Immortal and Martial Dual Cultivation บทที่ 359 ไร่ที่เปรียบในใต้หล้า

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter บทที่ 359 ไร่ที่เปรียบในใต้หล้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 359 ไร่ที่เปรียบในใต้หล้า

เยี่ยนชื่อเสวี่ยมองไปยังเซี่ยวเฉินที่สงบนิ่ง จากนั้นเขากล่าวขึ้น “ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับน้องสองของข้า! หัตถ์จับมังกร!”

เยี่ยนชื่อเสวี่ยยื่นมือของเขาออกไป,มีมือสีดําขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า นี่เป็นทักษะต่อสู้เฉพาะของผู้สืบทอดจิตวิญญาณยุทธตระกูลเยียน

มือขนาดใหญ่กว้างกว่าร้อยเมตร เส้นขอบฝ่ามืดคมชัดชัดเจน ขณะที่มันอยู่ในอากาศ,ราวกับว่ามันปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า

“บูม!”

เส้นอัสนีวูบไหวบนท้องฟ้า เซียวเฉินกระโดดขึ้นไปในอากาศ,และกระบี่เงาจันทร์ก็กระพริบวูบไหวด้วยแสงกระแสไฟฟ้า กระบี่แสงปรากฏขึ้นบนคมกระบี่

“สับ!” เซียวเฉินร้องตะโกนและกวัดแกว่งกระบี่ของเขา มือยักษ์สีดําถูกสับขาดครึ่งในทันที,ผ่าตรงลงไปตรงกลาง

เยี่ยนชื่อเสวี่ยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขาสะบัดมือและมือสีดําขนาดใหญ่ก็คืนรูปขึ้นในอากาศ

จากนั้น เขียนชื่อเสวี่ยก่ามือของเขา มือสีดําขนาดใหญ่ตอบโต้และพยายามคว้จับเซียวเฉิน เซี่ยวเฉินหลบหลีกอย่างรวดเร็วและเคลื่อนออกด้านข้างหนึ่งร้อยเมตรก่อนที่จะลงจอดลนพื้น

“ปัง!”

มือสีดําขนาดใหญ่กําหมัดและไล่ล่าเขา

มือสีดํานี้แข็งแกร่งอย่างมาก หากเซียวเฉินเข้าปะทะกับมันตรงๆ,เขาจะยิ่งหมดแรง นอกจากนั้น นี่เป็นเพียงแค่ศึกเรียกน้ําย่อย การผลาญพลังงานไปในตอนนี้มีแต่จะทําให้เขาเสียเปรียบภายหลัง

ข้าจะหลบเลี่ยงไปก่อนในตอนนี้ เซี่ยวเฉินครุ่นคิด จากนั้น,ร่างของเขาวูบไหวไปรอบๆ มือยักษ์สีดําไล่ทุบไปทั่วสนามประลองอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม มันไม่อาจจับตัวเซี่ยวเฉิน กลับเป็นเยี่ยนชื่อเสวี่ยที่ยิ่งอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานหลังจากนั้น,ปราณของเขาก็เริ่มเดือดแห้ง

ตอนนี้แหละ! เซี่ยวเฉินคว้าโอกาสนี้ไว้ในตอนที่เขาสังเกตเห็นว่าความเร็วของมือยักษ์สีดําตกลงอย่างเห็นได้ชัด

เซียวเฉินเก็บกระบี่เงาจันทร์กลับเข้าฝักและชกใส่อากาศด้วยมือขวาของเขา มือยักษ์สีดําแบบเดียวกันปรากฏขึ้น และใช้สองนิ้วของมันเป็นเหมือนกับดาบ ในไม่ช้า,มันแทงลงไปบนมือของเยี่ยนชื่อเสวี่ย

ไม่ใช่ว่ามันคือทักษะต่อสู้เฉพาะของตระกูลข้า? เขาไม่ได้มีจิตวิญญาณยุทธที่สืบทอดมาแบบพวกเรา:ถึงแม้ว่าเขาจะมีตาราลับ,มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเรียนรู้มัน!

ในตอนที่เยี่ยนชื่อเสวี่ยมองเห็นมือยักษ์สีดํา,เขานิ่งตะลึงไปในทันที สีหน้าของเซียวเฉินกลายเป็นมืดมัว เขาไม่ได้ให้เวลาเยี่ยนชื่อเสวี่ยมัวลังเล

มือยักษ์สีดําเปลี่ยนเป็นกําปั้นและทุบลงไปที่ร่างของเยี่ยนชื่อเสวี่ย

“ฟู ฟิว!”

เยี่ยนชื่อเสวี่ยหน้าซีดและกระอักเลือดออกมาในทันที หลังจากที่เขาถูกทุบลงกับพื้น,เขาก็ยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เซี่ยวเฉินโบกมือเบาๆ,และมือยักษ์สีดําก็ตบเยี่ยนชื่อเสวี่ยกระเด็นออกจากสนามประลองด้วยพลังมหาศาล

“เขาใช้เพียงกระบวณท่าเดียวกันการล้มเยียนชื่อเสวีย นอกจากนั้น,เขายังใช้ทักษะต่อสู้เฉพาะของตระกูลเยียน เซี่ยวเฉินคนนี้จะน่าตกตะลึงเกินไปแล้ว”

“พวกเขาใช้ทักษะต่อสู้เดียวกัน แต่เยี่ยนชื่อเสวี่ยกลับพ่ายแพ้ให้กับคนภายนอกตระกูล ช่างน่าอับอาย”

ผู้คนบนอัฒจันทร์คนดูทั้งหมดต่างแสดงความคิดเห็น พวกเขาไม่ได้คาดหวังในศึกระหว่างเซียวเฉินกับเยี่ยนชื่อเสียมากนัก ดังนั้น พวกเขาไม่ได้ตกตะลึงจนเกินไป

แต่อย่างไรก็ตาม,พวกเขาไม่คาดคิดว่าเยี่ยนชื่อเสวยไม่แม้แต่จะยืนได้ถึงสิบกระบวณท่าและพ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็ว

“ดูนั้น,ขุนนางกุยยี่ก้าวออกมาแล้ว ในครั้งนี้,ผลแพ้ชนะไม่ได้ชัดเจนตั้งแต่เริ่ม” ผู้บ่มเพาะพลังบนอัฒจันทร์ทั้งหมดตื่นตัว

ขุนนางกุยยี่สวมชุดเกราะศึกสีทอง เขาถืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ยาวกว่าสองเมตรเอาไว้ในมือ เขามองไปที่เซียวเฉินและกล่าว “เจ้าได้ประมือมาอย่างต่อเนื่องและผลาญพลังปราณไปมาก ข้าจะต่อให้เจ้าสามกระบวณท่า เจ้าสามารถลงมือได้ก่อน ข้าจะโจมตีเจ้าหลังจากผ่านไปสามกระบวณท่า”

เซี่ยวเฉินยิ้มบางๆ “ไม่จําเป็นต้องต่อให้ข้า ค่อยพูดหลังจากที่เจ้ารอดชีวิตไปได้หลังจากสามกระบวณท่า”

“สายฟ้าฉับพลันคําราม,กองทัพหมื่นอาชา!”

ขุนนางกุยยี่ไม่ใช่เยี่ยนชื่อเสวี่ย ความแข็งแกร่งของเขาเติบโตขึ้นอย่างมากหลังจากครั้งก่อน เซียวเฉินไม่มีความคิดที่จะลองดีกับความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้

เซี่ยวเฉินเตรียมพร้อมอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากที่จะให้การต่อสู้ยืดเยื้อ นั้นจะเป็นการดีสําหรับเขา ดังนั้น เขาปลดปล่อยกระบวณท่าใหญ่ออกมาตั้งแต่เริ่ม

เมฆาอัสนี นวนบนท้องฟ้า วังวนสายกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นจากความว่างเปล่า ท้องฟ้าที่สดใสมืดมัวลงในทันที ขณะที่วังวนกระแสไฟฟ้าหมุนวน,กระแสไฟฟ้าวบไหว พลังงานจิตวิญญาณธาตุสายฟ้าแห่งสวรรค์และปฐพีรวมตัวกัน

“ยิ้ม…!” เสียงของอาชาและนักรบกล้าออกมาจากวังวนกระแสไฟฟ้า มันดังถึงก้องไปทั่วทั้งพื้นที่ลานฝึกฝน กังวาลอยู่ในหูของผู้บ่มเพาะพลังทุกคน

“ทักษะต่อสู้นี้มันคืออะไร? ทําไมปรากฏการณ์ลึกลับถึงได้น่าตกตะลึงเพียงนี้?” เมื่อผู้บ่มเพาะพลังบนอัฒจันทร์คนดรู้สึกได้ถึงพลังงานอันน่ากลัวภายในวังวนกระแสไฟฟ้า,สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยน

ขุนนางกุยยี่สีหน้ากลายเป็นร้ายแรง เขาปักดาบผ่านภาลงบนพื้นด้านหน้าของเขา

“ซี่ ซี่!”

ละลอกคลื่นปรากฏขึ้นในรอบตัวของขันนางกุยยราวกับพื้นที่รอบตัวของเขาเป็นผิวน้ํา มันทําให้ร่างของเขาเลือนราง

เซี่ยวเฉินรู้สึกราวกับคู่ต่อสู้ของเขาในตอนนี้ยืนแยู่ห่างออกไปหนึ่งพันกิโลเมตร นอกจากนั้น,ร่างของเขายังเคลื่อนไปรอบๆ:ตําแหน่งของเขาไม่ตายตัว

ขุนนางกยยี่ได้ใช้พลังอานาจของอาวุธศักดิ์สิทธิ์,เปลี่ยนกฎแห่งธรรมชาติบนสนามประลองทําให้สัมผัสทั้งห้าปั่นป่วน

“ท้ายที่สุด,เจ้าก็ทําได้เพียงใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์เพื่อเปลี่ยนแปลงกฎแห่งธรรมชาติ มันไม่ใช่พลังของตัวเจ้าเอง เมื่อเผชิญหน้ากับพลังที่เด็ดขาด,มันก็ไร้ประโยชน์!”

เซี่ยวเฉินร้องคํารามศึก,และอัศวินสายฟ้าทั้งหมดในวังวนก็ผสานกัน จากนั้น,อัศวินที่ถูกห่อหุ้มด้วยกระแสไฟฟ้าสีทองก็ปรากฏตัวขึ้น

อัศวินสีทองร้องคํารามอย่างดุดัน,และแทงผ่านอากาศด้วยหอกของเขา,มุ่งหน้าเข้าหาขุนนางกุยยี่ด้วยตวามเร็วสายฟ้า

เมื่ออัศวินสีทองมาถึงระยะหนึ่งร้อยเมตรจากตัวขุนนางกุยย์,มันก็กลายเป็นเลือนลางเช่นกัน ความเร็วระดับสายฟ้าค่อยๆลดลง ทุกคนสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของมันได้อย่างชัดเจน

“ฟู ฟู!”

มันราวกับว่าอัศวินสีทองได้เดินทางผ่านระยะทางกว่าหนึ่งหมื่นเมตร อัศวินสายฟ้าสีทองดูเหมือนราวกับจะไปไม่ได้ตัวของขุนนางกุยยี่ มันยังอยู่อยู่ห่างจากขุนนางกุยยี่ระยะหนึ่งร้อยเมตร

อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้คงอยู่นานนัก ละลอกคลื่นมิติเริ่มแตกร้าว ในไม่ช้า,เขตแดนเล็กก็พังทลาย

มันมีข้อจํากัดในการใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนแปลงกฎแห่งธรรมชาติ มันไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดกาล

หอกของอัศวินสายฟ้าที่เดินทางผ่านระยะทางหลายพันเมตรได้เจือจางลงไปเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังรุ่งโรจน์และเป็นประกาย

“เครั้ง!”

ขุนนางกุยยี่ใช้ดาบขึ้นมาป้องกัน คมดาบกว้างหยุดปลายหอกเอาไว้ หอกที่แบกพลังมหาศาล; มันทําให้ขุนนางกุยยื่ถอยกลับไปอย่างต่อเนื่อง

เท้าของขุนนางกุยจมลงไปในพื้นดินพร้อมกับถูกดันถอยกลับหลังไป ผ่านไปครู่หนึ่ง,มันกลายเป็นสองหลุมลึก อัศวินสายฟ้าดันขุนนางกุยจนไปถึงขอบสนามประลอง ส้นเท้าของเขาลอยออกไปจากขอบสนาม

ไม่มีที่ให้ขุนนางกุยยถอยไปได้อีกแล้ว เขาร้องคํารามออกมาและโยนตัวไปด้านหลัง เขาจับดาบผ่านภาด้วยสองมือและเหวี่ยงออก

ขณะที่ปลายหอกกาลังจะเจาะเข้าร่างของขุนนางกุยย,ดาบของเขาก็ซัดเข้าที่ร่างของอัศวินสายฟ้า เซียวเฉินได้เรียนรู้ถึงความแข็งแกร่งอันน่ากลัวของขุนนางกุยยี่ที่ป่าน้ําหมึก

อัศวินสายฟ้าได้เดินทางผ่านไปหลายหมื่นกิโลเมตรและสูญเสียพลังงานไปมาก ผลที่ออกมา มันคล้ายที่จะจินตนาการ

เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น,และพลังจากดาบระเบิดอัศวินสายฟ้ากลายเป็นเส้นสายฟ้าสีม่วง,แตกกระจายไปในอากาศ

“หวี่ขยสะท้านสวรรค์!”

ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเซี่ยวเฉิน เขาได้สะสมพลังงานมาเพื่อกระบวณท่าสังหารของทักษะกระบหรูขุย

ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์โบราณหภู่ขุยปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ใบและกิ่งก้านเติมเต็มบนต้น มันดูราวกับจะสามารถยกท้องฟ้าขึ้นและปดบังดวงตะวัน มันเรื่องไปด้วยแสงสีม่วง

ต้นหวี่ขยแบกพลังงานกระแสไฟฟ้าจํานวนมากราวกับเป็นภูเขาที่สร้างขึ้นมาจากกระแสไฟฟ้า มันมุ่งหน้าไปที่ขุนนางกุยยีและกดลงไปอย่างรุนแรง

ขุนนางกุยยี่,ผู้ที่สูญเสียความคิดที่จะต่อสู้,ยังไม่ฟื้นคืนสติจากกระบวณท่าแรก ทันใดนั้นเอง,เขาก็ทําได้เพียงแค่ใช้มือซ้ายกดลงไปบนคมดาบ,หวังว่ามันจะสามารถป้องกันต้นหวาขยเอาไว้ได้

“ปัง!”

ขุนนางกุยย์ไร้หนทางต่อต้าน พลังที่เด็ดขาดทําลายขอบสนามประลองกลายเป็นซากปรักหักพัง

ขุนนางกุยยี่ลื่นไถล,และร่างของเขาตกลงไปพร้อมกับซากปรักหักพังด้านล่างสนามประลอง

พลังงานกระแสไฟฟ้าบนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทีท่าว่าจะจางหายไปแม้แต่น้อย มันระเบิดผ่านการป้องกันของขุนนางกุยยและซัดดข้าที่หน้าอกของเขาอย่างรุนแรง

“ฟูฟว!”

พลังมหาศาลกระแทกเข้าสู่ร่างของขุนนางกุยย อวัยวะภายในของเขาทั้งหมดสั่นสะเทือน เขาอดไม่ได้ที่จะกระอักเลือดออกมาคําใหญ่

ร่างของเซียวเฉินเป็นประกาย เขายืนอยู่บนสนามประลองและจ้องมองขุนนางกุยยี่ร่วงลงไป เขาถามขึ้นอย่างเฉยเมย “ยังอยากที่จะสู้ต่อหรือไม่?”

ขุนนางกุยรู้สึกไม่พอใจอย่างที่สุด เขายังคงไม่ได้ใช้ออกกระบวณท่าสังหารของเขา หาก เขาใช้ออกมันตั้งแต่ต้น,เขาจะถูกไล่ต้อนเช่นนี้ได้อย่างไร? เขาไม่อาจป้องกันได้แม้กระบวณท่าเดียว

อย่างไรก็ตาม,มันสายไปแล้ว ขุนนางกุยยี่พยายามที่จะโอ้อวดใส่เซียวเฉินอย่างจงใจ จากในตอนนั้น,ชะตาของเขาก็ขาดไปแล้ว

“น่าเสียดาย,ขุนนางกุยย์ไม่ควรขบลงในสภาพเช่นนี้ เขาโอ้อวดมากเกินไปและเปิดโอกาสให้เซี่ยวเฉินใช้ออกกระบวณท่าสังหารเต็มกําลัง มิฉะนั้น,เขาคงไม่พ่ายแพ้รวดเร็วเช่นนี้และถูกโยน ออกจากสนามภายในสองกระบวณท่า”

“เขาใช้กระบวณท่าเดียวเพื่อล้มเยียนชื่อเสวี่ย,สองการบวณท่าในการคว่าขุนนางกุยย;รวมกับการประลองเมื่อก่อนหน้านี้,ที่เขาลุ่มพวกคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ขีดจํากัดของเซียวเฉินสูงเพียงใดกันแน่? เป็นไปได้ว่าเหล่าตระกูลชั้นสูงจะไม่อาจเอาชนะเขาได้ในการประลองหนึ่งต่อหนึ่ง?”

การประลองอย่างต่อเนื่องและคว้าชัยชนะติดต่อกัน,เซี่ยวเฉินแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่น่าตกตะลึง

เซี่ยวเฉินทําให้ฝูงชนประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า ในตอนนี้,ฝูงชนสงสัยว่าเขาจะกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังหลังจากผ่านเรื่องนี้ไป,ชื่อของเขาจะถูกเล่าต่อไปกันไปทั่วพิภพ,เหยียบย่าเหล่าอัจฉริยะจากตระกูลชั้นสูงและปืนขึ้นไปในที่ที่เขาควรจะอยู่

“นั้นมันเป็นไปไม่ได้ เขาน่าจะต้องสูญเสียพลังปราณไปมากกับสองกระบวณท่าใหญ่ ท้ายที่สุด,เขาก็อยู่เพียงระดับยอดขอบเขตนักบุญขั้นกลาง อย่างดีที่สุด,เขาก็เหลือพลังปราณเพียงครึ่งเดียว คนที่เหลืออยู่คือทายาทตระกูลชั้นสูงที่มีจิตวิญญาณยุทธอันทรงพลัง”

“คู่ต่อสู้แต่ละคนจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น พลังปราณของเซียวเฉินมีเพียงจะลดลง ข้าคิดว่าเขาจะต้องล้มลงไปในการประลองรอบหน้า อย่าลืม มีมู่เฉิงเสวี่ยที่ไม่อาจะหยั่งถึงกําลังรออยู่”

ในตอนที่มีคนกล่าวในทางคิดบวกก็มีคนแย้งขึ้นในทันที ส่วนใหญ่คิดว่าเซี่ยวเฉินจะต้องพ่ายแพ้ลงในวันนี้

เซี่ยวเฉินเมินเฉยการสนทนาภายนอกสนามประลอง เขาไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงหรือความอัปยศ คําพูดของคนไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อเขา

“ฮวาหยุนเฟยกําลังก้าวขึ้นมา ข้าได้ยินมาว่าเขาได้ปลุกจิตวิญญาณชั่วร้ายโบราณขึ้นมาแล้ว นี่เป็นการต่อสู้ที่แท้จริง”

เมื่อฮวาหยุนเฟยมองไปยังสนามประลองที่พังพินาศ,เขาคิ้วขมวดเล็กน้อย เขากล่าวขึ้น “เปลี่ยนที่”

ทั้งสองกระโดดขึ้นไปในอากาศและลงจอดบนสนามประลองใหม่ จากนั้น,ฮวาหยุนเฟยรีบชักดาบสีแดงของเขาออกมา

ฮวาหยุนเฟยเผยรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา “แม้ว่าข้าจะสําเร็จสภาวะแห่งการฆ่าล้างถึงเพียงระดับสมบูรณ์ขั้นต้น, มันก็ยิ่งกว่าเพียงพอที่จะจัดการกับเจ้า”

“ฟุ ฟิว!”

ฮวาหยุนเฟยไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้เซี่ยวเฉินตอบสนอง เขารีบส่งดาบฉีสีแดงออกไปด้วยดาบของเขา จากนั้นเขาพุ่งตามดาบฉีเล่มนั้นตรงเข้ามา

เห็นชัดว่าฉวาหยุนเฟยไม่อยากที่จะผิดพลาดเช่นเดียวกับขุนนางกุยย

“หวี่ขยแพราวพราว!”

เซี่ยวเฉินเหวี่ยงกระบี่เงาจันทร์ของเขา,ส่งกระบี่ฉีสีม่วงออกไป นี่เป็นกระบวณท่าแรกของทักษะกระบหรูขุยที่หลอมรวมเข้ากับสภาวะแห่งสายฟ้า

ฮวาหยุนเฟยยิ้มเบาๆ “สภาวะแห่งสายฟ้ามันอยู่ในระดับที่เหนือกว่าสภาวะแห่งพลังงานทั้งหมด ไม่ว่าสภาวะแห่งสายฟ้าของเจ้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงใด,มันก็เปล่าประโยชน์

“ฟุ ฟิว!”

มีสภาวะแห่งการฆ่าล้างอันดุร้ายอยู่ในดาบฉีสีแดง มันทําลายกระบี่ฉีสีม่วงของเซียวเฉินราวกับหักกิ่งไม้แห้ง,สลายมันสู่ความว่างเปล่า

“มรณาเลือดใต้สวรรค์,ดาบไร้เงา!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Immortal and Martial Dual Cultivation บทที่ 359 ไร่ที่เปรียบในใต้หล้า

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter บทที่ 359 ไร่ที่เปรียบในใต้หล้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 359 ไร่ที่เปรียบในใต้หล้า

เยี่ยนชื่อเสวี่ยมองไปยังเซี่ยวเฉินที่สงบนิ่ง จากนั้นเขากล่าวขึ้น “ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับน้องสองของข้า! หัตถ์จับมังกร!”

เยี่ยนชื่อเสวี่ยยื่นมือของเขาออกไป,มีมือสีดําขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า นี่เป็นทักษะต่อสู้เฉพาะของผู้สืบทอดจิตวิญญาณยุทธตระกูลเยียน

มือขนาดใหญ่กว้างกว่าร้อยเมตร เส้นขอบฝ่ามืดคมชัดชัดเจน ขณะที่มันอยู่ในอากาศ,ราวกับว่ามันปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า

“บูม!”

เส้นอัสนีวูบไหวบนท้องฟ้า เซียวเฉินกระโดดขึ้นไปในอากาศ,และกระบี่เงาจันทร์ก็กระพริบวูบไหวด้วยแสงกระแสไฟฟ้า กระบี่แสงปรากฏขึ้นบนคมกระบี่

“สับ!” เซียวเฉินร้องตะโกนและกวัดแกว่งกระบี่ของเขา มือยักษ์สีดําถูกสับขาดครึ่งในทันที,ผ่าตรงลงไปตรงกลาง

เยี่ยนชื่อเสวี่ยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขาสะบัดมือและมือสีดําขนาดใหญ่ก็คืนรูปขึ้นในอากาศ

จากนั้น เขียนชื่อเสวี่ยก่ามือของเขา มือสีดําขนาดใหญ่ตอบโต้และพยายามคว้จับเซียวเฉิน เซี่ยวเฉินหลบหลีกอย่างรวดเร็วและเคลื่อนออกด้านข้างหนึ่งร้อยเมตรก่อนที่จะลงจอดลนพื้น

“ปัง!”

มือสีดําขนาดใหญ่กําหมัดและไล่ล่าเขา

มือสีดํานี้แข็งแกร่งอย่างมาก หากเซียวเฉินเข้าปะทะกับมันตรงๆ,เขาจะยิ่งหมดแรง นอกจากนั้น นี่เป็นเพียงแค่ศึกเรียกน้ําย่อย การผลาญพลังงานไปในตอนนี้มีแต่จะทําให้เขาเสียเปรียบภายหลัง

ข้าจะหลบเลี่ยงไปก่อนในตอนนี้ เซี่ยวเฉินครุ่นคิด จากนั้น,ร่างของเขาวูบไหวไปรอบๆ มือยักษ์สีดําไล่ทุบไปทั่วสนามประลองอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม มันไม่อาจจับตัวเซี่ยวเฉิน กลับเป็นเยี่ยนชื่อเสวี่ยที่ยิ่งอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานหลังจากนั้น,ปราณของเขาก็เริ่มเดือดแห้ง

ตอนนี้แหละ! เซี่ยวเฉินคว้าโอกาสนี้ไว้ในตอนที่เขาสังเกตเห็นว่าความเร็วของมือยักษ์สีดําตกลงอย่างเห็นได้ชัด

เซียวเฉินเก็บกระบี่เงาจันทร์กลับเข้าฝักและชกใส่อากาศด้วยมือขวาของเขา มือยักษ์สีดําแบบเดียวกันปรากฏขึ้น และใช้สองนิ้วของมันเป็นเหมือนกับดาบ ในไม่ช้า,มันแทงลงไปบนมือของเยี่ยนชื่อเสวี่ย

ไม่ใช่ว่ามันคือทักษะต่อสู้เฉพาะของตระกูลข้า? เขาไม่ได้มีจิตวิญญาณยุทธที่สืบทอดมาแบบพวกเรา:ถึงแม้ว่าเขาจะมีตาราลับ,มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเรียนรู้มัน!

ในตอนที่เยี่ยนชื่อเสวี่ยมองเห็นมือยักษ์สีดํา,เขานิ่งตะลึงไปในทันที สีหน้าของเซียวเฉินกลายเป็นมืดมัว เขาไม่ได้ให้เวลาเยี่ยนชื่อเสวี่ยมัวลังเล

มือยักษ์สีดําเปลี่ยนเป็นกําปั้นและทุบลงไปที่ร่างของเยี่ยนชื่อเสวี่ย

“ฟู ฟิว!”

เยี่ยนชื่อเสวี่ยหน้าซีดและกระอักเลือดออกมาในทันที หลังจากที่เขาถูกทุบลงกับพื้น,เขาก็ยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เซี่ยวเฉินโบกมือเบาๆ,และมือยักษ์สีดําก็ตบเยี่ยนชื่อเสวี่ยกระเด็นออกจากสนามประลองด้วยพลังมหาศาล

“เขาใช้เพียงกระบวณท่าเดียวกันการล้มเยียนชื่อเสวีย นอกจากนั้น,เขายังใช้ทักษะต่อสู้เฉพาะของตระกูลเยียน เซี่ยวเฉินคนนี้จะน่าตกตะลึงเกินไปแล้ว”

“พวกเขาใช้ทักษะต่อสู้เดียวกัน แต่เยี่ยนชื่อเสวี่ยกลับพ่ายแพ้ให้กับคนภายนอกตระกูล ช่างน่าอับอาย”

ผู้คนบนอัฒจันทร์คนดูทั้งหมดต่างแสดงความคิดเห็น พวกเขาไม่ได้คาดหวังในศึกระหว่างเซียวเฉินกับเยี่ยนชื่อเสียมากนัก ดังนั้น พวกเขาไม่ได้ตกตะลึงจนเกินไป

แต่อย่างไรก็ตาม,พวกเขาไม่คาดคิดว่าเยี่ยนชื่อเสวยไม่แม้แต่จะยืนได้ถึงสิบกระบวณท่าและพ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็ว

“ดูนั้น,ขุนนางกุยยี่ก้าวออกมาแล้ว ในครั้งนี้,ผลแพ้ชนะไม่ได้ชัดเจนตั้งแต่เริ่ม” ผู้บ่มเพาะพลังบนอัฒจันทร์ทั้งหมดตื่นตัว

ขุนนางกุยยี่สวมชุดเกราะศึกสีทอง เขาถืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ยาวกว่าสองเมตรเอาไว้ในมือ เขามองไปที่เซียวเฉินและกล่าว “เจ้าได้ประมือมาอย่างต่อเนื่องและผลาญพลังปราณไปมาก ข้าจะต่อให้เจ้าสามกระบวณท่า เจ้าสามารถลงมือได้ก่อน ข้าจะโจมตีเจ้าหลังจากผ่านไปสามกระบวณท่า”

เซี่ยวเฉินยิ้มบางๆ “ไม่จําเป็นต้องต่อให้ข้า ค่อยพูดหลังจากที่เจ้ารอดชีวิตไปได้หลังจากสามกระบวณท่า”

“สายฟ้าฉับพลันคําราม,กองทัพหมื่นอาชา!”

ขุนนางกุยยี่ไม่ใช่เยี่ยนชื่อเสวี่ย ความแข็งแกร่งของเขาเติบโตขึ้นอย่างมากหลังจากครั้งก่อน เซียวเฉินไม่มีความคิดที่จะลองดีกับความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้

เซี่ยวเฉินเตรียมพร้อมอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากที่จะให้การต่อสู้ยืดเยื้อ นั้นจะเป็นการดีสําหรับเขา ดังนั้น เขาปลดปล่อยกระบวณท่าใหญ่ออกมาตั้งแต่เริ่ม

เมฆาอัสนี นวนบนท้องฟ้า วังวนสายกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นจากความว่างเปล่า ท้องฟ้าที่สดใสมืดมัวลงในทันที ขณะที่วังวนกระแสไฟฟ้าหมุนวน,กระแสไฟฟ้าวบไหว พลังงานจิตวิญญาณธาตุสายฟ้าแห่งสวรรค์และปฐพีรวมตัวกัน

“ยิ้ม…!” เสียงของอาชาและนักรบกล้าออกมาจากวังวนกระแสไฟฟ้า มันดังถึงก้องไปทั่วทั้งพื้นที่ลานฝึกฝน กังวาลอยู่ในหูของผู้บ่มเพาะพลังทุกคน

“ทักษะต่อสู้นี้มันคืออะไร? ทําไมปรากฏการณ์ลึกลับถึงได้น่าตกตะลึงเพียงนี้?” เมื่อผู้บ่มเพาะพลังบนอัฒจันทร์คนดรู้สึกได้ถึงพลังงานอันน่ากลัวภายในวังวนกระแสไฟฟ้า,สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยน

ขุนนางกุยยี่สีหน้ากลายเป็นร้ายแรง เขาปักดาบผ่านภาลงบนพื้นด้านหน้าของเขา

“ซี่ ซี่!”

ละลอกคลื่นปรากฏขึ้นในรอบตัวของขันนางกุยยราวกับพื้นที่รอบตัวของเขาเป็นผิวน้ํา มันทําให้ร่างของเขาเลือนราง

เซี่ยวเฉินรู้สึกราวกับคู่ต่อสู้ของเขาในตอนนี้ยืนแยู่ห่างออกไปหนึ่งพันกิโลเมตร นอกจากนั้น,ร่างของเขายังเคลื่อนไปรอบๆ:ตําแหน่งของเขาไม่ตายตัว

ขุนนางกยยี่ได้ใช้พลังอานาจของอาวุธศักดิ์สิทธิ์,เปลี่ยนกฎแห่งธรรมชาติบนสนามประลองทําให้สัมผัสทั้งห้าปั่นป่วน

“ท้ายที่สุด,เจ้าก็ทําได้เพียงใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์เพื่อเปลี่ยนแปลงกฎแห่งธรรมชาติ มันไม่ใช่พลังของตัวเจ้าเอง เมื่อเผชิญหน้ากับพลังที่เด็ดขาด,มันก็ไร้ประโยชน์!”

เซี่ยวเฉินร้องคํารามศึก,และอัศวินสายฟ้าทั้งหมดในวังวนก็ผสานกัน จากนั้น,อัศวินที่ถูกห่อหุ้มด้วยกระแสไฟฟ้าสีทองก็ปรากฏตัวขึ้น

อัศวินสีทองร้องคํารามอย่างดุดัน,และแทงผ่านอากาศด้วยหอกของเขา,มุ่งหน้าเข้าหาขุนนางกุยยี่ด้วยตวามเร็วสายฟ้า

เมื่ออัศวินสีทองมาถึงระยะหนึ่งร้อยเมตรจากตัวขุนนางกุยย์,มันก็กลายเป็นเลือนลางเช่นกัน ความเร็วระดับสายฟ้าค่อยๆลดลง ทุกคนสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของมันได้อย่างชัดเจน

“ฟู ฟู!”

มันราวกับว่าอัศวินสีทองได้เดินทางผ่านระยะทางกว่าหนึ่งหมื่นเมตร อัศวินสายฟ้าสีทองดูเหมือนราวกับจะไปไม่ได้ตัวของขุนนางกุยยี่ มันยังอยู่อยู่ห่างจากขุนนางกุยยี่ระยะหนึ่งร้อยเมตร

อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้คงอยู่นานนัก ละลอกคลื่นมิติเริ่มแตกร้าว ในไม่ช้า,เขตแดนเล็กก็พังทลาย

มันมีข้อจํากัดในการใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนแปลงกฎแห่งธรรมชาติ มันไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดกาล

หอกของอัศวินสายฟ้าที่เดินทางผ่านระยะทางหลายพันเมตรได้เจือจางลงไปเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังรุ่งโรจน์และเป็นประกาย

“เครั้ง!”

ขุนนางกุยยี่ใช้ดาบขึ้นมาป้องกัน คมดาบกว้างหยุดปลายหอกเอาไว้ หอกที่แบกพลังมหาศาล; มันทําให้ขุนนางกุยยื่ถอยกลับไปอย่างต่อเนื่อง

เท้าของขุนนางกุยจมลงไปในพื้นดินพร้อมกับถูกดันถอยกลับหลังไป ผ่านไปครู่หนึ่ง,มันกลายเป็นสองหลุมลึก อัศวินสายฟ้าดันขุนนางกุยจนไปถึงขอบสนามประลอง ส้นเท้าของเขาลอยออกไปจากขอบสนาม

ไม่มีที่ให้ขุนนางกุยยถอยไปได้อีกแล้ว เขาร้องคํารามออกมาและโยนตัวไปด้านหลัง เขาจับดาบผ่านภาด้วยสองมือและเหวี่ยงออก

ขณะที่ปลายหอกกาลังจะเจาะเข้าร่างของขุนนางกุยย,ดาบของเขาก็ซัดเข้าที่ร่างของอัศวินสายฟ้า เซียวเฉินได้เรียนรู้ถึงความแข็งแกร่งอันน่ากลัวของขุนนางกุยยี่ที่ป่าน้ําหมึก

อัศวินสายฟ้าได้เดินทางผ่านไปหลายหมื่นกิโลเมตรและสูญเสียพลังงานไปมาก ผลที่ออกมา มันคล้ายที่จะจินตนาการ

เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น,และพลังจากดาบระเบิดอัศวินสายฟ้ากลายเป็นเส้นสายฟ้าสีม่วง,แตกกระจายไปในอากาศ

“หวี่ขยสะท้านสวรรค์!”

ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเซี่ยวเฉิน เขาได้สะสมพลังงานมาเพื่อกระบวณท่าสังหารของทักษะกระบหรูขุย

ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์โบราณหภู่ขุยปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ใบและกิ่งก้านเติมเต็มบนต้น มันดูราวกับจะสามารถยกท้องฟ้าขึ้นและปดบังดวงตะวัน มันเรื่องไปด้วยแสงสีม่วง

ต้นหวี่ขยแบกพลังงานกระแสไฟฟ้าจํานวนมากราวกับเป็นภูเขาที่สร้างขึ้นมาจากกระแสไฟฟ้า มันมุ่งหน้าไปที่ขุนนางกุยยีและกดลงไปอย่างรุนแรง

ขุนนางกุยยี่,ผู้ที่สูญเสียความคิดที่จะต่อสู้,ยังไม่ฟื้นคืนสติจากกระบวณท่าแรก ทันใดนั้นเอง,เขาก็ทําได้เพียงแค่ใช้มือซ้ายกดลงไปบนคมดาบ,หวังว่ามันจะสามารถป้องกันต้นหวาขยเอาไว้ได้

“ปัง!”

ขุนนางกุยย์ไร้หนทางต่อต้าน พลังที่เด็ดขาดทําลายขอบสนามประลองกลายเป็นซากปรักหักพัง

ขุนนางกุยยี่ลื่นไถล,และร่างของเขาตกลงไปพร้อมกับซากปรักหักพังด้านล่างสนามประลอง

พลังงานกระแสไฟฟ้าบนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทีท่าว่าจะจางหายไปแม้แต่น้อย มันระเบิดผ่านการป้องกันของขุนนางกุยยและซัดดข้าที่หน้าอกของเขาอย่างรุนแรง

“ฟูฟว!”

พลังมหาศาลกระแทกเข้าสู่ร่างของขุนนางกุยย อวัยวะภายในของเขาทั้งหมดสั่นสะเทือน เขาอดไม่ได้ที่จะกระอักเลือดออกมาคําใหญ่

ร่างของเซียวเฉินเป็นประกาย เขายืนอยู่บนสนามประลองและจ้องมองขุนนางกุยยี่ร่วงลงไป เขาถามขึ้นอย่างเฉยเมย “ยังอยากที่จะสู้ต่อหรือไม่?”

ขุนนางกุยรู้สึกไม่พอใจอย่างที่สุด เขายังคงไม่ได้ใช้ออกกระบวณท่าสังหารของเขา หาก เขาใช้ออกมันตั้งแต่ต้น,เขาจะถูกไล่ต้อนเช่นนี้ได้อย่างไร? เขาไม่อาจป้องกันได้แม้กระบวณท่าเดียว

อย่างไรก็ตาม,มันสายไปแล้ว ขุนนางกุยยี่พยายามที่จะโอ้อวดใส่เซียวเฉินอย่างจงใจ จากในตอนนั้น,ชะตาของเขาก็ขาดไปแล้ว

“น่าเสียดาย,ขุนนางกุยย์ไม่ควรขบลงในสภาพเช่นนี้ เขาโอ้อวดมากเกินไปและเปิดโอกาสให้เซี่ยวเฉินใช้ออกกระบวณท่าสังหารเต็มกําลัง มิฉะนั้น,เขาคงไม่พ่ายแพ้รวดเร็วเช่นนี้และถูกโยน ออกจากสนามภายในสองกระบวณท่า”

“เขาใช้กระบวณท่าเดียวเพื่อล้มเยียนชื่อเสวี่ย,สองการบวณท่าในการคว่าขุนนางกุยย;รวมกับการประลองเมื่อก่อนหน้านี้,ที่เขาลุ่มพวกคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ขีดจํากัดของเซียวเฉินสูงเพียงใดกันแน่? เป็นไปได้ว่าเหล่าตระกูลชั้นสูงจะไม่อาจเอาชนะเขาได้ในการประลองหนึ่งต่อหนึ่ง?”

การประลองอย่างต่อเนื่องและคว้าชัยชนะติดต่อกัน,เซี่ยวเฉินแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่น่าตกตะลึง

เซี่ยวเฉินทําให้ฝูงชนประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า ในตอนนี้,ฝูงชนสงสัยว่าเขาจะกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังหลังจากผ่านเรื่องนี้ไป,ชื่อของเขาจะถูกเล่าต่อไปกันไปทั่วพิภพ,เหยียบย่าเหล่าอัจฉริยะจากตระกูลชั้นสูงและปืนขึ้นไปในที่ที่เขาควรจะอยู่

“นั้นมันเป็นไปไม่ได้ เขาน่าจะต้องสูญเสียพลังปราณไปมากกับสองกระบวณท่าใหญ่ ท้ายที่สุด,เขาก็อยู่เพียงระดับยอดขอบเขตนักบุญขั้นกลาง อย่างดีที่สุด,เขาก็เหลือพลังปราณเพียงครึ่งเดียว คนที่เหลืออยู่คือทายาทตระกูลชั้นสูงที่มีจิตวิญญาณยุทธอันทรงพลัง”

“คู่ต่อสู้แต่ละคนจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น พลังปราณของเซียวเฉินมีเพียงจะลดลง ข้าคิดว่าเขาจะต้องล้มลงไปในการประลองรอบหน้า อย่าลืม มีมู่เฉิงเสวี่ยที่ไม่อาจะหยั่งถึงกําลังรออยู่”

ในตอนที่มีคนกล่าวในทางคิดบวกก็มีคนแย้งขึ้นในทันที ส่วนใหญ่คิดว่าเซี่ยวเฉินจะต้องพ่ายแพ้ลงในวันนี้

เซี่ยวเฉินเมินเฉยการสนทนาภายนอกสนามประลอง เขาไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงหรือความอัปยศ คําพูดของคนไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อเขา

“ฮวาหยุนเฟยกําลังก้าวขึ้นมา ข้าได้ยินมาว่าเขาได้ปลุกจิตวิญญาณชั่วร้ายโบราณขึ้นมาแล้ว นี่เป็นการต่อสู้ที่แท้จริง”

เมื่อฮวาหยุนเฟยมองไปยังสนามประลองที่พังพินาศ,เขาคิ้วขมวดเล็กน้อย เขากล่าวขึ้น “เปลี่ยนที่”

ทั้งสองกระโดดขึ้นไปในอากาศและลงจอดบนสนามประลองใหม่ จากนั้น,ฮวาหยุนเฟยรีบชักดาบสีแดงของเขาออกมา

ฮวาหยุนเฟยเผยรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา “แม้ว่าข้าจะสําเร็จสภาวะแห่งการฆ่าล้างถึงเพียงระดับสมบูรณ์ขั้นต้น, มันก็ยิ่งกว่าเพียงพอที่จะจัดการกับเจ้า”

“ฟุ ฟิว!”

ฮวาหยุนเฟยไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้เซี่ยวเฉินตอบสนอง เขารีบส่งดาบฉีสีแดงออกไปด้วยดาบของเขา จากนั้นเขาพุ่งตามดาบฉีเล่มนั้นตรงเข้ามา

เห็นชัดว่าฉวาหยุนเฟยไม่อยากที่จะผิดพลาดเช่นเดียวกับขุนนางกุยย

“หวี่ขยแพราวพราว!”

เซี่ยวเฉินเหวี่ยงกระบี่เงาจันทร์ของเขา,ส่งกระบี่ฉีสีม่วงออกไป นี่เป็นกระบวณท่าแรกของทักษะกระบหรูขุยที่หลอมรวมเข้ากับสภาวะแห่งสายฟ้า

ฮวาหยุนเฟยยิ้มเบาๆ “สภาวะแห่งสายฟ้ามันอยู่ในระดับที่เหนือกว่าสภาวะแห่งพลังงานทั้งหมด ไม่ว่าสภาวะแห่งสายฟ้าของเจ้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงใด,มันก็เปล่าประโยชน์

“ฟุ ฟิว!”

มีสภาวะแห่งการฆ่าล้างอันดุร้ายอยู่ในดาบฉีสีแดง มันทําลายกระบี่ฉีสีม่วงของเซียวเฉินราวกับหักกิ่งไม้แห้ง,สลายมันสู่ความว่างเปล่า

“มรณาเลือดใต้สวรรค์,ดาบไร้เงา!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+