Immortal and Martial Dual Cultivationบทที่ 394 ยูโทเปียของผู้บ่มเพาะพลัง
ตอนที่ 394 ยูโทเปียของผู้บ่มเพาะพลัง
“ปะ! ปะ!”
กระบี่ฉีสีมีวงเล่มนี้ราวกับเป็นกระบี่ของจริง หลังจากที่มันแตกสลาย,เศษของมันร่วงโรยไปบนพื้น
หลังจากนั้น ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนกระบวณท่ากันหลายสิบครั้ง เซี่ยวเฉินพบว่าหลังจากที่เขาขึ้นสู่ขอบเขตกษัตริย์ยุทธ,ระยะห่างระยะตัวเขากับเยว่เฉินซีก็ยังห่างไกล
ดูเหมือนว่าด้วยบุปผารุ่งอรุณ,ความแข็งแกร่งของเยว่เฉินซีก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เหมือนในครั้งก่อน,นางไม่จําเป็นต้องสําแดงสภาวะของนางเพื่อรับมือกับเซี่ยวเฉิน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา,เซี่ยวเฉินคืนกระบกลับเข้าฝึกและหยุดการต่อสู้ ผลลัพธ์เป็นเหมือนกับครั้งก่อน
หากทั้งสองต่อสู้กันแบบถึงตาย,และเซี่ยวเฉินใช้ไพ่ตายทั้งหมดที่มี,ดาบฝ่ามือ,กระบวณท่าที่แปดของกระบี่หวู่ขุย,และฉีมังกรฟ้า,มันง่ายดายที่จะกดดันให้เยว่เฉินซีต้องใช้สภาวะของนางออกมา หลังจากนั้น,โอกาสชนะจะกลายเป็นครึ่งต่อครึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม,พวกนั้นคือไพ่ตายของเซี่ยวเฉิน;ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องเผยพวกมันออกมา
“ยินดีด้วย,เจ้าสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตกษัตริย์ยุทธได้ภายในสองเดือน เจ้าน่าจะเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่มีความเร็วในการล่มเพาะพลังที่น่าตกตะตลึงเช่นนี้”
เยว่เฉินซีลงจิดที่ด้านข้างของเซี่ยวเฉินและกล่าวอย่างนุ่มนวล,เสียงของนางไพเราะน่าฟัง
เซี่ยวเฉินตอบกลับ “มันไม่มีอะไรเลย;หลังจากที่ใช้สมุนไพรวิญญาณไปมากมาย,หากข้ายังไม่สามารถทะลวงระดับขึ้นมาได้,คงมีอะไรผิดปกติแล้ว”
คนผู้นี้ถ่อมตัวอีกเช่นเคย เขากล่าวราวกับเป็นเรื่องปกติ แต่อย่างไรก็ตาม หากผู้บ่มเพาะพลังคนใดที่มีสมบัติมากมาย,พวกเขาก็จะไม่โอ้อวดเหมือนกัน
ในตอนนั้นเอง,เสี่ยวไป๋วิ่งตรงเข้ามา นางมองไปที่เซี่ยวเฉินและกล่าวอย่างเป็นสุข “พี่ใหญ่เซี่ยวเฉิน,ท่านแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้เกียจคร้าน พี่สาวเยว่เฉิน บอกว่าข้ามีความแข็งแกร่งระดับขอบเขตกษัตริย์ขั้นต้นแล้ว”
เซี่ยวเฉินมองไปที่เยว่เฉินซี,รู้สึกงุนงงเล็กน้อย เขาไม่เชื่อในค่าของเสี่ยวไป เขาจําได้ว่า ในอดีต,คงามแข็งแกร่งของนางเทียบเท่าเพียงระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูงทั่วไป นางพัฒนาได้รวดเร็วอย่างนี้ได้เช่นไร?
เยว่เฉินซีพยักหน้าและกล่าว “ข้าไม่ได้โกหก เสี่ยวไปมีความแข็งแกร่งระดับขอบเขตกษัตริย์ ยุทธทักษะดาบจักรวาลบํารุงใจของนางทําให้ข้าปวดหัวไม่น้อย”
“นอกจากนั้น,นางถึงกับหลอมรวมหัวใจดาบขึ้นมา หากนางไปที่ศาลาดาบหิมะล่องลอยของอาณาจักรต้าจิน,ผู้อายุโสระดับสูงหลายคนจะต้องแย่งกันรับนางเป็นศิษย์
“ข้ามีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าศาลาดาบหิมะล่องลอย หากเจ้าสนใจ,ข้าสามารถช่วยให้เสี่ยวไป๋เข้านิกาย”
เซี่ยวเฉินเคยได้ยินชื่อเสียงของศาลาดาบหิมะล่องลอยมาก่อน มันเป็นหนึ่งในนิกายชั้นยอดในมวีปแห่งนี้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของทักษะดาบ มีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่นิกายแห่งนี้ และมันสามารถเทียบได้กับนิกายนภาสูง
ในตอนที่เสี่ยวไป๋ได้ยินดังนั้น,นางกล่าวขึ้นเบาๆ “เสี่ยวไป๋จะไม่ไปที่ศาลาดาบ ข้าเพียงอยากที่จะติดตามพี่ใหญ่เซี่ยวเฉิน หลังจากที่ข้าแข็งแกร่งขึ้น,ข้าจะช่วยพี่ใหญ่เซี่ยวเฉินกําราบคนไม่
เซี่ยวเฉินยิ้มและกล่าวขึ้น “ขอบคุณสําหรับความปรารถนาดี แต่เสี่ยวไป๋มีที่ที่นางอยากจะอยู่แล้ว ช่างศาลาดาบหิมะล่องลอยไป!”
เมื่อเยว่เฉินฉีเห็นทั้งสองไม่สนใจแม้แต่น้อย,นางก็ไม่ได้พูดถึงมันอีก ตอนนี้ดึกมากแล้ว;หลังจากที่พวกเขาพูดคุยกันอีกสักพัก,พวกเขาก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
“ตึง! ตึง!”
หลังจากที่เซี่ยวเฉินหลับตาลงและเริ่มบ่มเพาะพลัง,เขาพลันได้ยินเสียงฝีเท้า เขาลืมตาขึ้น และมองเห็นเยว่เฉินซียืนอยู่ไม่ไกลจากเขา
“มือกระบี่ชุดขาว,มีเวลาคุยหรือไม่?” เยว่เฉินซีกล่าวขึ้นเบาๆขณะที่นางมองมายังเซี่ยวเฉินที่อยู่ใต้แสงจันทร์
เซี่ยวเฉินเหลียวไปมองเสี่ยวไป๋ที่กําลังหลับอยู่และพยักหน้าเบาๆ จากนั้นเขาก็เดินไปกับเยว่เฉินซี
ทั้งสองหยุดลงที่ชายขอบเกาะเชียนเหลิ่น สายลมทะเลพัดเป่าเบาๆ มันรู้สึกเย็นสบายอย่างยิ่ง
เซี่ยวเฉินมองหาที่สะอาดๆเพื่อนั่งลงและถามขึ้น “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
เยว่เฉินซีสูดหายใจเข้าลึกก่อนที่จะตัดสินใจ นางกล่าวอย่างจริงจัง “ในอีกสองสามวัน,ผู้ อาวุโสระดับสูงของนิกายน่าจะมาถึง ข้าอยากจะเชิญชวนเจ้าให้ตามข้าไปที่อาณาจักรต้าจิน”
เซี่ยวเฉินเล็กตาขึ้นและกล่าวอย่างสงบ “ตามเจ้าไปที่นิกายนภาสูง?”
เยว่เฉินซีพยักหน้าและกล่าว “ใช่แล้ว ณ เวลานี้เป็นยุคทองของเหล่าผู้บ่มเพาะพลังที่ไม่ได้ เห็นมานับพันปีที่แห่งนั้นมีเหล่าอัจฉริยะทุกรูปแบบ,แต่ละคนมีพรสวรรค์โดดเด่น หากเจ้าไปที่อาณาจักรต้าจิน,เจ้าจะได้เห็นยิ่งกว่านี้”
“ที่นั้นเป็นยูโทเปียของเหล่าอัจฉริยะทั้งหมด ข้าได้เดินทางไปทั่วทุกแห่งในสองสามปีที่ผ่านมา,แม้แต่ทะเลไร้ขอบเขตข้าก็ไปมาแล้ว ไม่มีที่ไหนเทียบได้กับอาณาจักรต้าจิน”
“ไม่เพียงแต่พวกเราจะมีเส้นโลหิตวิญญาณที่ไม่บุบสลายมาจากยุคโบราณ,แต่ยังมีทักษะยุทธมากมายที่ตกทอดมาจากยุคโบราณ มีนิกายที่แข็งแกร่งมากมาย เป็นผลให้มีการแข่งขันกันที่สูง หากผู้บ่มเพาะพลังไม่ได้ไปที่อาณาจักรต้าจีน,พวกเขาจะไม่ได้รู้ว่าสายตาของพวกเขาคับแคบถึงเพียงใด”
ดวงตาของเซี่ยวเฉินลุกโชน เห็นชัดว่าเขาสนใจในอาณาจักรต้าจีนที่เยว่เฉินซีเล่าถึง อาณาจักรแห่งนี้เป็นที่ที่เซี่ยวเฉินจะต้องไปเยือนหลังจากออกมาจากอาณาจักรต้าจิน
ตั้งแต่ตอนที่เยว่เฉินซีแลกเปลี่ยนกระบวณท่ากับเซี่ยวเฉินจนถึงในตอนที่นางขอความช่วยเหลือจากเขา,เซี่ยวเฉินเดาได้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้พยายามจะเข้าใกล้เขาด้วยเหตุผลบางอย่าง
เยว่เฉินซีในที่สุดก็แสดงออกมา นางอยากที่จะเชิญชวนเขาไปเข้าร่วมนิกายนภาสูง ดูเหมือนว่าตําแหน่งของนางภายในนิกายนภาสูงจะไม่ใช่ธรรมดา
อย่างไรก็ตาม,เซี่ยวเฉินมีความคิดของตัวเอง การเข้าร่วมนิกายใหญ่จะหมายถึงการเลือกข้างก่อนที่เขาจะได้วางแผนจะทําอะไร
อย่างไรก็ตาม,แท้จริงแล้วนิกายนภาสูงแข็งแกร่งเพียงใด? พวกเขาคุ้มค่าที่จะไปเข้าร่วมด้วย หรือไม่? ปราศจากความเข้าใจที่ถ่องแท้,เซี่ยวเฉินจะไม่ตัดสินใจง่ายๆ
เซี่ยวเฉินพึมพํากับตัวเองก่อนที่จะถามขึ้น “ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของเจ้า,อันดับของเจ้าระหว่สงผู้เยาว์แห่งอาณาจักรต้าจินนาาจะค่อนข้างสูง ใช่หรือไม่?”
ในตอนที่เยว่เฉินซีเห็นว่าเซี่ยวเฉินจะมีความสนใจ,นางยิ้มและกล่าวขึ้น “ข้าอยู่ในอันดับสูง,แต่ก็ยังห่างไกลจากชั้นยอด อย่างไรก็ตาม ด้วยบุปผารุ่งอรุณดอกนี้ ข้าน่าจะสามารถร่นระยะได้”
ด้วยความแข็งแกร่งระดับปีศาจอย่างเยว่เฉินซียังไม่ใช่ชั้นยอด,การแข่งขันภายในอาณาจักรต้าจินจะต้องรุนแรง
เยว่เฉินซีกล่าวต่อ “เหล่าขุมอํานาจชั้นยอดในทวีปแห่งนี้มักจะตามหาผู้เยาว์อัจฉริยะอยู่เสมอ เจ้าเคยสงสัยหรือไม่ว่าทําไมจินต้าเป่ากับซูเสียวเสี่ยวถึงได้ดีกับเจ้านัก?”
“ทําไม?” เซี่ยวเฉินถามขึ้นอย่างสนใจ
ขณะที่เยว่เฉินซีหยิบหัวข้อหลักของนางขึ้นมา,นางยิ้มขึ้นเบาๆ “ขุมอํานาจเบื้องหลังพวกเขาก็เป็นขุมอํานาจชั้นยอดสุดแห่งทวีป พวกเขามีอํานาจอย่างแท้จริงในทวีปแห่งนี้ ตราบใดที่เจ้ามากับข้าที่นิกายนภาสูง,เจ้าจะเข้าใจทุกอย่าง”
เซี่ยวเฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะจนเสียงแหบเมื่อเขาได้ยินดังนั้น เยว่เฉินซีไม่อาจเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางรู้สึกประหลาดใจขณะที่ถามขึ้น “เจ้าหัวเราะทําไม?”
เซี่ยวเฉินยืนขึ้นและปัดฝุ่นออกจากร่างของเขา เขาหัวเราะขึ้นเบาๆ “ข้าหัวเราะก็เพราะทักษะ การชักชวนของเจ้าช่างน่าสงสาร ในเมื่อเจ้าพยายามจะชักชวนข้าให้เข้านิกายนภาสูง,ทําไมเจ้าไม่เริ่มจากเล่าให้ข้าฟังถึงผลประโยชน์การในเข้าร่วมนิกายนภาสูงแทนที่จะอ้อมไปมา? มันมีประโยชน์อะไร?”
เยวเฉินซีพลันกระจ่างขึ้นมาทันใด นางกล่าว “ใช่แล้ว,ข้าลืมไป นิกายนภาสูงมีเม็ดยาระดับอมตะและสมุนไพรวิญญาณอายุมากกว่าหนึ่งพันปีนับไม่ถ้วน พวกเรามีแม้แรกทั้งทักษะยุทธและ ทักษะบ่มเพาะระดับสวรรค์มากมาย พวกเขายังมี…”
เซี่ยวเฉินขัดเยว่เฉินซีและตบลงบนไหล่ของนาง เขายิ้มและกล่าวขึ้น “แม่นางเยว่ นี่จะต้องเป็นครั้งแรกที่เจ้าชักชวนใครสักคน,ใช่หรือไม่?
เยว่เฉินซีนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนที่นางจะกล่าวขึ้น “เจ้ารู้ได้อย่างไร? เดียว! ไม่! ข้า…”
“ฟ้าจะสว่างแล้ว ไปหลับพักผ่อนเสียและอย่ารบกวนการบ่มเพาะพลังของข้า” หลังจากที่เซี่ยวเฉินกล่าวจบ,เขาหันหลังจากไปในทันที
ขณะที่เยว่เฉินซีจ้องมองเซี่ยวเฉินจากไป,นางรู้สึกปวดหัวตุบ นางกระทึบพื้นอย่างรุนแรง
เยว่เฉินซ์ได้พบผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นมาทุกรูปแบบในการเดินทางฝึกในของนาง
เยว่เฉินซีได้เจอคนอย่างจินอจีมาอย่างน้อยห้าสิบหรือไม่ก็ร้อยคน อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครที่อยู่ในสายตาของนาง
เยว่เฉินซีในที่สุดก็พบคนที่ต้องตาของนางหลังจากที่หามานาน แต่เจ้าเซี่ยวเฉินคนนี้ช่างยากที่จะรับมือ นอกจากนั้น,เขาไม่เหมือนคนอื่นๆ ทุกคนต่างสุภาพเมื่อพบกับนาง
เซี่ยวเฉินไม่สนใจและปฏิบัติกับเยว่เฉินซีเหมือนกับเป็นคนธรรมดา นี่ถึงกับทําให้นางข้องใจในเสน่ห์ของนาง
“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถทําภารกิจที่ท่านลุงหนึ่งมอบให้ข้าได้สําเร็จ” เยว่เฉินซีถอนหายใจยาว
ตอนรุ่งสาง, ในตอนที่ล่าแสงแรกของดวงอาทิตย์ฉายออกมาจากทิศตะวันออก,ปลกคนทั้งสามขึ้น
หลังจากที่พวกเขาทานอาหารเช้า,เยส่เฉินซียกหัวข้อจากเมื่อคืนขึ้นมาอีกครั้ง “เซี่ยวเฉิน,ข้าจริงใจกับเรื่องนี้ จะมีคนจากทะเลไร้ขอบเขตและดินแดนรกล้างโบราณเข้าร่วมในการประลองผู้เยาว์หาอาณาจักรครั้งหน้า”
“นี่จะเป็นการประลองที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของทวีปเทียนหวี่ เจ้าน่าจะต้องคิดเกี่ยวกับการเข้าร่วมมาก่อน อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้จะเข้มข้นยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ หากเจ้าไม่มีความแข็งแกร่งระดับขอบเขตกษัตริย์ขั้นสูง,เจ้าจะไม่มีทางติดหนึ่งร้อยอันดับแรก”
“เข้าร่วมนิกายนภาสูง มีเพียงชุมอํานาจชั้นยอดอย่างนิกายนภาสูงที่จะได้ข่าวเกี่ยวกับการ เผชิญโชคมีเพียงการเผชิญโชคเท่านั้นที่จะเร่งความแข็งแกร่งของเจ้าอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาสองปี”
หลังจากที่คิดมาทั้งคืน,เยว่เฉินซีในที่สุดก็นึกได้ถึงผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ หลังจากที่นางกล่าวจบ,นางจ้องมองไปที่เซี่ยวเฉินอย่างคาดหวัง
เซี่ยวเฉินกําลังจะตอบกลับในตอนที่สัมผัสวิญญาณอันแข็งแกร่งของเขาตรวจจับได้ถึงพลัง
นล้นหลามบินตรงมาจากพวกเขา
“ผู้อาวุโสของนิกายเจ้าน่าจะมาถึงแล้ว” เซี่ยวเฉินกล่าวเบาๆ ในตอนที่เขามองไปยังคลื่นยักษ์เบื้องหน้า
เมื่อเยว่เฉินซีได้ยินดังนี้ นางรีบมองไปยังทิศทางเดียวกัน
เยว่เฉินซึมองเห็นคลื่นสูงตระหง่านเปิดออกราวกับประตู พวกเขาค่อยๆเปิดขึ้นจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน
มีชายชราคนหนึ่งเดินอย่างสมงบบนผิวน้ําทะเล
คลื่นที่พลุ่งพล่านพลันสงบขณะที่ชายชราเดินเข้ามา
ปราศจากพลังจากคลื่น,ท้องทะเลดูอ่อนโยน ชายชราคนนั้นเดินเข้ามาอย่างสงบเสงี่ยมหลังจากทําลายคลื่นยักษ์ลงไป,ที่แม้แต่ระดับขอบเขตยอดกษัตริย์ยุทธก็ไม่อาจทําได้
จากระยะไกล,มันดูราวกับประตูยักษ์ถูกดึงขึ้นด้วยพลังที่ไร้รูป
หรือนี่คือพลังของขอบเขตปราชญ์ยุทธ?
เขาสามารถพลิกทะเลอย่างง่ายดายด้วยหนึ่งมือและเปลี่ยนกฎแห่งธรรมชาติ
เซี่ยวเฉินไม่ได้ตกตะลึงมากเกินไปนักขณะที่เขามองดูชายชราคนนั้นค่อยๆเดินเข้ามา เขา เพียงรู้สึกสั่น…สั่นไปถึงแก่นกลาง
นี่คือผู้เชี่ยวชาที่แท้จริง,ผู้ที่ยืนอยู่จุดบนสุดของโลกใบนี้ เซี่ยวเฉินในที่สุดก็ได้มาเห็นกับตา
“ฟ ฟิว!”
ชายชราคนนั้นอยู่ห่างออกไปหนึ่งพันเมตร,แต่เขากลับมาถึงที่เกาะอห่งนี้ภายในทันที มันดูราวกับสองสามก้าวของเขาได้แหวกผ่านมิติเข้ามา,เคลื่อนที่ภายในพริบตา
“อาจารย์ลุงหนึ่ง,ทําไมท่านถึงได้มาที่นี่?”
เยว่เฉินซีมองไปยังชายชราและเผยสีหน้ามีความสุบพร้อมกับวิ่งตรงเข้าไปหา
ชายชรายิ้มขึ้นและมองไปที่เยว่เฉินซี “เจ้าไม่รู้หรอกว่าเหล่าผู้เฒ่านี้กังวลถึงเพียงใดในตอนที่ได้รับข้อความ หากไม่ใช่เพราะนิกายต้องมีคนประจําการณ์เอาไว้,อาจารย์ของเจ้าคงมาด้วยตัวเองแล้ว”
เยว่เฉินซีแล่บลิ้นอย่างซุกซน นางยิ้มและกล่าว “ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไม่สามารถออกไปได้ตลอดกาลสักหน่อย พวกเราเพียงต้องติดอยู่ที่นี่ชั่วคราว พวกท่านกังวลกันเกินไปแล้ว”
Comments
Immortal and Martial Dual Cultivationบทที่ 394 ยูโทเปียของผู้บ่มเพาะพลัง
ตอนที่ 394 ยูโทเปียของผู้บ่มเพาะพลัง
“ปะ! ปะ!”
กระบี่ฉีสีมีวงเล่มนี้ราวกับเป็นกระบี่ของจริง หลังจากที่มันแตกสลาย,เศษของมันร่วงโรยไปบนพื้น
หลังจากนั้น ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนกระบวณท่ากันหลายสิบครั้ง เซี่ยวเฉินพบว่าหลังจากที่เขาขึ้นสู่ขอบเขตกษัตริย์ยุทธ,ระยะห่างระยะตัวเขากับเยว่เฉินซีก็ยังห่างไกล
ดูเหมือนว่าด้วยบุปผารุ่งอรุณ,ความแข็งแกร่งของเยว่เฉินซีก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เหมือนในครั้งก่อน,นางไม่จําเป็นต้องสําแดงสภาวะของนางเพื่อรับมือกับเซี่ยวเฉิน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา,เซี่ยวเฉินคืนกระบกลับเข้าฝึกและหยุดการต่อสู้ ผลลัพธ์เป็นเหมือนกับครั้งก่อน
หากทั้งสองต่อสู้กันแบบถึงตาย,และเซี่ยวเฉินใช้ไพ่ตายทั้งหมดที่มี,ดาบฝ่ามือ,กระบวณท่าที่แปดของกระบี่หวู่ขุย,และฉีมังกรฟ้า,มันง่ายดายที่จะกดดันให้เยว่เฉินซีต้องใช้สภาวะของนางออกมา หลังจากนั้น,โอกาสชนะจะกลายเป็นครึ่งต่อครึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม,พวกนั้นคือไพ่ตายของเซี่ยวเฉิน;ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องเผยพวกมันออกมา
“ยินดีด้วย,เจ้าสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตกษัตริย์ยุทธได้ภายในสองเดือน เจ้าน่าจะเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่มีความเร็วในการล่มเพาะพลังที่น่าตกตะตลึงเช่นนี้”
เยว่เฉินซีลงจิดที่ด้านข้างของเซี่ยวเฉินและกล่าวอย่างนุ่มนวล,เสียงของนางไพเราะน่าฟัง
เซี่ยวเฉินตอบกลับ “มันไม่มีอะไรเลย;หลังจากที่ใช้สมุนไพรวิญญาณไปมากมาย,หากข้ายังไม่สามารถทะลวงระดับขึ้นมาได้,คงมีอะไรผิดปกติแล้ว”
คนผู้นี้ถ่อมตัวอีกเช่นเคย เขากล่าวราวกับเป็นเรื่องปกติ แต่อย่างไรก็ตาม หากผู้บ่มเพาะพลังคนใดที่มีสมบัติมากมาย,พวกเขาก็จะไม่โอ้อวดเหมือนกัน
ในตอนนั้นเอง,เสี่ยวไป๋วิ่งตรงเข้ามา นางมองไปที่เซี่ยวเฉินและกล่าวอย่างเป็นสุข “พี่ใหญ่เซี่ยวเฉิน,ท่านแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้เกียจคร้าน พี่สาวเยว่เฉิน บอกว่าข้ามีความแข็งแกร่งระดับขอบเขตกษัตริย์ขั้นต้นแล้ว”
เซี่ยวเฉินมองไปที่เยว่เฉินซี,รู้สึกงุนงงเล็กน้อย เขาไม่เชื่อในค่าของเสี่ยวไป เขาจําได้ว่า ในอดีต,คงามแข็งแกร่งของนางเทียบเท่าเพียงระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูงทั่วไป นางพัฒนาได้รวดเร็วอย่างนี้ได้เช่นไร?
เยว่เฉินซีพยักหน้าและกล่าว “ข้าไม่ได้โกหก เสี่ยวไปมีความแข็งแกร่งระดับขอบเขตกษัตริย์ ยุทธทักษะดาบจักรวาลบํารุงใจของนางทําให้ข้าปวดหัวไม่น้อย”
“นอกจากนั้น,นางถึงกับหลอมรวมหัวใจดาบขึ้นมา หากนางไปที่ศาลาดาบหิมะล่องลอยของอาณาจักรต้าจิน,ผู้อายุโสระดับสูงหลายคนจะต้องแย่งกันรับนางเป็นศิษย์
“ข้ามีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าศาลาดาบหิมะล่องลอย หากเจ้าสนใจ,ข้าสามารถช่วยให้เสี่ยวไป๋เข้านิกาย”
เซี่ยวเฉินเคยได้ยินชื่อเสียงของศาลาดาบหิมะล่องลอยมาก่อน มันเป็นหนึ่งในนิกายชั้นยอดในมวีปแห่งนี้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของทักษะดาบ มีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่นิกายแห่งนี้ และมันสามารถเทียบได้กับนิกายนภาสูง
ในตอนที่เสี่ยวไป๋ได้ยินดังนั้น,นางกล่าวขึ้นเบาๆ “เสี่ยวไป๋จะไม่ไปที่ศาลาดาบ ข้าเพียงอยากที่จะติดตามพี่ใหญ่เซี่ยวเฉิน หลังจากที่ข้าแข็งแกร่งขึ้น,ข้าจะช่วยพี่ใหญ่เซี่ยวเฉินกําราบคนไม่
เซี่ยวเฉินยิ้มและกล่าวขึ้น “ขอบคุณสําหรับความปรารถนาดี แต่เสี่ยวไป๋มีที่ที่นางอยากจะอยู่แล้ว ช่างศาลาดาบหิมะล่องลอยไป!”
เมื่อเยว่เฉินฉีเห็นทั้งสองไม่สนใจแม้แต่น้อย,นางก็ไม่ได้พูดถึงมันอีก ตอนนี้ดึกมากแล้ว;หลังจากที่พวกเขาพูดคุยกันอีกสักพัก,พวกเขาก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
“ตึง! ตึง!”
หลังจากที่เซี่ยวเฉินหลับตาลงและเริ่มบ่มเพาะพลัง,เขาพลันได้ยินเสียงฝีเท้า เขาลืมตาขึ้น และมองเห็นเยว่เฉินซียืนอยู่ไม่ไกลจากเขา
“มือกระบี่ชุดขาว,มีเวลาคุยหรือไม่?” เยว่เฉินซีกล่าวขึ้นเบาๆขณะที่นางมองมายังเซี่ยวเฉินที่อยู่ใต้แสงจันทร์
เซี่ยวเฉินเหลียวไปมองเสี่ยวไป๋ที่กําลังหลับอยู่และพยักหน้าเบาๆ จากนั้นเขาก็เดินไปกับเยว่เฉินซี
ทั้งสองหยุดลงที่ชายขอบเกาะเชียนเหลิ่น สายลมทะเลพัดเป่าเบาๆ มันรู้สึกเย็นสบายอย่างยิ่ง
เซี่ยวเฉินมองหาที่สะอาดๆเพื่อนั่งลงและถามขึ้น “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
เยว่เฉินซีสูดหายใจเข้าลึกก่อนที่จะตัดสินใจ นางกล่าวอย่างจริงจัง “ในอีกสองสามวัน,ผู้ อาวุโสระดับสูงของนิกายน่าจะมาถึง ข้าอยากจะเชิญชวนเจ้าให้ตามข้าไปที่อาณาจักรต้าจิน”
เซี่ยวเฉินเล็กตาขึ้นและกล่าวอย่างสงบ “ตามเจ้าไปที่นิกายนภาสูง?”
เยว่เฉินซีพยักหน้าและกล่าว “ใช่แล้ว ณ เวลานี้เป็นยุคทองของเหล่าผู้บ่มเพาะพลังที่ไม่ได้ เห็นมานับพันปีที่แห่งนั้นมีเหล่าอัจฉริยะทุกรูปแบบ,แต่ละคนมีพรสวรรค์โดดเด่น หากเจ้าไปที่อาณาจักรต้าจิน,เจ้าจะได้เห็นยิ่งกว่านี้”
“ที่นั้นเป็นยูโทเปียของเหล่าอัจฉริยะทั้งหมด ข้าได้เดินทางไปทั่วทุกแห่งในสองสามปีที่ผ่านมา,แม้แต่ทะเลไร้ขอบเขตข้าก็ไปมาแล้ว ไม่มีที่ไหนเทียบได้กับอาณาจักรต้าจิน”
“ไม่เพียงแต่พวกเราจะมีเส้นโลหิตวิญญาณที่ไม่บุบสลายมาจากยุคโบราณ,แต่ยังมีทักษะยุทธมากมายที่ตกทอดมาจากยุคโบราณ มีนิกายที่แข็งแกร่งมากมาย เป็นผลให้มีการแข่งขันกันที่สูง หากผู้บ่มเพาะพลังไม่ได้ไปที่อาณาจักรต้าจีน,พวกเขาจะไม่ได้รู้ว่าสายตาของพวกเขาคับแคบถึงเพียงใด”
ดวงตาของเซี่ยวเฉินลุกโชน เห็นชัดว่าเขาสนใจในอาณาจักรต้าจีนที่เยว่เฉินซีเล่าถึง อาณาจักรแห่งนี้เป็นที่ที่เซี่ยวเฉินจะต้องไปเยือนหลังจากออกมาจากอาณาจักรต้าจิน
ตั้งแต่ตอนที่เยว่เฉินซีแลกเปลี่ยนกระบวณท่ากับเซี่ยวเฉินจนถึงในตอนที่นางขอความช่วยเหลือจากเขา,เซี่ยวเฉินเดาได้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้พยายามจะเข้าใกล้เขาด้วยเหตุผลบางอย่าง
เยว่เฉินซีในที่สุดก็แสดงออกมา นางอยากที่จะเชิญชวนเขาไปเข้าร่วมนิกายนภาสูง ดูเหมือนว่าตําแหน่งของนางภายในนิกายนภาสูงจะไม่ใช่ธรรมดา
อย่างไรก็ตาม,เซี่ยวเฉินมีความคิดของตัวเอง การเข้าร่วมนิกายใหญ่จะหมายถึงการเลือกข้างก่อนที่เขาจะได้วางแผนจะทําอะไร
อย่างไรก็ตาม,แท้จริงแล้วนิกายนภาสูงแข็งแกร่งเพียงใด? พวกเขาคุ้มค่าที่จะไปเข้าร่วมด้วย หรือไม่? ปราศจากความเข้าใจที่ถ่องแท้,เซี่ยวเฉินจะไม่ตัดสินใจง่ายๆ
เซี่ยวเฉินพึมพํากับตัวเองก่อนที่จะถามขึ้น “ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของเจ้า,อันดับของเจ้าระหว่สงผู้เยาว์แห่งอาณาจักรต้าจินนาาจะค่อนข้างสูง ใช่หรือไม่?”
ในตอนที่เยว่เฉินซีเห็นว่าเซี่ยวเฉินจะมีความสนใจ,นางยิ้มและกล่าวขึ้น “ข้าอยู่ในอันดับสูง,แต่ก็ยังห่างไกลจากชั้นยอด อย่างไรก็ตาม ด้วยบุปผารุ่งอรุณดอกนี้ ข้าน่าจะสามารถร่นระยะได้”
ด้วยความแข็งแกร่งระดับปีศาจอย่างเยว่เฉินซียังไม่ใช่ชั้นยอด,การแข่งขันภายในอาณาจักรต้าจินจะต้องรุนแรง
เยว่เฉินซีกล่าวต่อ “เหล่าขุมอํานาจชั้นยอดในทวีปแห่งนี้มักจะตามหาผู้เยาว์อัจฉริยะอยู่เสมอ เจ้าเคยสงสัยหรือไม่ว่าทําไมจินต้าเป่ากับซูเสียวเสี่ยวถึงได้ดีกับเจ้านัก?”
“ทําไม?” เซี่ยวเฉินถามขึ้นอย่างสนใจ
ขณะที่เยว่เฉินซีหยิบหัวข้อหลักของนางขึ้นมา,นางยิ้มขึ้นเบาๆ “ขุมอํานาจเบื้องหลังพวกเขาก็เป็นขุมอํานาจชั้นยอดสุดแห่งทวีป พวกเขามีอํานาจอย่างแท้จริงในทวีปแห่งนี้ ตราบใดที่เจ้ามากับข้าที่นิกายนภาสูง,เจ้าจะเข้าใจทุกอย่าง”
เซี่ยวเฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะจนเสียงแหบเมื่อเขาได้ยินดังนั้น เยว่เฉินซีไม่อาจเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางรู้สึกประหลาดใจขณะที่ถามขึ้น “เจ้าหัวเราะทําไม?”
เซี่ยวเฉินยืนขึ้นและปัดฝุ่นออกจากร่างของเขา เขาหัวเราะขึ้นเบาๆ “ข้าหัวเราะก็เพราะทักษะ การชักชวนของเจ้าช่างน่าสงสาร ในเมื่อเจ้าพยายามจะชักชวนข้าให้เข้านิกายนภาสูง,ทําไมเจ้าไม่เริ่มจากเล่าให้ข้าฟังถึงผลประโยชน์การในเข้าร่วมนิกายนภาสูงแทนที่จะอ้อมไปมา? มันมีประโยชน์อะไร?”
เยวเฉินซีพลันกระจ่างขึ้นมาทันใด นางกล่าว “ใช่แล้ว,ข้าลืมไป นิกายนภาสูงมีเม็ดยาระดับอมตะและสมุนไพรวิญญาณอายุมากกว่าหนึ่งพันปีนับไม่ถ้วน พวกเรามีแม้แรกทั้งทักษะยุทธและ ทักษะบ่มเพาะระดับสวรรค์มากมาย พวกเขายังมี…”
เซี่ยวเฉินขัดเยว่เฉินซีและตบลงบนไหล่ของนาง เขายิ้มและกล่าวขึ้น “แม่นางเยว่ นี่จะต้องเป็นครั้งแรกที่เจ้าชักชวนใครสักคน,ใช่หรือไม่?
เยว่เฉินซีนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนที่นางจะกล่าวขึ้น “เจ้ารู้ได้อย่างไร? เดียว! ไม่! ข้า…”
“ฟ้าจะสว่างแล้ว ไปหลับพักผ่อนเสียและอย่ารบกวนการบ่มเพาะพลังของข้า” หลังจากที่เซี่ยวเฉินกล่าวจบ,เขาหันหลังจากไปในทันที
ขณะที่เยว่เฉินซีจ้องมองเซี่ยวเฉินจากไป,นางรู้สึกปวดหัวตุบ นางกระทึบพื้นอย่างรุนแรง
เยว่เฉินซ์ได้พบผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นมาทุกรูปแบบในการเดินทางฝึกในของนาง
เยว่เฉินซีได้เจอคนอย่างจินอจีมาอย่างน้อยห้าสิบหรือไม่ก็ร้อยคน อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครที่อยู่ในสายตาของนาง
เยว่เฉินซีในที่สุดก็พบคนที่ต้องตาของนางหลังจากที่หามานาน แต่เจ้าเซี่ยวเฉินคนนี้ช่างยากที่จะรับมือ นอกจากนั้น,เขาไม่เหมือนคนอื่นๆ ทุกคนต่างสุภาพเมื่อพบกับนาง
เซี่ยวเฉินไม่สนใจและปฏิบัติกับเยว่เฉินซีเหมือนกับเป็นคนธรรมดา นี่ถึงกับทําให้นางข้องใจในเสน่ห์ของนาง
“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถทําภารกิจที่ท่านลุงหนึ่งมอบให้ข้าได้สําเร็จ” เยว่เฉินซีถอนหายใจยาว
ตอนรุ่งสาง, ในตอนที่ล่าแสงแรกของดวงอาทิตย์ฉายออกมาจากทิศตะวันออก,ปลกคนทั้งสามขึ้น
หลังจากที่พวกเขาทานอาหารเช้า,เยส่เฉินซียกหัวข้อจากเมื่อคืนขึ้นมาอีกครั้ง “เซี่ยวเฉิน,ข้าจริงใจกับเรื่องนี้ จะมีคนจากทะเลไร้ขอบเขตและดินแดนรกล้างโบราณเข้าร่วมในการประลองผู้เยาว์หาอาณาจักรครั้งหน้า”
“นี่จะเป็นการประลองที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของทวีปเทียนหวี่ เจ้าน่าจะต้องคิดเกี่ยวกับการเข้าร่วมมาก่อน อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้จะเข้มข้นยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ หากเจ้าไม่มีความแข็งแกร่งระดับขอบเขตกษัตริย์ขั้นสูง,เจ้าจะไม่มีทางติดหนึ่งร้อยอันดับแรก”
“เข้าร่วมนิกายนภาสูง มีเพียงชุมอํานาจชั้นยอดอย่างนิกายนภาสูงที่จะได้ข่าวเกี่ยวกับการ เผชิญโชคมีเพียงการเผชิญโชคเท่านั้นที่จะเร่งความแข็งแกร่งของเจ้าอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาสองปี”
หลังจากที่คิดมาทั้งคืน,เยว่เฉินซีในที่สุดก็นึกได้ถึงผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ หลังจากที่นางกล่าวจบ,นางจ้องมองไปที่เซี่ยวเฉินอย่างคาดหวัง
เซี่ยวเฉินกําลังจะตอบกลับในตอนที่สัมผัสวิญญาณอันแข็งแกร่งของเขาตรวจจับได้ถึงพลัง
นล้นหลามบินตรงมาจากพวกเขา
“ผู้อาวุโสของนิกายเจ้าน่าจะมาถึงแล้ว” เซี่ยวเฉินกล่าวเบาๆ ในตอนที่เขามองไปยังคลื่นยักษ์เบื้องหน้า
เมื่อเยว่เฉินซีได้ยินดังนี้ นางรีบมองไปยังทิศทางเดียวกัน
เยว่เฉินซึมองเห็นคลื่นสูงตระหง่านเปิดออกราวกับประตู พวกเขาค่อยๆเปิดขึ้นจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน
มีชายชราคนหนึ่งเดินอย่างสมงบบนผิวน้ําทะเล
คลื่นที่พลุ่งพล่านพลันสงบขณะที่ชายชราเดินเข้ามา
ปราศจากพลังจากคลื่น,ท้องทะเลดูอ่อนโยน ชายชราคนนั้นเดินเข้ามาอย่างสงบเสงี่ยมหลังจากทําลายคลื่นยักษ์ลงไป,ที่แม้แต่ระดับขอบเขตยอดกษัตริย์ยุทธก็ไม่อาจทําได้
จากระยะไกล,มันดูราวกับประตูยักษ์ถูกดึงขึ้นด้วยพลังที่ไร้รูป
หรือนี่คือพลังของขอบเขตปราชญ์ยุทธ?
เขาสามารถพลิกทะเลอย่างง่ายดายด้วยหนึ่งมือและเปลี่ยนกฎแห่งธรรมชาติ
เซี่ยวเฉินไม่ได้ตกตะลึงมากเกินไปนักขณะที่เขามองดูชายชราคนนั้นค่อยๆเดินเข้ามา เขา เพียงรู้สึกสั่น…สั่นไปถึงแก่นกลาง
นี่คือผู้เชี่ยวชาที่แท้จริง,ผู้ที่ยืนอยู่จุดบนสุดของโลกใบนี้ เซี่ยวเฉินในที่สุดก็ได้มาเห็นกับตา
“ฟ ฟิว!”
ชายชราคนนั้นอยู่ห่างออกไปหนึ่งพันเมตร,แต่เขากลับมาถึงที่เกาะอห่งนี้ภายในทันที มันดูราวกับสองสามก้าวของเขาได้แหวกผ่านมิติเข้ามา,เคลื่อนที่ภายในพริบตา
“อาจารย์ลุงหนึ่ง,ทําไมท่านถึงได้มาที่นี่?”
เยว่เฉินซีมองไปยังชายชราและเผยสีหน้ามีความสุบพร้อมกับวิ่งตรงเข้าไปหา
ชายชรายิ้มขึ้นและมองไปที่เยว่เฉินซี “เจ้าไม่รู้หรอกว่าเหล่าผู้เฒ่านี้กังวลถึงเพียงใดในตอนที่ได้รับข้อความ หากไม่ใช่เพราะนิกายต้องมีคนประจําการณ์เอาไว้,อาจารย์ของเจ้าคงมาด้วยตัวเองแล้ว”
เยว่เฉินซีแล่บลิ้นอย่างซุกซน นางยิ้มและกล่าว “ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไม่สามารถออกไปได้ตลอดกาลสักหน่อย พวกเราเพียงต้องติดอยู่ที่นี่ชั่วคราว พวกท่านกังวลกันเกินไปแล้ว”
Comments