Immortal and Martial Dual Cultivation 234 ไฟแค้นเดือดระอุ

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 234 ไฟแค้นเดือดระอุ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Immortal and Martial Dual Cultivation

ตอนที่ 234 ไฟแค้นเดือดระอุ

หวังฉินเอี้ยนผู้สืบทอดที่แท้จริงแห่งยอดเขาว่านเหริน,จ้องมองการประลองของหลินเฟิงจากศาลาที่นั่ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าว “หลินเฟิงกําลังทําอะไร? เขาพ่ายแพ้ไปเก้าจากสิบห้ารอบแล้วหรือเขาจะมีเจตนาอะไรบ้างอย่าง?”

หลัวเคออี้รู้สึกประหลาดใจเช่นกันเมื่อได้ยินเช่นนั้น “คู่ต่อสู้ของเขาส่วนใหญ่อยู่อันดับเกือบร้อย ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาควรจะชนะไปโดยง่ายดาย”

หวังฉินเอี้ยนกล่าว “เมื่อถึงตาเจ้าลงไป ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นบางเขาให้ทําดีที่สุดเพื่อให้ได้ที่นั่งในเก้าสิบคนให้ใด เขามีความรู้สึกว่าภารกิจนี้จะเป็นประโยชน์กับพวกเราอย่างมาก ด้วยความแข็งแกร่งของเขา,หากว่าพวกเราทําสําเร็จ,มันจะยกระดับความแข็งแกร่งของพวกเราขึ้นไปอีกระดับ”

ขณะที่ดวงอาทิตย์กําลังจะตกดิน,การประลองบนสนามก็มาถึงรอบสุดท้าย สิบอันดับต้นก็ยังคงไม่พบกันเอง มันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่ามีสภาสูงค่อยจัดการอยู่

อย่างไรก็ตามเนื่องจากทั้งสิบคนมีคะแนนเท่ากันเช่นนั้นจะจัดอันดับกันเช่นไร?

“สิบอันดับต้นยอดเยี่ยมจริง พวกเขาแข็งแกร่งกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้” จางเลี่ยถอนหายในพึมพํากับตัวเอง

มู่เหิงไม่ได้กล่าวอะไรเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าจางเสี่ยยังติดอยู่กับปัญหาเมื่อก่อนหน้านี้ ความแข็งแกร่งของสิบอันดับต้นแน่นอนความเกินความคาดหมายของเขา อย่างไรก็ตาม เขายังเชื่อว่าเซี่ยวเฉินมีความแข็งแกร่งทัดเทียมในหมู่พวกเขา

ไม่มีอะไรมาเป็นที่ยืนยัน,มันเป็นสัญชาตญาณล้วนๆ

ทันใดนั้น,หลิวสุยเฟิงก็เข้ามากระซิบ “เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่? กระบี่เร็วหลินเฟิงแห่งยอดเขาว่านเหรินแพสิบตาล้วนติดต่อกันเกิดอะไรขึ้น?”

เกิดอะไรเช่นนี้ขึ้น? เซี่ยวเฉินไม่ได้ทันสังเกตแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม,ไม่ว่าหลินเฟิงกําลังคิดอะไรอยู่เขาคงไม่สร้างปัญหาอะไรนมาหากเป็นตัวเขาในอดีต,เซี่ยวเฉินจะต้องใช้ลูกเล่นเพื่อที่จะล้มเขาลงให้ได้

อย่างไรก็ตาม,หลังจากที่เขากินดอกดาวเรืองแสงไหลเข้าไปและเพิ่มความสามารถในการเข้าใจของเขามันได้เพิ่มความแข็งแกร่งของเขาอย่างก้าวกระโดดนับจากตอนที่เหมืองวิญญาณ

เซี่ยวเฉินกล่าวอย่างเฉยเมย “ไม่ต้องไปสนใจ หากมันอยากที่จะท้าทายข้า,ข้าจะทําให้มันประหลาดใจ”

เมื่อแสงสุดท้ายของตัวอาทิตย์จมลงขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเป็นสีแดงฉาด การประลองบนลานฝึกฝนทั้งหมดก็จบลงสานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับต้นชนะรวดทั้งสิบห้าครั้ง

ท้ายที่สุด,ทุกคนก็รู้สึกผิดหวังเล็กๆ ถึงอย่างไร,ที่พวกเขาอยากจะชมก็คือการต่อสู้ระดับสูง

หัวหน้าผู้คุมสอบให้สัญญาณและเซี่ยวเฉินกับสานุศิษย์แก่นกลางหน้าใหม่ทั้งหมดก็ค่อยๆเดินขึ้นมาตรงกลางของลานฝึกฝน ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้ท้าทายสานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับสุดท้าย

แม้ว่าการประลองในครั้งนี้จะไม่ใช่ระดับสูง,มันก็คุ้มค่าที่จะอยู่รับชมสานุศิษย์แก่นกลางที่ต้องต่อสู้เพื่อปกป้องตําแหน่งของตัวเองจะทุ่มสุดตัวด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขา

แม้ว่าเซี่ยวเฉินและคนที่เหลือจะไม่เสียตําแหน่งศิษย์แก่นกลางของพวกเขาหากพวกเขาพ่ายแพ้ แต่พวกเขาจะเสียสิทธิ์ในรางวัลทั้งหมดที่พวกเขาได้รับมาก่อนหน้านี้หากว่าไปตามกฎ จุดประสงค์กเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขายอมแพ้แบบจงใจ

ด้วยกฎเช่นนี้เป็นข้อรับประกันว่าทั้งสองฝ่ายจะทุ่มสุดฝีมือมิฉะนั้น พวกเขาจะเสียหายร้ายแรง

“น่าแปลก,ทําไมหลินเฟิงแห่งยอดเขาว่านเหรินถึงขึ้นไปอยู่ตรงนั้น? เขาแข็งแกร่งเป็นอันดับสองในยอดเขาว่านเหริน ถึงแม้เขาจะไม่ติดเก้าสิบอะนดับแรก,เขาก็ไม่ควรไปติดสิบอันดับสุดท้าย”

“เจ้าคิดไม่ออกถึงแม้มันจะเห็นกัยอยู่ตําตา? ไอ้โง่! สานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับสุดท้ายได้สิทธิ์เลือกคู่ต่อสู้ เขาจะต้องไม่พอใจ หลังจากที่พ่ายแพ้เชี่ยวเฉินมาเขาจะต้องมาเพีแก้แค้น”

“น่าสนใจ,หลินเฟิงอยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นเรียบร้อยแล้วความรวดเร็วของเขาค่อนข้างมีชื่อภายในศาลากระบี่สวรรค์ความแข็งแกร่งของเขาน่าจะที่กเทียมได้กับเย่เฉิน”

“เอิม,อาจจะเป็นเช่นนั้น ข้าได้ยินมาว่าจากการประมือกันครั้งก่อน,เย่เฉินชนะได้โดยการใช้ลูกไม้ตุกติกและหลินเฟิงก็ไม่อาจยอมรับได้ว่าเขาพ่ายแพ้ มิฉะนั้น,เขาคงไม่ยอมแพ้และลดอันดับของเขามากว่าสามร้อยอันดับ”

ฝูงชนประหลาดใจที่เห็นหลินเฟิงปรากฏตัวขึ้นมา อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาครุ่นคิดถึงเฟตุผลที่อยู่เบื้องหลัง,มันก็ไม่น่าประหลาดใจนักถึงอย่างไร.ผู้บ่มเพาะพลังแต่ละคนก็มีความภาคภูมิใจของตัวเอง

สานุศิษย์แก่นกลางหน้าใหม่ยืนเรียงแถวห่างจากสานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับท้ายไปหลายเมตร

หลินเฟิงวางมือลงบนด้ามกระบี่ ดวงตาสีดําของเขาเผยเจตนาฆ่าฟันรุนแรงพร้อมกับจ้องมองไปที่เซียวเฉิน เขาสงวนกระแสพลังของเขาเอาไว้,สะสมเพิ่มความแข็งแกร่ง

หากสายตาสามารถฆ่าคนได้,เซี่ยวเฉินคงจะตายไปร้อยรอบได้แล้ว

หัวหน้าผู้คุมเหลียวมองทั้งสองฝั่ง จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังผู้คนที่อยู่ด้านขวามือของเขาและกล่าว “หากเจ้าพ่ายแพ้ในครั้งนี้เจ้าจะเสียสถานะศิษย์แก่นกลางข้าหวังว่าเจ้าจะคว้าโอกาสนี้เอาไว้และทุ่มให้สุดตัว”

“เอาล่ะ, จากคนซ้ายไปทางขวา,ออกมาเลือกคู่ต่อสู้ของพวกเจ้าที่ละคน”

คนที่หนึ่งจากทางซ้าย,จางเยว่เผยสีหน้าเป็นสุขออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น ได้เลือกคู่ต่อสู้ก่อนทําให้เขาได้เปรียบโดยไม่ต้องอธิบายอะไร

ตรงกับข้าม,สีหน้าของสามคนที่อยู่ขวาสุดกลายเป็นน่าเกลียดสามารถบอกได้เลยว่าเขาจะต้องพบกับคู่ต่อสู้เช่นไรที่เหลืออยู่มันจะต้องเป็นสามคนที่ไม่อยากจะมีใครประมือด้วย มู่เหิง, จาง เลี่ย,และเซียวเฉิน

จางเยว่เดินขึ้นหน้าและชี้ไปทางหลิวสุยเฟิงทันที “ข้าเลือกเขาเป็นคู่ต่อสู้”

สายตาของคนผู้นี้หลักแหลม,หลิวสุยเฟิงอ่อนที่สุดในหมู่พวกเขาจริงๆ อย่างไรก็ตาม,เซี่ยวเฉินก็คิดว่าหลิวสุยเฟิงจะไม่แพ้แน่นอนโอกาสชนะของเขาอีกที่ครึ่งต่อครึ่ง

“อย่าได้อ่อมมือ คู่ต่อสู้จะทุ่มเข้ามาสุดแรงตั้งแต่ต้น” เมื่อเซี่ยวเฉินเดินผ่านหลิวสุยเฟิงเขากระซิบบอก

หลิวสุยเฟิงหยักหน้าเบาๆ เขาเป็นคนแรกที่ถูกเลือก นี่ทําให้เขาดูแย่ทุกคนล้วนมีความภาคภูมิใจในตัวเองไม่มีมครที่อยากถูกดูแคลนต่อหน้าทุกคน

จางเยวแยู่เพียงระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงเขาไม่ได้มีความได้เปรียบอะไรในด้านระดับบ่มเพาะพลังแต่เขามีประสบการณ์การต่อสู้สูง

มันเป็นไปตามที่เซียวเฉินคาดการณ์เอาไว้ จางเยวใช้ออกความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขาทันทีที่ก้าวขึ้นมา,หมายจะใช้โอกาสในตอนที่หลิวสุยเฟิงไม่ทันตั้งตัว อย่างไรก็ตาม,หลิวสุยเฟิงได้เตรียมตั้งรับไว้แล้วด้วยกระบวณท่าที่ไม่ได้ด้อยไปกว่า

ระดับการบ่มเพาะพลังของพวกเขาเทียบเท่ากัน,ไม่มีใครได้เปรียบใครชัดเจน ท้ายที่สุด,มันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมีสภาวะจิตใจที่แข็งแกร่งกว่ากัน

ผู้ใดที่สามารถรักษารวามเยือกเย็นเอาไว้ได้นานกว่าโดยไม่เผยช่องว่างออกมาจะเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะไปในท้ายที่สุด

หลังจากที่พวกเขาทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวณท่ากันมากกว่าสองร้อยกระบวณท่าเที่ยังไม่มีผู้ชนะ จางเยว่เริ่มเป็นกังวลขึ้นอย่างช้าๆ,แรงกดดันบนบ่าของเขามากกว่าของหลิวสุยเฟิง

การเคลื่อนไหวของจางเยว่ยิ่งผ่านไปนานยิ่งดุดัน หลิวสุยเฟิงดวงตาสงบพร้อมจิตใจที่นั่งดุจน้ํา หลิวสุยเฟิงปัดป้องการโจมตี ของจางเยวที่โถมเข้ามาต่อไปและพบเข้ากับช่องว่าง

หลิวสุยเพิ่งใช้ออกทักษะลุบของยอดเขานิ่งหยุนออกมาทันทีสับวายุลึกล้ํา เขาซัดจางเยว่ลอยออกจากสนามและคว้าเอาชัยชนะ

หัวหน้าผู้คุมสอบเดินตรงเข้ามาหาจางเยวและปลดเอาเหรียญแสดงตนสีทองที่แขวนอยู่ตรงเอวของเขาออก เหรียญนั้นหมายถึงสถานะศิษย์แก่นกลางของเขาแต่มันถูกปลดออกถึงแม้สีหน้าของจางเยวจะเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“ต่อไป!”

การประลองดําเนินต่อไป สานุศิษย์แก่นกลางที่เหลือเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของจางเยว่และพวกเขาทั้งหมดกลายเป็นระมัดระวังมากขึ้นการประลองช่างสูสี,ทั้งสองฝ่ายมีโอกาสแพ้ชนะเท่ากัน

“ข้าเลือกเขา!” เมื่อถึงตาของหลินเฟิงเลือกคู่ต่อสู้เขาชี้ตรงไปที่เซี่ยวเฉินหลังจากเดินขึ้นมาบนสนามประลอง

เซี่ยวเฉินหาได้แปลกใจไม่ เขากระโดดอย่างนุ่มนวลลงจอดบนสนามประลองอย่างมั่นคง

เมื่อเซี่ยวเฉินขึ้นมาบนสนามประลอง,ดวงตาของหลินเฟิงที่เผา ไหม้ด้วยความโกรธกลายเป็นสงบลง เขารวบรวมความแข็งแกร่งและเร่งกระแสพลังของเขา เขาสะสมพลังของเขาโดยไม่ปล่อยให้รั่วไหลออกมา

“หากข้าล้มเจ้าไม่ได้ภายในห้ากระบวณท่า,ข้ายอมรับความพ่ายแพ้” หลินเฟิงประกาศออกมาพร้อมกับมองไปยังเซียวเฉินอย่างเฉยเมย

เซี่ยวเฉินพบว่ามัน่าขบขัน เขากล่าวอย่างสงบ “การล้มข้าลงได้มันจะทําให้เจ้าพอใจได้? ที่เจ้าตระเตรียมการมากมายและยอมทิ้งตัวเองลงมาสิบอันดับสุดท้ายเพื่อที่จะได้เจอกับข้า,ข้าจะให้โอก าสเจ้าได้ลอง”

“เริ่ม!”

สิ้นเสียงของผู้ตัดสิน,กระแสพลังที่หลินเฟิงกดเอาไงก็ระเบิดออกมากระแสพลังของระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นพุ่งทะยานใส่เชี่ยวเฉิน

“วายุโกลาหล!”

จากบาเรียนเมื่อคราวก่อน,หลิวเฟิงไม่ให้โอกาสคู่ต่อสู้ได้ลงมือก่อนหลังจากที่เขาปลดปล่อยกระแสพลังออกมา เขาใช้ออกทักษะต่อสู้ที่เขาภาคภูมิใจในทันที

เขาซัดกระบี่ออกและกระบี่ฉียาว 6.6 เมตรก็ลอยออกไปอย่างต่อเนื่องมันถาโถมเข้าใส่เซียวเฉิน,ราวกับพายุโกลาหล สายลมรุนแรงพัดผ่านสนามประลองสามารถได้ยินถึงเสียงสายฝนที่แผ่วเบา

เซี่ยวเฉินประมาทบุคคลตรงหน้าไปเล็กน้อย สภาวะแห่งวายุและสายพิรุณในกระบี่นี้หลินเฟิงได้บรรลุไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นต้น

กระบี่ฉีอันน่าหวาดกลัวมีความรวดเร็วดุจสายลมและสาดลงมาหนาแน่นดั่งห่าฝน,สายลมและสายฝนร่วมผสานกัน ขณะที่สายฝนสาดลง,มันยืมพลังของสายลมมาเพิ่มความรวดเร็วยิ่งขึ้น

กระบี่ฉีบ้าคลั่งไม่เหลือเวลาให้เซี่ยวเฉินครุ่นคิด, พวกมันลอยมาถึงตรงหน้าของเขาในทันที

ก่อนที่กระบี่ฉีจะเข้ามาใกล้,สายลมจากกระบี่ทําให้เสื้อผ้าและอาภรของเซี่ยวเฉินปลิวไหว

“แคร้ง!”

เซี่ยวเฉินไม่กล้าที่จะประมาท เขาชักกระบี่เงาจันทร์สีขาวหิมะออกมาและปลดปล่อยกระบี่ฉีพลุ่งพล่าน,สลายกระบี่ฉีที่ถาโถมเข้ามา

กระบี่นี่คือความแตกต่างอย่างที่สุดระหว่างระดับขอบเขตนักบุญและระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธ ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธสามารถทําได้เพียงควบรวมกระบี่แสง อย่างไรก็ตาม,ระดับขอบเขตุนักบุญนั้นสามารถยิงออกระยะไกลได้หลังจากที่ควบรวมกระแส

งขึ้นมา

ในด้านคุณภาพและปริมาณของปราณ,เซี่ยวเฉินและหลินเฟิงไม่ได้ห่างกันนักความจริง,ด้านคุณภาพของพลังปราณเซี่ยวเฉินแข็ง แกร่งกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ํา

อย่างไรก็ตาม,กระบี่แสงและกระบี่ฉีระดับนั้นต่างกัน เพื่อที่จะรับมือกับกระบี่ฉีที่ควบรวมด้วยคงามแข็งแกร่งห้าในสิบส่วนของคู่ต่อสู้เชี่ยวเฉินจะต้องใช้ความแข็งแกร่งถึงหกในสิบของเขา

ถึงกระนั้น,อัตราการฟื้นพลังปราณของเซี่ยวเฉินนั้นสูงกว่าคู่ต่อสู้ เป็นอย่างมากดังนั้น เขาไม่เป็นกังวลเกี่ยวกับความเร็วสิ้นเปลือง พลังปราณของเขาเขายิ้มบางๆและใช้ออกมังกรฟ้าเมฆาทะยาน

ร่างของเขากระพริบไปรอบๆสนามประลองและทิ้งเอาไว้เพียงภาพติดตามันเป็นการยากที่จะแยกแยะระหว่างร่างจริงและร่างปลอมกระบี่ฉีเล่มแล้วเล่มเล่าถูกเซียวเฉินทุบเย็นเสี่ยงๆและสลายไป ทั่วทิศทาง

แม้ว่าหลินเฟิงจะรู้ว่ากระบวณท่านี้ไม่อาจสรางความเสียหายให้กับเซียวเฉิน,เขาไม่คาดคิดว่าเซี่ยวเฉินจะทําลายมันทิ้งได้อย่างง่ายดาย

“กลืนพิรุณดูดเมฆา!” หลินเฟิงตะโกนและสายลมกับสายฝนทันใดนั้นก็หยุดลง กระบี่ฉีที่เหลือลอยกลับไปที่ร่างของหลินเฟิงพร้อมกับเสียง “โซว”

เซี่ยวเฉินปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งและมองดูหลินเฟิงกระโดดข้ามาเขากล่าวเสียงนุ่ม “อีกสี่กระบวณท่า…”

“หุบปาก! กระบวณท่านี้จะต้องถึงใจเจ้าแน่!” หลินเฟิงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหน้าผาดของเขา

หลังจากสิ้นเสียงของเขา,กระบี่ของหลินเฟิงก็มาอยู่เหนือหัวของเซียวเฉินเรียบร้อยแล้ว เซียวเฉินไม่กล้าประมาท วงวันน้ําในจุดตันเที่ยนของเขากวนเร็วขึ้น

หกหยดปราณบริสุทธิ์หยดลงมาและเปลี่ยนไปเป็นพลังปราณที่พลุ่งพลานที่ไหลไปตามเส้นปราณบนแขนของเขาตรงไปที่คมกระบี่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Immortal and Martial Dual Cultivation 234 ไฟแค้นเดือดระอุ

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 234 ไฟแค้นเดือดระอุ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Immortal and Martial Dual Cultivation

ตอนที่ 234 ไฟแค้นเดือดระอุ

หวังฉินเอี้ยนผู้สืบทอดที่แท้จริงแห่งยอดเขาว่านเหริน,จ้องมองการประลองของหลินเฟิงจากศาลาที่นั่ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าว “หลินเฟิงกําลังทําอะไร? เขาพ่ายแพ้ไปเก้าจากสิบห้ารอบแล้วหรือเขาจะมีเจตนาอะไรบ้างอย่าง?”

หลัวเคออี้รู้สึกประหลาดใจเช่นกันเมื่อได้ยินเช่นนั้น “คู่ต่อสู้ของเขาส่วนใหญ่อยู่อันดับเกือบร้อย ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาควรจะชนะไปโดยง่ายดาย”

หวังฉินเอี้ยนกล่าว “เมื่อถึงตาเจ้าลงไป ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นบางเขาให้ทําดีที่สุดเพื่อให้ได้ที่นั่งในเก้าสิบคนให้ใด เขามีความรู้สึกว่าภารกิจนี้จะเป็นประโยชน์กับพวกเราอย่างมาก ด้วยความแข็งแกร่งของเขา,หากว่าพวกเราทําสําเร็จ,มันจะยกระดับความแข็งแกร่งของพวกเราขึ้นไปอีกระดับ”

ขณะที่ดวงอาทิตย์กําลังจะตกดิน,การประลองบนสนามก็มาถึงรอบสุดท้าย สิบอันดับต้นก็ยังคงไม่พบกันเอง มันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่ามีสภาสูงค่อยจัดการอยู่

อย่างไรก็ตามเนื่องจากทั้งสิบคนมีคะแนนเท่ากันเช่นนั้นจะจัดอันดับกันเช่นไร?

“สิบอันดับต้นยอดเยี่ยมจริง พวกเขาแข็งแกร่งกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้” จางเลี่ยถอนหายในพึมพํากับตัวเอง

มู่เหิงไม่ได้กล่าวอะไรเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าจางเสี่ยยังติดอยู่กับปัญหาเมื่อก่อนหน้านี้ ความแข็งแกร่งของสิบอันดับต้นแน่นอนความเกินความคาดหมายของเขา อย่างไรก็ตาม เขายังเชื่อว่าเซี่ยวเฉินมีความแข็งแกร่งทัดเทียมในหมู่พวกเขา

ไม่มีอะไรมาเป็นที่ยืนยัน,มันเป็นสัญชาตญาณล้วนๆ

ทันใดนั้น,หลิวสุยเฟิงก็เข้ามากระซิบ “เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่? กระบี่เร็วหลินเฟิงแห่งยอดเขาว่านเหรินแพสิบตาล้วนติดต่อกันเกิดอะไรขึ้น?”

เกิดอะไรเช่นนี้ขึ้น? เซี่ยวเฉินไม่ได้ทันสังเกตแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม,ไม่ว่าหลินเฟิงกําลังคิดอะไรอยู่เขาคงไม่สร้างปัญหาอะไรนมาหากเป็นตัวเขาในอดีต,เซี่ยวเฉินจะต้องใช้ลูกเล่นเพื่อที่จะล้มเขาลงให้ได้

อย่างไรก็ตาม,หลังจากที่เขากินดอกดาวเรืองแสงไหลเข้าไปและเพิ่มความสามารถในการเข้าใจของเขามันได้เพิ่มความแข็งแกร่งของเขาอย่างก้าวกระโดดนับจากตอนที่เหมืองวิญญาณ

เซี่ยวเฉินกล่าวอย่างเฉยเมย “ไม่ต้องไปสนใจ หากมันอยากที่จะท้าทายข้า,ข้าจะทําให้มันประหลาดใจ”

เมื่อแสงสุดท้ายของตัวอาทิตย์จมลงขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเป็นสีแดงฉาด การประลองบนลานฝึกฝนทั้งหมดก็จบลงสานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับต้นชนะรวดทั้งสิบห้าครั้ง

ท้ายที่สุด,ทุกคนก็รู้สึกผิดหวังเล็กๆ ถึงอย่างไร,ที่พวกเขาอยากจะชมก็คือการต่อสู้ระดับสูง

หัวหน้าผู้คุมสอบให้สัญญาณและเซี่ยวเฉินกับสานุศิษย์แก่นกลางหน้าใหม่ทั้งหมดก็ค่อยๆเดินขึ้นมาตรงกลางของลานฝึกฝน ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้ท้าทายสานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับสุดท้าย

แม้ว่าการประลองในครั้งนี้จะไม่ใช่ระดับสูง,มันก็คุ้มค่าที่จะอยู่รับชมสานุศิษย์แก่นกลางที่ต้องต่อสู้เพื่อปกป้องตําแหน่งของตัวเองจะทุ่มสุดตัวด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขา

แม้ว่าเซี่ยวเฉินและคนที่เหลือจะไม่เสียตําแหน่งศิษย์แก่นกลางของพวกเขาหากพวกเขาพ่ายแพ้ แต่พวกเขาจะเสียสิทธิ์ในรางวัลทั้งหมดที่พวกเขาได้รับมาก่อนหน้านี้หากว่าไปตามกฎ จุดประสงค์กเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขายอมแพ้แบบจงใจ

ด้วยกฎเช่นนี้เป็นข้อรับประกันว่าทั้งสองฝ่ายจะทุ่มสุดฝีมือมิฉะนั้น พวกเขาจะเสียหายร้ายแรง

“น่าแปลก,ทําไมหลินเฟิงแห่งยอดเขาว่านเหรินถึงขึ้นไปอยู่ตรงนั้น? เขาแข็งแกร่งเป็นอันดับสองในยอดเขาว่านเหริน ถึงแม้เขาจะไม่ติดเก้าสิบอะนดับแรก,เขาก็ไม่ควรไปติดสิบอันดับสุดท้าย”

“เจ้าคิดไม่ออกถึงแม้มันจะเห็นกัยอยู่ตําตา? ไอ้โง่! สานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับสุดท้ายได้สิทธิ์เลือกคู่ต่อสู้ เขาจะต้องไม่พอใจ หลังจากที่พ่ายแพ้เชี่ยวเฉินมาเขาจะต้องมาเพีแก้แค้น”

“น่าสนใจ,หลินเฟิงอยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นเรียบร้อยแล้วความรวดเร็วของเขาค่อนข้างมีชื่อภายในศาลากระบี่สวรรค์ความแข็งแกร่งของเขาน่าจะที่กเทียมได้กับเย่เฉิน”

“เอิม,อาจจะเป็นเช่นนั้น ข้าได้ยินมาว่าจากการประมือกันครั้งก่อน,เย่เฉินชนะได้โดยการใช้ลูกไม้ตุกติกและหลินเฟิงก็ไม่อาจยอมรับได้ว่าเขาพ่ายแพ้ มิฉะนั้น,เขาคงไม่ยอมแพ้และลดอันดับของเขามากว่าสามร้อยอันดับ”

ฝูงชนประหลาดใจที่เห็นหลินเฟิงปรากฏตัวขึ้นมา อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาครุ่นคิดถึงเฟตุผลที่อยู่เบื้องหลัง,มันก็ไม่น่าประหลาดใจนักถึงอย่างไร.ผู้บ่มเพาะพลังแต่ละคนก็มีความภาคภูมิใจของตัวเอง

สานุศิษย์แก่นกลางหน้าใหม่ยืนเรียงแถวห่างจากสานุศิษย์แก่นกลางสิบอันดับท้ายไปหลายเมตร

หลินเฟิงวางมือลงบนด้ามกระบี่ ดวงตาสีดําของเขาเผยเจตนาฆ่าฟันรุนแรงพร้อมกับจ้องมองไปที่เซียวเฉิน เขาสงวนกระแสพลังของเขาเอาไว้,สะสมเพิ่มความแข็งแกร่ง

หากสายตาสามารถฆ่าคนได้,เซี่ยวเฉินคงจะตายไปร้อยรอบได้แล้ว

หัวหน้าผู้คุมเหลียวมองทั้งสองฝั่ง จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังผู้คนที่อยู่ด้านขวามือของเขาและกล่าว “หากเจ้าพ่ายแพ้ในครั้งนี้เจ้าจะเสียสถานะศิษย์แก่นกลางข้าหวังว่าเจ้าจะคว้าโอกาสนี้เอาไว้และทุ่มให้สุดตัว”

“เอาล่ะ, จากคนซ้ายไปทางขวา,ออกมาเลือกคู่ต่อสู้ของพวกเจ้าที่ละคน”

คนที่หนึ่งจากทางซ้าย,จางเยว่เผยสีหน้าเป็นสุขออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น ได้เลือกคู่ต่อสู้ก่อนทําให้เขาได้เปรียบโดยไม่ต้องอธิบายอะไร

ตรงกับข้าม,สีหน้าของสามคนที่อยู่ขวาสุดกลายเป็นน่าเกลียดสามารถบอกได้เลยว่าเขาจะต้องพบกับคู่ต่อสู้เช่นไรที่เหลืออยู่มันจะต้องเป็นสามคนที่ไม่อยากจะมีใครประมือด้วย มู่เหิง, จาง เลี่ย,และเซียวเฉิน

จางเยว่เดินขึ้นหน้าและชี้ไปทางหลิวสุยเฟิงทันที “ข้าเลือกเขาเป็นคู่ต่อสู้”

สายตาของคนผู้นี้หลักแหลม,หลิวสุยเฟิงอ่อนที่สุดในหมู่พวกเขาจริงๆ อย่างไรก็ตาม,เซี่ยวเฉินก็คิดว่าหลิวสุยเฟิงจะไม่แพ้แน่นอนโอกาสชนะของเขาอีกที่ครึ่งต่อครึ่ง

“อย่าได้อ่อมมือ คู่ต่อสู้จะทุ่มเข้ามาสุดแรงตั้งแต่ต้น” เมื่อเซี่ยวเฉินเดินผ่านหลิวสุยเฟิงเขากระซิบบอก

หลิวสุยเฟิงหยักหน้าเบาๆ เขาเป็นคนแรกที่ถูกเลือก นี่ทําให้เขาดูแย่ทุกคนล้วนมีความภาคภูมิใจในตัวเองไม่มีมครที่อยากถูกดูแคลนต่อหน้าทุกคน

จางเยวแยู่เพียงระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงเขาไม่ได้มีความได้เปรียบอะไรในด้านระดับบ่มเพาะพลังแต่เขามีประสบการณ์การต่อสู้สูง

มันเป็นไปตามที่เซียวเฉินคาดการณ์เอาไว้ จางเยวใช้ออกความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขาทันทีที่ก้าวขึ้นมา,หมายจะใช้โอกาสในตอนที่หลิวสุยเฟิงไม่ทันตั้งตัว อย่างไรก็ตาม,หลิวสุยเฟิงได้เตรียมตั้งรับไว้แล้วด้วยกระบวณท่าที่ไม่ได้ด้อยไปกว่า

ระดับการบ่มเพาะพลังของพวกเขาเทียบเท่ากัน,ไม่มีใครได้เปรียบใครชัดเจน ท้ายที่สุด,มันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมีสภาวะจิตใจที่แข็งแกร่งกว่ากัน

ผู้ใดที่สามารถรักษารวามเยือกเย็นเอาไว้ได้นานกว่าโดยไม่เผยช่องว่างออกมาจะเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะไปในท้ายที่สุด

หลังจากที่พวกเขาทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวณท่ากันมากกว่าสองร้อยกระบวณท่าเที่ยังไม่มีผู้ชนะ จางเยว่เริ่มเป็นกังวลขึ้นอย่างช้าๆ,แรงกดดันบนบ่าของเขามากกว่าของหลิวสุยเฟิง

การเคลื่อนไหวของจางเยว่ยิ่งผ่านไปนานยิ่งดุดัน หลิวสุยเฟิงดวงตาสงบพร้อมจิตใจที่นั่งดุจน้ํา หลิวสุยเฟิงปัดป้องการโจมตี ของจางเยวที่โถมเข้ามาต่อไปและพบเข้ากับช่องว่าง

หลิวสุยเพิ่งใช้ออกทักษะลุบของยอดเขานิ่งหยุนออกมาทันทีสับวายุลึกล้ํา เขาซัดจางเยว่ลอยออกจากสนามและคว้าเอาชัยชนะ

หัวหน้าผู้คุมสอบเดินตรงเข้ามาหาจางเยวและปลดเอาเหรียญแสดงตนสีทองที่แขวนอยู่ตรงเอวของเขาออก เหรียญนั้นหมายถึงสถานะศิษย์แก่นกลางของเขาแต่มันถูกปลดออกถึงแม้สีหน้าของจางเยวจะเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“ต่อไป!”

การประลองดําเนินต่อไป สานุศิษย์แก่นกลางที่เหลือเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของจางเยว่และพวกเขาทั้งหมดกลายเป็นระมัดระวังมากขึ้นการประลองช่างสูสี,ทั้งสองฝ่ายมีโอกาสแพ้ชนะเท่ากัน

“ข้าเลือกเขา!” เมื่อถึงตาของหลินเฟิงเลือกคู่ต่อสู้เขาชี้ตรงไปที่เซี่ยวเฉินหลังจากเดินขึ้นมาบนสนามประลอง

เซี่ยวเฉินหาได้แปลกใจไม่ เขากระโดดอย่างนุ่มนวลลงจอดบนสนามประลองอย่างมั่นคง

เมื่อเซี่ยวเฉินขึ้นมาบนสนามประลอง,ดวงตาของหลินเฟิงที่เผา ไหม้ด้วยความโกรธกลายเป็นสงบลง เขารวบรวมความแข็งแกร่งและเร่งกระแสพลังของเขา เขาสะสมพลังของเขาโดยไม่ปล่อยให้รั่วไหลออกมา

“หากข้าล้มเจ้าไม่ได้ภายในห้ากระบวณท่า,ข้ายอมรับความพ่ายแพ้” หลินเฟิงประกาศออกมาพร้อมกับมองไปยังเซียวเฉินอย่างเฉยเมย

เซี่ยวเฉินพบว่ามัน่าขบขัน เขากล่าวอย่างสงบ “การล้มข้าลงได้มันจะทําให้เจ้าพอใจได้? ที่เจ้าตระเตรียมการมากมายและยอมทิ้งตัวเองลงมาสิบอันดับสุดท้ายเพื่อที่จะได้เจอกับข้า,ข้าจะให้โอก าสเจ้าได้ลอง”

“เริ่ม!”

สิ้นเสียงของผู้ตัดสิน,กระแสพลังที่หลินเฟิงกดเอาไงก็ระเบิดออกมากระแสพลังของระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นพุ่งทะยานใส่เชี่ยวเฉิน

“วายุโกลาหล!”

จากบาเรียนเมื่อคราวก่อน,หลิวเฟิงไม่ให้โอกาสคู่ต่อสู้ได้ลงมือก่อนหลังจากที่เขาปลดปล่อยกระแสพลังออกมา เขาใช้ออกทักษะต่อสู้ที่เขาภาคภูมิใจในทันที

เขาซัดกระบี่ออกและกระบี่ฉียาว 6.6 เมตรก็ลอยออกไปอย่างต่อเนื่องมันถาโถมเข้าใส่เซียวเฉิน,ราวกับพายุโกลาหล สายลมรุนแรงพัดผ่านสนามประลองสามารถได้ยินถึงเสียงสายฝนที่แผ่วเบา

เซี่ยวเฉินประมาทบุคคลตรงหน้าไปเล็กน้อย สภาวะแห่งวายุและสายพิรุณในกระบี่นี้หลินเฟิงได้บรรลุไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นต้น

กระบี่ฉีอันน่าหวาดกลัวมีความรวดเร็วดุจสายลมและสาดลงมาหนาแน่นดั่งห่าฝน,สายลมและสายฝนร่วมผสานกัน ขณะที่สายฝนสาดลง,มันยืมพลังของสายลมมาเพิ่มความรวดเร็วยิ่งขึ้น

กระบี่ฉีบ้าคลั่งไม่เหลือเวลาให้เซี่ยวเฉินครุ่นคิด, พวกมันลอยมาถึงตรงหน้าของเขาในทันที

ก่อนที่กระบี่ฉีจะเข้ามาใกล้,สายลมจากกระบี่ทําให้เสื้อผ้าและอาภรของเซี่ยวเฉินปลิวไหว

“แคร้ง!”

เซี่ยวเฉินไม่กล้าที่จะประมาท เขาชักกระบี่เงาจันทร์สีขาวหิมะออกมาและปลดปล่อยกระบี่ฉีพลุ่งพล่าน,สลายกระบี่ฉีที่ถาโถมเข้ามา

กระบี่นี่คือความแตกต่างอย่างที่สุดระหว่างระดับขอบเขตนักบุญและระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธ ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธสามารถทําได้เพียงควบรวมกระบี่แสง อย่างไรก็ตาม,ระดับขอบเขตุนักบุญนั้นสามารถยิงออกระยะไกลได้หลังจากที่ควบรวมกระแส

งขึ้นมา

ในด้านคุณภาพและปริมาณของปราณ,เซี่ยวเฉินและหลินเฟิงไม่ได้ห่างกันนักความจริง,ด้านคุณภาพของพลังปราณเซี่ยวเฉินแข็ง แกร่งกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ํา

อย่างไรก็ตาม,กระบี่แสงและกระบี่ฉีระดับนั้นต่างกัน เพื่อที่จะรับมือกับกระบี่ฉีที่ควบรวมด้วยคงามแข็งแกร่งห้าในสิบส่วนของคู่ต่อสู้เชี่ยวเฉินจะต้องใช้ความแข็งแกร่งถึงหกในสิบของเขา

ถึงกระนั้น,อัตราการฟื้นพลังปราณของเซี่ยวเฉินนั้นสูงกว่าคู่ต่อสู้ เป็นอย่างมากดังนั้น เขาไม่เป็นกังวลเกี่ยวกับความเร็วสิ้นเปลือง พลังปราณของเขาเขายิ้มบางๆและใช้ออกมังกรฟ้าเมฆาทะยาน

ร่างของเขากระพริบไปรอบๆสนามประลองและทิ้งเอาไว้เพียงภาพติดตามันเป็นการยากที่จะแยกแยะระหว่างร่างจริงและร่างปลอมกระบี่ฉีเล่มแล้วเล่มเล่าถูกเซียวเฉินทุบเย็นเสี่ยงๆและสลายไป ทั่วทิศทาง

แม้ว่าหลินเฟิงจะรู้ว่ากระบวณท่านี้ไม่อาจสรางความเสียหายให้กับเซียวเฉิน,เขาไม่คาดคิดว่าเซี่ยวเฉินจะทําลายมันทิ้งได้อย่างง่ายดาย

“กลืนพิรุณดูดเมฆา!” หลินเฟิงตะโกนและสายลมกับสายฝนทันใดนั้นก็หยุดลง กระบี่ฉีที่เหลือลอยกลับไปที่ร่างของหลินเฟิงพร้อมกับเสียง “โซว”

เซี่ยวเฉินปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งและมองดูหลินเฟิงกระโดดข้ามาเขากล่าวเสียงนุ่ม “อีกสี่กระบวณท่า…”

“หุบปาก! กระบวณท่านี้จะต้องถึงใจเจ้าแน่!” หลินเฟิงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหน้าผาดของเขา

หลังจากสิ้นเสียงของเขา,กระบี่ของหลินเฟิงก็มาอยู่เหนือหัวของเซียวเฉินเรียบร้อยแล้ว เซียวเฉินไม่กล้าประมาท วงวันน้ําในจุดตันเที่ยนของเขากวนเร็วขึ้น

หกหยดปราณบริสุทธิ์หยดลงมาและเปลี่ยนไปเป็นพลังปราณที่พลุ่งพลานที่ไหลไปตามเส้นปราณบนแขนของเขาตรงไปที่คมกระบี่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+