I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 331 ตัวตนของ Bug

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 331 ตัวตนของ Bug at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเห็นว่าสมาชิกทีมเข้ากันได้ดีมากไม่ว่าจะเป็นสมาชิกเก่าหรือว่าสมาชิกใหม่ มุมปากของหลิงหลานก็ยกขึ้นมาเล็กน้อยอีกครั้ง หลังจากนั้นสีหน้าของเธอพลันเย็นเยียบและออกคำสั่งว่า “เตรียมตัวปฏิบัติการ”

ทุกคนยืนตัวตรงทันที ดวงหน้าที่ยิ้มร่าสบายใจแต่เดิมเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นเคร่งขรึมโดยพลัน กลิ่นอายที่เดิมทีผ่อนคลายหายวับไปในพริบตา

หลี่หลานเฟิงมองหลิงหลานด้วยความชื่นชมอีกครั้ง เขาเคยเข้าร่วมหน่วยรบชั่วคราวมามากมาย มีเพียงหน่วยรบของหลิงหลานเท่านั้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เวลาที่ผ่อนคลายก็ผ่อนคลายมาก แต่พวกสมาชิกทีมกลับไม่เคยถ่วงแข้งถ่วงขาในช่วงเวลาสำคัญ ปรับอารมณ์ได้สมบูรณ์แบบมาก ก็เหมือนกับเมื่อสักครู่นี้ หลิงหลานออกคำสั่งลงมา ต่อให้ก่อนหน้านี้ดูผ่อนคลายอีกสักแค่ไหน บรรดาลูกทีมก็สามารถเข้าสู่สถานะต่อสู้ได้ในชั่วพริบตา ทั้งหมดนี้คือประสบการณ์และจิตใจที่ทหารผ่านศึกเท่านั้นถึงจะมีได้ และพวกเด็กที่อายุน้อยกว่าเขาสามปีกลุ่มนี้กลับทำได้ นี่ทำให้หลี่หลานเฟิงรู้สึกได้ถึงวิกฤติอีกครั้ง ถ้าหากไม่พยายามแข็งแกร่งขึ้นละก็ เขาอาจจะถูกคนเหล่านี้สลัดทิ้งโดยไม่ทันตั้งตัวได้

ในขณะที่หลี่หลานเฟิงสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน หัวใจของเขาก็เกิดความรู้สึกยินดีขึ้นมาเช่นกัน โชคดีที่เขาหากระต่ายเจอและเข้าร่วมหน่วยรบของเขาได้เร็ว เขาเชื่อว่าขอเพียงพวกเขาพยายามแข็งแกร่งขึ้น เติบโตต่อไป หน่วยรบหลิงเทียนจะต้องกลายเป็นหนึ่งในหน่วยรบที่แข็งแกร่งที่สุดของสหพันธรัฐ เขาเชื่อมั่นในตัวหลิงหลาน เขาเชื่อมั่นในตัวเอง เขาเชื่อมั่นในตัวเด็กหนุ่มเหล่านี้

ถ้าเกิดอนาคตได้พบคนที่ถูกเรียกว่า ‘ราชา’ คนนั้นจริงๆ…เขาไม่เชื่อว่าภายใต้การช่วยเหลือของกระต่ายและเด็กหนุ่มพวกนี้ เขายังต้องใช้ชีวิตอย่างอัปยศอดสูได้อีก…หลี่หลานเฟิงกำหมัดแน่นทันที เขาสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้แน่นอน!

เมื่อเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลิงหลานก็พาพวกลูกทีมแบ่งออกเป็นสองส่วนซ่อนตัวอยู่ที่สองฝั่งของประตู แล้วสั่งเสี่ยวซื่อเปิดประตูออก

ประตูถูกเปิดออกฉับพลัน คนด้านในตกตะลึงทันใด ทีมของหลิงหลานที่ซ่อนตัวอยู่สองฝั่งพุ่งเข้าไปหาเป้าหมายของตัวเองราวกับพยัคฆ์ลงจากภูเขาท่ามกลางเสียงกู่ร้องเตรียมเข้าต่อสู้ของหลิงหลาน

หลิงหลานนำหน้าสุด นิ้วของมือทั้งสองข้างต่างถือเข็มฉีดยาขนาดเล็กไว้สามอัน จากนั้นก็กระโจนออกมาสองก้าว เธอกระทืบเท้าขวาฉับพลัน ทั่วทั้งร่างทะยานขึ้นไปในอากาศ เธอสะบัดสองมืออย่างแรงขณะอยู่กลางอากาศ เข็มฉีดยาขนาดเล็กหกอันซัดเข้าไปในรูกำแพงทั้งหกอย่างรวดเร็วเหมือนกับรัศมีแสงก็ไม่ปาน

หลิงหลานมั่นใจมากว่าไม่มีทางพลาด เนื่องจากตอนนี้เธอใช้ความสามารถนำทางของพลังจิต ซัดเข็มฉีดยาขนาดเล็กหกอันไปยังมือปืนที่ซ่อนตัวอยู่ในกำแพงเหล็กตามเส้นทางที่เธอต้องการได้อย่างแม่นยำ

เสียงร้องโหยหวนหกเสียงเพิ่งจะดังออกมาก็หยุดลงฉับพลัน ทำไมคราวนี้ถึงมีเสียงตอบสนองน่ะเหรอ? ความจริงแล้วเป็นเพราะว่ารูเล็กมากเกินไป ตำแหน่งที่หลิงหลานเลือกจึงเป็นดวงตาซึ่งเป็นจุดที่เปราะบางมากที่สุดเพื่อรับประกันว่าจะซัดโดนอีกฝ่าย ใครใช้ให้มือปืนเบิกตาโตเล็งกล้องติดปืนล่ะ ดูจากเส้นทางการบินแล้ว ดวงตาคือตำแหน่งที่ซัดโดนง่ายมากที่สุด

เข็มฉีดยาขนาดเล็กหกอันซัดกล้องติดปืนจนแตกทันที จากนั้นก็ปักเข้าไปในดวงตาของพวกมือปืนโดยไม่มีความปรานีเลยสักนิดเดียว และดวงตาคือตำแหน่งที่รู้สึกไวมากที่สุดของอวัยวะของมนุษย์ ประสาทตอบสนองรวดเร็วมากที่สุด ดังนั้นถึงทำให้พวกเขาส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาก่อนที่ยาสลบจะออกฤทธิ์ ทว่าก็เป็นเพียงชั่วพริบตาที่เอ่ยปากเท่านั้น ยาสลบที่หลี่ซื่ออวี๋พัฒนามีฤทธิ์ร้ายแรงมากเกินไปจริงๆ กอปรกับดวงตาอยู่ใกล้สมองมากที่สุด อีกฝ่ายจึงล้มลงแทบจะในชั่วพริบตาเดียว นี่ก็คือเหตุผลที่เสียงร้องโหยหวนนั้นหยุดชะงักลงโดยพลัน

ในเวลาเดียวกัน พวกฉีหลงหกคนที่ตามหลังหลิงหลานก็พุ่งออกมาในตอนที่หลิงหลานทะยานขึ้นไปบนอากาศ พวกเขามาถึงด้านหน้าเลยตัวหลิงหลานไปสามสิบเมตรในชั่วพริบตา กระโจนเข้าใส่ทหารที่ติดอาวุธปืนหนักหกคนอย่างเหี้ยมโหด

“ศัตรูบุก!” เมื่อเห็นชายหกคนพุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างโหดร้าย ต่อให้ทหารเชื่องช้าอีกสักแค่ไหนก็รู้ว่าคนเหล่านี้คือศัตรูไม่ใช่มิตร หนึ่งในนั้นรีบเปิดช่องคอแผดเสียงตะโกนดังลั่น ขณะเดียวกันก็ยกอาวุธปืนหนักในมือขึ้นมา เล็งไปยังชายหกคนที่กระโจนเข้ามา เตรียมตัวยิงใส่ แต่ถึงแม้อาวุธปืนหนักจะมีพลังทำลายโหดเหี้ยมรุนแรง แต่การใช้งานพวกมันก็ไม่ได้สะดวกขนาดนั้น มันห่างไกลจากความคล่องแคล่วอย่างปืนลำแสงที่มีน้ำหนักเบา นี่ก็คือเหตุผลที่พวกฉีหลงกล้าพุ่งเข้ามาตรงๆ แบบนี้ พวกเขาเดิมพันว่าอีกฝ่ายไม่สามารถจู่โจมได้ทันเวลาท่ามกลางความฉุกละหุก

ในชั่วขณะที่พวกฉีหลงลงมือนั้น เสียงเตือนภัยดังกึกก้องขึ้นในพื้นที่กว้างโล่งแห่งนี้ ทั่วทั้งศูนย์กลางฐานที่มั่นต่างถูกเสียงแหลมนี้ยึดครอง พวกหลิงหลานรู้ดีว่านี่ย่อมเป็นผลงานของทหารที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมอับสามคนนั้นทำขึ้นมา และก็มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่มีเวลาไปทำเรื่องแบบนี้ แต่พวกเขาไม่สนใจ เพราะว่าเมื่อเข้ามาในที่แห่งนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เปิดเผยตัว

พวกฉีหลงหกคนโจมตีด้วยความว่องไวสุดขีด ยังไม่ทันที่ทหารเหล่านี้จะเหนี่ยวไกอาวุธปืนหนัก การโจมตีของพวกฉีหลงก็มาถึงแล้ว พวกฉีหลงหกคนรู้ว่าสถานการณ์ล่อแหลม เมื่อเข้าไปแล้วพวกเขาจึงใช้กระบวนท่าสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละคน

เมื่อเห็นศีรษะของตัวเองกำลังจะถูกโจมตี เสียงระเบิดอากาศที่มาจากกำปั้นที่เหี้ยมโหดยืนยันว่า เมื่อถูกโจมตี ต่อให้ไม่ตายก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส สัญชาตญาณทำให้ทหารหกคนเลือกหลบหลีก ไม่ใช่การโจมตี เพียงแต่ว่าต่อให้พวกเขาทำการหลบแล้ว ก็ไม่อาจหลบหัวเข็มที่ถูกหนีบอยู่ในร่องกำปั้นได้พ้น

แค่หัวเข็มเฉียดผ่านถลอกแก้มของพวกเขาง่ายๆ ทำให้ใบหน้าของพวกเขาหลั่งเลือดออกมาทันที แต่บาดแผลเล็กๆ แบบนี้ไม่นับว่าเป็นอะไรในสายตาของทหารมืออาชีพเลย ในตอนที่พวกเขากำลังคิดจะยกอาวุธขึ้นมา เหนี่ยวไกปืน พวกเขากลับพบว่าแขนของตัวเองเริ่มไร้เรี่ยวแรง นอกจากนี้พวกเขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่บาดแผลอีกด้วย…

พิษเหรอ? ไม่สิ นี่มันยาสลบ พวกเขารู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มชาขึ้นมา ขยับเขยื้อนไม่ได้อีก…และตอนนี้เองก็เห็นชายหกคนนั้นชูมือของพวกเขาขึ้นมาก่อนจะแทงลงไปอย่างรุนแรง

ใช่แล้ว เป็นการแทง เพราะพวกเขาเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามกุมไว้ในมือคือเข็มฉีดยาขนาดเล็ก เข็มฉีดยาแทงใส่พวกเขาอีกครั้ง และวินาทีถัดมา พวกเขาก็จมสู่ความมืดมิด…

หลี่ซื่ออวี๋มองคนที่เดิมทียืนนิ่งไม่ขยับหมดสติล้มลงไปหลังจากที่โดนยาสลบของเขาในท้ายที่สุด เขาพบว่าการใช้ยาจัดการศัตรูนั้นง่ายดายและสะดวกรวดเร็วกว่าจัดการด้วยวิธีการต่อสู้…เขามองไปยังเข็มฉีดยาที่ใช้จนหมดเกลี้ยงแล้วอย่างใคร่ครวญตามจิตใต้สำนึก บางทีเขาน่าจะเปลี่ยนวิธีการต่อสู้ของตัวเอง ในเมื่อล้มศัตรูได้เหมือนกัน ทำไมถึงไม่ทำให้ง่ายดายมากขึ้นหน่อยล่ะ บางทีเขาควรลองใช้ของที่ตัวเองเรียนรู้มาใส่เพิ่มเข้าไปด้วย?

หลี่ซื่ออวี๋ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากมาย กลิ่นอายอันตรายสายหนึ่งพลันปกคลุมตัวของพวกเขา บางทีอาจเป็นเพราะมีประสบการณ์แล้ว หรือว่าบางทีพลังจิตของพวกเขาคุ้นเคยกับพลังผีซวีของหลี่หลานเฟิงแล้ว พลังผีซวีที่หลี่หลานเฟิงเปิดใช้งานคราวนี้ไม่ได้ทำให้พวกฉีหลงรู้สึกหวาดหวั่นเป็นพิเศษเลย

วินาทีถัดมา ร่างกายของหลี่หลานสั่นระริกทันใด ต่อให้พวกฉีหลงมองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ พวกเขาก็รู้ว่าเมื่อสักครู่นี้ผีซวีของศัตรูอาจจะทำการโจมตีใส่พวกเขา ส่วนหลี่หลานเฟิงก็ปกป้องพวกเขาไว้

……

ภายในห้องลับแห่งหนึ่งที่ตกแต่งสวยงามสะดวกสบายในเขตศูนย์กลางฐานที่มั่น ชายในเสื้อคลุมสีดำสองคนกำลังหลับตานั่งอยู่ภายในห้อง ร่างกายของหนึ่งในนั้นพลันสั่นโคลงเคลง ปากก็แค่นเสียงอู้อี้ออกมา เขาลืมตาด้วยสีหน้าซีดเผือด เอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ไอ้พวกระยำ D2 บอกว่าคนที่สหพันธรัฐส่งเข้ามาตรวจสอบรวมถึงผีซวีคนนั้นถูกล่อให้เข้าไปติดกับดักทางนั้นแล้วไม่ใช่เหรอวะ? ทำไมที่นี่ถึงถูกโจมตีได้ล่ะ นอกจากนี้ยังมีผีซวีที่แข็งแกร่งมาด้วยอีกคน?”

ชายอีกคนได้ยินคำพูดนี้ก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความตกตะลึง “คาร์เตอร์ นายทำพลาดเหรอ?” เขาไม่ได้เข้าร่วมการโจมตีเมื่อสักครู่นี้เพราะว่ามีแค่เก้าคนเท่านั้น เขาคิดว่าเพื่อนของเขาสามารถกำจัดคนกลุ่มนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่นึกเลยว่าจะล้มเหลว นอกจากนี้เมือเพื่อนของเขาต่อสู้กับผีซวีของฝ่ายตรงข้ามยังตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบด้วย

“ใช่ พลังผีซวีของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าฉัน การโจมตีของฉันถูกเขาขัดขวางไว้ พีท คราวนี้เรามาร่วมมือกัน จะต้องทำให้พวกเขาไม่อาจกลับไปได้อีก”

“ได้!” ความสามารถของพีทกับคาร์เตอร์ใกล้เคียงกัน ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าคาร์เตอร์ เขาคนเดียวก็จัดการไม่ได้เหมือนกัน แต่เขาเชื่อว่า ขอเพียงพวกเขาสองคนร่วมกันโจมตี จะต้องเก็บผีซวีที่แข็งแกร่งจากสหพันฐรัฐคนนี้ได้แน่นอน

เมื่อคิดว่าพวกเขาสามารถสังหารผีซวีที่แข็งแกร่งได้สักคน ในใจพีทก็ตื่นเต้นไม่หยุด นี่หมายถึงความดีความชอบสูงสุด! บางทียศของเขาอาจจะเพิ่มขึ้นไปอีกเพราะผลการรบคราวนี้…ดวงตาของพีทฉายแววละโมบขึ้นมาแวบหนึ่ง

พีทมั่นใจในตัวเองแบบนี้เป็นเพราะว่าพวกเขาสองคนเป็นคู่หูกันมาสิบกว่าปีแล้ว เข้าขารู้ใจกันมาก ผีซวีที่ทำงานคนเดียวตายอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขามาหลายคนแล้วเหมือนกัน พีทไม่คิดว่าผีซวีคนนี้สามารถต้านทานการโจมตีที่พวกเขาร่วมมือกันได้

……

เมื่อเห็นหลี่หลานเฟิงยืนนิ่งไม่ไหวติง สีหน้าดูเคร่งขรึม ก็รู้ว่าการต่อสู้อย่างโหดเหี้ยมระหว่างผีซวีได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ต่อให้พวกฉีหลงอยู่ในขอบเขตการป้องกันของหลี่หลานเฟิง พวกเขายังคงรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ไร้รูปร่าง พลังจิตของพวกเขาถูกพลังงานแปลกประหลาดกำราบไว้ ทำให้พวกเขาอึดอัดสุดขีด หลังจากที่เวลาผ่านไป สีหน้าของพวกฉีหลงเริ่มเปลี่ยนเป็นขาวซีดขึ้นมา ต่อให้หลี่หลานเฟิงต้านทานอย่างสุดกำลัง แต่ก็ยังทำให้พลังผีซวีของฝ่ายตรงข้ามหลุดรอดออกมาทีละนิดภายใต้การขัดขวางของเขา

และพลังผีซวีเล็กน้อยนี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงอันตราย เป็นความรู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะกลืนกินจิตวิญญาณของพวกเขา ฉางซินหยวนที่มีพลังจิตค่อนข้างอ่อนแอเล็กน้อยเริ่มกุมศีรษะ เผยสีหน้าทรมานออกมาแล้วทรุดลงนั่งตัวแข็งทื่อ

พลังผีซวีหลุดรอดออกมาแค่นิดเดียวเท่านั้น ไม่ได้รับการโจมตีโดยตรงก็ทำให้คนทรมานยากจะรับไหวขนาดนี้ จนกระทั่งตอนนี้พวกฉีหลงค่อยรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของผีซวีอย่างแท้จริง พวกเขาคือยมทูตในโลกเสมือนจริงอย่างที่คิดไว้เลย การโจมตีที่มาจากจิตวิญญาณแบบนี้ทำให้พวกเขาไม่มีกำลังใดๆ ไปต่อต้านได้เลย

เมื่อเห็นทุกคนเข้าใจความน่ากลัวของผีซวีแล้ว หลิงหลานถึงค่อยเปิดใช้งานพลังจิตปกป้องพลังจิตของพวกฉีหลงไว้ เมื่อมีการป้องกันของพลังจิตหลิงหลาน สีหน้าของพวกฉีหลงค่อยเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมา

สาเหตุที่หลิงหลานไม่ได้ใช้พลังจิตป้องกันไว้ตั้งแต่แรกก็เพราะเธออยากให้พวกฉีหลงรับรู้ถึงความน่ากลัวของผีซวีอย่างแท้จริง ทำให้ต่อไปพวกเขาเลิกคิดว่าผีซวีคือตัวตนที่พวกเขาสามารถต่อต้านได้ หากยังไปไม่ถึงผู้ควบคุมหุ่นรบระดับราชันละก็ เมื่ออยู่ต่อหน้าผีซวีไม่ว่าใครต่างก็เป็นเด็กทารกที่ไม่มีอาวุธในมือปล่อยให้เขาเข่นฆ่าได้ตามใจชอบ

หลิงหลานจำได้ดีว่า พ่อของเธอเคยบอกไว้ว่าผีซวีคือตัวตนของ Bug ในโลกเสมือนจริง มีเพียงผู้ควบคุมหุ่นรบระดับราชันที่รู้จักการปล่อยพลังจิตออกมาสู่ภายนอกเท่านั้นถึงจะมีความสามารถต้านทานได้ แต่ไม่ใช่ว่าผู้ควบคุมหุ่นรบระดับราชันทุกคนต่างรู้วิธีการปล่อยพลังจิตออกมาสู่ภายนอก เพราะว่าการปล่อยพลังจิตออกมาสู่ภายนอกคือหนึ่งในเงื่อนไขจำเป็นในการเลื่อนขั้นสู่ผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะ ดังนั้นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะจึงไม่หวาดกลัวผีซวี เพราะว่าเขาคือตัวตนที่เหมือนกับเทพเช่นกัน

———————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด