Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน 779 ภาพวาดพู่กันโบราณธีมผีเสื้อรักบุปผา
ตอนที่ 779 ภาพวาดพู่กันโบราณธีมผีเสื้อรักบุปผา
……….
ลึกลงเท่าใดในลานบ้าน…
เมื่ออู๋จี๋เห็นประโยคแรกของดอกไม้รักบุปผาของเซี่ยนอวี๋ เขาก็สัมผัสได้ถึงระยะห่างแล้ว
และบนโลก
บางคนบอกว่ากวีนิพนธ์สือบทนี้เป็นผลงานของโอวหยางซิ่ว บ้างก็บอกว่าเป็นผลงานของเฝิงเหยียนซื่อ เป็นเรื่องปกติที่งานบางชิ้นในสมัยโบราณจะเกิดการโต้แย้งกันเกี่ยวกับต้นกำเนิด
หลี่ชิงจ้าวคิดว่านี่เป็นผลงานของโอวหยางซิว[1]
เธอชื่นชมบทกวีนี้เป็นอย่างมาก ทั้งยังหยิบผลงานชิ้นนี้มาอ้างอิงในงานของนางเองด้วย
หวังกั๋วเหวย[2]ก็ชื่นชอบกวีนิพนธ์สือบทนี้เช่นกัน แต่หวังกั๋วเหว่ยเอนเอียงไปทางความเชื่อที่ว่านี่คือผลงานของเฝิงเหยียนซื่อ[3]
มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับผู้เขียน แต่คุณภาพของบทกวีนั้นกลับไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใด
อู๋จี๋อ่านบทกวีทั้งหมดจบ และถอนหายใจออกมาเบาๆ
เขารู้ดีว่าตนเองไม่ได้อยู่ในสามอันดับแรกของดอกไม้รักบุปผาโดยกวีสมัยใหม่อีกต่อไป
“เซี่ยนอวี๋คนนี้ พรสวรรค์ทางวรรณกรรมไม่ธรรมดา”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซี่ยนอวี๋สร้างสรรค์บทกวีขึ้นมา
คนคนนี้มีผลงานไม่มาก แต่ผลงานของเขานั้นล้วนเป็นผลงานคลาสสิก
มิน่าล่ะที่โลกภายนอกถึงบอกว่า ‘เซี่ยนอวี๋ใต้ ฉู่ขวงเหนือ’ อีกทั้งยังหยั่งรากลึกในใจของผู้คน
และเมื่ออู๋จี๋เห็นผลงานชิ้นนี้
ชาวเน็ตก็สังเกตเห็นบทกวีดอกไม้รักบุปผาเวอร์ชันของเซี่ยนอวี๋เช่นกัน
บนอินเทอร์เน็ตคึกคักขึ้นมาในชั่วพริบตา ข้อความบนพื้นที่แสดงความคิดเห็นก็มากขึ้นเรื่อยๆ !
ทุกถูกพิชิตใจด้วยบทกวีนี้แล้ว!
‘บทกวีของพ่อเพลงอวี๋สุดยอด!’
‘เวอร์ชันนี้สุดยอดมาก!’
‘เซี่ยนอวี๋ใต้ ฉู่ขวงเหนือ ไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ !’
‘ฝีมือของยอดฝีมือ!’
‘เมื่อพิจารณาแต่ละประโยคอาจไม่ทรงพลังเท่ากับบทของฉู่ขวงและอี้อัน และสามารถอ่านทั้งบทได้อย่างไหลรื่นในรวดเร็ว แต่ทุกบรรทัดควรค่าแก่การพิจารณาอย่างรอบคอบ เลือกใช้คำอย่างรอบคอบ เพื่อสร้างภาพลักษณ์และบรรยากาศ!’
‘บทกวีบทนี้ต้องติดสามอันดับแรกอย่างแน่นอน!’
‘ก่อนหน้านี้คิดว่ามีแค่เวอร์ชันของอาจารย์อู๋จี๋ที่จะเทียบได้กับทั้งสองเวอร์ชัน ตอนนี้เห็นของเซี่ยนอวี๋ถึงได้รู้ว่าผลงานของอาจารย์อู๋จี๋ยังด้อยไปจริงๆ ’
‘อาจารย์อู๋จี๋ก็ดีนะ เพียงแต่ของเซี่ยนอวี๋ดีกว่า’
‘พ่อเพลงอวี๋เคยเขียนทำนองวารีมาแล้ว ออกโรงทั้งทีเขาจะพลาดได้ยังไง’
‘สามสหายก้าวหน้าและล่าถอยไปด้วยกันไม่ใช่หรือ อิ่งจือเขียนมาสักบทสิ!’
‘อิ่งจือ: ไสหัวไป!’
‘ฮ่าๆๆๆๆ ให้เทพอิ่งเขียนสักบทแบบนี้ก็ได้หรือ นักเขียนการ์ตูนจะโมโหเอาได้!’
‘ในที่สุดดอกไม้รักบุปผาสามอันดับแรกก็ถูกกำหนดมาแล้ว จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฉู่ขวง อี้อัน และเซี่ยนอวี๋!’
‘…’
กวีนิพนธ์บทนี้ของเซี่ยนอวี๋ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม!
แม้แต่คนในวงการก็ออกมายืนยันด้วยตัวเอง!
กระแสดอกไม้รักบุปผาในครั้งนี้เริ่มต้นจากอี้อัน และผลักดันให้ถึงจุดสูงสุดโดยฉู่ขวง และจบลงที่เซี่ยนอวี๋!
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมที่ชาวเน็ตร้องเรียกอิ่งจือนั้น ยังคงทำให้ทุกคนต้องหัวเราะร่วน
ทำไมถึงสร้างความลำบากให้อิ่งจือแบบนี้
อิ่งจือเป็นนักเขียนการ์ตูน!
ต่างจากฉู่ขวงและเซี่ยนอวี๋ เมื่อใดที่บทกวีขึ้นมา ทั้งสองมักลงมือได้อย่างราบรื่นและง่ายดายเสมอ
เอาเถอะ
สาเหตุหลักนั้นเป็นเพราะชื่อของสามสหายได้หยั่งรากลึกลงในใจของผู้คน
เมื่อเห็นว่าเซี่ยนอวี๋และฉู่ขวงเขียนดอกไม้รักบุปผา ชาวเน็ตจึงนึกถึงอิ่งจือขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม อิ่งจือนั้นแตกต่างจากทั้งสองคน
ไม่ใช่หลินเยวียนไม่มีบทกวีดอกไม้รักบุปผาที่ยอดเยี่ยมมากพอให้กับอิ่งจือ แค่เขาคิดว่าไม่จำเป็น
เรื่องนี้เกี่ยวข้องไปถึงปัญหาการวางบทบาทของตัวตนทั้งสาม
บทบาทของฉู่ขวงคือนักเขียน การมีพรสวรรค์ด้านกวีนิพนธ์จึงไม่ขัดแย้งสักเท่าไหร่
บทบาทของเซี่ยนอวี๋คือนักประพันธ์เพลงและนักเขียนบทภาพยนตร์ เนื้อเพลงและบทภาพยนตร์ของเขาย่อมเกี่ยวข้องกับการใช้ภาษา เป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากเขาจะมีพรสวรรค์ด้านบทกวี
อิ่งจือเป็นนักเขียนการ์ตูน
แม้ว่างานการ์ตูนจะมีบทและจำเป็นต้องมีการใช้ภาษามาเกี่ยวข้อง แต่ถึงอย่างนั้นจุดสำคัญยังคงอยู่ที่การ์ตูน
การให้อิ่งจือเขียนดอกไม้รักบุปผาสักบทหนึ่งจึงมีความเสี่ยงที่เขาจะพลาดพลั้งตกจากหลังม้า และทำให้ชาวเน็ตเกิดความคิดเชื่อมโยงได้ง่าย ด้วยเหตุนี้หลินเยวียนจึงยับยั้งความหุนหันพลันแล่นที่จะให้อิ่งจือเขียนบทกวีอีกสักบท
ใช่แล้ว
หลินเยวียนมีด้านที่หุนหันพลันแล่นเช่นกัน
เช่นเดียวกับที่ชาวเน็ตพูด ไหนๆ ฉู่ขวงกับเซี่ยนอวี๋มาแล้ว อิ่งจือจะไม่เข้าร่วมสักหน่อยหรือ?
อดทนไว้!
หลังจากนี้ยังมีโอกาสอีก
เก็บดอกไม้รักบุปผาที่เหลือไว้ก่อน มันอาจมีประโยชน์สักวันหนึ่งในอนาคต
หลินเยวียนคิดเช่นนี้
จะว่าไปแล้ว
ใครบอกว่าอิ่งจือไม่สามารถเข้าร่วม ได้กันล่ะ?
อย่าลืมว่าดอกไม้รักบุปผาไม่ได้ปรากฏเพียงในฐานะชื่อประเภทของบทกวี ขณะเดียวกันก็ยังเป็นภาพวาดด้วย!
ผีเสื้อและดอกไม้
นี่คือธีมที่พบเห็นได้บ่อยครั้งในภาพวาดพู่กันโบราณ!
จะดีกว่าไหมถ้าหากใช้ตัวตนของอิ่งจือวาดภาพดอกไม้รักบุปผา
พูดแล้วต้องลงมือทำ!
หลินเยวียนเดินทางไปยังสตูดิโอในทันทีและเริ่มวาดภาพของตน ธีมหลักของภาพวาดคือดอกไม้รักบุปผา!
ส่วนเหตุผลที่ทำเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะหลินเยวียนต้องการให้ตัวตนทั้งสามร่วมหัวจมท้ายไปพร้อมกัน เหตุผลสำคัญยิ่งกว่านั้นคือหลินเยวียนต้องการเปลี่ยนแปลงทัศนะเดิมๆ ซึ่งชาวเน็ตมีต่ออิ่งจือ…
อิ่งจือคือจิตรกร!
เขาไม่ได้เป็นเพียงนักเขียนการ์ตูน!
แม้ว่าทั้งสองเชื่อมโยงกัน ทว่าความหมายซึ่งแสดงออกมาระหว่างอย่างแรกและอย่างหลังนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หลินเยวียนไม่ยากให้อิ่งจือเป็นเพียงนักเขียนการ์ตูน!
ไม่อย่างนั้นความสามารถด้านจิตรกรรมระดับปรมาจารย์ของอิ่งจือก็เสียเปล่าน่ะสิ?
โดยเฉพาะหลังจากที่อื่งจือก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในอุตสาหกรรมการ์ตูนแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยหากจะก้าวต่อไป
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินเยวียนต้องการให้ตัวตนอิ่งจือเข้าไปมีส่วนร่วมในพื้นที่ที่กว้างขึ้น ไม่เช่นนั้นอิ่งจือจะต้องตกขบวน และกลายเป็นเงาจืดจางระหว่างฉู่ขวงและเซี่ยนอวี๋!
ไม่ว่าอย่างไรการ์ตูนก็เป็นเพียงการ์ตูน ไม่มีทางกลายเป็น ‘ศิลปะ’ ที่ทุกคนยอมรับอย่างแท้จริง
แต่จิตรกรรมกลับเป็นศิลปะอย่างหนึ่งอย่างไร้ข้อโต้แย้ง!
ทว่าตอนนนี้สถานการณ์ปัจจุบันคือ…
ถึงแม้อิ่งจือจะวาดภาพประกอบให้กับนิยายของฉู่ขวง แต่ทุกคนก็มีภาพจำอย่างลึกซึ้งกับอิ่งจือในฐานะนักวาดการ์ตูน!
แทบไม่มีใครให้ความสนใจกับอิ่งจือในฐานะจิตรกร!
เรื่องนี้จำเป็นต้องให้หลินเยวียนชี้นำอย่างมีสติ เพื่อให้โลกภายนอกสนใจความสามารถทางจิตรกรรมของอิ่งจือซึ่งอยู่นอกเหนือไปจากการ์ตูนอย่างแท้จริง และละทิ้งภาพจำซึ่งทุกคนมีต่ออิ่งจือในฐานะนักเขียนการ์ตูน
เซี่ยนอวี๋ใต้ ฉู่ขวงเหนือ อิ่งจืออยู่ตรงกลาง
หากอิ่งจือต้องการยืนในตำแหน่งที่ทัดเทียมกับฉู่ขวงและเซี่ยนอวี๋ เขาต้องสร้างชื่อเสียงและอิทธิพลมากกว่านี้
……
ในสตูดิโอ
หลินเยวียนตวัดพู่กันละเลงหมึกจนพอใจ
เขาวาดด้วยความตั้งใจ มีสมาธิเต็มเปี่ยม ทักษะด้านจิตรกรรมระดับปรมาจารย์จึงได้รับการถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มที่
หลังจากหลินเยวียนวาดภาพ
ด้านข้าง
ไม่รู้ว่าจินมู่ขยับเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
จินมู่ไม่ได้รบกวนหลินเยวียน เพียงแต่จ้องมองภาพวาดของเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เขาไม่ได้มีความสามารถระดับมืออาชีพ เพียงแต่คิดว่าภาพวาดนี้งดงามมาก!
ดอกไม้ดอกนี้สวยจนไม่อาจพรรณาออกมาเป็นคำพูดได้!
ผีเสื้อตัวนั้นซึ่งโบยบินอยู่รอบดอกไม้ ดูเหมือนมีชีวิตจริง และกำลังกะพือปีกเบาๆ ไปรอบๆ
ทั้งที่เป็นภาพนิ่ง แต่จินมู่กลับสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวา!
“ดอกไม้รักบุปผา…”
เมื่อเห็นภาพนี้ จินมู่จึงพอจะคาดเดาจุดประสงค์ของหลินเยวียนได้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน
ในที่สุดหลินเยวียนก็วาดภาพเสร็จ
หลังจากเป่าภาพวาดเบาๆ จู่ๆ หลินเยวียนก็ขมวดคิ้ว ด้วยทักษะด้านจิตรกรรมระดับปรมาจารย์ ภาพวาดนี้ยังมีบางจุดที่ผิดเพี้ยนไป
“ผมขอถ่ายรูปได้ไหมครับ?”
จินมู่เห็นว่าหลินเยวียนวาดภาพเสร็จ จึงเอ่ยปากอย่างอดไม่ไหว
“ได้สิครับ”
แน่นอนว่าหลินเยวียนไม่ขัดข้องแต่อย่างใด เดิมทีภาพวาดก็เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อให้คนเชยชมอยู่แล้ว
แชะ
จินมู่ถ่ายภาพ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับภาพต้นฉบับแล้ว จินมู่กลับอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า “ภาพที่ถ่ายออกมาสู้มองจากภาพจริงไม่ได้เลย”
“ถ้าอาจินชอบงานต้นฉบับละก็ผมยกให้”
หลินเยวียนเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม ผลลัพธ์ของภาพที่ถ่ายออกมานั้นสู้ต้นฉบับไม่ ได้อย่างแน่นอน นั่นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“ให้ผม?”
จินมู่ดีใจ “งั้นผมจะเอาไปใส่กรอบ ภาพวาดดีๆ แบบนี้ก็มากพอแล้วที่ผมจะเอาไปโชว์ อย่าลืมเซ็นชื่อลงในภาพนะครับ เขียนว่าอิ่งจือก็ได้!”
“ครับ”
หลินเยวียนเขียนวันที่และคำว่า ‘อิ่งจือ’ โดยใช้ลายมือและแบบอักษรที่เขาคิดไว้สำหรับอิ่งจือ
หลินเยวียนระมัดระวังมาก
ลายมือของฉู่ขวง เซี่ยนอวี๋ และอิ่งจือนั้นแตกต่างกัน เขาแยกแยะอย่างมีสติเพื่อป้องกันไม่ให้ใครจับผิดตัวตนของเขาได้จากลายมือ
“คุณจะถ่ายแล้วโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ต?”
จินมู่ไม่ได้รีบเก็บภาพนี้อย่างรวดเร็ว แต่กลับมองดูด้วยสีหน้าครุ่นคิด
หลินเยวียนพยักหน้า แม้ว่าเขาจะพอใจกับภาพวาดนี้แล้ว ทว่าเดิมทีเขาไม่ได้ตั้งใจทำให้มันวิจิตรบรรจงเกินไป วาดตามอำเภอใจสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
จินมู่ส่ายหน้าก่อนจะพูด “ผมไม่รังเกียจถ้าคุณจะทำแบบนั้น ผลลัพธ์ที่ถ่ายจากโทรศัพท์มือถือเป็นยังไงคุณก็เห็นแล้ว เทียบไม่ได้กับผลงานจริงๆ หรือว่าผมติดต่อกับนิทรรศการศิลปะดีครับ?”
“นิทรรศการศิลปะ?”
“เป้าหมายสูงสุดของคุณคือการทำให้อิ่งจือได้เข้าสู่วงการจิตรกรรมอย่างเป็นทางการไม่ใช่หรือครับ”
“ใช่ครับ”
“อย่างนั้นเรามาจัดนิทรรศการศิลปะกันเถอะครับ ในนิทรรศการศิลปะคนที่สนใจด้านนี้จะมามากขึ้น ถ้าโพสต์ออนไลน์ไปตามตรงจะไม่ยิ่งใหญ่พอ ต่อให้หลังจากนี้ในอนาคตจะโพสต์ออนไลน์ก็ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือถ่าน ควรจะใช้เทคโนโลยีขั้นสูงถ่ายถึงจะรักษาเสน่ห์ของภาพไว้ได้”
“คุณจัดการแล้วกันครับ”
หลินเยวียนรู้สึกว่าคำพูดของจินมู่มีเหตุ ทว่าตัวเขาไม่ได้สนใจมากนัก “ผมจะกลับบ้านแล้ว”
จินมู่พยักหน้า
หลังจากมอบภาพวาดให้กับจินมู่แล้ว หลินเยวียนก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไป ภาพวาดนี้ไม่ได้รับว่าเป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจของเขา เพียงแต่โยนเข้าไปในวงการจิตรกรรมเพื่อหยั่งเชิงก็เท่านั้น หากเขาต้องการวาดภาพให้ดีกว่านี้จริงๆ เขาก็ทำได้ การถ่ายทอดความรู้สึกที่ซับซ้อนของดอกไม้และผีเสื้อนั้นไม่ใช่ภารกิจที่สามารถทำเสร็จภายในสองวัน
หลังจากหลินเยวียนออกไป
จินมู่ครุ่นคิด ก่อนจะต่อสายหาหลัวเวย
จินมู่รู้ว่าหลัวเวยศึกษาภาพวาดพู่กันโบราณอย่างลึกซึ้ง และดูเหมือนว่าครอบครัวของเธอก็มีพื้นฐานด้านนี้เช่นเดียวกัน หากมีการจัดนิทรรศการศิลปะขึ้นในเร็ววันนี้ หลัวเวยน่าจะมีความรู้มากกว่าใคร
ไม่นานก็โทรติด
หลังจากที่หลัวเวยได้ฟังจินมู่เล่าเรื่องทั้งหมด น้ำเสียงของเธอพลันตื่นเต้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “อาจินหมายความว่าอาจารย์เตรียมเข้าสู่วงการภาพวาดพูกันโบราณ?”
“ใช้พู่กันวาด แล้วลงสีในตอนท้าย เป็นภาพวาดพู่กันโบราณไม่ผิดแน่”
“ฉันเข้าใจแล้ว!”
หลัวเวยเกิดความตื่นเต้นที่ทำให้จินมู่งุนงง
อันที่จริงหัวเวยเฝ้ารอวันนี้มาโดยตลอด!
ต้องเจ้าใจว่า
นับตั้งแต่พ่ายแพ้อย่างเอน็จอนาถในการวาดภาพพู่กันโบราณกับหลินเยวียน หลัวเวยจึงกระจ่างดีว่าฝีมือในการวาดภาพพู่กันโบราณของอาจารย์ท่านนี้อยู่ในระดับสุดยอดในอุตสาหกรรมนี้อย่างแน่นอน แต่กลับไม่มีใครรู้เกี่ยวกับเขาคนนี้ น่าเสียดายที่ไข่มุกเม็ดงามกลับถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นเกรอะกรัง!
แต่อาจารย์ของเธอเป็นคนถ่อมตัวมาก
แม้ว่าฝีมือในการวาดภาพของเขาจะน่าสะพรึงกลัว แต่กลับไม่ได้แสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ ในทางกลับกันเขากับนำพาตนกรุยทางสู่อุตสาหกรรมการ์ตูน และกลายเป็นมือหนึ่งในอุตสาหกรรมการ์ตูน
หลัวเวยเองก็ชื่นชอบ
อย่างไรก็ตาม หลัวเวยเชื่ออยู่เสมอว่าวงการจิตรกรรมคือสูงสุดสำหรับอาจารย์ การวาดภาพพู่กันโบราณจึงจะเป็นท่าไม้ตายที่น่ากลัวที่สุดของอาจารย์ และทั้ง สองไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ในไม่ว่าในแง่ของอิทธิพลหรือศิลปะ!
ตัวอย่างที่ง่ายที่สุด
เมื่อการ์ตูนจบลงหลังจากนี้สักยี่สิบปี ผู้ที่ได้รับอิทธิพลอาจเป็นคนเพียงรุ่นเดียว คนในรุ่นต่อไปอาจมีการ์ตูนเรื่องใหม่มาให้อ่าน ในแง่หนึ่งผลงานนี้เปรียบได้กับอาหารจานด่วนเพื่อให้ความบันเทิง
งานศิลปะเช่นภาพวาดพู่กันโบราณกลับต่างออกไป
หากคุณภาพดีพอ นานวันเข้าศิลปะอย่างภาพวาดพู่กันโบราณจะมีคลาสสิกมากขึ้น ความเป็นศิลปะและอิทธิพลของมันจะไม่จางหายไปตามกาลเวลา หรืออาจยังทรงคุณค่าแม้เวลาจะผ่านไป และสามารถสืบทอดต่อไปได้ไม่รู้จบ!
ในที่สุดตอนนี้อาจารย์ก้าวเข้าสู่วงการจิตรกรรม!
หลัวเวยเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของอาจารย์ของเธอ เขาจะสามารถก้าวหน้าในวงการจิตรกรรมได้อย่างไม่ต้องสงสัย และประสบความสำเร็จในวงการจิตรกรรมไม่น้อยไปกว่าความสำเร็จของพวกเขาในวงการการ์ตูน!
“งั้นเรื่องนิทรรศการศิลปะ…”
“ปีนี้ไม่มีนิทรรศการศิลปะระดับแนวหน้า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรอนิทรรศการศิลปะระดับแนวหน้า อีกไม่นานเมืองซูเราจะมีนิทรรศการศิลปะระดับกลาง พอถึงตอนนั้นจะมีบุคลาการในวงการจิตรกรรมมาเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เราก็ส่งภาพวาดของอาจารย์อิ่งจือไปเข้าร่วม ด้วยฝีมือและชื่อเสียงของอาจารย์อิ่งจือ ทางผู้จัดคงไม่ปฏิเสธหรอกค่ะ!”
“จำเป็นต้องให้ผมออกหน้าไหม?”
“ไม่จำเป็นค่ะ อาจินน่าจะรู้เกี่ยวกับครอบครัวของฉัน พอจะเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่อยู่ในวงการจิตรกรรม พอจะมีอิทธิพลในวงการนี้อยู่บ้าง แค่นิทรรศการศิลปะขนาดกลางจัดการได้ไม่ยาก”
หลัวเวยแทบอดใจรอไม่ไหว!
[1] โอวหยางซิว กวี นักประวัติศาสตร์ นักการปกครอง และนักเขียนชื่อดังสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ
[2] หวังกั๋วเหวย กวีและนักประวัติศาสตร์ มีชีวิตระหว่างปี ค.ศ.1877-1927
[3] เฝิงเหยียนซื่อ กวีและนักการปกครองสมัยห้าราชวงศ์สิบรัฐ
Comments