Immortal and Martial Dual Cultivation 302 คนน่ารังเกียจ
ตอนที่ 302 คนน่ารังเกียจ
ผู้ดูแลกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่มีปัญหา รอสักครู่,ข้าจะนําสัญญามาให้ จะมีสําเนาสองฉบับ หลังจากที่ชื่อถูกประทับตรา,เจ้ากลับออกไปได้”
หลังจากที่เซี่ยวเฉินทําทั้งหมดเสร็จสิ้น เขาเปิดมองสัญญาของทั้งยี่สิบภารกิจผ่านๆ จากนั้น เขาก็เก็บเข้าไปในแหวนห้วงจักรวาลและกลับไปที่ห้องโถงใหญ่
ภายในห้องโถงใหญ่,กลุ่มสานุศิษย์แก่นกลางกําลังมุ่งหน้ามาที่เซี่ยวเฉิน พวกเขาทั้งหมดมีความเกี่ยวโกรธบนใบหน้าของพวกเขา แต่ไม่มีใครเลยที่กล้าขึ้นนํา
ในตอนที่เซี่ยวเฉินเป็นเพียงระดับขอบเขตนัก บุญขั้นต้น,เขาก็กล้าที่จะเผชิญหน้ากับคนของยอดเขากางอวี้ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด,เขาไม่มีความเกรงกลัวอย่างแน่นอน
เซี่ยวเฉินมองไปที่คนจํานวนสองหรือสามสิบคนที่กําลังปิดทางของเขาและกล้าขึ้นอย่างไม่แยแส “พวกเจ้าหลีกทางได้หรือไม่? ข้าจะออกไปข้างนอก”
ผู้นําของพวกเขาคือสานุศิษย์แก่นกลางของยอดเขาเขียนตัวนที่ชื่อว่าจางเชิง เขาอยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูง,ยังไม่ได้ขึ้นถึงขั้นสูงสุด
“เย่เฉิน,ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า,พวกเราไม่มีอะไรจะกล่าวหากเจ้ารับภารกิจระดับสูง เจ้ายินดีจะเอาสัญญาภารกิจออกมาแสดงให้พวก เราดูได้หรือไม่? พวกเราจะได้แจกจ่ายที่เหลื อกันได้อย่างเหมาะสม” จางเชิงกล่าว
เชี่ยวเฉินคิ้วขมวดเล็กน้อย เขาพบว่ามันน่าขบขัน ทําไมเขาต้องแสดงภารกิจของเขาให้คนอื่น?
“ขออภัย,เป็นไปไม่ได้ ไม่มีความจําเป็นที่ข้าจะต้องบอกเจ้าว่าข้ารับภารกิจอะไรมา ข้ากําลังรีบ,เจ้าจะหลีกทางหรือไม่?”
“เจ้า…” จางเชิงรู้สึกโกรธ เขาได้ยอมลดตัวลงแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ไว้เขาแม้แต่น้อย
มองดูอีกฝ่ายไม่ยอมถอย,เซี่ยวเฉินรู้สึกโมโหขึ้นในใจ เขาเหลียวตาไปที่จางเชิงและขัดขึ้นด้วยเสียงเย็น “หลีกหรือไม่หลีก?”
จางเชิงมองเห็นสายตาอันเย็นชาของเซี่ยวเฉินและนึกถึงฉากที่เซี่ยวเฉินกําลังเผชิญหน้า ประมือกับมู่หลงชง เขาไม่มั่นใจในตัวเอง เขากําหมัดของเขาแน่นและขยับออกไปที่ด้านข้างด้วยสีหน้าไม่ยินยอม
เมื่อสานุศิษย์แก่นกลางคนอื่น,ที่อ่อนแอกว่า จางเชิง,เห็นว่าเขาขยับออกด้านข้าง,พวกเขาก็ อนหายใจเบาๆ พวกเขาก็เริ่มขัยบเปิดทางให้กับเซี่ยวเฉินเช่นกัน
เซี่ยวเฉินเมินเฉยต่อสีหน้าท่าทางของพวกเขา และกลับออกไปจากโถงคุณความชอบอย่างรวดเร็ว,หายลับไปจากสายตาของทุกคน
เมื่อจางเชิงและคนอื่นๆขึ้นไปที่ชั้นสอง,จางเชิงระเบิดอารมณ์ออกมา “ไอ้สารเลวนั้น! เขาเอาภารกิระดับดําไปยี่สิบภารกิจ,เหลือไว้ให้พวกเราทั้งหมดเพียงสิบภารกิจ!”
เซี่ยวเฉินไม่อาจได้ยินถึงเสียงเกรี้ยวกราดของคนพวกนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยิน,เขาก็ไม่ไปใส่ใจ พวกมันเป็นเพียงกองขยะ พวกมันยึดโถงคุณ ความชอบไว้เหมือนบ้านของพวกมัน,ทําให้ทุกคนต้องขอความเห็นชอบจากพวกมันก่อนที่จะได้รับภารกิจไปทํา
หลังจากที่เซี่ยวเฉินออกจากศาลากระบี่สวรรค์, เขาหยิบเอาสัญญาออกมาและมองดูใกล้ๆ เขากล่าว “เริ่มจากที่ใกล้ๆก่อนจะน้องเป็นอันนี้ เมืองสายลมใสถูกรุกรานจากสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6 เมื่อเร็วๆนี้ มีผู้เสียชีวิตนับไม่ถ้วน พวกเขามาที่ศาลากระบี่สวรรค์เพื่อขอความช่วยเหลือ”
เมืองสายลมใสเป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ในแคว้นซีเหอ มันขนาดเล็กพอๆกับเมืองม่อเหอที่เซี่ยวเฉิน เคยอยู่ผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในเมือง อยู่เพียงระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูง
เมื่อพวกเขารวมพลังจากทั่วทั้งเมือง,พวกเขาก็ไม่มีทางกําจัดสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6 ทุกครั้งที่ มีสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6 เข้ามา มันจะขัดขวางการค้าของเมืองอย่างรุนแรง
เซี่ยวเฉินหยิบแผนที่ออกมาและยืนยันทิศทางของเมืองสายลมใส,เขาใช้ออกมังกรฟ้าเมฆาทะยาน เขาเปลี่ยนกลายเป็นเส้นลําแสงสีม่วงและ พุ่งไปตามทางอย่างรวดเร็ว
ด้วยความเร็วเต็มกําลังของเซี่ยวเฉิน,ชายแดนของเมืองเล็กๆปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขาในสามวันต่อมา เมื่อเขามองเห็นเมืองนี้ เซี่ยวเฉินยิ้มออกมาบางเบาและกล่าว “ในที่สุดข้าก็มาถึง มาจัดการให้เสร็จโดยไว มันก็เป็นเพียงแค่สัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6”
เซี่ยวเฉินไปสะดุดตากับประกาศห้าแผนบนกําแพงเมือง เซี่ยวเฉินอดไม่ได้ที่จะหยุดดู
ภาพวาดบนประกาศทั้งหมดเป็นร่างจริงของเขา พวกมันถูกประกาศโดยตระกูลต้วนมู่และตระกูลฮวาของแคว้นตงหมิง,ตระกูลจีของแคว้นหนานหลิง,ตระกูลหยานของแคว้นซีเหอ,และขุนนางกุยยีจากตระกูลราชวงศ์
รางวัลจากแต่ละตระกูลขึ้นไปถึงอย่างน้อยหนึ่งพันหินวิญญาณระดับกลาง เมื่อเอาทั้งหมดมารวมกันจะเป็นอย่างน้อยหกพันหินวิญญาณระดับกลาง เป็นจํานวนที่น่าสะพรึงดึงดูดผู้บ่มเพาะพลังทุกคน
“ผู้กล้า,เจ้ามองดูประกาศพวกนั้นเป็นเวลานานแล้ว หรือเจ้าจะมีข่าวคราวของคนผู้นี้?” ยามของท่านเจ้าเมืองถามขึ้น
เซี่ยวเฉินยิ้มจางๆและกล่าว “ไม่มี,ข้าแค่สงสัย”
ยามยิ้มขึ้น “ทุกคนก็มีท่าที่เหมือนเจ้า ในตอนที่พวกเขาเห็นประกาศเป็นครั้งแรก,พวกเขาล้วนรู้สึกตกตะลึง เจ้าหมอนี่มีชีวิตรอดหลังจากที่ไปท้าทายสีผู้สืบทอดจิตวิญญาณยุทธของตระกูลชั้นสูง เขาไปยั่วยุแม้กระทั่งขุนนางกุยย!”
“สําหรับผู้บ่มเพาะพลังธรรมดา,ไปหาเรื่องแค่หนึ่งในห้าคนนั้นก็ถึงฆาตแล้ว เจ้าหมอนี่ไปยั่วยุ ครึ่งหนึ่งของชุมอํานาจแห่งอาณาจักรต้าฉิน”
“อย่างไรก็ตาม,มันก็น่าแปลกใจ เจ้าหมอนี่ไม่ปรากฏตัวมานานนับปีแล้ว มันราวกับว่าเขาได้ลบ หายไปอย่างสมบูรณ์ นี่มันทําให้เหล่าตระกูลชั้นสูงเพิ่มค่าหัวของเขาขึ้นเรื่อยๆ”
“ตราบใดที่รู้ร่องรอยของคนผู้นี้,เขาสามารถไปรับหนึ่งหมื่นเหรียญทองและหนึ่งพันหินวิญญาณระดับต่ํา หากข้าพบเจ้าหมอนข้าก็รวยแล้วข้าไม่ต้องทํางานกับท่านเจ้าเมืองอีกต่อไป”
เซี่ยวเฉินยิ้มและกล่าว “เจ้าจะมีโอกาสได้เห็นเขาสักวันหนึ่ง”
หลังจากที่เขาพูดจบ,เขาไม่ได้อะไรต่อและเดินเข้าไปในประตูเมือง,มุ่งหน้าไปที่จวนของท่านเจ้าเมืองอย่างรวดเร็ว หลังจากที่รายงานจุดประสงค์กับยาม,พวกเขาก็ให้เข้าไปในทันที,พาเขาไปที่ห้องโถงรอง
เชี่ยวเฉินนั่งลงและยกชาขึ้นมาจิบได้คําเดียว ในตอนที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบ ประตูเปิดออกพร้อมเสียงครืด
ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากข้างนอกประตู,พวกเขาทั้งสองคนอยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูง อย่างไรก็ตาม คนที่อยู่ทางซ้ายเห็นชัดว่ามีขอบเขตพลังลึกล้ํากว่ากระแสพลังของเขาแข็งแกร่งกว่าอีกคนหนึ่ง
เมื่อเซี่ยวเฉินมองดูชุดที่เขาสวม,เขาก็แน่ใจว่า คนผู้นี้คือท่านเจ้าเมืองและอีกคนหนึ่งคือผู้ช่วยของเขาหรืออะไรทํานองนั้น
รอยยิ้มตื่นเต้นของท่านเจ้าเมืองกลายเป็นมืดมนในทันทีที่เขาเห็นเซี่ยวเฉิน
เขาเต็มไปด้วยความงุนงงพร้อมกับถามขึ้น “เจ้าเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่ศาลากระบี่สวรรค์ส่งมา? ทําไมขอบเขตพลังของเจ้าถึงได้ต่ํานัก? นอกจากนั้น,เจ้ายังมาตัวคนเดียว เจ้าไม่ใได้มาต้มน,ใช่หรือไม่?”
เซี่ยวเฉินยิ้มจางๆ จากนั้นก็หยิบเหรียญแสดงต้นของเขาออกมาอย่างไม่รีบร้อนและแสดงให้ กับท่านเจ้าเมือง จากนั้นเขาก็หยิบเอาสัญญาภารกิจออกมาและกล่าว “สานุศิษย์แก่นกลางศาลากระบี่สวรรค์,เย่เฉินจากยอดเขาฉิงหยุนสัญญา และเหรียญแสดงตนเป็นเครื่องยืนยันตัวตนของข้า,ไม่ใช่ของแท้ยินดีรับเปลี่ยน!”
ผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างท่านเจ้าเมืองกล่าวออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “อะไรคือการส่งระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลางมาที่นี่? ยังมีคนอีกมากมายที่รอคอยความช่วยเหลือในเมืองสายลมใส ไม่ต้องมีศาลากระปสวรรค์ก็ได้หากจะส่งมาแค่นี้!”
“บูม! บูม!”
ขณะที่ทั้งสามคนกําลังพูดคุย,ทันใดนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือน ท่านเจ้าเมืองสายลมใสอดไม่ได้ ที่จะหน้าเปลี่ยนสี เขากล่าว “บัดซบ! งูเพลิงทมิฬมันกําลังเข้ามาอีกแล้ว ไปเร็ว!”
“ฟุ ฟิ้ว!” สายลมรุนแรงพัดผ่านพวกเขา เซี่ยวเฉินเคลื่อนไหวเป็นคนแรก, เปิดประตูและเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ทั้งสองคนออกไป,พวกเขาก็มองไม่เห็นเซี่ยวเฉินแล้ว
ท่านเจ้าเมืองกล่าวอย่างตกตะลึง “รวดเร็วอะไรอย่างนี้! หรือพวกเราตาฝาดไป?”
ปากของผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างกระตุก “ไม่มีประโยชน์ถึงแม้ว่าเขาจะรวดเร็วเพียงใด หนังของงูเพลิงทมิฬแข็งยิ่งกว่าเหล็กเหมันต์ทั่วไป ทั้งท่าน และข้าที่อยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูง พวกเราก็ไม่สามารถทะลวงผ่านการป้องกันของมัน สําหรับระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลาง,เขาจะทําได้อย่างไร?”
เซี่ยวเฉินใช้ออกคาถาแรงโน้มถ่วงและมุ่งหน้าไปที่ต้นเสียง,กําลังโบยบินไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไประยะเวลาสั้นๆ,เขาก็พบกับสัตว์อสูรวิญญาณที่กําลังสร้างความปั่นป่วน
เซี่ยวเฉินมองเห็นงูสีดําขนาดมหึมาลําตัวหนาประมาณสามเมตรอยู่บนถนนในเมือง มันกําลัง ขุดหลุมลากไปเป็นทางอย่างรวดเร็ว เพลิงสีดําถูกพ่นออกมาจากปากของมัน,เผาบ้านที่อยู่โดยรอบกลายเป็นเถ้าถ่าน
ฝูงชนแตกหนีไปทั่วทิศทางด้วยความหวาดกลัว
“สัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6 ขั้นสูงสุด งูเพลิงทมิฬ!” เซี่ยวเฉินนึกชื่อของมันออกในทันที เขากล่าวอย่างเฉยเมย “อย่างไรก็ตาม มันอายุเพียงสองร้อยปี มันยังห่างไกลที่จะโตเต็มวัย มันห่างชั้นกับพญางูแดงในโลกใต้พิภพ”
ยังมีความแตกต่างในความแข็งแกร่งระหว่างสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6 ขั้นสูงสุด นอกจากความแตกต่างของสายเลือด,ยังตัดสินจากอายุของสัตว์อสูรวิญญาณ
ยิ่งมันมีชีวิตมานาน,ความแข็งแกร่งยิ่งน่ากลัว หากมันเป็นงูเพลิงทมิฬอายุหนึ่งพันปี,มันจะต้องการระดับขอบเขตกษัตริย์มาเพื่อรับมือ
“ซิ่ว!”
เมื่อเซี่ยวเฉินเห็นบอลเพลิงกําลังพุ่งไปที่สาวน้อยผู้หนึ่ง เขาไม่มีความบังเล ร่างของเขาวูบไหวและเขารีบลงไปคว้าตัวของสาวน้อยผู้นั้น ก่อนที่จะหันหลังกลับ
“ปัง!” เพลิงสีดําปะทะเข้ากับร่างของเซี่ยวเฉิน และระเบิดขึ้นรุนแรง คลื่อนกระแทกพลุ่งพล่าน,กลืนกินเขาไปทั่วทั้งตัว
นี่ทําให้ทุกคนต่างสูดหายใจเข้าลึก ในตอนที่เปลวเพลิงสลายไป,ฝูงชนตกตะลึงที่เห็นชุดคลุมสีน้ําเงินของเซี่ยวเฉินอยู่ในสภาพสมบูรณ์
หญิงกลางคนผู้หนึ่งวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว นางคว้าสาวน้อยคนนั้นจากอ้อมกอดของเซี่ยวเฉินและกล่าวขึ้น “ขอบคุณ ท่านผู้กล้า,ที่ช่วยลูกสาวของข้าเอาไว้”
เซี่ยวเฉินตอบกลับ “ไม่จําเป็นต้องขอบคุณข้า รีบออกไปจากที่นี่เสีย,มันอันตรายอย่างมาก”
ขณะที่เซี่ยวเฉินกล่าวจบ,พลังงานอันอ่อนโยนห่อหุ้มชาวเมืองทั้งสองคนเอาไว้,ผลักพวกเขาออกไปที่ระยะปลอดภัย”
“ฟุ ฟิ้ว!”
ขณะที่เซี่ยวเฉินหันกลับมา,งูเพลิงทมิฬตัวยาวกว่าสองร้อยเมตรในที่สุดก็ขุดตัวออกมาจากพื้น จากนั้น,ร่างของมันก็ทะยานขึ้นไปในอากาศ
ปากของมันเปิดกว้างและงับตรงไปที่เซี่ยวเฉิน เขี้ยวอันแหลมคมของมันเรืองแสงเย็นเฉียบ เส้นพลังฉีสีดําหมุนวนรอบร่างของมัน,รูปลักษณ์ของมันทําให้ฝูงชนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
สีหน้าของเซียวเผอินไม่เปลี่ยนแปลง เขาหมุนเวียนพลังปราณและก้าวขึ้นหน้าขณะที่ปากงูมหึมาพุ่งลงมาที่เขา
เซี่ยวเฉินร้องตะโกนและกํานิ้วทั้งห้ากลายเป็นกําปั้น จากนั้นเขาก็ชกไปที่คอของงูยักษ์อย่างรุนแรง
“บูม!”
เกิดเสียงดังออกมา,และร่างมหึมาของงูเพลิงทมิฬสะเทือนกลับหลังไปในทันที นี้เป็นผลทําให้ก้อนหินบนถนนถูกทุบกระจายไปคนละทาง
เซี่ยวเฉินไม่ได้อ้อมพลังที่ใส่ในกําปั้น หลังจากที่สลักร่างพยัคฆ์มังกรก้าวผ่านชั้นที่ห้า,พลังของ เขาก็ขึ้นมาถึงหนึ่งหมื่นกิโลกรัม ฝ่ายตรงข้ามจะต้านทานได้อย่างไร?
ขณะที่งเพลิงทมิฬกําลังสั่นไปมา,มันฟาดหางอันใหญ่โตของมันตรงไปที่พื้นในทันที
“วาดกระบี่!!”
กระบี่แสงรุ่งโรจน์เรืองขึ้นและร่างอันหนาของงูเพลิงทมิฬถูกสับขาดในทันที สายเลือดสีแดงพุ่งไปในอากาศและหางงูยาสสามเมตรก็ตกลงมาที่พื้น
“หวู่ขุยแพรวพราว!”
เซี่ยวเฉินกระโดดขึ้นไปในอากาศ เมฆาอัสนี รวมตัวกันบนท้องฟ้าในทันที ข้อมือของเขาสะบัดเก้าครั้งและเส้นกระบี่ฉีสีมีวงเก้าเส้นซัดเข้าทิ้งเพลิงทมิฬ
บาดแผลอันน่าสยดสยองปรากฏขึ้นบนตัวของเพลิงทมิฬ,มีเลือดและชิ้นเนื้อไหลออกมา งูเพลิงทมิฬบิดตัวไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด,กลิ้งไปมาไม่หยุดหย่อนและครวฐออกมาอย่างปวดร้าว
เมื่อท่านเจ้าเมืองสายลมใสและผู้ช่วยของเขาเห็นฉากนี้ พวกเขาตกตะลึงนิ่งอึ้ง
ผู้ช่วย,ผู้ที่กล่าวว่าเซี่ยวเฉินไม่มีทางทะลวงผ่านการป้องกันของงูเพลิงทมิฬ,ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที เขาพึมพํา “เป็นไปได้อย่างไร? เห็นชัดว่าเขาอยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลาง อย่างทะลวงการป้องกันของงูเพลิงทมิฬไปได้อย่างไร?”
Comments
Immortal and Martial Dual Cultivation 302 คนน่ารังเกียจ
ตอนที่ 302 คนน่ารังเกียจ
ผู้ดูแลกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่มีปัญหา รอสักครู่,ข้าจะนําสัญญามาให้ จะมีสําเนาสองฉบับ หลังจากที่ชื่อถูกประทับตรา,เจ้ากลับออกไปได้”
หลังจากที่เซี่ยวเฉินทําทั้งหมดเสร็จสิ้น เขาเปิดมองสัญญาของทั้งยี่สิบภารกิจผ่านๆ จากนั้น เขาก็เก็บเข้าไปในแหวนห้วงจักรวาลและกลับไปที่ห้องโถงใหญ่
ภายในห้องโถงใหญ่,กลุ่มสานุศิษย์แก่นกลางกําลังมุ่งหน้ามาที่เซี่ยวเฉิน พวกเขาทั้งหมดมีความเกี่ยวโกรธบนใบหน้าของพวกเขา แต่ไม่มีใครเลยที่กล้าขึ้นนํา
ในตอนที่เซี่ยวเฉินเป็นเพียงระดับขอบเขตนัก บุญขั้นต้น,เขาก็กล้าที่จะเผชิญหน้ากับคนของยอดเขากางอวี้ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด,เขาไม่มีความเกรงกลัวอย่างแน่นอน
เซี่ยวเฉินมองไปที่คนจํานวนสองหรือสามสิบคนที่กําลังปิดทางของเขาและกล้าขึ้นอย่างไม่แยแส “พวกเจ้าหลีกทางได้หรือไม่? ข้าจะออกไปข้างนอก”
ผู้นําของพวกเขาคือสานุศิษย์แก่นกลางของยอดเขาเขียนตัวนที่ชื่อว่าจางเชิง เขาอยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูง,ยังไม่ได้ขึ้นถึงขั้นสูงสุด
“เย่เฉิน,ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า,พวกเราไม่มีอะไรจะกล่าวหากเจ้ารับภารกิจระดับสูง เจ้ายินดีจะเอาสัญญาภารกิจออกมาแสดงให้พวก เราดูได้หรือไม่? พวกเราจะได้แจกจ่ายที่เหลื อกันได้อย่างเหมาะสม” จางเชิงกล่าว
เชี่ยวเฉินคิ้วขมวดเล็กน้อย เขาพบว่ามันน่าขบขัน ทําไมเขาต้องแสดงภารกิจของเขาให้คนอื่น?
“ขออภัย,เป็นไปไม่ได้ ไม่มีความจําเป็นที่ข้าจะต้องบอกเจ้าว่าข้ารับภารกิจอะไรมา ข้ากําลังรีบ,เจ้าจะหลีกทางหรือไม่?”
“เจ้า…” จางเชิงรู้สึกโกรธ เขาได้ยอมลดตัวลงแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ไว้เขาแม้แต่น้อย
มองดูอีกฝ่ายไม่ยอมถอย,เซี่ยวเฉินรู้สึกโมโหขึ้นในใจ เขาเหลียวตาไปที่จางเชิงและขัดขึ้นด้วยเสียงเย็น “หลีกหรือไม่หลีก?”
จางเชิงมองเห็นสายตาอันเย็นชาของเซี่ยวเฉินและนึกถึงฉากที่เซี่ยวเฉินกําลังเผชิญหน้า ประมือกับมู่หลงชง เขาไม่มั่นใจในตัวเอง เขากําหมัดของเขาแน่นและขยับออกไปที่ด้านข้างด้วยสีหน้าไม่ยินยอม
เมื่อสานุศิษย์แก่นกลางคนอื่น,ที่อ่อนแอกว่า จางเชิง,เห็นว่าเขาขยับออกด้านข้าง,พวกเขาก็ อนหายใจเบาๆ พวกเขาก็เริ่มขัยบเปิดทางให้กับเซี่ยวเฉินเช่นกัน
เซี่ยวเฉินเมินเฉยต่อสีหน้าท่าทางของพวกเขา และกลับออกไปจากโถงคุณความชอบอย่างรวดเร็ว,หายลับไปจากสายตาของทุกคน
เมื่อจางเชิงและคนอื่นๆขึ้นไปที่ชั้นสอง,จางเชิงระเบิดอารมณ์ออกมา “ไอ้สารเลวนั้น! เขาเอาภารกิระดับดําไปยี่สิบภารกิจ,เหลือไว้ให้พวกเราทั้งหมดเพียงสิบภารกิจ!”
เซี่ยวเฉินไม่อาจได้ยินถึงเสียงเกรี้ยวกราดของคนพวกนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยิน,เขาก็ไม่ไปใส่ใจ พวกมันเป็นเพียงกองขยะ พวกมันยึดโถงคุณ ความชอบไว้เหมือนบ้านของพวกมัน,ทําให้ทุกคนต้องขอความเห็นชอบจากพวกมันก่อนที่จะได้รับภารกิจไปทํา
หลังจากที่เซี่ยวเฉินออกจากศาลากระบี่สวรรค์, เขาหยิบเอาสัญญาออกมาและมองดูใกล้ๆ เขากล่าว “เริ่มจากที่ใกล้ๆก่อนจะน้องเป็นอันนี้ เมืองสายลมใสถูกรุกรานจากสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6 เมื่อเร็วๆนี้ มีผู้เสียชีวิตนับไม่ถ้วน พวกเขามาที่ศาลากระบี่สวรรค์เพื่อขอความช่วยเหลือ”
เมืองสายลมใสเป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ในแคว้นซีเหอ มันขนาดเล็กพอๆกับเมืองม่อเหอที่เซี่ยวเฉิน เคยอยู่ผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในเมือง อยู่เพียงระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูง
เมื่อพวกเขารวมพลังจากทั่วทั้งเมือง,พวกเขาก็ไม่มีทางกําจัดสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6 ทุกครั้งที่ มีสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6 เข้ามา มันจะขัดขวางการค้าของเมืองอย่างรุนแรง
เซี่ยวเฉินหยิบแผนที่ออกมาและยืนยันทิศทางของเมืองสายลมใส,เขาใช้ออกมังกรฟ้าเมฆาทะยาน เขาเปลี่ยนกลายเป็นเส้นลําแสงสีม่วงและ พุ่งไปตามทางอย่างรวดเร็ว
ด้วยความเร็วเต็มกําลังของเซี่ยวเฉิน,ชายแดนของเมืองเล็กๆปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขาในสามวันต่อมา เมื่อเขามองเห็นเมืองนี้ เซี่ยวเฉินยิ้มออกมาบางเบาและกล่าว “ในที่สุดข้าก็มาถึง มาจัดการให้เสร็จโดยไว มันก็เป็นเพียงแค่สัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6”
เซี่ยวเฉินไปสะดุดตากับประกาศห้าแผนบนกําแพงเมือง เซี่ยวเฉินอดไม่ได้ที่จะหยุดดู
ภาพวาดบนประกาศทั้งหมดเป็นร่างจริงของเขา พวกมันถูกประกาศโดยตระกูลต้วนมู่และตระกูลฮวาของแคว้นตงหมิง,ตระกูลจีของแคว้นหนานหลิง,ตระกูลหยานของแคว้นซีเหอ,และขุนนางกุยยีจากตระกูลราชวงศ์
รางวัลจากแต่ละตระกูลขึ้นไปถึงอย่างน้อยหนึ่งพันหินวิญญาณระดับกลาง เมื่อเอาทั้งหมดมารวมกันจะเป็นอย่างน้อยหกพันหินวิญญาณระดับกลาง เป็นจํานวนที่น่าสะพรึงดึงดูดผู้บ่มเพาะพลังทุกคน
“ผู้กล้า,เจ้ามองดูประกาศพวกนั้นเป็นเวลานานแล้ว หรือเจ้าจะมีข่าวคราวของคนผู้นี้?” ยามของท่านเจ้าเมืองถามขึ้น
เซี่ยวเฉินยิ้มจางๆและกล่าว “ไม่มี,ข้าแค่สงสัย”
ยามยิ้มขึ้น “ทุกคนก็มีท่าที่เหมือนเจ้า ในตอนที่พวกเขาเห็นประกาศเป็นครั้งแรก,พวกเขาล้วนรู้สึกตกตะลึง เจ้าหมอนี่มีชีวิตรอดหลังจากที่ไปท้าทายสีผู้สืบทอดจิตวิญญาณยุทธของตระกูลชั้นสูง เขาไปยั่วยุแม้กระทั่งขุนนางกุยย!”
“สําหรับผู้บ่มเพาะพลังธรรมดา,ไปหาเรื่องแค่หนึ่งในห้าคนนั้นก็ถึงฆาตแล้ว เจ้าหมอนี่ไปยั่วยุ ครึ่งหนึ่งของชุมอํานาจแห่งอาณาจักรต้าฉิน”
“อย่างไรก็ตาม,มันก็น่าแปลกใจ เจ้าหมอนี่ไม่ปรากฏตัวมานานนับปีแล้ว มันราวกับว่าเขาได้ลบ หายไปอย่างสมบูรณ์ นี่มันทําให้เหล่าตระกูลชั้นสูงเพิ่มค่าหัวของเขาขึ้นเรื่อยๆ”
“ตราบใดที่รู้ร่องรอยของคนผู้นี้,เขาสามารถไปรับหนึ่งหมื่นเหรียญทองและหนึ่งพันหินวิญญาณระดับต่ํา หากข้าพบเจ้าหมอนข้าก็รวยแล้วข้าไม่ต้องทํางานกับท่านเจ้าเมืองอีกต่อไป”
เซี่ยวเฉินยิ้มและกล่าว “เจ้าจะมีโอกาสได้เห็นเขาสักวันหนึ่ง”
หลังจากที่เขาพูดจบ,เขาไม่ได้อะไรต่อและเดินเข้าไปในประตูเมือง,มุ่งหน้าไปที่จวนของท่านเจ้าเมืองอย่างรวดเร็ว หลังจากที่รายงานจุดประสงค์กับยาม,พวกเขาก็ให้เข้าไปในทันที,พาเขาไปที่ห้องโถงรอง
เชี่ยวเฉินนั่งลงและยกชาขึ้นมาจิบได้คําเดียว ในตอนที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบ ประตูเปิดออกพร้อมเสียงครืด
ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากข้างนอกประตู,พวกเขาทั้งสองคนอยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูง อย่างไรก็ตาม คนที่อยู่ทางซ้ายเห็นชัดว่ามีขอบเขตพลังลึกล้ํากว่ากระแสพลังของเขาแข็งแกร่งกว่าอีกคนหนึ่ง
เมื่อเซี่ยวเฉินมองดูชุดที่เขาสวม,เขาก็แน่ใจว่า คนผู้นี้คือท่านเจ้าเมืองและอีกคนหนึ่งคือผู้ช่วยของเขาหรืออะไรทํานองนั้น
รอยยิ้มตื่นเต้นของท่านเจ้าเมืองกลายเป็นมืดมนในทันทีที่เขาเห็นเซี่ยวเฉิน
เขาเต็มไปด้วยความงุนงงพร้อมกับถามขึ้น “เจ้าเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่ศาลากระบี่สวรรค์ส่งมา? ทําไมขอบเขตพลังของเจ้าถึงได้ต่ํานัก? นอกจากนั้น,เจ้ายังมาตัวคนเดียว เจ้าไม่ใได้มาต้มน,ใช่หรือไม่?”
เซี่ยวเฉินยิ้มจางๆ จากนั้นก็หยิบเหรียญแสดงต้นของเขาออกมาอย่างไม่รีบร้อนและแสดงให้ กับท่านเจ้าเมือง จากนั้นเขาก็หยิบเอาสัญญาภารกิจออกมาและกล่าว “สานุศิษย์แก่นกลางศาลากระบี่สวรรค์,เย่เฉินจากยอดเขาฉิงหยุนสัญญา และเหรียญแสดงตนเป็นเครื่องยืนยันตัวตนของข้า,ไม่ใช่ของแท้ยินดีรับเปลี่ยน!”
ผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างท่านเจ้าเมืองกล่าวออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “อะไรคือการส่งระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลางมาที่นี่? ยังมีคนอีกมากมายที่รอคอยความช่วยเหลือในเมืองสายลมใส ไม่ต้องมีศาลากระปสวรรค์ก็ได้หากจะส่งมาแค่นี้!”
“บูม! บูม!”
ขณะที่ทั้งสามคนกําลังพูดคุย,ทันใดนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือน ท่านเจ้าเมืองสายลมใสอดไม่ได้ ที่จะหน้าเปลี่ยนสี เขากล่าว “บัดซบ! งูเพลิงทมิฬมันกําลังเข้ามาอีกแล้ว ไปเร็ว!”
“ฟุ ฟิ้ว!” สายลมรุนแรงพัดผ่านพวกเขา เซี่ยวเฉินเคลื่อนไหวเป็นคนแรก, เปิดประตูและเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ทั้งสองคนออกไป,พวกเขาก็มองไม่เห็นเซี่ยวเฉินแล้ว
ท่านเจ้าเมืองกล่าวอย่างตกตะลึง “รวดเร็วอะไรอย่างนี้! หรือพวกเราตาฝาดไป?”
ปากของผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างกระตุก “ไม่มีประโยชน์ถึงแม้ว่าเขาจะรวดเร็วเพียงใด หนังของงูเพลิงทมิฬแข็งยิ่งกว่าเหล็กเหมันต์ทั่วไป ทั้งท่าน และข้าที่อยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูง พวกเราก็ไม่สามารถทะลวงผ่านการป้องกันของมัน สําหรับระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลาง,เขาจะทําได้อย่างไร?”
เซี่ยวเฉินใช้ออกคาถาแรงโน้มถ่วงและมุ่งหน้าไปที่ต้นเสียง,กําลังโบยบินไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไประยะเวลาสั้นๆ,เขาก็พบกับสัตว์อสูรวิญญาณที่กําลังสร้างความปั่นป่วน
เซี่ยวเฉินมองเห็นงูสีดําขนาดมหึมาลําตัวหนาประมาณสามเมตรอยู่บนถนนในเมือง มันกําลัง ขุดหลุมลากไปเป็นทางอย่างรวดเร็ว เพลิงสีดําถูกพ่นออกมาจากปากของมัน,เผาบ้านที่อยู่โดยรอบกลายเป็นเถ้าถ่าน
ฝูงชนแตกหนีไปทั่วทิศทางด้วยความหวาดกลัว
“สัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6 ขั้นสูงสุด งูเพลิงทมิฬ!” เซี่ยวเฉินนึกชื่อของมันออกในทันที เขากล่าวอย่างเฉยเมย “อย่างไรก็ตาม มันอายุเพียงสองร้อยปี มันยังห่างไกลที่จะโตเต็มวัย มันห่างชั้นกับพญางูแดงในโลกใต้พิภพ”
ยังมีความแตกต่างในความแข็งแกร่งระหว่างสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6 ขั้นสูงสุด นอกจากความแตกต่างของสายเลือด,ยังตัดสินจากอายุของสัตว์อสูรวิญญาณ
ยิ่งมันมีชีวิตมานาน,ความแข็งแกร่งยิ่งน่ากลัว หากมันเป็นงูเพลิงทมิฬอายุหนึ่งพันปี,มันจะต้องการระดับขอบเขตกษัตริย์มาเพื่อรับมือ
“ซิ่ว!”
เมื่อเซี่ยวเฉินเห็นบอลเพลิงกําลังพุ่งไปที่สาวน้อยผู้หนึ่ง เขาไม่มีความบังเล ร่างของเขาวูบไหวและเขารีบลงไปคว้าตัวของสาวน้อยผู้นั้น ก่อนที่จะหันหลังกลับ
“ปัง!” เพลิงสีดําปะทะเข้ากับร่างของเซี่ยวเฉิน และระเบิดขึ้นรุนแรง คลื่อนกระแทกพลุ่งพล่าน,กลืนกินเขาไปทั่วทั้งตัว
นี่ทําให้ทุกคนต่างสูดหายใจเข้าลึก ในตอนที่เปลวเพลิงสลายไป,ฝูงชนตกตะลึงที่เห็นชุดคลุมสีน้ําเงินของเซี่ยวเฉินอยู่ในสภาพสมบูรณ์
หญิงกลางคนผู้หนึ่งวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว นางคว้าสาวน้อยคนนั้นจากอ้อมกอดของเซี่ยวเฉินและกล่าวขึ้น “ขอบคุณ ท่านผู้กล้า,ที่ช่วยลูกสาวของข้าเอาไว้”
เซี่ยวเฉินตอบกลับ “ไม่จําเป็นต้องขอบคุณข้า รีบออกไปจากที่นี่เสีย,มันอันตรายอย่างมาก”
ขณะที่เซี่ยวเฉินกล่าวจบ,พลังงานอันอ่อนโยนห่อหุ้มชาวเมืองทั้งสองคนเอาไว้,ผลักพวกเขาออกไปที่ระยะปลอดภัย”
“ฟุ ฟิ้ว!”
ขณะที่เซี่ยวเฉินหันกลับมา,งูเพลิงทมิฬตัวยาวกว่าสองร้อยเมตรในที่สุดก็ขุดตัวออกมาจากพื้น จากนั้น,ร่างของมันก็ทะยานขึ้นไปในอากาศ
ปากของมันเปิดกว้างและงับตรงไปที่เซี่ยวเฉิน เขี้ยวอันแหลมคมของมันเรืองแสงเย็นเฉียบ เส้นพลังฉีสีดําหมุนวนรอบร่างของมัน,รูปลักษณ์ของมันทําให้ฝูงชนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
สีหน้าของเซียวเผอินไม่เปลี่ยนแปลง เขาหมุนเวียนพลังปราณและก้าวขึ้นหน้าขณะที่ปากงูมหึมาพุ่งลงมาที่เขา
เซี่ยวเฉินร้องตะโกนและกํานิ้วทั้งห้ากลายเป็นกําปั้น จากนั้นเขาก็ชกไปที่คอของงูยักษ์อย่างรุนแรง
“บูม!”
เกิดเสียงดังออกมา,และร่างมหึมาของงูเพลิงทมิฬสะเทือนกลับหลังไปในทันที นี้เป็นผลทําให้ก้อนหินบนถนนถูกทุบกระจายไปคนละทาง
เซี่ยวเฉินไม่ได้อ้อมพลังที่ใส่ในกําปั้น หลังจากที่สลักร่างพยัคฆ์มังกรก้าวผ่านชั้นที่ห้า,พลังของ เขาก็ขึ้นมาถึงหนึ่งหมื่นกิโลกรัม ฝ่ายตรงข้ามจะต้านทานได้อย่างไร?
ขณะที่งเพลิงทมิฬกําลังสั่นไปมา,มันฟาดหางอันใหญ่โตของมันตรงไปที่พื้นในทันที
“วาดกระบี่!!”
กระบี่แสงรุ่งโรจน์เรืองขึ้นและร่างอันหนาของงูเพลิงทมิฬถูกสับขาดในทันที สายเลือดสีแดงพุ่งไปในอากาศและหางงูยาสสามเมตรก็ตกลงมาที่พื้น
“หวู่ขุยแพรวพราว!”
เซี่ยวเฉินกระโดดขึ้นไปในอากาศ เมฆาอัสนี รวมตัวกันบนท้องฟ้าในทันที ข้อมือของเขาสะบัดเก้าครั้งและเส้นกระบี่ฉีสีมีวงเก้าเส้นซัดเข้าทิ้งเพลิงทมิฬ
บาดแผลอันน่าสยดสยองปรากฏขึ้นบนตัวของเพลิงทมิฬ,มีเลือดและชิ้นเนื้อไหลออกมา งูเพลิงทมิฬบิดตัวไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด,กลิ้งไปมาไม่หยุดหย่อนและครวฐออกมาอย่างปวดร้าว
เมื่อท่านเจ้าเมืองสายลมใสและผู้ช่วยของเขาเห็นฉากนี้ พวกเขาตกตะลึงนิ่งอึ้ง
ผู้ช่วย,ผู้ที่กล่าวว่าเซี่ยวเฉินไม่มีทางทะลวงผ่านการป้องกันของงูเพลิงทมิฬ,ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที เขาพึมพํา “เป็นไปได้อย่างไร? เห็นชัดว่าเขาอยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลาง อย่างทะลวงการป้องกันของงูเพลิงทมิฬไปได้อย่างไร?”
Comments