Immortal and Martial Dual Cultivation 124 โลงศพ,ร่างมหาปราชญ์

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 124 โลงศพร่างมหาปราชญ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 124 โลงศพ,ร่างมหาปราชญ์

 

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน,ตระกูลชั้นสูงคนอื่นๆก็ลุกขึ้นตามมา ยิ่งพวกเขาเดินหน้าขึ้นไป,พลังปราณยิ่งเหือดแห้ง หากพวกเขามีหินวิญญาณไม่เพียงพอพวกเขาคงไม่สามารถผ่านมันไปได้

 

“ไปกัน,เหลืออีกเพียง 500 ขั้น ลองไปรวดเดียวให้ถึง!” จีชางคงพูดขึ้น ในตอนนี้เขามองเห็นยอดของจุดสูงสุดแล้ว

 

หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็เดินนําขึ้นหน้าไปเช่นเดิม ดวงตาอันแหลมคมของเขามองกวาดไปข้างหน้ามีดวงดารานับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ทุกก้าวที่เขาเดิน จะมีดวงมีดดับ หลังจากนั้น ดวงดาวที่สุกสว่างยิ่งกว่าถูกสร้างขึ้นแทนที่

 

หากมีคนที่เข้าใจถึงเคล็ดวิชาของตระกูลจําอยู่ที่นี้,พวกเขาคงจะตกตะลึง จีชางคงกําลังบ่มเพาะพลังจิตวิญญาณยุทธอรุณดาราของเขาแม้กําลังอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

 

ทุกคนก้าวขึ้นบันไดหินไปอย่างช้าๆ ทุกย่างที่ก้าวเดินเคลื่อนเข้าใกล้จุดยอดขึ้นไปทุกที่ มีแรงกดลงมาที่ไหล่ของพวกเขาราวกับมีชั้นพลังที่มองไม่เห็นหยุดไว้เขาเอาไว้

 

“ปัง!”

 

ระดับขอบเขตนักบุญตระกูลจีผู้หนึ่งก้าวเดินขึ้นไป และ ก่อนที่เท้าของเขาจะได้เหยียบลงมาร่างของเขาก็ระเบิดกลายเป็นฝุ่นผง

 

จีชางคงไม่ได้หันกลับไปเสีหน้าของเขาไม่แปลเปลี่ยนแม้ต่อน้อย เขากุมหินวิญญาณระดับต่ําเอาไว้และพยายาม ก้าวขึ้นต่อไปที่ละก้าว

 

ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้แท่นหิน,แรงกดอันน่ากลัวยิ่งกดลงมาใส่พวกเขา มันราวกับยกภูเขาขนาดหย่อมลงวางใส่บนบ่า ของพวกเขา บันไดหินแต่ละขั้นเหมือนกับหลุมที่ไร้ก้น ดูดกลืนพลังปราณของพวกเขาทันทีที่เท้าเหยียบลงไป

 

“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”

 

ระดับขอบเขตนักบุญอีกสองสามคนจากสองสามตระกูล ไม่อาจต้านทานแรงดันได้และร่างระเบิดตายไป ทุกคนล้วนตื่นตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัวเกรงกลัวว่าพวกเขา อาจจะเป็นรายต่อไป

 

“มหาปราชญ์ อยู่ไม่ไกลแล้ว!”

 

มีแผ่นศิลาตั้งตระหง่านสูงอยู่ตรงหน้าของจีชางคง มีตัวอักษรขนาดยักษ์สี่ตัวเขียนเอาไว้ พลังอันไร้ขอบเขตปลดปล่อยออกมาจากแผ่นศิลา

 

จีชางคงยิ้มอย่างเย็นชาและกวัดแกว่งดาบของเขา คลื่นดาบพลังฉีซัดเข้าที่แผ่นศิลา รอยแตกปรากฏขึ้นบนแผ่นศิลา ก่อนที่มันจะพังลงมาแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย

 

เขาเงยหัวขึ้นมองไปยังแท่นหินที่อยู่ด้านบน เขาเหลืออีก เพียงสิบก้าวก่อนที่จะไปถึง จีชางคงตะโกนขึ้นมาเบาๆ 

 

และมีร่างมนุษย์ปรากฎออกมาจากร่างของเขา

 

มันยืนอยู่บนบันไดหินด้านหน้าของเขา จากนั้นก็มีร่างมนุษย์ตนอื่นปรากฏออกมาจากร่างข้างหน้ายืนอยู่บนบันได ขั้นต่อไป มันเกิดขึ้นซ้ําสิบครั้งจนในที่สุดร่างของจีชางคงก็ยืนอยู่จุดบนสุดของแท่นหิน

 

จีชางคงสูดหายใจเข้าลึก ร่างแยกด้านหลังของเขาผสาน กลับเข้าไปในร่างกายของเขาราวกับภาพลวงตา ที่จุดสูงสุดของแท่นหิน,มันมีสิ่งก่อสร้างกว้างแบนราบ มีโลงศพสีทองของมหาปราชญ์ตั้งอยู่ตรงกลาง

 

มีพลังฉีเที่ยงธรรมบางๆลอยออกมาจากโลงศพ จีชางคง ไม่อาจต้านทานได้เผยรอยยิ้มบางเบาออกมา หลังจากที่เขาวางแผนมาอย่างแยบยลและฝ่าฟันเอาชีวิตรอดมาได้ ด้วยโอกาสแสนน้อยนิด,ในที่สุดเขาก็มาถึง

 

โลงศพสีทองสูงพอดีกับตัวคน จีชางคงเดินไปข้างหน้าอย่างไร้กังวลเข้าไปอย่างช้าๆ ในจังหวะนั้นเอง,มีเงาคนปรากฏขึ้นจากอีกด้านหนึ่ง จีชางคงตกอกตกใจและ ถอยกลับออกมาหลายก้าว

 

“พี่น้องชางคงไม่เจอกันพักนึงแล้ว” เฉาหยุ่นเดินออก มาจากอีกด้านหนึ่งของโลงศพ เขามองไปที่จีชางคง,ยิ้มขี้นมา

 

จีชางคงมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาประหลดใจสุดขีด เขาไม่ได้ คาดฝันว่าจะมาพบกับฉู่เฉาหยุ่นที่นี้

 

มันช่างน่าประหลาดใจ

 

“ปัง! ปัง! ปัง!”

 

ฮวาหยุ่นเฟย ตวนมู่ฉิง และขุนนางกุยยื่นระดับขอบเขตนักบุญที่เหลือขึ้นมาถึงจุดบนสุด เมื่อพวกเขาเห็นฉู่เฉาหยุ่น พวกเขาต่างประหลาดใจ

 

ฉู่เฉาหยุ่นพูดอย่างเฉยเมย “อย่ามองข้าเช่นนั้น ข้าเพิ่งมา ถึงเช่นกัน โลงศพสีทองยังไม่มีใครแตะต้อง” หลังจากที่เขาพูดจบ เขาทําท่าเชื้อเชิญพร้อมกับถอยไปหนึ่งก้าว

 

จีชางคงหันไปมองหน้าสบตากับตวนมู่ฉิง ฮวาหยุ่น เฟย และขุนนางกุยยี่ พวกเขาทั้งสามต่างรู้ใจกันว่าจะทําเช่นไร พวกเขาเดินอย่างช้าๆตรงไปที่ฉู่เฉาหยุ่น และกันเขาออก ไปด้านนอก ฉู่เฉาหยุ่นเพียงแค่ยิ้มบางๆและไม่ได้ไปใส่ใจ อะไรพวกเขา

 

“บูม!”

 

จีชางคงส่งฝ่ามือซัดออกไปที่ฝาของโลงศพสีทอง เสียงดัง ไพเราะนึกก้องสะท้อนไปทุกที่ฝูงชนรู้สึกได้ถึงแก้วหูที่สั่นสะเทือน

 

มุมของฝาโลงเปิดออกอย่างไรก็ตาม จีชางคงจ้องไปที่ ฝ่ามือของเขาอย่างประหลาดใจ หลังจากนั้น เขาบอกกับคน ด้านข้างของเขา “พวกเจ้าลองดู ดูว่าเจ้าเรียกพลังปราณออกมาได้บ้างหรือไม่”

 

เมื่อคนอื่นได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างนิ่งงง พวกเขาลองดูในทันทีและพบว่าจิตวิญญาณยุทธที่จุดตันเที่ยนดูเหมือนจะถูกผนึกเอาไว้ ไม่ว่าพวกเราจะโคจรพลังของพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจเรียกจิตวิญญาณยุทธออกมาได้

 

“เกิดอะไรขึ้น?” ทุกคนต่างอุทานขึ้นมาอย่างประหลาดใจ

 

ฉู่เฉาหยุ่นยิ้มบางๆ เขาเดินผ่านฝูงชนเข้าไปและพูดขึ้น “มาดูกันก่อนเถอะว่าข้างในโลงศพมีอะไร”

 

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างวางความสงสัยของพวกเขาลงไปก่อนและมุ่งหน้าเดินไปที่โลงศพ หลังจากที่ทุ่มเทพยายามมาทุกคนต่างสงสัยว่าจะมีมหาปราชญ์ ท่านใดกําลังนอนอยู่ในโลงศพ

 

ข้างในโลงศพสีทอง มีชายสง่างามในชุดคลุมสีม่วงกําลัง นอนนิ่งอย่างสงบ มือทั้งสองของเขาวางอยู่บนหน้าอกกําลังกุมดาบเอาไว้

 

จีชางคงถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “นี่มันจักรพรรดิคนสุดท้ายของราชวงศ์เทียนวู่มิใช่รึ? ทําไมเขาถึงได้มาอยู่ที่นี่?”

 

ขุนนางกุยยี่และคนที่เหลือทั้งหมดต่างประหลาดใจ ตลอดทางที่พวกเขามาที่นี่, ทุกสิ่งอย่างบ่งชี้ว่าที่นี่คือซากโบราณของของมหาปราชญ์ ทักษะต่อสู้ที่พวกเขาได้รับมาจาก โลงศพสีดําพวกนั้นต่างเป็นข้อพิสูจน์ นอกจากนั้นยังมีภาพสลักนับไม่ถ้วนอยู่บนผนัก พวกมันทั้งหมดเป็นรูปแบบจากยุคโบราณ

 

มันเป็นเวลากว่าหนึ่งหมื่นปีหลังยุคโบราณสิ้นสุดลงและ ราชวงศ์เทียนวู่ถือกําเนิดขึ้นมา จักรพรรดิคนสุดท้ายของ ราชวงศ์เทียนวู่ล่วงลับไปได้เพียงหนึ่งพันปีก่อนเขามีความเกี่ยวข้องเช่นไรกับมหาปราชญ์เมื่อสองหมื่นปีก่อน

 

“ฟุว!”

 

ชายในชุดม่วงข้างในโลงศพมหาปราชญ์ทันใดนั้น ก็ลืมตาขึ้น แสงเรืองสีม่วงปรากฏขึ้นบนดวงตาของเขา ก่อนที่ระดับขอบเขตนักบุญผู้ที่กําลังจ้องมองอยู่จะได้ ตอบโต้ใดๆ เขาก็ถูกเผาจนตาย

 

“จักรพรรดิเทียนวู่ฟื้นคืนชีวิต?”

 

“หรือนั้นจะเป็นเปลวเพลิงสวรรค์ในตํานาน?” ผู้บ่มเพาะพลังทุกคนถอยหนี และหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัว แม้ว่าราชวงศ์เทียนวู่จะล่มสลายไปแล้วแต่ตํานานของมันยังคงไม่ถูกลืมเลือน

 

ในครั้งนั้น จักรพรรดิเทียนวู่รุ่นแรกพึ่งพลังที่โดดเด่น สั่นสะเทือนสวรรค์ทั่วทวีปเทียนวู่ เขาก่อตั้งจักรวรรดิเทีย นอู่ที่คงอยู่มานับหมื่นปี ความสําเร็จที่นับได้ว่าไม่เคยมี มาก่อนและไม่มีทางเกิดขึ้นมาอีก เขาเคยเป็นอันดับหนึ่ง ไร้ผู้ต่อต้านในอดีตหรืออาจจะแม้กระทั่งถึงตอนนี้

 

ตามตํานานกล่าวไว้ว่าเขาได้ไปหยิบยืมเปลวเพลิงสวรรค์ มาจากเบื้องบน เมื่อเปลวเพลิงสวรรค์ลุกไหม้ไปจนถึงขีด สุดของมันทั่วทั้งทวีปต้องหลอมละลาย มันเป็นจ้าวของเปลวเพลิงทั้งปวง ไม่มีอะไรต่อต้านมันได้

 

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้สืบทอดของจักรพรรดิมีความแข็งแกร่งของมหาจักรพรรดิ แม้แต่จักรพรรดิเทียนวู่คนสุดท้ายผู้ที่นอนอยู่ที่นี่ก็มีความแข็งแกร่งของมหาจักรพรรดิ หากเขาตื่นขึ้นมาจริงๆ จะไม่มีผู้ใดหนีรอดไปได้

 

ฉู่เฉาหยุ่นเผยสีหน้าครุ่นคิดลึก เขาเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ตรวจดูชุดสีม่วงของจักรพรรดิ เขาพูดขึ้น “ไม่มีอะไรต้องกังวล มันเป็นเพียงแค่สายพลังฉีสะท้อนกลับ เพียงแค่อย่ามองไปที่ตาของเขาก็พอ”

 

ทุกคนคิดอย่างถ้วนที่และเห็นด้วยกับเขา มันคงไม่มีเรื่องอย่างผู้ไม่อาจตาย แม้แต่มหาจักรพรรดิเทีย นว์ก็ตบตายไปเมื่อหลายปีก่อน นอกจากตํานานระดับขอบเขตพระเจ้า ไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น

 

มองดูไปที่โลงศพอีกครั้งเปลวไฟลุกโชนในดวงตาของทุกคน แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าร่างของมหาปราชญ์จะไปอยู่ ที่ใดแต่มูลค่าของร่างจักรพรรดิเทียนวู่ก็ไม่ใช่ด้อยไปกว่า

 

เพียงแค่เปลวเพลิงสวรรค์ที่บรรจุอยู่ในร่างของเขาก็นําพาให้ผู้คนกลายเป็นบ้าคลั่งนั้นเป็นเพาะพลังอํานาจของเปลวเพลิงสวรรค์ที่มีมากเกินไป ก่อนที่จักรพร รดิเทียนวู่รุ่นแรกจะล่วงลับ เขาได้ตัดแบ่งเปลวเพลิงสวรรค์ออกเป็นสิบส่วนเหลือไว้เพียงส่วนที่ สิบส่งต่อให้ทาญาติของเขา

 

แม้มันจะเป็นเพียงหนึ่งในสิบส่วน,พลังอํา นาจของเปลวเพลิงสวรรค์ก็ยังคงน่าหวาดกลัว ตัดผ่าภูเขา เผาพื้นพิภพจนกลายเป็นแดนร้างทั้งหมดนี่คือสิ่งที่มัน สามารถทําได้อย่างง่ายดาย

 

ทุกทุกคนมาสุมหัวกันที่โลงศพมหาปราชญ์ในตอนนี้เอง พวกเขายังไม่กล้าขยับลงมืออะไร จีชางคงยื่น มือของเขาออกไปและปิดตาของจักรพรรดิลงอย่างช้าๆ ตอนนี้

 

จักรพรรดิในโลงศพหลับตาลงอีกครั้ง

 

‘หุ!’

 

ฮวาหยุ่นเฟยยื่นแขนของเขาออกไปหยิบเอาดาบของจักรพรรดิเทียนวู่ เขาพูดขึ้นอย่างเป็นสุข “ดาบแยกนภา, นี่คืออาวุธศักดิ์, อาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง”

 

“ปัง!” อาวุธศักดิ์สิทธิ์ดิ้นหลุดมือของฮวาหยุ่นเฟยและลอยไปหางขุนนางกุ้ยย ฮวาหยุนเพย สีหน้าเปลี่ยนเขารีบยื่นมือออกไปตั้งใจจะคว้ามันเอาไว้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามอาวุธศักดิ์สิทธิ์รวดเร็วเกินไปเขาไม่อาจคว้าเอาไว้

 

ขุนนางกุยยี่ยืนมือของเขาออกไปและคว้าจับเอาอาวุธศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ เขาเต็มไปด้วยความงุนงง เขาไม่อาจเข้าใจว่าทําไมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ถึงลอยมาหามือของเขา นอก จากนั้นเขายังใช้หอกไม่ใช่ดาบ

 

ฮวาหยุ่นเฟยเคลื่อนที่ไปตรงหน้าขุนนางกุยยอย่างรวดเร็ว และยื่นมือของเขาออกไปหมายจะฉกเอาอาวุธศักดิ์สิทธิ์กลับมา ขุนนางกุยยจ้องมองไปที่ทเขาและถามขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “ฮวาหยุ่นเฟย เจ้ากําลังจะทําอะไร?”

 

ฮวาหยุ่นเฟยมองไปที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ในมือของขุนนางกุยยี่และพูดขึ้น “ข้าจะทําอะไร? คืนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของข้ามาซ ะ

 

ขุนนางกุยยี่ยิ้มอย่างเย็นชา “อาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้เลือกนายของมันแล้วมันชัดเจนว่าเจ้าไม่คู่ควรที่ได้จะได้ ถือครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ หยุดทําตัวก่อปัญหาน่ารําคาญ”

 

“ขอดีๆไม่ไม่ได้ต้องให้บังคับ!” ฮวาหยุ่นเฟยไม่ชอบขี้หน้าขุนนางกุยยีมานานแล้ว เขาจดจําตอนที่เขาถูกขวางไม่ให้ฆ่าเซียวเฉินในใจ

 

ตอนนี้เขามีข้ออ้างและนักรบทองคําของขุนนางกุยยี่ก็ไม่ อยู่ที่นี้เขาไม่มีความลังเลที่จะลงมือพร้อมกับระดับขอบเขตนักบุญอีกสี่คน

 

ไม่มีทางที่จะใช้พลังปราณตอนอยู่บนแท่นหิน การต่อสู้ใช้ ได้เพียงความแข็งแกร่งทางกายและทักษะเท่านั้น

 

แม้ว่าขุนนางกุยยี่จะตัวคนเดียว เขาก็อยู่ในสนามรบมาตั้ง แต่ยังเยาว์ ประสบการณ์ของเขาสูงล้ํากว่าห้าคนตรงหน้า ฮวาหยุ่นเฟยและกลุ่มของเขาไม่อาจทําอะไรขุนนางกุยยีได้แม้แต่น้อย

 

จีชางคงเหลือบไปมองการต่อสู่ข้างหลังของเขาและ เบือนหน้าหนีไม่หันกลับไปมองอีกเลย เขามองไปที่ฉู่เฉาหยุ่นและพูดขึ้นอย่างเฉยเมย “พี่น้องเฉาหยุ่น หากพวกเราสามารถดึงเอาเปลวเพลิงสวรรค์ออกมาได้ เอาเป็นว่าแบ่งกันอย่างเท่าเทียม?”

 

ฉู่เฉาหยุ่นยิ้มบางเบาและมองไปที่จีชางคง “ข้าไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ”

 

หลังจากที่พวกเขาตกลงกันเรียบร้อยพวกเขาพูดคุยกัน ว่าจะดึงเอาเปลวเพลิงสวรรค์ของจักรพรรดิเทียนวู่ออกมาได้ เช่นไร หลังจากที่เปลวเพลิงสวรรค์ถูกดูดซับมันจะต้องซ่อนเร้นอยู่ใต้ผิวหลังของเจ้าของมันทุกระเบียบนิ้ว มันเป็นการยากอย่างที่สุดที่จะดึงเอามันออกมาได้แทบจะติดกับขอบของคําว่าเป็นไปไม่ได้

 

วิธีตรงๆที่จะดึงเอาเปลวเพลิงสวรรค์ออกมาก็คือนําร่างของจักรพรรดิเทียนว์ไปผ่านการกลั่นสกัด หลังจากผ่านกลั่นสกัดเปลวเพลิงสวรรค์จะควบแน่นและปรากฏขึ้นไม่เคยมีวันมอดดับ

 

อย่างไรก็ตามกลั่นสกัดร่างของจักรพรรดิเทียนวูด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขามันเป็นได้แค่ฝันโง่เง่า ระหว่างที่พวกเขาพยายามจะทํามันอาจจะเป็นไปได้ ว่าจะต้องทรมานจากเปลวเพลิงตีกลับทําให้พวกเขาถูกเผา จนไม่เหลือแม้แต่ฝุ่น

 

นอกจากเปลวเพลิงสวรรค์แล้วยังมีทักษะที่สืบทอดกัน มาของราชวงศ์เทียนวู่ร่ายรําดาบสละชีวิตโลหิตห้วนรื่น มันเป็นสมบัติล้ําค่าที่ทําให้ทุกคนต้องตาโต หากพวกเขาสา มารถหามันพบ,มูลค่าของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าเปลวเพลิงสวร รค์

 

จีชางคงค้นหาไปรอบๆโลงศพทองคํา อย่างไรก็ตามหลังจากที่ค้นหามานานเขาไม่แม้แต่จะพบอะไรสักอย่าง เขามองตรงไปที่ฉู่เฉาหยุ่นอย่างช่วยไม่ได้ มันจะเป็นไปได้รึที่ที่พํานักสุดท้ายของจักรพรรดิเมียนอู่จะไม่มีตําราร่ายรําดาบสละชีวิตโลหิตห้วนคืน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Immortal and Martial Dual Cultivation 124 โลงศพ,ร่างมหาปราชญ์

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 124 โลงศพร่างมหาปราชญ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 124 โลงศพ,ร่างมหาปราชญ์

 

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน,ตระกูลชั้นสูงคนอื่นๆก็ลุกขึ้นตามมา ยิ่งพวกเขาเดินหน้าขึ้นไป,พลังปราณยิ่งเหือดแห้ง หากพวกเขามีหินวิญญาณไม่เพียงพอพวกเขาคงไม่สามารถผ่านมันไปได้

 

“ไปกัน,เหลืออีกเพียง 500 ขั้น ลองไปรวดเดียวให้ถึง!” จีชางคงพูดขึ้น ในตอนนี้เขามองเห็นยอดของจุดสูงสุดแล้ว

 

หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็เดินนําขึ้นหน้าไปเช่นเดิม ดวงตาอันแหลมคมของเขามองกวาดไปข้างหน้ามีดวงดารานับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ทุกก้าวที่เขาเดิน จะมีดวงมีดดับ หลังจากนั้น ดวงดาวที่สุกสว่างยิ่งกว่าถูกสร้างขึ้นแทนที่

 

หากมีคนที่เข้าใจถึงเคล็ดวิชาของตระกูลจําอยู่ที่นี้,พวกเขาคงจะตกตะลึง จีชางคงกําลังบ่มเพาะพลังจิตวิญญาณยุทธอรุณดาราของเขาแม้กําลังอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

 

ทุกคนก้าวขึ้นบันไดหินไปอย่างช้าๆ ทุกย่างที่ก้าวเดินเคลื่อนเข้าใกล้จุดยอดขึ้นไปทุกที่ มีแรงกดลงมาที่ไหล่ของพวกเขาราวกับมีชั้นพลังที่มองไม่เห็นหยุดไว้เขาเอาไว้

 

“ปัง!”

 

ระดับขอบเขตนักบุญตระกูลจีผู้หนึ่งก้าวเดินขึ้นไป และ ก่อนที่เท้าของเขาจะได้เหยียบลงมาร่างของเขาก็ระเบิดกลายเป็นฝุ่นผง

 

จีชางคงไม่ได้หันกลับไปเสีหน้าของเขาไม่แปลเปลี่ยนแม้ต่อน้อย เขากุมหินวิญญาณระดับต่ําเอาไว้และพยายาม ก้าวขึ้นต่อไปที่ละก้าว

 

ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้แท่นหิน,แรงกดอันน่ากลัวยิ่งกดลงมาใส่พวกเขา มันราวกับยกภูเขาขนาดหย่อมลงวางใส่บนบ่า ของพวกเขา บันไดหินแต่ละขั้นเหมือนกับหลุมที่ไร้ก้น ดูดกลืนพลังปราณของพวกเขาทันทีที่เท้าเหยียบลงไป

 

“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”

 

ระดับขอบเขตนักบุญอีกสองสามคนจากสองสามตระกูล ไม่อาจต้านทานแรงดันได้และร่างระเบิดตายไป ทุกคนล้วนตื่นตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัวเกรงกลัวว่าพวกเขา อาจจะเป็นรายต่อไป

 

“มหาปราชญ์ อยู่ไม่ไกลแล้ว!”

 

มีแผ่นศิลาตั้งตระหง่านสูงอยู่ตรงหน้าของจีชางคง มีตัวอักษรขนาดยักษ์สี่ตัวเขียนเอาไว้ พลังอันไร้ขอบเขตปลดปล่อยออกมาจากแผ่นศิลา

 

จีชางคงยิ้มอย่างเย็นชาและกวัดแกว่งดาบของเขา คลื่นดาบพลังฉีซัดเข้าที่แผ่นศิลา รอยแตกปรากฏขึ้นบนแผ่นศิลา ก่อนที่มันจะพังลงมาแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย

 

เขาเงยหัวขึ้นมองไปยังแท่นหินที่อยู่ด้านบน เขาเหลืออีก เพียงสิบก้าวก่อนที่จะไปถึง จีชางคงตะโกนขึ้นมาเบาๆ 

 

และมีร่างมนุษย์ปรากฎออกมาจากร่างของเขา

 

มันยืนอยู่บนบันไดหินด้านหน้าของเขา จากนั้นก็มีร่างมนุษย์ตนอื่นปรากฏออกมาจากร่างข้างหน้ายืนอยู่บนบันได ขั้นต่อไป มันเกิดขึ้นซ้ําสิบครั้งจนในที่สุดร่างของจีชางคงก็ยืนอยู่จุดบนสุดของแท่นหิน

 

จีชางคงสูดหายใจเข้าลึก ร่างแยกด้านหลังของเขาผสาน กลับเข้าไปในร่างกายของเขาราวกับภาพลวงตา ที่จุดสูงสุดของแท่นหิน,มันมีสิ่งก่อสร้างกว้างแบนราบ มีโลงศพสีทองของมหาปราชญ์ตั้งอยู่ตรงกลาง

 

มีพลังฉีเที่ยงธรรมบางๆลอยออกมาจากโลงศพ จีชางคง ไม่อาจต้านทานได้เผยรอยยิ้มบางเบาออกมา หลังจากที่เขาวางแผนมาอย่างแยบยลและฝ่าฟันเอาชีวิตรอดมาได้ ด้วยโอกาสแสนน้อยนิด,ในที่สุดเขาก็มาถึง

 

โลงศพสีทองสูงพอดีกับตัวคน จีชางคงเดินไปข้างหน้าอย่างไร้กังวลเข้าไปอย่างช้าๆ ในจังหวะนั้นเอง,มีเงาคนปรากฏขึ้นจากอีกด้านหนึ่ง จีชางคงตกอกตกใจและ ถอยกลับออกมาหลายก้าว

 

“พี่น้องชางคงไม่เจอกันพักนึงแล้ว” เฉาหยุ่นเดินออก มาจากอีกด้านหนึ่งของโลงศพ เขามองไปที่จีชางคง,ยิ้มขี้นมา

 

จีชางคงมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาประหลดใจสุดขีด เขาไม่ได้ คาดฝันว่าจะมาพบกับฉู่เฉาหยุ่นที่นี้

 

มันช่างน่าประหลาดใจ

 

“ปัง! ปัง! ปัง!”

 

ฮวาหยุ่นเฟย ตวนมู่ฉิง และขุนนางกุยยื่นระดับขอบเขตนักบุญที่เหลือขึ้นมาถึงจุดบนสุด เมื่อพวกเขาเห็นฉู่เฉาหยุ่น พวกเขาต่างประหลาดใจ

 

ฉู่เฉาหยุ่นพูดอย่างเฉยเมย “อย่ามองข้าเช่นนั้น ข้าเพิ่งมา ถึงเช่นกัน โลงศพสีทองยังไม่มีใครแตะต้อง” หลังจากที่เขาพูดจบ เขาทําท่าเชื้อเชิญพร้อมกับถอยไปหนึ่งก้าว

 

จีชางคงหันไปมองหน้าสบตากับตวนมู่ฉิง ฮวาหยุ่น เฟย และขุนนางกุยยี่ พวกเขาทั้งสามต่างรู้ใจกันว่าจะทําเช่นไร พวกเขาเดินอย่างช้าๆตรงไปที่ฉู่เฉาหยุ่น และกันเขาออก ไปด้านนอก ฉู่เฉาหยุ่นเพียงแค่ยิ้มบางๆและไม่ได้ไปใส่ใจ อะไรพวกเขา

 

“บูม!”

 

จีชางคงส่งฝ่ามือซัดออกไปที่ฝาของโลงศพสีทอง เสียงดัง ไพเราะนึกก้องสะท้อนไปทุกที่ฝูงชนรู้สึกได้ถึงแก้วหูที่สั่นสะเทือน

 

มุมของฝาโลงเปิดออกอย่างไรก็ตาม จีชางคงจ้องไปที่ ฝ่ามือของเขาอย่างประหลาดใจ หลังจากนั้น เขาบอกกับคน ด้านข้างของเขา “พวกเจ้าลองดู ดูว่าเจ้าเรียกพลังปราณออกมาได้บ้างหรือไม่”

 

เมื่อคนอื่นได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างนิ่งงง พวกเขาลองดูในทันทีและพบว่าจิตวิญญาณยุทธที่จุดตันเที่ยนดูเหมือนจะถูกผนึกเอาไว้ ไม่ว่าพวกเราจะโคจรพลังของพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจเรียกจิตวิญญาณยุทธออกมาได้

 

“เกิดอะไรขึ้น?” ทุกคนต่างอุทานขึ้นมาอย่างประหลาดใจ

 

ฉู่เฉาหยุ่นยิ้มบางๆ เขาเดินผ่านฝูงชนเข้าไปและพูดขึ้น “มาดูกันก่อนเถอะว่าข้างในโลงศพมีอะไร”

 

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างวางความสงสัยของพวกเขาลงไปก่อนและมุ่งหน้าเดินไปที่โลงศพ หลังจากที่ทุ่มเทพยายามมาทุกคนต่างสงสัยว่าจะมีมหาปราชญ์ ท่านใดกําลังนอนอยู่ในโลงศพ

 

ข้างในโลงศพสีทอง มีชายสง่างามในชุดคลุมสีม่วงกําลัง นอนนิ่งอย่างสงบ มือทั้งสองของเขาวางอยู่บนหน้าอกกําลังกุมดาบเอาไว้

 

จีชางคงถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “นี่มันจักรพรรดิคนสุดท้ายของราชวงศ์เทียนวู่มิใช่รึ? ทําไมเขาถึงได้มาอยู่ที่นี่?”

 

ขุนนางกุยยี่และคนที่เหลือทั้งหมดต่างประหลาดใจ ตลอดทางที่พวกเขามาที่นี่, ทุกสิ่งอย่างบ่งชี้ว่าที่นี่คือซากโบราณของของมหาปราชญ์ ทักษะต่อสู้ที่พวกเขาได้รับมาจาก โลงศพสีดําพวกนั้นต่างเป็นข้อพิสูจน์ นอกจากนั้นยังมีภาพสลักนับไม่ถ้วนอยู่บนผนัก พวกมันทั้งหมดเป็นรูปแบบจากยุคโบราณ

 

มันเป็นเวลากว่าหนึ่งหมื่นปีหลังยุคโบราณสิ้นสุดลงและ ราชวงศ์เทียนวู่ถือกําเนิดขึ้นมา จักรพรรดิคนสุดท้ายของ ราชวงศ์เทียนวู่ล่วงลับไปได้เพียงหนึ่งพันปีก่อนเขามีความเกี่ยวข้องเช่นไรกับมหาปราชญ์เมื่อสองหมื่นปีก่อน

 

“ฟุว!”

 

ชายในชุดม่วงข้างในโลงศพมหาปราชญ์ทันใดนั้น ก็ลืมตาขึ้น แสงเรืองสีม่วงปรากฏขึ้นบนดวงตาของเขา ก่อนที่ระดับขอบเขตนักบุญผู้ที่กําลังจ้องมองอยู่จะได้ ตอบโต้ใดๆ เขาก็ถูกเผาจนตาย

 

“จักรพรรดิเทียนวู่ฟื้นคืนชีวิต?”

 

“หรือนั้นจะเป็นเปลวเพลิงสวรรค์ในตํานาน?” ผู้บ่มเพาะพลังทุกคนถอยหนี และหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัว แม้ว่าราชวงศ์เทียนวู่จะล่มสลายไปแล้วแต่ตํานานของมันยังคงไม่ถูกลืมเลือน

 

ในครั้งนั้น จักรพรรดิเทียนวู่รุ่นแรกพึ่งพลังที่โดดเด่น สั่นสะเทือนสวรรค์ทั่วทวีปเทียนวู่ เขาก่อตั้งจักรวรรดิเทีย นอู่ที่คงอยู่มานับหมื่นปี ความสําเร็จที่นับได้ว่าไม่เคยมี มาก่อนและไม่มีทางเกิดขึ้นมาอีก เขาเคยเป็นอันดับหนึ่ง ไร้ผู้ต่อต้านในอดีตหรืออาจจะแม้กระทั่งถึงตอนนี้

 

ตามตํานานกล่าวไว้ว่าเขาได้ไปหยิบยืมเปลวเพลิงสวรรค์ มาจากเบื้องบน เมื่อเปลวเพลิงสวรรค์ลุกไหม้ไปจนถึงขีด สุดของมันทั่วทั้งทวีปต้องหลอมละลาย มันเป็นจ้าวของเปลวเพลิงทั้งปวง ไม่มีอะไรต่อต้านมันได้

 

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้สืบทอดของจักรพรรดิมีความแข็งแกร่งของมหาจักรพรรดิ แม้แต่จักรพรรดิเทียนวู่คนสุดท้ายผู้ที่นอนอยู่ที่นี่ก็มีความแข็งแกร่งของมหาจักรพรรดิ หากเขาตื่นขึ้นมาจริงๆ จะไม่มีผู้ใดหนีรอดไปได้

 

ฉู่เฉาหยุ่นเผยสีหน้าครุ่นคิดลึก เขาเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ตรวจดูชุดสีม่วงของจักรพรรดิ เขาพูดขึ้น “ไม่มีอะไรต้องกังวล มันเป็นเพียงแค่สายพลังฉีสะท้อนกลับ เพียงแค่อย่ามองไปที่ตาของเขาก็พอ”

 

ทุกคนคิดอย่างถ้วนที่และเห็นด้วยกับเขา มันคงไม่มีเรื่องอย่างผู้ไม่อาจตาย แม้แต่มหาจักรพรรดิเทีย นว์ก็ตบตายไปเมื่อหลายปีก่อน นอกจากตํานานระดับขอบเขตพระเจ้า ไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น

 

มองดูไปที่โลงศพอีกครั้งเปลวไฟลุกโชนในดวงตาของทุกคน แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าร่างของมหาปราชญ์จะไปอยู่ ที่ใดแต่มูลค่าของร่างจักรพรรดิเทียนวู่ก็ไม่ใช่ด้อยไปกว่า

 

เพียงแค่เปลวเพลิงสวรรค์ที่บรรจุอยู่ในร่างของเขาก็นําพาให้ผู้คนกลายเป็นบ้าคลั่งนั้นเป็นเพาะพลังอํานาจของเปลวเพลิงสวรรค์ที่มีมากเกินไป ก่อนที่จักรพร รดิเทียนวู่รุ่นแรกจะล่วงลับ เขาได้ตัดแบ่งเปลวเพลิงสวรรค์ออกเป็นสิบส่วนเหลือไว้เพียงส่วนที่ สิบส่งต่อให้ทาญาติของเขา

 

แม้มันจะเป็นเพียงหนึ่งในสิบส่วน,พลังอํา นาจของเปลวเพลิงสวรรค์ก็ยังคงน่าหวาดกลัว ตัดผ่าภูเขา เผาพื้นพิภพจนกลายเป็นแดนร้างทั้งหมดนี่คือสิ่งที่มัน สามารถทําได้อย่างง่ายดาย

 

ทุกทุกคนมาสุมหัวกันที่โลงศพมหาปราชญ์ในตอนนี้เอง พวกเขายังไม่กล้าขยับลงมืออะไร จีชางคงยื่น มือของเขาออกไปและปิดตาของจักรพรรดิลงอย่างช้าๆ ตอนนี้

 

จักรพรรดิในโลงศพหลับตาลงอีกครั้ง

 

‘หุ!’

 

ฮวาหยุ่นเฟยยื่นแขนของเขาออกไปหยิบเอาดาบของจักรพรรดิเทียนวู่ เขาพูดขึ้นอย่างเป็นสุข “ดาบแยกนภา, นี่คืออาวุธศักดิ์, อาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง”

 

“ปัง!” อาวุธศักดิ์สิทธิ์ดิ้นหลุดมือของฮวาหยุ่นเฟยและลอยไปหางขุนนางกุ้ยย ฮวาหยุนเพย สีหน้าเปลี่ยนเขารีบยื่นมือออกไปตั้งใจจะคว้ามันเอาไว้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามอาวุธศักดิ์สิทธิ์รวดเร็วเกินไปเขาไม่อาจคว้าเอาไว้

 

ขุนนางกุยยี่ยืนมือของเขาออกไปและคว้าจับเอาอาวุธศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ เขาเต็มไปด้วยความงุนงง เขาไม่อาจเข้าใจว่าทําไมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ถึงลอยมาหามือของเขา นอก จากนั้นเขายังใช้หอกไม่ใช่ดาบ

 

ฮวาหยุ่นเฟยเคลื่อนที่ไปตรงหน้าขุนนางกุยยอย่างรวดเร็ว และยื่นมือของเขาออกไปหมายจะฉกเอาอาวุธศักดิ์สิทธิ์กลับมา ขุนนางกุยยจ้องมองไปที่ทเขาและถามขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “ฮวาหยุ่นเฟย เจ้ากําลังจะทําอะไร?”

 

ฮวาหยุ่นเฟยมองไปที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ในมือของขุนนางกุยยี่และพูดขึ้น “ข้าจะทําอะไร? คืนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของข้ามาซ ะ

 

ขุนนางกุยยี่ยิ้มอย่างเย็นชา “อาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้เลือกนายของมันแล้วมันชัดเจนว่าเจ้าไม่คู่ควรที่ได้จะได้ ถือครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ หยุดทําตัวก่อปัญหาน่ารําคาญ”

 

“ขอดีๆไม่ไม่ได้ต้องให้บังคับ!” ฮวาหยุ่นเฟยไม่ชอบขี้หน้าขุนนางกุยยีมานานแล้ว เขาจดจําตอนที่เขาถูกขวางไม่ให้ฆ่าเซียวเฉินในใจ

 

ตอนนี้เขามีข้ออ้างและนักรบทองคําของขุนนางกุยยี่ก็ไม่ อยู่ที่นี้เขาไม่มีความลังเลที่จะลงมือพร้อมกับระดับขอบเขตนักบุญอีกสี่คน

 

ไม่มีทางที่จะใช้พลังปราณตอนอยู่บนแท่นหิน การต่อสู้ใช้ ได้เพียงความแข็งแกร่งทางกายและทักษะเท่านั้น

 

แม้ว่าขุนนางกุยยี่จะตัวคนเดียว เขาก็อยู่ในสนามรบมาตั้ง แต่ยังเยาว์ ประสบการณ์ของเขาสูงล้ํากว่าห้าคนตรงหน้า ฮวาหยุ่นเฟยและกลุ่มของเขาไม่อาจทําอะไรขุนนางกุยยีได้แม้แต่น้อย

 

จีชางคงเหลือบไปมองการต่อสู่ข้างหลังของเขาและ เบือนหน้าหนีไม่หันกลับไปมองอีกเลย เขามองไปที่ฉู่เฉาหยุ่นและพูดขึ้นอย่างเฉยเมย “พี่น้องเฉาหยุ่น หากพวกเราสามารถดึงเอาเปลวเพลิงสวรรค์ออกมาได้ เอาเป็นว่าแบ่งกันอย่างเท่าเทียม?”

 

ฉู่เฉาหยุ่นยิ้มบางเบาและมองไปที่จีชางคง “ข้าไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ”

 

หลังจากที่พวกเขาตกลงกันเรียบร้อยพวกเขาพูดคุยกัน ว่าจะดึงเอาเปลวเพลิงสวรรค์ของจักรพรรดิเทียนวู่ออกมาได้ เช่นไร หลังจากที่เปลวเพลิงสวรรค์ถูกดูดซับมันจะต้องซ่อนเร้นอยู่ใต้ผิวหลังของเจ้าของมันทุกระเบียบนิ้ว มันเป็นการยากอย่างที่สุดที่จะดึงเอามันออกมาได้แทบจะติดกับขอบของคําว่าเป็นไปไม่ได้

 

วิธีตรงๆที่จะดึงเอาเปลวเพลิงสวรรค์ออกมาก็คือนําร่างของจักรพรรดิเทียนว์ไปผ่านการกลั่นสกัด หลังจากผ่านกลั่นสกัดเปลวเพลิงสวรรค์จะควบแน่นและปรากฏขึ้นไม่เคยมีวันมอดดับ

 

อย่างไรก็ตามกลั่นสกัดร่างของจักรพรรดิเทียนวูด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขามันเป็นได้แค่ฝันโง่เง่า ระหว่างที่พวกเขาพยายามจะทํามันอาจจะเป็นไปได้ ว่าจะต้องทรมานจากเปลวเพลิงตีกลับทําให้พวกเขาถูกเผา จนไม่เหลือแม้แต่ฝุ่น

 

นอกจากเปลวเพลิงสวรรค์แล้วยังมีทักษะที่สืบทอดกัน มาของราชวงศ์เทียนวู่ร่ายรําดาบสละชีวิตโลหิตห้วนรื่น มันเป็นสมบัติล้ําค่าที่ทําให้ทุกคนต้องตาโต หากพวกเขาสา มารถหามันพบ,มูลค่าของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าเปลวเพลิงสวร รค์

 

จีชางคงค้นหาไปรอบๆโลงศพทองคํา อย่างไรก็ตามหลังจากที่ค้นหามานานเขาไม่แม้แต่จะพบอะไรสักอย่าง เขามองตรงไปที่ฉู่เฉาหยุ่นอย่างช่วยไม่ได้ มันจะเป็นไปได้รึที่ที่พํานักสุดท้ายของจักรพรรดิเมียนอู่จะไม่มีตําราร่ายรําดาบสละชีวิตโลหิตห้วนคืน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+