Reincarnation Of The Strongest Sword God 2503

Now you are reading Reincarnation Of The Strongest Sword God Chapter 2503 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ดาบแรก ไลท์ชาโด้ว

เงียบสงัด !!!

น่ากลัว สยดสยอง !!!

ช่วงเวลาหนึ่งทุกคนในบาร์แสงดาวนั้นก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างมาก

ซือเฟิงได้เบี่ยงเบนการโจมตีของแอสซาซินหนุ่มที่แข็งแกร่งมากพอๆกับแกรนลอร์ด สายพันธุ์โบราณได้ และเขาสามารถปกปิดออร่าของเขาได้อย่างสมบูรณ์ด้วยในการโจมตีปกติ ใครกันจะเชื่อเรื่องนี้ ?

“นี่เขาเป็นผู้เล่นขั้นสามจริงๆงั้นหรอ ?” ชายผู้โหดเหี้ยมจากหัวใจพายุตกตะลึง เมื่อเห็นแอสซาซินที่ปลิวกระเด็นไปที่กับกำแพงบาร์

แอสซาซินหนุ่มนั้นยังคงมี HP ส่วนใหญ่เหลืออยู่ แต่อย่างไรก็ตามนี่มันก็ทำให้ชายผู้โหดเหี้ยมตกตะลึงมากอยู่ดี

หากซือเฟิงเพียงแค่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของแอสซาซินหนุ่ม และพบโอกาสในการโจมตีจุดอ่อนจึงโจมตีเข้าไป เขาก็คงจะตกตะลึงไม่มากนัก แต่อย่างไรก็ตามนี่มันแตกต่างออกไป เขาเข้าใจถึงสถานการณ์ทั้งหมดไม่มากก็น้อย

เพราะท้ายที่สุดแล้วมันสามารถบอกได้ชัดเลยจากการที่แอสซาซินหนุ่มสูญเสีย HP ไปเพียงเล็กน้อยว่าดาบของซือเฟิงนั้นไม่ได้ปะทะเข้ากับแอสซาซินหนุ่มโดยตรง แต่สิ่งที่เขาก็คือเอาดาบของตัวเองมาปะทะเข้ากับอาวุธของแอสซาซินหนุ่มเพื่อป้องกันการโจมตีก็เท่านั้น

ซึ่งในการปะทะกันตรงๆแบบนี้ แอสซาซินหนุ่มพ่ายแพ้ ….

ค่าสถานะพื้นฐานของแอสซาซินหนุ่มนั้นเทียบได้กับแกรนลอร์ด สายพันธุ์โบราณในเลเวลเดียวกัน ซึ่งแม้แต่ผู้เล่นขั้นสามทั่วไปที่เปิดใช้งานสกิลเบอเซิกร์ก็ไม่ควรจะแข็งแกร่งได้มากขนาดนี้ด้วย

แต่ซือเฟิงกับได้รับชัยชนะในการประชันความแข็งแกร่งกัน ยิ่งไปกว่านั้นนักดาบยังทำได้โดยไม่ได้อาศัยสกิลหรือเครื่องมือใดๆเลย เขาไม่ได้ใช้แม้แต่สกิลเบอเซิกร์ด้วย สิ่งที่เขาทำนั้น มันก็เป็นแค่การโจมตีปกติอย่างแท้จริง ….

เมื่อสมาชิกคนอื่นๆของไมโทโลนี้เห็นฉากนี้ พวกเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างมาก

“แซนด์สตอร์ม แพ้ ..?!”

“เป็นไปได้ยังไง ?! เขาล้มเหลวและไม่สามารถจะควบคุมพลังของวงเวทย์การต่อสู้ได้งั้นหรอ ?”

สมาชิกของไมโทโลจี้นั้นรู้ดีว่าผู้เล่นจะทรงพลังขึ้นมากขนาดไหน หลังจากได้รับการเสริมกำลังจากวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูง และสำหรับแอสซาซินที่ชื่อแซนด์สตอร์มนั้น เมื่อเขาใช้มัน เขาจะมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายขั้นสี่เลย ไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นขั้นสาม

อย่างไรก็ตามการใช้วงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงนั้นมันก็มีราคาแพงมากๆ และไม่สามารถใช้ได้บ่อย เหตุผลเดียวที่ซิลเวอร์โกสต์ยอมให้ใช้ในครั้งนี้นั้นมันเป็นเพราะเขาต้องการจะแสดงความแข็งแกร่งของไมโทโลจี้ให้กับสภาสิบแปดปีกเห็น

ไม่มีใครคาดหวังกับผลัพธ์นี้

ซือเฟิงได้ส่งแซนด์สตอร์มปลิวกระเด็นไปด้วยการโจมตีปกติ ครู่หนึ่งพวกเขานั้นสงสัยว่าแซนสตอร์มประมาท หรืออาจจะล้มเหลวในการใช้พลังของวงเวทย์ในการต่อสู้

ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งขนาดนี้กัน ?

ในทางกลับกันฟิธาเลียจ้องมองไปที่แผ่นหลังของซือเฟิงด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

แม้ว่าเธอจะเคยได้ยินจากแม๊คอาฟรี่และคนอื่นๆมาก่อนที่ว่าซือเฟิงเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสัตว์ประหลาด แต่เธอก็คิดว่าพลังของเขานั้นน่าจะใช้ได้พลกับผู้เล่นขั้นสามทั่วไปเท่านั้น อย่างไรก็ตามตอนนี้เธอพึ่งได้เห็นเขาทำให้ผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลจี้ซึ่งได้รับการเสริมความแข็งแกร่งด้วยวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงปลิวกระเด็นไปได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกับสถานการณ์นั้นซิลเวอร์โกสต์ก็ได้หันไปหาซือเฟิง และกล่าวอย่างคาดเดาว่า “คุณปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หน่งร้อยเปอเซ็นต์แล้วสินะ”

ในความคิดของเขาความแข็งแกร่งของซือเฟิงนั้นเป็นเรื่องรอง สิ่งที่น่าสนใจจริงๆคือความจริงที่ว่านักดาบนั้นสามารถจะติดตามการเคลื่อนไหวของแซนสตอร์มได้ทัน

มันไม่ควรจะมีผู้เล่นขั้นสามทั่วไปคนใดที่จะสามารถสัมผัสได้ถึงออร่าของแซนสตอร์ม และด้วยความเร็วของแอสซาซินนั้น การจะติดตามเขาให้ทันมันจะเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นคำอธิบายเดียวที่ซิลเวอร์โกสต์คิดได้ก็คือ ซือเฟิงนั้นได้ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว และเขาได้อาศัยมานาที่น่าทึ่งของร่างมานาเพื่อสร้างพื้นที่มานารอบตัวเอง โดยซือเฟิงได้ใช้พื้นที่มานานี้ในการค้นหาแซน
สตอร์ม

พวกเขานั้นสามารถจะปกปิดออร่าของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ แต่ตัวตนของพวกเขานั้นก็ยังคงมีอยู่จริง ดังนั้นตัวตนของพวกเขาจึงไม่ถูกซ่อนได้จากพื้นที่มานาของซือเฟิง

คำพูดของซิลเวอร์โกสต์นั้นทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วบาร์แสงดาว

“อะไรกัน ? เขาปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้วงั้นหรอ ?”

“ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำว่ามีผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆที่สามารถบรรลุความสำเร็จนี้ได้เร็วขนาดนี้”

ผู้เล่นทุกคนที่สามารถจะเข้ามาเยี่ยมชมป้อมปราการแสงดาวได้นั้นล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญแทบทั้งหมด ในขณะที่บางคนนั้นก็มาถึงขั้นสามแล้ว ดังนั้นโดยธรรมชาติ หัวข้อเรื่องร่างมานาขั้นสามจึงกลายเป็นประเด็นร้อนที่พูดคุยในหมู่ผู้เล่นมานานแล้ว

มันกลายเป็นความรู้โดยทั่วไปแล้วว่าผู้เล่นจะไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่ของขั้นสาม หลังจากที่ทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสามสำเร็จแล้ว พวกเขาจะยังคงต้องการเวลาเพื่อปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองให้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ก่อน อย่างไรก็ตาม นี่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้เล่นส่วใหญ่นั้นไม่มีแม้แต่เบาะแสในการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานา สิ่งที่พวกเขาทำได้คือพยายามปรับปรุงการควบคุมมานาของตัวเองเท่านั้น
แต่ในขณะที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ยังคงประสบปัญหานี้ พวกเขากับได้มารู้ว่าซือเฟิงปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว ดังนั้นทำไมพวกเขาจึงจะไม่ประหลาดใจ ?

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงกล้าจะยั่วยุไมโทโลจี้ !!!”

ตอนนี้โครว์เริ่มจะเข้าใจทุกสิ่งแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของซิลเวอร์โกสต์ ตอนแรกเขาก็สงสัยมากๆว่าทำไมซือเฟิงถึงมั่นใจมาก และกล้าจะตั้งตนเป็นศัตรูกับไมโทโลจี้ เพราะท้ายที่สุดผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลจี้นั้นทรงพลังมากอย่างไม่น่าเชื่อ และหลังจากที่พวกเขาเปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้แล้ว พลังการต่อสู้ของพวกเขาก็จะพุ่งไปสูงขึ้นจนผู้เล่นในปัจจุบันนั้นแทบจะไม่มีโอกาสต่อต้านเลย มีเพียงมังกรศักสิทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถปราบปรามคนเหล่านี้ได้

อย่างไรก็ตามตอนนี้แม้ว่าเขาจะรู้ว่าซือเฟิงทำได้สำเร็จ ซิลเวอร์โกสต์ก็ยังไม่ได้ตกตะลึงใดๆ เขากับยิ้มออกมาแทน

“พลังที่ได้รับเพิ่มขึ้นจากการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้นมันน่าทึ่งจริงๆ ฉันไม่คิดเลยว่าแซนสตอร์มก็ยังจะเทียบกับคุณไม่ได้ แม้ว่าจะเปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงแล้วก็ตาม” ซิลเวอร์โกสต์กล่าวกับซือเฟิง “อย่างไรก็ตามฉันสงสัยจังว่าคุณะจะสู้กับผู้เชี่ยวชาญแปดคนในระดับเดียวกันกับแซนสตอร์มได้ยังไง ?”

เมื่อซิลเวอร์โกสต์พูดจบ สมาชิกของไมโทโลจี้ที่อยู่เบื้องหลังเขาก็ทำการเปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้ของพวกเขาทันทีเช่นกัน ซึ่งโดยรวมแล้วผู้เล่นเหล่านี้นั้นเปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้อีกเจ็ดชุด และออร่าโดยรวมของพวกเขามันก็พุ่งสูงขึ้นมากจนไม่มีผู้เล่นขั้นสองคนใดในแถบนี้ที่สามารถจะขยับได้ สำหรับผู้เล่นขั้นสามบางคน ขาของพวกเขาก็เริ่มสั่นด้วยความกลัว

ในขณะเดียวกันแซนสตอร์มก็ดึงตัวเองออกมาจากกำแพงมาได้ และหัวเราะเยาะใส่ซือเฟิง

“ไอ้เวร ฉันยอมรับว่าคุณนั้นแข็งแกร่งมากๆ !!! แต่คุณไม่แข็งแกร่งพอที่จะฆ่าพวกเราได้ !!! เราสามารถจะจัดการกับค่าความเสียหายที่คุณทำได้ด้วยเวทย์ฮีลขั้นสูงของเรา !! แถมวงเวทย์การต่อสู้นี้ยังจะช่วยเพิ่มอัตราการฟื้นฟูความแข็งแกร่งทางจิตใจ และค่าสตามิน่าของเราขึ้นเป็นสามเท่า !!! คุณคิดว่าจะสู้กับเราได้นานแค่ไหนกัน ?” แซนด์สตอร์มกล่าวอย่างดูถูก

วงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงนั้นไม่ได้ช่วยเพิ่มแค่ค่าสถานะพื้นฐานของเขาเท่านั้น มันยังช่วยเพิ่ม HP และพลังป้องกันสูงสุดของเขา ตอนนี้พลังป้องกันของเขานั้นมีสูงเป็นสองเท่าของแท๊งเกอร์ขั้นสามที่เลเวลเดียวกันตามปกติแล้ว และเขามี HP มากกว่าสองล้านแล้ว การโจมตีของซือเฟิงอาจจะดูรุนแรง แต่เขาก็ได้รับความเสียยังไม่ถึงหนึ่งหมื่นเลย มันยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาแสบๆคันๆได้ด้วยซ้ำ

ฝูงชนที่ผ่อนคลายลง หลังจากได้เห็นการโจมตีของฟิธาเลียนั้นเงียบลงอีกครั้ง และแม้แต่ฟิธาเลียก็ยังต้องเฝ้ามองไปยังฉากนี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เธอไม่ได้คิดฝันเลยว่าไมโทโลจี้จะเตรียมวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงไว้มากมายขนาดนี้

ซือเฟิงนั้นมีแนวโน้มว่าจะสามารถรับมือกับผู้ที่เปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงหนึ่งคนได้สบายๆ แต่กับจำนวนแปดนคนนั้นมันเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป หากซือเฟิงถูกรุมแบบแปดต่อหนึ่งแบบนี้ เขาจะถูกลด HP ลงได้อย่างง่ายๆเลยจนกว่าจะตาย

“งั้นก็มาลองดูกัน !!!” ซือเฟิงตอบอย่างเฉยเมยพลางกวาดสายตามองไปยังสมาชิกของไมโทโลจี้

คำพูดของเขาทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในบาร์อีกครั้ง

“อะไรกัน ?! เขาจะสู้กับกองกำลังแบบนี้จริงๆงั้นหรอ !!!”

“เจ๋ง !!! เจ๋งเกินไปแล้ว !!! ตามความคาดหมายจากผู้เชี่ยวชาญที่สามารถเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวได้ !!! มันมีผู้เล่นเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเทียบกับเขาได้ในแง่ของความกล้าหาญ !!!”

พวกเขาทั้งหมดนั้นคิดว่าซือเฟิงคงจะเลือกถอยหนี เมื่อผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลจี้แปดคนเปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงแล้ว เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อคนเหล่านี้ประสานงานกัน มันก็คงจะมีแต่เพียงมังกรศักสิทธิ์ของป้อมปราการเท่านั้นที่จะสามารถหยุดพวกเขาได้ อย่างไรก็ตามซือเฟิงกับเลือกที่จะอยู่และต่อสู้ ตอนนี้เขาเป็นดั่งฮีโร่จากในตำนานที่แท้จริงเลย

“นี่คุณบ้ารึปล่าว ?!” ฟิธาเลียกล่าวโวยเพื่อนของเธอ “พวกเขาไม่ได้จะสู้กับคุณแบบหนึ่งต่อหนึ่งนะ !!! พวกเขาจะเข้ามาทีเดียว มันเป็นแปดต่อหนึ่งนะ !!!”

ซือเฟิงนั้นทำให้แซนสตอร์มปลิวกระเด็นไปได้ด้วยการโจมตีปกติ แต่นั่นมันก็คือทั้งหมด ผลลัพธ์ของการต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นจะไม่จบลงอย่างรวดเร็ว หากซือเฟิงสามารถสร้างความเสียหายได้น้อยกว่าหนึ่งหมื่น หรืออาจจะมากกว่าหนึ่งหมื่นแค่เพียงเล็กน้อย มันก็ไม่มีทางที่เขาจะฆ่าแอสซาซินซึ่งเปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงแล้วได้เลย แถมนี่ยังไม่นับรวมฮีลเลอร์ที่คอยช่วยแอสซาซินในแนวหลังอีก แอสซาซินจะสามารถฆ่าซือเฟิงได้อย่างง่ายดายด้วยซ้ำ

หากผู้เชี่ยวชาญแปดคนที่มีความแข็งแกร่งเท่ากับแซนสตอร์มโจมตีซือเฟิงร่วมกัน หัวหน้ากิลของสภาสิบแปดปีกก็จะนับว่าโชคดีมากแล้วที่สามารถจะยืนหยัดแบบชีวิตอยู่ได้ ไม่ต้องพูดถึงการฆ่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ซึ่งเป็นไปได้น้อยมาก

อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ฟิธาเลียพยายามห้ามปรามซือเฟิงนั้น ซิลเวอร์โกสต์ก็หัวเราะขึ้นมา

“ดีมาก !!! คุณนี่ช่างกล้าหาญอย่างแท้จริง !!! ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมคุณถึงกล้าจะตั้งตนเป็นศัตรูกับไมโทโลจี้ !!!” ซิลเวอร์โกสต์พูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็หันไปาฟิธาเลียและพูดว่า “ฉันเป็นคนใจกว้างนะ ทำไมเราไม่รอให้กำลังเสริมของคุณสองคนมาถึงก่อนล่ะ แล้วค่อยเริ่ม ?”

“นั่นไม่จำเป็น เข้ามาเผชิญหน้ากับฉันทีเดียวเลย ฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณมีพลังตามที่กล่าวอ้างไหม …” ซือเฟิงกล่าวพลางส่ายหัว

“ไอ้เวรนี่ !!!” แซนสตอร์มโกรธเกรี้ยว และเขาก็พุ่งเข้าใส่ซือเฟิงอีกครั้งทันที

ในขณะที่แอสซาซินเริ่มเคลื่อนไหว ผู้เชี่ยวชาญอีกเจ็ดคนที่ได้รับพลังเดียวกันก็พุ่งเข้าหาซือเฟิงพร้อมกันราวกับพายุที่รุนแรง

ผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลโลจี้ทั้งแปดคนนั้นประสานงานกันอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อพวกเขาทำการเข้าโจมตีซือเฟิงพร้อมกัน ตราบใดที่ซือเฟิงพยายามจะโจมตีหนึ่งในแปดคนนี้ อีกเจ็ดคนก็จะโจมตีเขา นี่เป็นวิธีเดียวกับที่พวกเขาใช้ฆ่าฟิธาเลีย

อย่างไรก็ตามในขณะที่พวกเขากำลังพุ่งเข้ามานั้น ซือเฟิงก็ยกคิลลิงเรย์ขึ้นเหนือหัว และหลับตารออย่างอดทนให้แซนสตอร์มกับคนอื่นๆเข้ามาใกล้เขา

สามสิบหลา … ยี่สิบหลา … สิบหลา …

ระหว่างที่แอสซาซินหนุ่มและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆของไมโทโลจี้กำลังจะโจมตี ดวงตาของซือเฟิงก็เปิดขึ้นทันที ก่อนที่เขาจะเหวี่ยงดาบศักสิทธิ์ของเขาเป็นแนวโค้ง

ดาบแรก ไลท์ชาโด้ว !!!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด