารสูงสุดแทน

 

ชนชั้นสูงนั้นหนีไปพร้อมกับ ทหารม้า ราว 100 นาย ที่รอดชีวิต พอพวกเขาหนีไปจนพ้นแล้ว เคิร์ซก็ตะโกนดังลั่นที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

 

 

“เจ้าพวกโง่นั่นหนีไปแล้ว แต่ข้าจะไม่ให้พวกแกน่ะตายสบายๆหรอก นับจากนี้ไปพวกแกจะยังตายไม่ได้ ถ้าหากยังไม่ฆ่าออเกอร์คนละอย่างน้อย 1 ตัว!”

 

“ออเกอร์คนละหนึ่งตัวเลยรึ? ถือว่า คุ้มเอาเรื่องเลยนี่”

 

เหล่าทหารทั้งหลายหัวเราะเอิ้ก เคิร์ซก็ร่วมหัวเราะด้วยเช่นกัน

 

“ใช่แล้วล่ะ การอยู่น่ะมันง่าย แต่การตายน่ะมันยาก สลักความจริงข้อนี้ไว้ในหัวศัตรูเลยก็แล้วกัน สลักมันไว้ในหลุมเลย! 

ก่อนอื่นพวกเรามาเริ่มผสานทัพสองฝั่งที่แยกออกจากกันก่อน! 

เราจะสร้างกลุ่มที่มีแต่นักรบระดับ 5 และสูงขึ้นไป เพื่อจัดการกับออเกอร์ไปด้วยกัน! เฮ้ย ทำอะไรอยู่น่ะ!? ให้ไวเลยเจ้าบ้าเอ้ย!”

 

“รับทราบ!”

 

พวกเขาต่างขานรับพร้อมเพรียงกัน

 

เคิร์ซคิดกับตัวเอง ใช่แล้วล่ะ การรบมันยังไม่จบ มันแค่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น แสดงให้พวกมันเห็นหน่อยถึงความน่ากลัวของสุนัขเฝ้าระวังของมนุษย์ชาติว่าเป็นอย่างไร 

 

เหล่าผู้บัญชาการตัดสินใจเช่นนั้น

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+