Scholar’s Advanced Technological System 473 สองทิศทาง (รีไรท์)

Now you are reading Scholar’s Advanced Technological System Chapter 473 สองทิศทาง (รีไรท์) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 473 สองทิศทาง (รีไรท์)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ประเด็นนี้?”

เมื่อมองไปยังห้องประชุมที่ว่างเปล่า ลู่โจวก็รู้สึกแปลกไป

ตอนที่เขากล่าวคำปราศรัยอยู่ที่ราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน ผู้คนนั้นแน่นมากเสียจนแทบจะไม่มีที่ยืน

ทว่าในตอนนี้ หากนับดูแล้วในห้องประชุมมีเพียงยี่สิบคนเท่านั้น

บางคนที่นี่เขาก็พอรู้จักอยู่บ้าง

อย่างเฉียนจ้งหมิง หลิวโปและคนอื่น…

“สถาบันของเรายังมีนักวิจัยไม่มากนัก ผมคิดว่าถ้าจะพูดอะไรก็ควรต้องเป็นความลับมากกว่านี้ ทั้งนักวิจัยแล้วก็ผู้ช่วยวิจัยบางคนก็ยังอยู่ในช่วงฝึกงาน ผมเองก็เลยไม่ได้โทรไป” หยางเสี่ยวที่ยืนอยู่ข้างลู่โจวเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ จากนั้นเขาจึงกล่าวเสริม “งั้นต้องการให้ผมแจ้งให้ทราบเลยไหม?”

ลู่โจวเผยยิ้มพร้อมกล่าวคำพูด “ยังไม่ต้อง ผมเองก็จะพูดแค่ไม่กี่คำเท่านั้น”

บนโต๊ะประชุมนั้นมีโปรเจคเตอร์กำลังเปิดอยู่

ลู่โจวเริ่มกระแอมในลำคอพร้อมเปิดม่านที่อยู่ข้างหลัง จากนั้นท่าทีของเขาก็ดูดีขึ้น

“พวกคุณอาจจะได้ยินมาก่อนแล้วว่าโครงการนิวเคลียร์ฟิวชันแบบควบคุมจะถูกตั้งรกรากอยู่ที่เมืองจินหลิง”

ทันทีที่ลู่โจวพูดเช่นนั้น ทั้งห้องประชุมก็เกิดความโกลาหล เหล่านักวิจัยมองหน้ากันพร้อมกับความรู้สึกตกใจ

แม้ว่าจะเคยได้ยินข่าวลือเรื่องนี้มาก่อน แต่การที่ได้ยินจากปากลู่โจวเองนั้นก็ยิ่งทำให้พวกเขาตกใจมากขึ้นไปอีก

หากเป็นคนอื่นบอกว่าพวกเขาต้องมีส่วนร่วมในสิ่งที่เหนือชั้นกว่า อย่างเช่น นิวเคลียร์ฟิวชันแบบควบคุม เหล่านักวิจัยส่วนใหญ่ก็คงอาจจะเผยยิ้มหลังจากที่ได้ยิน

แต่กับลู่โจวนั้นต่างออกไป

เขาไม่เพียงแก้ปัญหาของสมการนาเวียร์-สโตกส์เท่านั้น แต่เขายังสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์สำหรับการไหลทะลักของพลาสมาแบบซับซ้อนขึ้นมาอีก

ลู่โจวบอกกับพวกเขาว่าทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ฟิวชันนี้ แม้ว่าจะไม่เคยเห็นเงาของดวงดาวจำลองเลยก็ตาม ซึ่งนักวิจัยที่นั่งอยู่ที่นี่ครึ่งหนึ่งก็เริ่มรู้สึกเชื่อ ส่วนอีกครึ่งก็รู้สึกไม่เชื่อ

ถึงกระนั้นสิ่งที่ทำให้ผู้คนในห้องประชุมงงงวยก็คือทำไมลู่โจวถึงอยากพูดถึงเรื่องนี้ที่นี่?

สถาบันวัสดุคำนวณไม่ใช่ห้องปฏิบัติการสำหรับพลังพลาสมา มันเป็นสถาบันที่ทำการศึกษาปัญหาวัสดุ ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษานิวเคลียร์ฟิวชันแบบควบคุมเลย

คำพูดต่อไปของลู่โจวก็ทำให้ทุกคนตั้งคำถามอีกครั้ง

“อาจจะมีบางคนสงสัยว่าเรื่องที่พูดไปมันเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองด้วย? ไม่ว่ายังไง พวกคุณส่วนใหญ่เชี่ยวชาญในสาขาเคมี อีกทั้งพวกคุณเองก็ได้เลือกวัสดุเป็นทิศทางในการพัฒนา แม้ว่าจะมีความรู้เรื่องแหล่งกำเนิดทางกายภาพและการควบแน่น แต่มันก็มีเรื่องฟิสิกส์พลาสมาแล้วก็นิวเคลียร์มาเกี่ยวข้องด้วย โครงการนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องนั้นหรอกนะ”

“แต่ไม่ว่ายังไง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีพลังงานและเทคโนโลยีวัสดุเป็นสิ่งที่จับมาแยกออกจากกันไม่ได้ เราต้องการสนามแม่เหล็กที่ใหญ่กว่าเพื่อจำกัดขอบเขตของพลาสมา เราต้องการผนังชั้นแรกที่ปลอดภัยมากกว่าเดิม เพื่อทนต่อแสงและความร้อนจากปฏิกิริยาฟิวชัน”

ลู่โจวหยุดพูดไปชั่วครู่ทันทีที่มองไปยังเหล่านักวิจัยที่นั่งอยู่ จากนั้นเขาก็กำลังจะพูดถึงประเด็นสำคัญ

“ในอนาคตการวิจัยของเราจะมุ่งเน้นไปยังสองทิศทางหลัก หนึ่งคือวัสดุตัวนำยิ่งยวด อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ เราต้องการวัสดุที่มีความแม่นยำมากกว่านี้ในด้านวิศวกรรม อีกทั้งอุณหภูมิของตัวนำยิ่งยวดก็ต้องใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้องมากขึ้นเพื่อให้สนามแม่เหล็กของเราแข็งแรงมากกว่าเดิม”

“สองคือวัสดุทนความร้อน เราต้องการให้ผนังขั้นแรกสามารถทนอุณหภูมิสูงเพื่อปิดกั้นพลาสมาของสนามแม่เหล็กที่หลุดออกมาได้”

“ในปัจจุบันเรามีความก้าวหน้าของวัสดุตัวนำยิ่งยวดอยู่บ้างแล้ว ตัวนำ SG-1 ที่จัดแสดงในการประชุมฤดูใบไม้ร่วงเมื่อครั้งก่อนมีอุณหภูมิมากถึงหนึ่งร้อยเอ็ดเคลวิน ในบรรดาวัสดุตัวนำยิ่งยวดหลายชนิด ตัวเลขนั้นยังอยู่อีกไกล ผมพูดถึงเรื่องนี้มากไม่ได้นัก แต่ความเป็นพลาสติกของวัสดุกราฟีนเองก็ยังมีศักยภาพมากมายที่รอให้เราค้นพบ”

ในการนำเสนอลู่โจวได้แสดงรายการเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับนิวเคลียร์ฟิวชันแบบควบคุมเอาไว้แล้ว

ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาปลายเปิดและปัญหาคอขวดที่ต้องเผชิญ

ลู่โจวนั้นมีเพียงคนเดียว เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำทุกอย่างให้สำเร็จลุล่วงในคราวเดียว วิธีที่ดีที่สุดคือแยกประเด็นใหญ่ออกเป็นประเด็นย่อย แล้วแบ่งให้แก่เหล่านักวิจัยต่อไป

แต่ทว่าลู่โจวเองก็เลือกประเด็นที่ยากกว่าเพื่อทำการศึกษา

ในความเป็นจริงแล้ว สถาบันวิจัยของจีนหลายแห่งใช้แบบจำลองที่คล้ายคลึงกัน

ตัวอย่างเช่น นักวิชาการคนหนึ่งได้รับเงินทุนมาจำนวนแปดหลัก จากนั้น เขาก็ได้แยกย่อยโครงการนั้นออกมา และมอบหมายหน้าที่ให้กับคนอื่นที่เกี่ยวข้องและเชี่ยวชาญ ทั้งนักวิชาการและนักวิจัยต่างก็จะทำเช่นนี้

แน่นอน นี่เป็นเพียงแค่การจำลอง แต่มันก็ถือเป็นการอุปมาอุปไมยที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก นอกจากนั้น ในโลกแห่งวิชาการ หากเทียบกับนักวิจัยคนอื่นแล้ว ทุกคนที่เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญระดับสูงก็จะต้องสามารถแบ่งหน้าที่ออกมาเป็นแต่ละส่วนให้ออกมาดี

แต่ทว่า นี่ก็เป็นเหมือนเรื่องที่น่าเบื่อแห่งโลกวิชาการ

เมื่อมองย้อนกลับไปที่ห้องประชุม ลู่โจวก็พูดต่อ

“ตอนนี้เรากำลังมีส่วนร่วมในประเด็นที่ยิ่งใหญ่”

“ถ้าเราทำสำเร็จ ทั้งประเทศ ผู้คนและแม้แต่อารยธรรมของเราก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย มูลค่าของมันนั้นไม่สามารถเปรียบเทียบกับจำนวนเงินได้”

“ผมรู้ดีว่านี่ไม่ใช่โครงการที่จะสามารถทำสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน และทุกขั้นตอนก็เต็มไปด้วยความยากลำบาก”

“แต่ผมเองก็มั่นใจมากว่าจะสามารถร่วมงานกับทุกคนเพื่อเอาชนะความยากลำบากนี้ได้!”

“ผมหวังว่าเราทุกคนจะช่วยกัน!”

หลังจบการประชุม

หลิวโปก็ยังคงพึมพำกับตัวเอง “นิวเคลียร์ฟิวชันแบบควบคุม? มันจะเป็นไปได้ไหมนะ?”

“อะไรน่าเชื่อมากกว่ากันล่ะ?” เฉียนจ้งหมิงกล่าว

“สถาบันวิจัยของเราเต็มไปด้วยผู้คนหลายร้อยคน อีกทั้ง ยังเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีอีกด้วย นักวิจัยบางคนก็อายุยังน้อย แล้วนายเห็นสิ่งที่อยู่ในจอภาพนำเสนอไหมล่ะ? กำลังคนที่มีความสามารถนั่นแหละคือสิ่งที่ฉันกำลังกังวล” หลิวโปกล่าว

เฉียนจ้งหมิงเองไม่ได้ตอบคำถามนี้ “นอกเหนือจากหัวหน้าของแล้ว มีผู้ได้รับรางวัลโนเบลในสถาบันการศึกษาของจีนกี่คนกัน?”

หลิวโปตกใจเล็กน้อย เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเฉียนจ้งหมิงถึงพูดเช่นนั้น

“นักวิชาการหยางกับนักวิชาการโม่เหยียนมั้ง?”

“ฉันกำลังพูดถึงในที่ประชุม”

“งั้นก็อย่างที่บอกนั้นแหละ สองคน”

“แล้วมีกี่คนที่ยังคงอยู่ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์กัน?”

นักวิชาการหยางก็มีอายุเก้าสิบห้าปีแล้ว เขาได้ปลูกฝังความสามารถทางฟิสิกส์ที่ยอดเยี่ยมมากมายให้กับสาธารณรัฐ พวกเขาเองก็ได้เสนอความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์มากมายสำหรับการพัฒนาฟิสิกส์ของจีนอีกด้วย ทว่า พวกเขาได้ย้ายออกจากวงการแนวหน้าของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไปแล้ว…

เช่นเดียวกับนักวิชาการโม่เหยียนที่มีอายุกว่าแปดสิบเจ็ดปี เธออยู่ในวัยที่ต้องถูกดูแลแล้ว ไม่ว่าเธอจะเป็นผู้สูงอายุหรือยังอยู่ในตำแหน่งการวิจัยหรือไม่ก็ตาม แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะคาดหวังให้ผู้สูงอายุมาทำการวิจัยอะไรแบบนี้

หลังจากคิดอยู่สักพัก หลิวโปก็พูดขึ้น “งั้นก็คงเหลือแค่เทพลู่คนเดียวแล้วแหละ”

“คิดเหมือนกัน” เฉียนจ้งหมิงพยักหน้า “แล้วนายคิดว่าการขาดคนจะเป็นปัญหาไหม?”

หากสถาบันวิจัยของผู้ได้รับรางวัลโนเบลต้องการจ้างคน… นักวิจัยในทั้งและต่างประเทศก็จะต้องมุ่งหน้ามาที่นี่เป็นแน่

……………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด