Dungeon Defense (WN) 85 สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(11)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 85 สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(11) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

* * *

 

ผ่านไป 4 วันแล้วนับตั้งแต่ที่พวกเราได้ยึดป้อมปราการแดงโดยไม่เสียเลือดแม้แต่หยดเดียว

 

เหล่าอัศวินเข้ามาใกล้ พวกนั้นเป็นอัศวินหมูป่าแดง หนึ่งในนั้นเป็นมาร์คกราฟที่รับหน้าที่จากทางฝั่งเหนือของจักรวรรดิฮับบวร์ก อัศวินพวกนั้นอยู่ใต้การควบคุมของฟริสซ์ ฟอน โรเซนเบิร์ก(Fritz von Rosenberg)

 

มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กนั้น เป็นตัวน่ารำคาญตัวใหญ่เลยล่ะ เขาคอยเอาแต่ทำตัวเป็นปัญหากับตัวละครเอกของเกม

 

 

‘การกำจัดจอมมารให้สิ้นซากนั้นเป็นพันธกิจของชาติเรา ไม่สิ มันเป็นพันธกิจแห่งมนุษยชาติ มิใช่กิจการงานใดที่จะให้ใครสักคนหนึ่งแบกรับมันไว้เอง’

นั่นเป็นคำประกาศชัดของโรเซนเบิร์ก เขาเชื่อว่า ถ้าหวังพึ่งผู้กล้าคนหนึ่งให้จัดการกับจอมมารทั้งหลาย ตอนนั้นเองที่มนุษย์ทุกคนจะคิดว่า การสงครามนั้นเป็นเรื่องของคนอื่นไป

 

แม้ผู้คนทั่วทั้งทวีปจะส่งเสียงเชียร์ผู้กล้าและเหล่าปาร์ตี้ของเขา แต่ก็มีส่วนน้อยที่เตือนภัยถึงการกระทำแบบนั้น มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กเป็นหนึ่งในคนพวกนั้นนั่นแหละ

 

 

‘จักรวรรดิน่ะหมกหมุ่นอยู่แต่กับเรื่องแนวคิดฮีโร่ ผู้กล้ามากจนเกินไป’

ใครที่พูดแรงแบบนั้น จะมีชะตากรรมที่จบลงด้วยการโดนรุมปาหิน

 

ขณะที่ผู้กล้าและเหล่าปาร์ตี้ของเขานั้นทำหน้าที่กำจัดจอมมารทีละตนทีละตน กองกำลังที่นำทัพโดยมาร์คกราฟนั้นก็ล้มเหลวที่จะฆ่าจอมมารแม้แต่ตัวเดียว 

แล้วพวกอัศวินกำลังทำอะไรกันอยู่อย่างนั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าเอาแต่ตินู่นตินั่นผู้กล้า เพราะอิจฉาที่ผู้กล้าประสบความสำเร็จกว่าไม่ใช่รึไง? 

แล้วคำด่าทอพวกนั้นก็แพร่กระจายไปทั่ว……. 

 

สำหรับตระกูลเอิร์ลที่คอยปกป้องทวีปฝั่งเหนือมานานกว่า 500ปี การทำแบบนั้นมันไม่ต่างจากการยั่วให้โกรธ

 

ท้ายสุดท้าย มาร์คกราฟก็ฝืนนำกำลังทหาร โดยทิ้งจุดต้องป้องกันแล้วไปเสี่ยงสำรวจที่ภูเขาดำ

 

แม้ช่วงต้นๆศึก ดูเหมือนเขาจะได้ฟื้นฟูชื่อเสียง เกียรติยศหลังจากชนะครั้งแล้วครั้งเล่าได้ แต่สุดท้ายก็ถูกกำจัดจนเกลี้ยงด้วยกำลังพันธมิตรที่นำโดย จอมมารลำดับ 2 อกาเรส (Rank 2 Agares) และจอมมารลำดับ 4 กามิกิน(Rank 4 Gamigin)

หลังจากเหตุการณ์นั้นโลกมนุษย์ก็ตกอยู่ในความวุ่นวายครั้งใหญ่

 

ชายผู้ภาคภูมิใจในตระกูลตน สำนึกหน้าที่ในการปกป้องผู้คนแห่งจักรวรรดิ ผู้ครอบครองทหารจำนวนมาก

 

 

 

……. ลองมองในอีกแง่นึงดูสิ เขาเป็นศัตรูผู้ไร้เทียมทาน มันอันตรายเกินไปที่จะเผชิญหน้ากับชายคนนี้ในตอนนี้ จริงอยู่ที่เขาถูกกำจัดไปโดย อกาเรสและกามิกิน 

แต่ถ้าเปลี่ยนมุมมองดู นั่นหมายความว่า คุณต้องการบุคคลระดับจอมมารลำดับ 2 และ จอมมารลำดับ 4 เพื่อเผชิญหน้ากับเขาตรงๆถึงจะกำจัดได้

 

จอมมารตนอื่นตัดสินใจฟังคำเตือนของผมและไม่ส่งกองกำลังออกไป

 

 

 

“นั่นต้องเป็นพวกอัศวินแน่ๆ แต่มันมีแค่ร้อยคนเองนะ พวกเราชนะมันได้แน่”

 

อามิอิเป็นคนเดียวที่ยังต้องการจะบุกเข้าไป 

เขาคงเชื่อมั่นในตัวเองมากหลังจากชนะการศึกรอบที่แล้ว 

ผมเลยต้องแสดงความจริงอันโหดร้ายให้กับผู้ติดตามผู้น่าเอ็นดูผู้นี้

 

 

“อัศวินจักรวรรดิแต่ละคนนั้นแข็งแกร่งเทียบเท่ากับออเกอร์”

 

“อะ-อัศวินแต่ละคน?”

 

“โดยทั่วไปแล้วน่ะ มันก็เหมือนมีออเกอร์ หนึ่งร้อยตนอยู่ตรงนั้น เอาล่ะ ครึ่งหนึ่งเป็นอัศวินฝึกหัด คร่าวคงราวๆออเกอร์เจ็ดสิบตัวนั่นแหละ”

 

พวกเขาทำเรื่องไร้สาระฆ่าเวลาอยู่แบบนั้นเพราะอยากจะล่อพวกเราเข้าไปหา ถ้านายอยากสู้กับออเกอร์ เจ็ดสิบตัวในพื้นที่โล่งแบบนั้น ก็ตามสบายใจ,เพื่อนรัก 

ไม่ต้องห่วง ข้าจะเป็นคนเก็บกระดูกให้เจ้าเอง”

 

อามิอิ มองไปมองมาระหว่างกองทัพอัศวินกับผมด้วยแววตาที่หวาดกลัวสุดขีด 

ผมก็เข้าใจอะนะว่า ทำไมถึงมองอัศวินด้วยสายตาแบบนั้น 

แต่เดี๋ยวสิ ทำไมมองผมด้วยสายตาแบบนั้นด้วยล่ะ? โลกนี้มันช่างเต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ

คำบ่นของเขาจึงจบลงแค่นั้น กองหน้าแห่งพันธมิตรเสี้ยวจันทรานั้นไม่เคลื่อนทัพไปไหนนับตั้งแต่การปรากฏตัวของกองกำลังนับร้อยตรงหน้า

 

พวกเราพิชิตป้อมปราการ เขียว น้ำเงิน ทอง และแดง ได้ด้วยทหารไม่เกิน 2,000 นาย ภายในเวลาแค่ 5 วัน

 

นี่เป็นสิ่งที่เร็วที่สุดในบรรดาความสำเร็จของพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ด้วยความสามารถเช่นนี้ ดังนั้นพวกจอมมารหน้าใหม่จึงเชื่อฟังคำสั่งของผู้พันเซปาร์เป็นอย่างดี

 

 

พวกเขาอาจคิดมาแล้วว่า มันพอแล้วที่จะได้รับความดีความชอบและความประทับใจเป็นอันมากต่อสมาชิกระดับสูงของฝ่ายที่ราบ 

จึงไม่ผลักดันตัวเองไปไกลเกินกว่านี้ ในกรณีนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งดี ที่พวกเขารู้จักประมาณตน

 

 

 

4 วันแล้วที่พวกเราเริ่มสงครามประสาทใส่กับพวกอัศวินนั่น

 

 

นายพลเซปาร์จึงพูดขึ้น

 

“ผู้บัญชาการบาร์บาทอสจะมาถึงในวันนี้”

 

พวกเราทั้งหมดต่างถอนใจด้วยความโล่งอก นั่นก็เพราะพวกเรากังวลว่า อัศวินทั้งหลายจะพยายามโอบล้อมพวกเราซึ่งนั่นทำให้เราเสียเปรียบอย่างมาก

 

ในเย็นของวันเดียวกันนั้น กองกำลังหลักที่มีมอนสเตอร์ 17,000 ตัวก็มาถึงป้อมปราการ 

มันเป็นอะไรที่ประทับใจสุดๆเลยที่ได้เห็นมอนสเตอร์ถึง 17,000 ตัวเดินทัพมาเป็นรูปขบวน

 

พวกเรายืนอยู่ด้านนอกประตูเพื่อต้อนรับการมาของกองทัพหลัก จากที่เรายืนกันอยู่นั้น 

หัวหน้าผู้บังคับบัญชาก็เข้ามาใกล้เรา ผ้าคลุมสีดำโบกสะพัด เช่นเดียวกับที่เขาเดินอย่างมั่นคังเข้ามาหา มันทำให้ผมนึกภาพถึงใครสักคนในตระกูลมาเฟีย

 

 

ชายคนนั้นสูง 4 เมตร เขาคือ จอมมารเบเลธผู้ซึ่งครองลำดับที่ 13 (Rank 13 Demon Lord Beleth) ผู้อยู่ลำดับสูงที่สุดในฝ่ายที่ราบถัดจากบาร์บาทอส 

 

ถึงใบหน้าเขาจะดูเหมือนคนโกรธตลอดเวลา แต่ความจริงนั่นเป็นสีหน้าปกติของเขา แต่ถ้าให้เพิ่มเติมไป หน้าปกติของเขาก็กลายเป็นเหมือนคนที่กำลังตะคอกใครสักคนอยู่ 

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะเขาต้องมาเหยียบโลกมนุษย์ที่เขานั้นเกลียดชังมากเหลือเกิน

 

 

พูดง่ายๆก็คือ เขากำลังเปิดเผยให้โลกรู้นั่นแหละว่า ตัวเขาน่ะมันบ้า

 

 

“ทำได้ดี นายพลทัพหน้าเซปาร์”

เบเลธตัวโต ออกเสียงเหมือนเสือคำราม เซปาร์พยักหน้ารับ

 

“แกมาถึงเร็วกว่าที่ข้าคาดไว้”

 

“มันเหมือนกับข้ามาเที่ยวเล่น เพราะเจ้าได้จัดการเส้นทางให้พวกเรา ข้าจะแจ้งให้ผู้บัญชาการรู้ว่า มันเป็นอะไรที่น่าพอใจมาก

ดีใจซะเถอะ เจ้าน่ะตอนนี้กลายเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการหมายเลข 2 เต็มตัวแล้ว”

 

“……หมายเลข 2 ?”

 

คิ้วของเซปาร์กระตุกทันที

 

 

“หากหูของข้าไม่ฟังผิดไปก็ปากแกนั่นแหละที่พูดผิด ตัวข้า เซปาร์นั้น เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการหมายเลข 1ต่างหาก”

 

“ไอ้ตัวตลก แกไม่ใช่หมายเลข 1 ของท่านบาร์บาทอสหรอกโว้ย ข้านี่เว้ย แกมันก็แค่ไอ้หนูที่อยู่มา 2,000ปี แต่ข้าน่ะอยู่มา 2,400 ปีแล้ว ข้ามอบความจงรักภักดีให้กับท่านบาร์บาทอสมา 400 ปี ก่อนเอ็งเกิดอีก แฮ่มๆ”

 

เจ้ายักษ์ใหญ่พ่นลมออกมาขณะที่กำลังหัวเราะ

 

“เร็วไป 400 ปี ที่เจ้าจะอ้างว่าตัวเองเป็นหมายเลข 1 ของท่านบาร์บาทอสนะ เจ้าหนูเซปาร์”

 

“ข้าเองก็สงสัยว่า แกพูดอะไรออกมา แต่การที่แกโอ่อวดเรื่องอายุนี่ จำนวนปีไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ 

หากแต่เป็นการอุทิศตนต่างหาก ความจงรักภักดีที่มีต่อท่านผู้บัญชาการนั้นมันมากพอจะชดเชย 400 ปีนั่นได้ การอุทิศตนของข้านั้น ราว 10,000 ปี”

 

ทั้งสองต่างจับมือกันด้วยมือซ้าย ดูเหมือนเส้นเลือดที่หลังมือจะปูดขึ้นมาทั้งคู่

 

 

“ไอ้หนูที่ดูแก่แต่ภายนอก⎯⎯”

 

 

“ไอ้หมูที่มีดีแต่ตัวโต⎯⎯”

 

 

จอมมารตนอื่นๆต่างคุ้นเคยกับเหตุการณ์ตรงหน้าเลยไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าไหร่นัก 

พวกเขาอยากกลับเข้าไปพักผ่อนต่อในป้อมมากกว่า พวกเขาแสดงความต้องการออกมาชัดเจนมาก

 

ถ้าถามความเห็นผมเหรอ อืม ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจเลยนะว่า ทำไมพวกผู้ติดตามถึงปวดเศียรเวียนเกล้ากันมาก 

ผมเข้าใจอย่างดีเลยล่ะถึงเหตุผลว่าทำไมกองทัพธมิตรเสี้ยวจันทราถึงล้มเหลวไปทั้ง 7 ครั้ง

 

ถ้าไม่สนใจเรื่องลำดับของเธอนะ บาร์บาทอสน่ะ ก็มีรูปลักษณ์เป็นเด็กสาวอายุ 12ปี 

พูดง่ายๆคือ ไอ้จอมมารสองตัวข้างหน้าเนี่ย กำลังตีกันดุเดือดเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าใครกันแน่เป็นแฟนตัวจริงของเด็กสาวอายุ 12 ปี

 

 

ไอ้โลลิค่อนน่าสิ้นหวังเอ๊ย!

 

 

พวกระดับสูงๆของฝ่ายที่ราบนั้นเต็มไปด้วยพวกโลลิค่อน 

นี่ถ้าพวกมนุษย์ได้ยินเรื่องนี้เข้า พวกเขาต้องคิดว่าเป็นมุกตลกแล้วขำกลิ้งกันแน่

 

……เสียงในหัวของผมนั้นบอกว่า ใครที่จะไปมีเซ็กกับโลลิแบบนั้นก็ได้ แต่ผมไม่มีทางแน่ 

ผมรู้เลยว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผมจะลดลงไปอีกขั้นถ้าผมยอมรับมัน 

เอาล่ะ ผมอาจจะไม่ใช่มนุษย์แล้วก็เถอะ แต่ผมก็ยังคงมีเส้นกั้นแบ่งที่ผมจะไม่มีวันข้ามเด็ดขาด

 

(TTL : พรี่พูดเหมือนตอน070 ตอนจบองก์1 มันไม่มีอยู่จริงอย่างนั้นแหละ!) 

 

แล้วเซปาร์ก็พูดขึ้น

“ถึงอย่างนั้นก็เหอะ พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อต้อนรับหมูป่าอย่างแก แล้วไหนล่ะท่านผู้บัญชาการ?”

 

“หืมมม”

 

เบเลธที่ปกติหน้าตาบูดบึ้งอยู่ก็ยิ่งบูดเบี้ยวไปอีก จนผมอาจจะสับสนหน้าของเขากับฟรอยอลูมิเนี่ยมที่โดนขยำ

 

 

“ท่านบาร์บาทอสจะมาถึงในอีก 18 วินาที”

 

“18 วินาที?”

 

“ตอนนี้เหลือ 16 แล้ว”

 

“……อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง”

เซปาร์พยักหน้าราวกับเข้าใจอะไรขึ้นมา 

แต่คนอื่นน่ะไม่ เซปาร์เป็นคนเดียวที่เข้าใจคำพูดของเบเลธ 

อามิอิจึงถามเพิ่ม

 

 

“ท่านครับ ท่านครับ ที่บอกว่า 18 วินาทีหมายถึงยังไง?”

 

“หืม เจ้าต้องไม่รู้แน่ล่ะ ก็เจ้าเป็นหน้าใหม่นี่นะ ตอนนี้ เหลือ 10 วินาทีแล้ว”

 

เซปาร์นั้นชี้ไปที่บนฟ้า จอมมารตนอื่นๆมองตามไปที่เขาชี้ 

ทุกคนต่างมองฟ้า ตอนนั้นเองก็ปรากฏจุดดำๆบนท้องฟ้าสีคราม 

จุดดำที่จู่ๆก็กลายเป็นวัตถุใหญ่ขนาดสามมิติ ไม่สิ มันมโหฬารเลยล่ะ มันเป็นมังกรกระดูก

 

 

“ระ-ราชรถกระดูก!”

 

อามิอิกรีดร้องออกมา ผมไม่ได้เปล่งเสียงออกมา แต่จริงๆผมก็ตกใจนั่นแหละ มังกรกระดูกนั้นเป็นระดับที่เหนือกว่า A ไปอีก ใช่มันคือ มอนสเตอร์แร๊ง S!

 

พวกมันแข็งแกร่งพอที่จะกลืนกินจอมมารระดับต่ำได้เลยถ้ามันอยากจะทำ

 

 อารมณ์หวาดกลัวของเหล่ามอนสเตอร์ต่างส่งมาถึงผมไม่หยุด แม้แต่ออเกอร์ก็ยังสั่นกลัว

 

มังกรกระพือปีกอยู่เหนือหัวพวกเรา ฝุ่นหมอกตลบอวนขึ้น 

ผมปิดหน้าด้วยแขน ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกส่งลอยไปในทันที ถ้าไม่ถ่ายน้ำหนักลงไปที่ขาทั้งสอง 

จอมมารตนอื่นต่างโดนผลักถอยไป มังกรก็ค่อยๆจอดลงอย่างช้าๆ และเปิดทางให้

 

 

การกระพือปีกหยุดลง ฝุ่นควันเต็มพื้นที่ไปหมด มีเพียงเงาของมังกรเท่านั้นที่โผล่ชัดออกมาในหมอกสีน้ำตาล

 

ใครบางคนก้าวลงมาจากมังกรกระดูกโดยเหยียบลงทางข้างหลังมัน

บาร์บาทอส จอมมารลำดับ 8 นั่นเอง

 

“อ้าว โทษทีว่ะ โทษที”

 

เธอเดินตรงไปท่ามกลางทุกคนที่กำลังกลั้นหายใจอยู่

 

 

“ข้ามาสายไปหน่อยใช่มะ? ข้าว่าบอกให้ไอ้นั่นมันปลุกข้าตั้งแต่ ตี1 แล้วนะ 

แต่ให้ตายเถอะเจ้าพ่อบ้านงั่งนั่นเสือกปลุกข้าช้าไปชั่วโมง ข้าเลยรีบบินมานี่อย่างกับอีบ้า เพราะข้าดันคิดว่าตัวเองมาสายแล้ว”

 

เธอพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองสบายๆ แต่ถึงอย่างนั้น จอมมาร 18 ตน และ มอนสเตอร์  18,500 ตัวก็คุกเข่าลงทันทีที่เธอโผล่มา พื้นสะเทือนเลื่อนลั่น

 

 

“พวกเราขอต้อนรับท่านผู้บัญชาการ!”

จอมมารทั้ง 18 ตน ตะโกนพร้อมเพรียงกัน 

รอยพับสวยๆบนหน้าผมของบาร์บาทอสย่น

 

 

“พวกแกจะบ้ารึไงห้ะ ลุกขึ้นโว้ย นี่พวกแกคิดว่า ทำแบบนี้จะได้ใจข้ารึไง? 

อ้า แหงอยู่แล้วดิ”

บาร์บาทอสยิ้มชั่วร้ายตอนที่ผมมาที่ผม ก่อนจะเดินมาหา

 

“หายากจริงน้า แต่มีเพื่อนดีเหมือนกันนี่ เฮ้ย เซปาร์เอ็งทำได้แล้วนี่?”

 

“ท่านให้เกียรติข้ามาก นายท่าน”

 

“ไอ้หมอนี่น่ะ รู้สึกเหมือนเมื่อวานเลยว่ะ ตอนที่แกไม่สนใจคำสั่งแล้วพุ่งเข้าไปในช่วงทัพพันธมิตรครั้งที่ 6 น่ะ! เคะเคะเคะ!”

 

บาร์บาทอสหัวเราะออกมาพร้อมกับหวดหลังเซปาร์ ร่างของเซปาร์สั่นอย่างมากตอนที่มือเธอฟาดหลังเขา คิ้วเขาขมวดเหมือนตอนเจอปัญหาใหญ่

 

 

“มีใครในที่นี้จดจำทัพพันธมิตรครั้งที่ 6 ได้มั่ง? ตอนนั้นข้างงไปเลยว่ะ ตอนนี้เจ้าหน้าใหม่พุ่งใส่กลุ่มอัศวินน่ะ 

ไอ้หน้าใหม่ตอนนั้น คือ หมอนี่นี่เอง นายพลแนวหน้าของพวกเรา ลำดับที่ 16 เซปาร์ ผู้ที่เราภาคภูมิใจ!”

 

เสียงหัวเราะของจอมมารดังขึ้น บรรยากาศหลักๆที่เคยทับพวกเราตอนที่มังกรกระดูกปรากฏตัวมาหายวับไปทันตา

 

 

“มันก็ไม่อะไรหรอกถ้าเป็นอัศวินโง่ๆธรรมดา แต่พวกนั้นน่ะเป็นอัศวินกุหลาบเขียวแห่งราชอาณาจักรบริททานี่ 

ข้ายังอ้าปากค้างเลยตอนที่เห็นการพุ่งใส่เข้าไปอย่างนั้น ข้าจำได้ดีเลย ข้าว้าวมาก ไอ้หมอนี่มันไอ้บ้าเหนือไอ้บ้าทั้งหลายเลยว่ะ 

แม่งเอ๊ย เขาช่างเป็นไอ้ปัญญาอ่อนแต่ก็เท่จริงๆเลยว่ะ”

 

จอมมารคนอื่นยิ่งหัวเราะร่วน 

เซปาร์ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายของการหัวเราะยังคงก้มหัวลง ผมทนไม่ได้จริงๆก็เลยปล่อยหัวเราะออกมาหลังจากที่เห็นเซปาร์ทำตัวเคร่งขรึมมาตลอด 

 

 

แต่ตอนนั้นเองที่เบเลธถามอย่างเสียดสี

 

“แล้วเขาทำสำเร็จไหมล่ะ?”

 

“ข้าถึงบอกไงว่า เขาน่ะเป็นไอ้ปัญญาอ่อนที่เท่ เคะเคะ!

แม้จะเท่แค่ไหน แต่ปัญญาอ่อนก็คือ ปัญญาอ่อน ก็ยับเละเทะน่ะสิ นี่แกรู้ไหม? เขาทุ่มกำลังทหารทั้งหมดเพื่อสู้เลยนะ 

แม้ตอนนี้จะมีออเกอร์เหลือแค่ 20 ตัว 

โอ้ ลำดับ 16 เพื่อนเรากลับมีออเกอร์เพียง 20 ตัว!”

 

บาร์บาทอสสะกิดสีข้างเซปาร์อย่างอารมณ์ดี

 

 

“ฮ่ะฮ่า มันทำให้ข้าอายมากจนไม่กล้าบอกใครเลยว่า แกน่ะเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับ 3 ของฝ่ายที่ราบ 

เฮ้อ ไอ้บ้าปัญญาอ่อน สารภาพมาดิ้ ทำไมตอนนั้นแกทำงั้นวะ? มาไขปริศนาเมื่อ 500 ปีที่แล้วมาเร็ว”

 

เซปาร์ก้มหัวลงต่ำราวกับทำความผิดฐานทรยศ 

มันก็ดูตลกนั่นแหละที่เด็กสาวอายุรุ่นราวคราวหลานกลับเป็นฝ่ายแกล้งเขา แล้วตอนนั้นเองคนอื่นก็ระเบิดหัวเราะอีกรอบ

 

พอเสียงหัวเราะซาลงบาร์บาทอสก็ควักพัดขึ้นมาโบกพัดตัวเอง

 

“แต่ตอนนี้ข้าคิดว่า ข้าสามารถเอาเจ้าไปอวดได้แล้วว่ะ เซปาร์ จอมมารลำดับ 16 สุดยอดนักรบแห่งฝ่ายที่ราบผู้น่าภาคภูมิใจ 

ไม่มีใครอื่นใดจะได้รับเกียรติยศในการยึดภูเขาดำได้ใน 5 วันเหมือนอย่างเซปาร์แล้ว”

 

“……นายท่าน”

 

เซปาร์เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆเช่นเดียวกับที่บาร์บาทอสยิ้มแยกเขี้ยวให้

 

 

“เจ้าได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ตน แต่ในมุมกว้าง เจ้าได้สร้างอะไรที่ยิ่งใหญ่มากให้กับพันธมิตรเสี้ยวจันทราของเรา 

เจ้าทำให้การบุกก้าวแรกของพวกเรานั้นสำเร็จเกินความคาดหมายครั้งใหญ่ สหายเรา 

ขอทุกคนจงสรรเสริญเซปาร์ด้วย”

 

ทุกคนต่างปรบมือให้ แม้แต่เบเลธตัวโตก็ยังปรบมือให้แม้สีหน้าจะไม่พอใจก็ตามที 

เซปาร์นั้นตอบรับเสียงปรบมือด้วยการแสดงความเคารพ 

บาร์บาทอสพยักหน้า

 

 

 

“เพื่อเป็นการทำให้มันเหมาะสมฐานะสักหน่อย ตัวข้า บาร์บาทอส ผู้นี้ขอมอบรางวัลให้แก่ความสำเร็จของเจ้า 

สหายผู้อยู่กับข้ามาเกือบ 1,200 ปีแล้ว 

เซปาร์ ข้าขอมอบราชรถกระดูกให้กับเจ้า”

 

 

“……! นะ-นายท่าน!”

 

เซปาร์ถึงกับอึ้งไปเลย เขาไม่ใช่คนเดียวหรอกที่ตกใจ จอมมารทั้งหลายต่างแตกตื่นกันหมด 

กรามของเบเลธถึงกับอ้าค้าง คุณไม่รู้หรอกว่า ราคาของมอนสเตอร์ระดับ S นั้น สูงขนาดไหน 

และการให้สิ่งนั้นเป็นรางวัลเนี่ยนะ

 

 

“รางวัลนั้นมันมากเกินไปสำหรับความสำเร็จของผู้น้อย!”

 

“ข้าไม่รับคำปฏิเสธใดๆทั้งสิ้นว่ะ”

บาร์บาทอสตอบกลับอย่างหนักแน่น

 

 

“แล้วข้าก็จะมอบ เงิน 10,000 โกลด์ให้กับ เวพาร์,บาลาม,เมอเมอและเอมิอิ คนอื่นๆก็จะได้รับรางวัลตามความสำเร็จเมื่อวันที่พันธมิตรเสี้ยวจันทราสิ้นสุดลง”

 

“พะ-พวกเราเป็นหนี้ท่านไปตลอดกาล!”

 

“ขอบคุณท่านมาก!”

จอมมารที่ถูกประกาศรายชื่อต่างก้มให้ทันที

 

ผมได้แต่อึ้งด้วยความประหลาดใจ สมกับเป็นบาร์บาทอส เธอจัดระเบียบทางการทหารก่อนการรบของจริงจะเริ่ม พื้นฐานการรบก็มีระบบการให้รางวัล

 

ไม่สำคัญว่า จอมมารจะมีเกียรติความภาคภูมิในตัวเองแค่ไหน แต่การมาได้เป็นประจักษ์พยานการมอบมอนสเตอร์ระดับ S ให้กับใครสักคน มันไม่มีทางที่จะทำให้พวกเขาไม่ตื่นเต้นหรอก 

ต่อให้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ตามบาร์บาทอสมาด้วยความเต็มใจมาก่อน 

แต่ตอนนี้พวกเขาก็ต้องยอมตามเพราะความโลภนี่แหละ

 

 

ก่อนหน้านี้พวกเราได้คุยกันเรื่อง เหตุผลที่พันธมิตรเสี้ยวจันทราทำไมถึงล้มเหลวในดีต 

นั่นก็เป็นเพราะว่า ผู้คนทั้งหลายต่างกังวลว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรหลังจากที่พันธมิตรเสี้ยวจันทราสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

และนี่แหละที่เป็นเหตุให้กองกำลังพันธมิตรแยกเป็นเสี่ยงๆจากภายใน

 

 

แล้วถ้าหาก คุณได้รับมอนสเตอร์ระดับ S ที่นี่ล่ะ ? ต่อให้โลกมนุษย์จะถูกพิชิตไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงมีกำลังพอจะเอาตัวรอดต่อไปได้

 พวกเขาก็มีเป้าหมายที่จับต้องได้ 

จอมมารทั้งหลายต่างพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ได้รับความโปรดปรานจากบาร์บาทอส

 

 

“และตอนนี้ ก็เหลืออีกบุคคลหนึ่ง”

บาร์บาทอสหันมาหาผม

 

 

“อ้าาา ดันทาเลี่ยน เพื่อนรัก”

 

จอมมารอื่นที่ยืนรอบเราแทบจะกลั้นหายใจอีกครั้ง บาร์บาทอสไม่เคยระบุผู้อื่นใดว่าเป็นเพื่อนของเธอมาก่อน

 ความตกตะลึงยิ่งการการมอบมังกรกระดูกปรากฏขึ้นในหมู่ฝูงชน…….

เอาจริงๆผมไม่ชอบเป็นจุดสนใจแบบนี้เลย

 

 

“เซปาร์เป็นผู้ลงมือประหาร ส่วนเจ้าก็เป็นผู้วางแผน ภูเขาดำนั้นได้ทรมานทรกรรมพวกเราเหล่าทัพพันธมิตรมานานหลายพันปี 

กลับกลายเป็นแค่หมากในมือของเจ้า 

แล้วข้าควรจะมอบคำสรรเสริญเช่นไรให้เจ้าดีล่ะ? รางวัลแบบไหนกันที่จะสูงส่งคู่ควรเหมาะสมกับเจ้าล่ะ?”

 

แม่หนูนี่ อยู่ๆก็พูดแบบเป็นทางการขึ้นมาทันที 

ผมแน่ใจแล้วว่า ยิ่งทำให้จอมมารตนอื่นตกใจ สับสนงุงงงมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเติมเต็มความรู้สึกของเธอได้ 

นังโลลิเลือดร้อน! นังบ้าโรคจิตซาดิสม์เอ๊ย!

 

ผมกลืนน้ำลายลงไปก่อนจะยิ้มออกมา

 

“……ท่านยกย่องข้าเกินไป ข้าเพียงทำในสิ่งที่ขอมา”

 

“เคะเคะ นี่ถ้าจอมมารตนอื่นทำงานได้แบบเจ้านี่ พวกเราคงพิชิตโลกมนุษย์ไปได้ สัก 5 รอบแล้วมั้ง มามา มานี่สิ”

 

เธอกวักมือเรียกผมให้เข้าไปใกล้ๆ ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าไปใกล้ๆเธอ

 

 

“ตามปรกติแล้ว ข้าควรมอบทหาร หรือไม่ก็เงินก้อนใหญ่ให้แก่เจ้าแหละ แต่ว่า ข้าไม่อยากทำอย่างนั้นว่ะ ดันทาเลี่ยน เจ้าทำได้ดีมากกับผลงานล่าสุด

 เจ้าทำได้ดีเสียจนข้ายังอิจฉาเองเลย”

 

“…….”

 

รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏบนริมฝีปากบาร์บาทอส

ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ

 

 

“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ข้าจะไม่สามารถตอบแทนคุณงามความดีได้สักหน่อย 

ฮ่าาา ข้าควรจะทำยังไงดีน้า? 

ข้าคิดมาสักพักใหญ่เลยล่ะ แต่จากที่ข้าใช้สมองอันชาญฉลาดคิดออกมา 

ข้าก็นึกได้ถึงรางวัลที่ยอดเยี่ยมมาก ดันทาเลี่ยน”

 

“ห้ะ?”

 

เธอจับหัวผมไว้ด้วยมือทั้งสองของเธอ ผมรู้สึกเหมือนได้รับประสบการณ์เดจาวูที่คุ้นเคย 

มือเล็กๆของเธอกดหัวผมด้วยพลังมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่นานนักริมฝีปากของเธอก็แตะกับผม

 

 

นี่ก็ครั้งที่สองแล้ว

 

นับเป็นครั้งที่สองแล้ว! ที่แม่นี่เล่นงานผม!

 

ผมจะไม่แพนิคอีกแล้ว 

จูบนี้มันบังคับผม 

ผมมองไปที่เธอ 

บาร์บาทอสฉีกยิ้มออกมา 

เธอรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่!

 

บทสนทนาที่เงียบงันต่างแลกเปลี่ยนกันไปมาระหว่างเราในทันที

 

 

⎯⎯ แล้วเธอจะควบคุมสิ่งนี้ยังไงกัน!?

⎯⎯ อะไรกัน? นายไม่ชอบเจ้านี่งั้นเหรอ?

⎯⎯ แล้วเธอจะรับมือกับสิ่งที่ตามมายังไงวะ!?

⎯⎯ ข้าไม่รู้ ข้าแค่อยากทำในสิ่งที่ข้าอยากทำ ถ้าข้าอยากจะจูบเจ้า ข้าก็จูบเจ้าแค่นั้น

⎯⎯ เธออาจจะทำได้ แต่ข้าทำไม่ได้โว้ย!

⎯⎯ เอาล่ะ ไม่เห็นเป็นไร นายไม่ตายหรอกน่า ตอนนี้แลบลิ้นออกมานะ

 

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน นับตั้งแต่การพยายามหนีให้พ้นริมฝีปากของเธอ แต่ผมหนีไปจากลิ้นของเธอไม่พ้น 

หากมีงานแข่งจูบระดับโลก บาร์บาทอสเป็นแชมป์แน่นอน ผมการันตีเลย แม่งเอ้ย ให้ตายเหอะ

 

ผมได้รับอิสระจากเธอหลังผ่านเวลาไปเนิ่นนาน 

บาร์บาทอสสูดหายใจเข้าลึกสุดปอดราวกับเธอสดชื่นอย่างมาก

 

 

 

“โฮ่ จูบของข้าเป็นรางวัลของเจ้ายังไงล่ะ ห้ะ เป็นยังไงบ้างล่ะ? แทบตายเลยใช่ไหม? ใช่ไหม?”

 

เออ แทบตาย แทบตายจริงๆ ตรงตามตัวอักษรเลย

 

 

ผมหันกลับไปมองสีหน้าของคนรอบข้าง แน่นอนว่า ใบหน้าทั้งหลายนั้นทำเหมือนกับโลกแทบจะวินาศอยู่ตรงหน้า 

ศักดิ์ศรีจอมมารนับสิบคนหายไปทันทีที่พวกเขาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ 

พวกเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย มันก็เป็นปรกติแหละที่จะพูดอะไรไม่ออกหลังจากช็อคถึงปานนั้น

 

 

มีเพียงบาร์บาทอสเท่านั้นที่พูดออกมาอย่างกระดี๊กระด๊า

 

“อ้า สหายทั้งหลาย ก็อย่างที่เห็นไปนั่นแหละ ข้าจองเขาไว้แล้วนะ โอเคป่ะ? 

ข้าเอาน้ำลายจองเขาไว้ก่อนแล้ว ถ้ามีใครจะเอาหมอนี่ไปจากข้า ข้าก็จะอัดมันอย่างสุภาพจนขี้พุ่งเลยล่ะ 

แต่ใครที่มั่นใจในความสามารถในการต่อสู้แล้วละก็ ขึ้นไปซัดกันบนเนินได้นะ

 

นับจากวันนี้เป็นต้นไป ดันทาเลี่ยนเป็นคนรักของข้า”

 

 

เดี๋ยวๆ เรียกใครว่าคนรักนะ!?

 

 

ผมอยากจะตะโกนออกมา แต่ดูเหมือนอะไรบางอย่างมันดึงรั้งให้ผมทำได้แต่ยิ้ม

 

 

ผมหันกลับไปมองแววตาที่หวังฆ่าให้ตาย พอผมหันกลับไปก็เห็นแววตาของเซปาร์กับเบเลธที่มองจ้องอย่างดุร้าย 

ถ้าการมองมันฆ่าคนได้ผมคงตายไปแล้วจริงๆแหละ 

ดูเหมือนผมจะถูกสุภาพบุรุษโลลิค่อนทั้งหลายหมายหัวเข้าแล้วล่ะ…….

 

 

 

แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากถอนใจล่ะ?

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 85 สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(11)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 85 สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(11) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

* * *

 

ผ่านไป 4 วันแล้วนับตั้งแต่ที่พวกเราได้ยึดป้อมปราการแดงโดยไม่เสียเลือดแม้แต่หยดเดียว

 

เหล่าอัศวินเข้ามาใกล้ พวกนั้นเป็นอัศวินหมูป่าแดง หนึ่งในนั้นเป็นมาร์คกราฟที่รับหน้าที่จากทางฝั่งเหนือของจักรวรรดิฮับบวร์ก อัศวินพวกนั้นอยู่ใต้การควบคุมของฟริสซ์ ฟอน โรเซนเบิร์ก(Fritz von Rosenberg)

 

มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กนั้น เป็นตัวน่ารำคาญตัวใหญ่เลยล่ะ เขาคอยเอาแต่ทำตัวเป็นปัญหากับตัวละครเอกของเกม

 

 

‘การกำจัดจอมมารให้สิ้นซากนั้นเป็นพันธกิจของชาติเรา ไม่สิ มันเป็นพันธกิจแห่งมนุษยชาติ มิใช่กิจการงานใดที่จะให้ใครสักคนหนึ่งแบกรับมันไว้เอง’

นั่นเป็นคำประกาศชัดของโรเซนเบิร์ก เขาเชื่อว่า ถ้าหวังพึ่งผู้กล้าคนหนึ่งให้จัดการกับจอมมารทั้งหลาย ตอนนั้นเองที่มนุษย์ทุกคนจะคิดว่า การสงครามนั้นเป็นเรื่องของคนอื่นไป

 

แม้ผู้คนทั่วทั้งทวีปจะส่งเสียงเชียร์ผู้กล้าและเหล่าปาร์ตี้ของเขา แต่ก็มีส่วนน้อยที่เตือนภัยถึงการกระทำแบบนั้น มาร์คกราฟโรเซนเบิร์กเป็นหนึ่งในคนพวกนั้นนั่นแหละ

 

 

‘จักรวรรดิน่ะหมกหมุ่นอยู่แต่กับเรื่องแนวคิดฮีโร่ ผู้กล้ามากจนเกินไป’

ใครที่พูดแรงแบบนั้น จะมีชะตากรรมที่จบลงด้วยการโดนรุมปาหิน

 

ขณะที่ผู้กล้าและเหล่าปาร์ตี้ของเขานั้นทำหน้าที่กำจัดจอมมารทีละตนทีละตน กองกำลังที่นำทัพโดยมาร์คกราฟนั้นก็ล้มเหลวที่จะฆ่าจอมมารแม้แต่ตัวเดียว 

แล้วพวกอัศวินกำลังทำอะไรกันอยู่อย่างนั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าเอาแต่ตินู่นตินั่นผู้กล้า เพราะอิจฉาที่ผู้กล้าประสบความสำเร็จกว่าไม่ใช่รึไง? 

แล้วคำด่าทอพวกนั้นก็แพร่กระจายไปทั่ว……. 

 

สำหรับตระกูลเอิร์ลที่คอยปกป้องทวีปฝั่งเหนือมานานกว่า 500ปี การทำแบบนั้นมันไม่ต่างจากการยั่วให้โกรธ

 

ท้ายสุดท้าย มาร์คกราฟก็ฝืนนำกำลังทหาร โดยทิ้งจุดต้องป้องกันแล้วไปเสี่ยงสำรวจที่ภูเขาดำ

 

แม้ช่วงต้นๆศึก ดูเหมือนเขาจะได้ฟื้นฟูชื่อเสียง เกียรติยศหลังจากชนะครั้งแล้วครั้งเล่าได้ แต่สุดท้ายก็ถูกกำจัดจนเกลี้ยงด้วยกำลังพันธมิตรที่นำโดย จอมมารลำดับ 2 อกาเรส (Rank 2 Agares) และจอมมารลำดับ 4 กามิกิน(Rank 4 Gamigin)

หลังจากเหตุการณ์นั้นโลกมนุษย์ก็ตกอยู่ในความวุ่นวายครั้งใหญ่

 

ชายผู้ภาคภูมิใจในตระกูลตน สำนึกหน้าที่ในการปกป้องผู้คนแห่งจักรวรรดิ ผู้ครอบครองทหารจำนวนมาก

 

 

 

……. ลองมองในอีกแง่นึงดูสิ เขาเป็นศัตรูผู้ไร้เทียมทาน มันอันตรายเกินไปที่จะเผชิญหน้ากับชายคนนี้ในตอนนี้ จริงอยู่ที่เขาถูกกำจัดไปโดย อกาเรสและกามิกิน 

แต่ถ้าเปลี่ยนมุมมองดู นั่นหมายความว่า คุณต้องการบุคคลระดับจอมมารลำดับ 2 และ จอมมารลำดับ 4 เพื่อเผชิญหน้ากับเขาตรงๆถึงจะกำจัดได้

 

จอมมารตนอื่นตัดสินใจฟังคำเตือนของผมและไม่ส่งกองกำลังออกไป

 

 

 

“นั่นต้องเป็นพวกอัศวินแน่ๆ แต่มันมีแค่ร้อยคนเองนะ พวกเราชนะมันได้แน่”

 

อามิอิเป็นคนเดียวที่ยังต้องการจะบุกเข้าไป 

เขาคงเชื่อมั่นในตัวเองมากหลังจากชนะการศึกรอบที่แล้ว 

ผมเลยต้องแสดงความจริงอันโหดร้ายให้กับผู้ติดตามผู้น่าเอ็นดูผู้นี้

 

 

“อัศวินจักรวรรดิแต่ละคนนั้นแข็งแกร่งเทียบเท่ากับออเกอร์”

 

“อะ-อัศวินแต่ละคน?”

 

“โดยทั่วไปแล้วน่ะ มันก็เหมือนมีออเกอร์ หนึ่งร้อยตนอยู่ตรงนั้น เอาล่ะ ครึ่งหนึ่งเป็นอัศวินฝึกหัด คร่าวคงราวๆออเกอร์เจ็ดสิบตัวนั่นแหละ”

 

พวกเขาทำเรื่องไร้สาระฆ่าเวลาอยู่แบบนั้นเพราะอยากจะล่อพวกเราเข้าไปหา ถ้านายอยากสู้กับออเกอร์ เจ็ดสิบตัวในพื้นที่โล่งแบบนั้น ก็ตามสบายใจ,เพื่อนรัก 

ไม่ต้องห่วง ข้าจะเป็นคนเก็บกระดูกให้เจ้าเอง”

 

อามิอิ มองไปมองมาระหว่างกองทัพอัศวินกับผมด้วยแววตาที่หวาดกลัวสุดขีด 

ผมก็เข้าใจอะนะว่า ทำไมถึงมองอัศวินด้วยสายตาแบบนั้น 

แต่เดี๋ยวสิ ทำไมมองผมด้วยสายตาแบบนั้นด้วยล่ะ? โลกนี้มันช่างเต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ

คำบ่นของเขาจึงจบลงแค่นั้น กองหน้าแห่งพันธมิตรเสี้ยวจันทรานั้นไม่เคลื่อนทัพไปไหนนับตั้งแต่การปรากฏตัวของกองกำลังนับร้อยตรงหน้า

 

พวกเราพิชิตป้อมปราการ เขียว น้ำเงิน ทอง และแดง ได้ด้วยทหารไม่เกิน 2,000 นาย ภายในเวลาแค่ 5 วัน

 

นี่เป็นสิ่งที่เร็วที่สุดในบรรดาความสำเร็จของพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ด้วยความสามารถเช่นนี้ ดังนั้นพวกจอมมารหน้าใหม่จึงเชื่อฟังคำสั่งของผู้พันเซปาร์เป็นอย่างดี

 

 

พวกเขาอาจคิดมาแล้วว่า มันพอแล้วที่จะได้รับความดีความชอบและความประทับใจเป็นอันมากต่อสมาชิกระดับสูงของฝ่ายที่ราบ 

จึงไม่ผลักดันตัวเองไปไกลเกินกว่านี้ ในกรณีนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งดี ที่พวกเขารู้จักประมาณตน

 

 

 

4 วันแล้วที่พวกเราเริ่มสงครามประสาทใส่กับพวกอัศวินนั่น

 

 

นายพลเซปาร์จึงพูดขึ้น

 

“ผู้บัญชาการบาร์บาทอสจะมาถึงในวันนี้”

 

พวกเราทั้งหมดต่างถอนใจด้วยความโล่งอก นั่นก็เพราะพวกเรากังวลว่า อัศวินทั้งหลายจะพยายามโอบล้อมพวกเราซึ่งนั่นทำให้เราเสียเปรียบอย่างมาก

 

ในเย็นของวันเดียวกันนั้น กองกำลังหลักที่มีมอนสเตอร์ 17,000 ตัวก็มาถึงป้อมปราการ 

มันเป็นอะไรที่ประทับใจสุดๆเลยที่ได้เห็นมอนสเตอร์ถึง 17,000 ตัวเดินทัพมาเป็นรูปขบวน

 

พวกเรายืนอยู่ด้านนอกประตูเพื่อต้อนรับการมาของกองทัพหลัก จากที่เรายืนกันอยู่นั้น 

หัวหน้าผู้บังคับบัญชาก็เข้ามาใกล้เรา ผ้าคลุมสีดำโบกสะพัด เช่นเดียวกับที่เขาเดินอย่างมั่นคังเข้ามาหา มันทำให้ผมนึกภาพถึงใครสักคนในตระกูลมาเฟีย

 

 

ชายคนนั้นสูง 4 เมตร เขาคือ จอมมารเบเลธผู้ซึ่งครองลำดับที่ 13 (Rank 13 Demon Lord Beleth) ผู้อยู่ลำดับสูงที่สุดในฝ่ายที่ราบถัดจากบาร์บาทอส 

 

ถึงใบหน้าเขาจะดูเหมือนคนโกรธตลอดเวลา แต่ความจริงนั่นเป็นสีหน้าปกติของเขา แต่ถ้าให้เพิ่มเติมไป หน้าปกติของเขาก็กลายเป็นเหมือนคนที่กำลังตะคอกใครสักคนอยู่ 

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะเขาต้องมาเหยียบโลกมนุษย์ที่เขานั้นเกลียดชังมากเหลือเกิน

 

 

พูดง่ายๆก็คือ เขากำลังเปิดเผยให้โลกรู้นั่นแหละว่า ตัวเขาน่ะมันบ้า

 

 

“ทำได้ดี นายพลทัพหน้าเซปาร์”

เบเลธตัวโต ออกเสียงเหมือนเสือคำราม เซปาร์พยักหน้ารับ

 

“แกมาถึงเร็วกว่าที่ข้าคาดไว้”

 

“มันเหมือนกับข้ามาเที่ยวเล่น เพราะเจ้าได้จัดการเส้นทางให้พวกเรา ข้าจะแจ้งให้ผู้บัญชาการรู้ว่า มันเป็นอะไรที่น่าพอใจมาก

ดีใจซะเถอะ เจ้าน่ะตอนนี้กลายเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการหมายเลข 2 เต็มตัวแล้ว”

 

“……หมายเลข 2 ?”

 

คิ้วของเซปาร์กระตุกทันที

 

 

“หากหูของข้าไม่ฟังผิดไปก็ปากแกนั่นแหละที่พูดผิด ตัวข้า เซปาร์นั้น เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการหมายเลข 1ต่างหาก”

 

“ไอ้ตัวตลก แกไม่ใช่หมายเลข 1 ของท่านบาร์บาทอสหรอกโว้ย ข้านี่เว้ย แกมันก็แค่ไอ้หนูที่อยู่มา 2,000ปี แต่ข้าน่ะอยู่มา 2,400 ปีแล้ว ข้ามอบความจงรักภักดีให้กับท่านบาร์บาทอสมา 400 ปี ก่อนเอ็งเกิดอีก แฮ่มๆ”

 

เจ้ายักษ์ใหญ่พ่นลมออกมาขณะที่กำลังหัวเราะ

 

“เร็วไป 400 ปี ที่เจ้าจะอ้างว่าตัวเองเป็นหมายเลข 1 ของท่านบาร์บาทอสนะ เจ้าหนูเซปาร์”

 

“ข้าเองก็สงสัยว่า แกพูดอะไรออกมา แต่การที่แกโอ่อวดเรื่องอายุนี่ จำนวนปีไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ 

หากแต่เป็นการอุทิศตนต่างหาก ความจงรักภักดีที่มีต่อท่านผู้บัญชาการนั้นมันมากพอจะชดเชย 400 ปีนั่นได้ การอุทิศตนของข้านั้น ราว 10,000 ปี”

 

ทั้งสองต่างจับมือกันด้วยมือซ้าย ดูเหมือนเส้นเลือดที่หลังมือจะปูดขึ้นมาทั้งคู่

 

 

“ไอ้หนูที่ดูแก่แต่ภายนอก⎯⎯”

 

 

“ไอ้หมูที่มีดีแต่ตัวโต⎯⎯”

 

 

จอมมารตนอื่นๆต่างคุ้นเคยกับเหตุการณ์ตรงหน้าเลยไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าไหร่นัก 

พวกเขาอยากกลับเข้าไปพักผ่อนต่อในป้อมมากกว่า พวกเขาแสดงความต้องการออกมาชัดเจนมาก

 

ถ้าถามความเห็นผมเหรอ อืม ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจเลยนะว่า ทำไมพวกผู้ติดตามถึงปวดเศียรเวียนเกล้ากันมาก 

ผมเข้าใจอย่างดีเลยล่ะถึงเหตุผลว่าทำไมกองทัพธมิตรเสี้ยวจันทราถึงล้มเหลวไปทั้ง 7 ครั้ง

 

ถ้าไม่สนใจเรื่องลำดับของเธอนะ บาร์บาทอสน่ะ ก็มีรูปลักษณ์เป็นเด็กสาวอายุ 12ปี 

พูดง่ายๆคือ ไอ้จอมมารสองตัวข้างหน้าเนี่ย กำลังตีกันดุเดือดเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าใครกันแน่เป็นแฟนตัวจริงของเด็กสาวอายุ 12 ปี

 

 

ไอ้โลลิค่อนน่าสิ้นหวังเอ๊ย!

 

 

พวกระดับสูงๆของฝ่ายที่ราบนั้นเต็มไปด้วยพวกโลลิค่อน 

นี่ถ้าพวกมนุษย์ได้ยินเรื่องนี้เข้า พวกเขาต้องคิดว่าเป็นมุกตลกแล้วขำกลิ้งกันแน่

 

……เสียงในหัวของผมนั้นบอกว่า ใครที่จะไปมีเซ็กกับโลลิแบบนั้นก็ได้ แต่ผมไม่มีทางแน่ 

ผมรู้เลยว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผมจะลดลงไปอีกขั้นถ้าผมยอมรับมัน 

เอาล่ะ ผมอาจจะไม่ใช่มนุษย์แล้วก็เถอะ แต่ผมก็ยังคงมีเส้นกั้นแบ่งที่ผมจะไม่มีวันข้ามเด็ดขาด

 

(TTL : พรี่พูดเหมือนตอน070 ตอนจบองก์1 มันไม่มีอยู่จริงอย่างนั้นแหละ!) 

 

แล้วเซปาร์ก็พูดขึ้น

“ถึงอย่างนั้นก็เหอะ พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อต้อนรับหมูป่าอย่างแก แล้วไหนล่ะท่านผู้บัญชาการ?”

 

“หืมมม”

 

เบเลธที่ปกติหน้าตาบูดบึ้งอยู่ก็ยิ่งบูดเบี้ยวไปอีก จนผมอาจจะสับสนหน้าของเขากับฟรอยอลูมิเนี่ยมที่โดนขยำ

 

 

“ท่านบาร์บาทอสจะมาถึงในอีก 18 วินาที”

 

“18 วินาที?”

 

“ตอนนี้เหลือ 16 แล้ว”

 

“……อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง”

เซปาร์พยักหน้าราวกับเข้าใจอะไรขึ้นมา 

แต่คนอื่นน่ะไม่ เซปาร์เป็นคนเดียวที่เข้าใจคำพูดของเบเลธ 

อามิอิจึงถามเพิ่ม

 

 

“ท่านครับ ท่านครับ ที่บอกว่า 18 วินาทีหมายถึงยังไง?”

 

“หืม เจ้าต้องไม่รู้แน่ล่ะ ก็เจ้าเป็นหน้าใหม่นี่นะ ตอนนี้ เหลือ 10 วินาทีแล้ว”

 

เซปาร์นั้นชี้ไปที่บนฟ้า จอมมารตนอื่นๆมองตามไปที่เขาชี้ 

ทุกคนต่างมองฟ้า ตอนนั้นเองก็ปรากฏจุดดำๆบนท้องฟ้าสีคราม 

จุดดำที่จู่ๆก็กลายเป็นวัตถุใหญ่ขนาดสามมิติ ไม่สิ มันมโหฬารเลยล่ะ มันเป็นมังกรกระดูก

 

 

“ระ-ราชรถกระดูก!”

 

อามิอิกรีดร้องออกมา ผมไม่ได้เปล่งเสียงออกมา แต่จริงๆผมก็ตกใจนั่นแหละ มังกรกระดูกนั้นเป็นระดับที่เหนือกว่า A ไปอีก ใช่มันคือ มอนสเตอร์แร๊ง S!

 

พวกมันแข็งแกร่งพอที่จะกลืนกินจอมมารระดับต่ำได้เลยถ้ามันอยากจะทำ

 

 อารมณ์หวาดกลัวของเหล่ามอนสเตอร์ต่างส่งมาถึงผมไม่หยุด แม้แต่ออเกอร์ก็ยังสั่นกลัว

 

มังกรกระพือปีกอยู่เหนือหัวพวกเรา ฝุ่นหมอกตลบอวนขึ้น 

ผมปิดหน้าด้วยแขน ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกส่งลอยไปในทันที ถ้าไม่ถ่ายน้ำหนักลงไปที่ขาทั้งสอง 

จอมมารตนอื่นต่างโดนผลักถอยไป มังกรก็ค่อยๆจอดลงอย่างช้าๆ และเปิดทางให้

 

 

การกระพือปีกหยุดลง ฝุ่นควันเต็มพื้นที่ไปหมด มีเพียงเงาของมังกรเท่านั้นที่โผล่ชัดออกมาในหมอกสีน้ำตาล

 

ใครบางคนก้าวลงมาจากมังกรกระดูกโดยเหยียบลงทางข้างหลังมัน

บาร์บาทอส จอมมารลำดับ 8 นั่นเอง

 

“อ้าว โทษทีว่ะ โทษที”

 

เธอเดินตรงไปท่ามกลางทุกคนที่กำลังกลั้นหายใจอยู่

 

 

“ข้ามาสายไปหน่อยใช่มะ? ข้าว่าบอกให้ไอ้นั่นมันปลุกข้าตั้งแต่ ตี1 แล้วนะ 

แต่ให้ตายเถอะเจ้าพ่อบ้านงั่งนั่นเสือกปลุกข้าช้าไปชั่วโมง ข้าเลยรีบบินมานี่อย่างกับอีบ้า เพราะข้าดันคิดว่าตัวเองมาสายแล้ว”

 

เธอพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองสบายๆ แต่ถึงอย่างนั้น จอมมาร 18 ตน และ มอนสเตอร์  18,500 ตัวก็คุกเข่าลงทันทีที่เธอโผล่มา พื้นสะเทือนเลื่อนลั่น

 

 

“พวกเราขอต้อนรับท่านผู้บัญชาการ!”

จอมมารทั้ง 18 ตน ตะโกนพร้อมเพรียงกัน 

รอยพับสวยๆบนหน้าผมของบาร์บาทอสย่น

 

 

“พวกแกจะบ้ารึไงห้ะ ลุกขึ้นโว้ย นี่พวกแกคิดว่า ทำแบบนี้จะได้ใจข้ารึไง? 

อ้า แหงอยู่แล้วดิ”

บาร์บาทอสยิ้มชั่วร้ายตอนที่ผมมาที่ผม ก่อนจะเดินมาหา

 

“หายากจริงน้า แต่มีเพื่อนดีเหมือนกันนี่ เฮ้ย เซปาร์เอ็งทำได้แล้วนี่?”

 

“ท่านให้เกียรติข้ามาก นายท่าน”

 

“ไอ้หมอนี่น่ะ รู้สึกเหมือนเมื่อวานเลยว่ะ ตอนที่แกไม่สนใจคำสั่งแล้วพุ่งเข้าไปในช่วงทัพพันธมิตรครั้งที่ 6 น่ะ! เคะเคะเคะ!”

 

บาร์บาทอสหัวเราะออกมาพร้อมกับหวดหลังเซปาร์ ร่างของเซปาร์สั่นอย่างมากตอนที่มือเธอฟาดหลังเขา คิ้วเขาขมวดเหมือนตอนเจอปัญหาใหญ่

 

 

“มีใครในที่นี้จดจำทัพพันธมิตรครั้งที่ 6 ได้มั่ง? ตอนนั้นข้างงไปเลยว่ะ ตอนนี้เจ้าหน้าใหม่พุ่งใส่กลุ่มอัศวินน่ะ 

ไอ้หน้าใหม่ตอนนั้น คือ หมอนี่นี่เอง นายพลแนวหน้าของพวกเรา ลำดับที่ 16 เซปาร์ ผู้ที่เราภาคภูมิใจ!”

 

เสียงหัวเราะของจอมมารดังขึ้น บรรยากาศหลักๆที่เคยทับพวกเราตอนที่มังกรกระดูกปรากฏตัวมาหายวับไปทันตา

 

 

“มันก็ไม่อะไรหรอกถ้าเป็นอัศวินโง่ๆธรรมดา แต่พวกนั้นน่ะเป็นอัศวินกุหลาบเขียวแห่งราชอาณาจักรบริททานี่ 

ข้ายังอ้าปากค้างเลยตอนที่เห็นการพุ่งใส่เข้าไปอย่างนั้น ข้าจำได้ดีเลย ข้าว้าวมาก ไอ้หมอนี่มันไอ้บ้าเหนือไอ้บ้าทั้งหลายเลยว่ะ 

แม่งเอ๊ย เขาช่างเป็นไอ้ปัญญาอ่อนแต่ก็เท่จริงๆเลยว่ะ”

 

จอมมารคนอื่นยิ่งหัวเราะร่วน 

เซปาร์ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายของการหัวเราะยังคงก้มหัวลง ผมทนไม่ได้จริงๆก็เลยปล่อยหัวเราะออกมาหลังจากที่เห็นเซปาร์ทำตัวเคร่งขรึมมาตลอด 

 

 

แต่ตอนนั้นเองที่เบเลธถามอย่างเสียดสี

 

“แล้วเขาทำสำเร็จไหมล่ะ?”

 

“ข้าถึงบอกไงว่า เขาน่ะเป็นไอ้ปัญญาอ่อนที่เท่ เคะเคะ!

แม้จะเท่แค่ไหน แต่ปัญญาอ่อนก็คือ ปัญญาอ่อน ก็ยับเละเทะน่ะสิ นี่แกรู้ไหม? เขาทุ่มกำลังทหารทั้งหมดเพื่อสู้เลยนะ 

แม้ตอนนี้จะมีออเกอร์เหลือแค่ 20 ตัว 

โอ้ ลำดับ 16 เพื่อนเรากลับมีออเกอร์เพียง 20 ตัว!”

 

บาร์บาทอสสะกิดสีข้างเซปาร์อย่างอารมณ์ดี

 

 

“ฮ่ะฮ่า มันทำให้ข้าอายมากจนไม่กล้าบอกใครเลยว่า แกน่ะเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับ 3 ของฝ่ายที่ราบ 

เฮ้อ ไอ้บ้าปัญญาอ่อน สารภาพมาดิ้ ทำไมตอนนั้นแกทำงั้นวะ? มาไขปริศนาเมื่อ 500 ปีที่แล้วมาเร็ว”

 

เซปาร์ก้มหัวลงต่ำราวกับทำความผิดฐานทรยศ 

มันก็ดูตลกนั่นแหละที่เด็กสาวอายุรุ่นราวคราวหลานกลับเป็นฝ่ายแกล้งเขา แล้วตอนนั้นเองคนอื่นก็ระเบิดหัวเราะอีกรอบ

 

พอเสียงหัวเราะซาลงบาร์บาทอสก็ควักพัดขึ้นมาโบกพัดตัวเอง

 

“แต่ตอนนี้ข้าคิดว่า ข้าสามารถเอาเจ้าไปอวดได้แล้วว่ะ เซปาร์ จอมมารลำดับ 16 สุดยอดนักรบแห่งฝ่ายที่ราบผู้น่าภาคภูมิใจ 

ไม่มีใครอื่นใดจะได้รับเกียรติยศในการยึดภูเขาดำได้ใน 5 วันเหมือนอย่างเซปาร์แล้ว”

 

“……นายท่าน”

 

เซปาร์เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆเช่นเดียวกับที่บาร์บาทอสยิ้มแยกเขี้ยวให้

 

 

“เจ้าได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ตน แต่ในมุมกว้าง เจ้าได้สร้างอะไรที่ยิ่งใหญ่มากให้กับพันธมิตรเสี้ยวจันทราของเรา 

เจ้าทำให้การบุกก้าวแรกของพวกเรานั้นสำเร็จเกินความคาดหมายครั้งใหญ่ สหายเรา 

ขอทุกคนจงสรรเสริญเซปาร์ด้วย”

 

ทุกคนต่างปรบมือให้ แม้แต่เบเลธตัวโตก็ยังปรบมือให้แม้สีหน้าจะไม่พอใจก็ตามที 

เซปาร์นั้นตอบรับเสียงปรบมือด้วยการแสดงความเคารพ 

บาร์บาทอสพยักหน้า

 

 

 

“เพื่อเป็นการทำให้มันเหมาะสมฐานะสักหน่อย ตัวข้า บาร์บาทอส ผู้นี้ขอมอบรางวัลให้แก่ความสำเร็จของเจ้า 

สหายผู้อยู่กับข้ามาเกือบ 1,200 ปีแล้ว 

เซปาร์ ข้าขอมอบราชรถกระดูกให้กับเจ้า”

 

 

“……! นะ-นายท่าน!”

 

เซปาร์ถึงกับอึ้งไปเลย เขาไม่ใช่คนเดียวหรอกที่ตกใจ จอมมารทั้งหลายต่างแตกตื่นกันหมด 

กรามของเบเลธถึงกับอ้าค้าง คุณไม่รู้หรอกว่า ราคาของมอนสเตอร์ระดับ S นั้น สูงขนาดไหน 

และการให้สิ่งนั้นเป็นรางวัลเนี่ยนะ

 

 

“รางวัลนั้นมันมากเกินไปสำหรับความสำเร็จของผู้น้อย!”

 

“ข้าไม่รับคำปฏิเสธใดๆทั้งสิ้นว่ะ”

บาร์บาทอสตอบกลับอย่างหนักแน่น

 

 

“แล้วข้าก็จะมอบ เงิน 10,000 โกลด์ให้กับ เวพาร์,บาลาม,เมอเมอและเอมิอิ คนอื่นๆก็จะได้รับรางวัลตามความสำเร็จเมื่อวันที่พันธมิตรเสี้ยวจันทราสิ้นสุดลง”

 

“พะ-พวกเราเป็นหนี้ท่านไปตลอดกาล!”

 

“ขอบคุณท่านมาก!”

จอมมารที่ถูกประกาศรายชื่อต่างก้มให้ทันที

 

ผมได้แต่อึ้งด้วยความประหลาดใจ สมกับเป็นบาร์บาทอส เธอจัดระเบียบทางการทหารก่อนการรบของจริงจะเริ่ม พื้นฐานการรบก็มีระบบการให้รางวัล

 

ไม่สำคัญว่า จอมมารจะมีเกียรติความภาคภูมิในตัวเองแค่ไหน แต่การมาได้เป็นประจักษ์พยานการมอบมอนสเตอร์ระดับ S ให้กับใครสักคน มันไม่มีทางที่จะทำให้พวกเขาไม่ตื่นเต้นหรอก 

ต่อให้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ตามบาร์บาทอสมาด้วยความเต็มใจมาก่อน 

แต่ตอนนี้พวกเขาก็ต้องยอมตามเพราะความโลภนี่แหละ

 

 

ก่อนหน้านี้พวกเราได้คุยกันเรื่อง เหตุผลที่พันธมิตรเสี้ยวจันทราทำไมถึงล้มเหลวในดีต 

นั่นก็เป็นเพราะว่า ผู้คนทั้งหลายต่างกังวลว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรหลังจากที่พันธมิตรเสี้ยวจันทราสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

และนี่แหละที่เป็นเหตุให้กองกำลังพันธมิตรแยกเป็นเสี่ยงๆจากภายใน

 

 

แล้วถ้าหาก คุณได้รับมอนสเตอร์ระดับ S ที่นี่ล่ะ ? ต่อให้โลกมนุษย์จะถูกพิชิตไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงมีกำลังพอจะเอาตัวรอดต่อไปได้

 พวกเขาก็มีเป้าหมายที่จับต้องได้ 

จอมมารทั้งหลายต่างพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ได้รับความโปรดปรานจากบาร์บาทอส

 

 

“และตอนนี้ ก็เหลืออีกบุคคลหนึ่ง”

บาร์บาทอสหันมาหาผม

 

 

“อ้าาา ดันทาเลี่ยน เพื่อนรัก”

 

จอมมารอื่นที่ยืนรอบเราแทบจะกลั้นหายใจอีกครั้ง บาร์บาทอสไม่เคยระบุผู้อื่นใดว่าเป็นเพื่อนของเธอมาก่อน

 ความตกตะลึงยิ่งการการมอบมังกรกระดูกปรากฏขึ้นในหมู่ฝูงชน…….

เอาจริงๆผมไม่ชอบเป็นจุดสนใจแบบนี้เลย

 

 

“เซปาร์เป็นผู้ลงมือประหาร ส่วนเจ้าก็เป็นผู้วางแผน ภูเขาดำนั้นได้ทรมานทรกรรมพวกเราเหล่าทัพพันธมิตรมานานหลายพันปี 

กลับกลายเป็นแค่หมากในมือของเจ้า 

แล้วข้าควรจะมอบคำสรรเสริญเช่นไรให้เจ้าดีล่ะ? รางวัลแบบไหนกันที่จะสูงส่งคู่ควรเหมาะสมกับเจ้าล่ะ?”

 

แม่หนูนี่ อยู่ๆก็พูดแบบเป็นทางการขึ้นมาทันที 

ผมแน่ใจแล้วว่า ยิ่งทำให้จอมมารตนอื่นตกใจ สับสนงุงงงมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเติมเต็มความรู้สึกของเธอได้ 

นังโลลิเลือดร้อน! นังบ้าโรคจิตซาดิสม์เอ๊ย!

 

ผมกลืนน้ำลายลงไปก่อนจะยิ้มออกมา

 

“……ท่านยกย่องข้าเกินไป ข้าเพียงทำในสิ่งที่ขอมา”

 

“เคะเคะ นี่ถ้าจอมมารตนอื่นทำงานได้แบบเจ้านี่ พวกเราคงพิชิตโลกมนุษย์ไปได้ สัก 5 รอบแล้วมั้ง มามา มานี่สิ”

 

เธอกวักมือเรียกผมให้เข้าไปใกล้ๆ ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าไปใกล้ๆเธอ

 

 

“ตามปรกติแล้ว ข้าควรมอบทหาร หรือไม่ก็เงินก้อนใหญ่ให้แก่เจ้าแหละ แต่ว่า ข้าไม่อยากทำอย่างนั้นว่ะ ดันทาเลี่ยน เจ้าทำได้ดีมากกับผลงานล่าสุด

 เจ้าทำได้ดีเสียจนข้ายังอิจฉาเองเลย”

 

“…….”

 

รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏบนริมฝีปากบาร์บาทอส

ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ

 

 

“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ข้าจะไม่สามารถตอบแทนคุณงามความดีได้สักหน่อย 

ฮ่าาา ข้าควรจะทำยังไงดีน้า? 

ข้าคิดมาสักพักใหญ่เลยล่ะ แต่จากที่ข้าใช้สมองอันชาญฉลาดคิดออกมา 

ข้าก็นึกได้ถึงรางวัลที่ยอดเยี่ยมมาก ดันทาเลี่ยน”

 

“ห้ะ?”

 

เธอจับหัวผมไว้ด้วยมือทั้งสองของเธอ ผมรู้สึกเหมือนได้รับประสบการณ์เดจาวูที่คุ้นเคย 

มือเล็กๆของเธอกดหัวผมด้วยพลังมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่นานนักริมฝีปากของเธอก็แตะกับผม

 

 

นี่ก็ครั้งที่สองแล้ว

 

นับเป็นครั้งที่สองแล้ว! ที่แม่นี่เล่นงานผม!

 

ผมจะไม่แพนิคอีกแล้ว 

จูบนี้มันบังคับผม 

ผมมองไปที่เธอ 

บาร์บาทอสฉีกยิ้มออกมา 

เธอรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่!

 

บทสนทนาที่เงียบงันต่างแลกเปลี่ยนกันไปมาระหว่างเราในทันที

 

 

⎯⎯ แล้วเธอจะควบคุมสิ่งนี้ยังไงกัน!?

⎯⎯ อะไรกัน? นายไม่ชอบเจ้านี่งั้นเหรอ?

⎯⎯ แล้วเธอจะรับมือกับสิ่งที่ตามมายังไงวะ!?

⎯⎯ ข้าไม่รู้ ข้าแค่อยากทำในสิ่งที่ข้าอยากทำ ถ้าข้าอยากจะจูบเจ้า ข้าก็จูบเจ้าแค่นั้น

⎯⎯ เธออาจจะทำได้ แต่ข้าทำไม่ได้โว้ย!

⎯⎯ เอาล่ะ ไม่เห็นเป็นไร นายไม่ตายหรอกน่า ตอนนี้แลบลิ้นออกมานะ

 

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน นับตั้งแต่การพยายามหนีให้พ้นริมฝีปากของเธอ แต่ผมหนีไปจากลิ้นของเธอไม่พ้น 

หากมีงานแข่งจูบระดับโลก บาร์บาทอสเป็นแชมป์แน่นอน ผมการันตีเลย แม่งเอ้ย ให้ตายเหอะ

 

ผมได้รับอิสระจากเธอหลังผ่านเวลาไปเนิ่นนาน 

บาร์บาทอสสูดหายใจเข้าลึกสุดปอดราวกับเธอสดชื่นอย่างมาก

 

 

 

“โฮ่ จูบของข้าเป็นรางวัลของเจ้ายังไงล่ะ ห้ะ เป็นยังไงบ้างล่ะ? แทบตายเลยใช่ไหม? ใช่ไหม?”

 

เออ แทบตาย แทบตายจริงๆ ตรงตามตัวอักษรเลย

 

 

ผมหันกลับไปมองสีหน้าของคนรอบข้าง แน่นอนว่า ใบหน้าทั้งหลายนั้นทำเหมือนกับโลกแทบจะวินาศอยู่ตรงหน้า 

ศักดิ์ศรีจอมมารนับสิบคนหายไปทันทีที่พวกเขาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ 

พวกเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย มันก็เป็นปรกติแหละที่จะพูดอะไรไม่ออกหลังจากช็อคถึงปานนั้น

 

 

มีเพียงบาร์บาทอสเท่านั้นที่พูดออกมาอย่างกระดี๊กระด๊า

 

“อ้า สหายทั้งหลาย ก็อย่างที่เห็นไปนั่นแหละ ข้าจองเขาไว้แล้วนะ โอเคป่ะ? 

ข้าเอาน้ำลายจองเขาไว้ก่อนแล้ว ถ้ามีใครจะเอาหมอนี่ไปจากข้า ข้าก็จะอัดมันอย่างสุภาพจนขี้พุ่งเลยล่ะ 

แต่ใครที่มั่นใจในความสามารถในการต่อสู้แล้วละก็ ขึ้นไปซัดกันบนเนินได้นะ

 

นับจากวันนี้เป็นต้นไป ดันทาเลี่ยนเป็นคนรักของข้า”

 

 

เดี๋ยวๆ เรียกใครว่าคนรักนะ!?

 

 

ผมอยากจะตะโกนออกมา แต่ดูเหมือนอะไรบางอย่างมันดึงรั้งให้ผมทำได้แต่ยิ้ม

 

 

ผมหันกลับไปมองแววตาที่หวังฆ่าให้ตาย พอผมหันกลับไปก็เห็นแววตาของเซปาร์กับเบเลธที่มองจ้องอย่างดุร้าย 

ถ้าการมองมันฆ่าคนได้ผมคงตายไปแล้วจริงๆแหละ 

ดูเหมือนผมจะถูกสุภาพบุรุษโลลิค่อนทั้งหลายหมายหัวเข้าแล้วล่ะ…….

 

 

 

แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากถอนใจล่ะ?

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+