Scholar’s Advanced Technological System 486 เทคโนโลยีแห่งการเปลี่ยนแปลง (รีไรท์)
ศาสตราจารย์แคริเบอร์ถึงกับตกใจหลังจากได้ยินข้อเสนอของลู่โจว
“ข้อตกลง?”
“ผมได้ยินมาว่าเครื่อง WEGA ของคุณถูกปิดตัวลงไปแล้ว…”
“มันก็นานแล้วนะ ดูเหมือนจะสิบสามปีได้แล้วมั้ง”
“แล้วตอนนี้สถานการณ์เป็นไงบ้างล่ะครับ?”
“ก็ไม่เลวนะ เราอาจจะส่งมันไปที่พิพิธภัณฑ์หลังจากผ่านมาแล้วยี่สิบหรือสามสิบปีก็ได้… มีปัญหาอะไรหรือเปล่าล่ะ?” แคริเบอร์ขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าลู่โจวจะพูดถึงเครื่อง WEGA ทำไม?
“งั้นคุณขายให้ผมได้ไหมล่ะครับ?”
ศาสตราจารย์ถึงกับตกตะลึง
เขารู้สึกพูดอะไรไม่ออก
“เครื่อง WEGA? นายล้อฉันเล่นหรือไงกัน?”
ลู่โจวส่ายหัว “ฉันไม่ได้ล้อเล่น ฉันจริงจัง”
ทันทีที่เห็นว่าลู่โจวไม่ได้ล้อเล่น ศาสตราจารย์ก็เผยยิ้ม “อันที่จริง เราใช้เงินไปตั้งแปดร้อยล้านยูโรเพื่อที่จะสร้างเครื่อง WEGA ให้เสร็จสมบูรณ์ แล้วนายวางแผนที่จะซื้อเท่าไหร่ล่ะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่โจวก็รีบพูดจำนวนเงินออกไป
“ห้าร้อยล้านพอไหม?”
“คงไม่ได้หรอก…”
ลู่โจวสามารถหาเงินมาได้มากมายก็จริง แต่ศาสตราจารย์ก็ยังคงตกใจพร้อมส่ายหน้า มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินอย่างเดียว
สำหรับโครงการ ITER ความท้าทายระหว่างความเหนือกว่าและด้อยกว่าของเทคโนโลยีของแต่ละประเทศนั้นมีมาช้านานแล้ว ความท้าทายประเภทนี้สะท้อนให้เห็นในสัดส่วนเงินทุนที่ประเทศต่าง ๆ นั้นต้องแบกรับ รวมถึงการจัดสรรโครงการที่สถาบันวิจัยแห่งชาติต้องรับผิดชอบและปัจจัยภายนอกด้วย
ความขัดแย้งแบบพื้นฐานที่สุดคือการถ่ายทอดของเทคโนโลยี
ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ว่าความขัดแย้งดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้น
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ในช่วงหลังของศตวรรษที่ผ่านมา สหภาพยุโรปจนถึงกระทั่งประเทศเก่าแก่ของสหภาพยุโรปก็ได้ใช้จ่ายเงินไปจำนวนมหาศาลเพื่อศึกษาเทคโนโลยีนี้
โดยสรุปแล้วประเทศที่มีอำนาจเหนือกว่าก็มักจะหวังว่าประเทศที่ด้อยกว่าจะได้รับทุนวิจัยมากขึ้น มีการแบ่งปันความเสี่ยงและค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังได้รับเงินทุนและโครงการเพิ่มเติมที่มากขึ้นกว่าเดิมด้วย
ประเทศที่ด้อยกว่าก็หวังว่าประเทศที่มีอำนาจเหนือกว่าจะถ่ายทอดเทคโนโลยีมาให้ตนมากขึ้น อีกทั้งยังหวังด้วยว่าจะได้รับโครงการเพิ่มเติมสำหรับสถาบันวิจัยของตนเอง
ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครอยากจะเป็นฝ่ายที่เสียประโยชน์ ทุกคนต่างต้องการที่จะเชี่ยวชาญในเรื่องเทคโนโลยีหลักสำหรับโครงการนิวเคลียร์ฟิวชันกันทั้งนั้น
คนเราสามารถทำอะไรก็ได้ที่ต้องการได้หรือไม่?
นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีก่อน
เครื่อง WEGA นั้นเป็นผลพวงมาจากสถาบันมักซ์พลังค์และสถาบันเทคโนโลยี พวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อการสร้างเครื่องนี้ให้สำเร็จ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้โดยปกติแล้วพวกเขามักไม่ต้องการขายในราคาถูกมากนัก
อย่างที่รู้กันว่าศาสตราจารย์แคริเบอร์กำลังคิดอะไรอยู่ ลู่โจวจึงพูดขึ้น “สุดท้ายมันก็ต้องไปอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อยู่ดี ยังไงก็เถอะ ผมยินดีที่จะจ่ายห้าร้อยล้านยูโรเพื่อซื้อผลลัพธ์ของคุณ…”
“มีอะไรเพิ่มเติมอีกไหมล่ะ?” ศาสตราจารย์แคริเบอร์ขมวดคิ้ว
หลังจากเงียบไปสักพัก ลู่โจวก็พูดต่อ “แล้วก็… ถ้าคุณยอมขายเครื่อง WEGA ให้ ผมก็จะสามารถเปิดการใช้งานของเทคโนโลยีตัวนำวัสดุ SG-1 ได้ แม่เหล็กตัวนำยิ่งยวดที่ทรงพลังแบบนี้ถือเป็นที่ต้องการ เพราะแบบนี้เราถึงจะสามารถร่วมมือแล้วช่วยกันทำการวิจัยที่เกี่ยวข้องได้”
“งั้นเครื่อง WEGA ก็ถือเป็นหลักฐานแห่งความร่วมมืองั้นสิ?”
“ใช่แล้วครับ” ลู่โจวพยักหน้า “ถ้าคุณสนใจ เราก็ยินดีที่จะใช้มันเพื่อแลกเปลี่ยนส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีนั้น แต่ถ้าคุณไม่สนใจ ผมก็คงบอกอะไรมากไม่ได้ ไม่ว่ายังไง นี่ก็ไม่ใช่โครงการวิจัยที่จะนำกลับมาประยุกต์ใช้ใหม่ได้อยู่ดี”
ทว่า เอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวกับวัสดุ SG-1 นั้นถูกเผยแพร่สู่สาธารณะไปแล้ว แม้แต่วิธีการเตรียมห้องทดลองเองก็ด้วย ทั้งนี้ ลู่โจวก็ได้จดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย
ถึงอย่างไรแล้ว ในการเปลี่ยนวัสดุตัวนำ SG-1 ให้เป็นลวดไฟฟ้า ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตเฉพาะนั้นไม่ได้มีการเผยแพร่ลงในเอกสารอย่างชัดเจน
เช่นเดียวกับเครื่องพิมพ์ ทุกคนทราบดีว่าเอกสารที่เกี่ยวข้องนั้นสามารถดาวน์โหลดได้แบบสาธารณะเช่นกัน แต่ทว่า ข้อมูลทางเทคนิคทั้งหมดถือเป็นความลับ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วสักวันก็ต้องถูกนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณะ
ศาสตราจารย์จ้องมองไปยังลวดที่อยู่กลางฝาแก้วอยู่พักหนึ่ง เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา ดูเหมือนว่าในตอนนี้เขากำลังจะพิจารณาว่าข้อเสนอนั้นคุ้มค่าหรือไม่
ในอีกด้านหนึ่งมันก็คือต้นแบบของเวนเดลสไตน์เซเว่นเอ็กซ์ซึ่งยังมีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่ยังไม่ค้นพบอีกเป็นจำนวนมาก
ในทางกลับกันมันมีแนวโน้มว่าจะเป็นวัสดุตัวนำยิ่งยวดที่ทำจากคาร์บอน ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัจจัยสำคัญของนิวเคลียร์ฟิวชันแบบควบคุมได้ แต่มันต้องอยู่ในกรณีที่เป็นไปได้เท่านั้น ทั้งนี้ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องต้นทุนหรือการผลิต
ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะต้องเสี่ยง
ความเงียบงันกินเวลาไปประมาณห้านาที ในที่สุดศาสตราจารย์ก็จับไหล่ตนเองและพูดขึ้น
“ฉันขอคิดดูก่อนนะ”
ลู่โจวพยักหน้า “ไม่มีปัญหา”
…
ภายในบ้านพักของลู่โจว เหล่าสมาชิกในครอบครัวกำลังเตรียมอาหารค่ำ
ทันใดนั้นเองเสียงกระดิ่งของประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้น
“มาแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ลู่ปังกั๋วก็เผยสีหน้ามีความสุข จากนั้นก็ตะโกนขึ้นมา “เขามาแล้ว” และเดินไปเปิดประตู
ประตูหน้าบ้านเปิดออก
เฒ่าลู่ที่ยืนอยู่ตรงระเบียงเผยเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวทักทาย แต่ทว่า รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เริ่มแข็งทื่อ
ศาสตราจารย์แคริเบอร์เผยยิ้มอย่างเป็นมิตรระหว่างมองไปยังบุคคลหน้าประตู เขาทักทายเป็นภาษาจีน
“สวัสดีครับ”
“เอ่อ…”
จิตใต้สำนึกของเขาคิดขึ้นมาได้แค่คำสองคำ ลู่ปังกั๋วถอนหายใจอยู่ข้างลู่โจว
“นี่คือลูกค้าจากสถาบันผมเอง” ลู่โจวกล่าวพร้อมเผยยิ้ม “แล้วเขาก็เป็นเพื่อนผมด้วย”
แม้ว่าจะรู้สึกอะไร เขาก็ไม่สามารถแสดงเจตนาไม่ดีต่อหน้าแขกได้
เมื่อมองไปยังศาสตราจารย์ เฒ่าลู่ก็กล่าวคำพูดด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น “เพื่อนของลู่โจวงั้นเหรอ? เข้ามาสิครับ”
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เฒ่าลู่พูด แต่ความกระตือรือร้นนั้นสามารถรู้สึกได้โดยไม่ต้องใช้ภาษา
ท่าทีของแคริเบอร์แปลกไป เขาเผยยิ้มและพูดจาอย่างสุภาพ แม้ว่าเขาจะพูดภาษาจีนได้เพียงสองคำก็เถอะ
เมื่อเห็นว่าพ่อพาศาสตราจารย์เข้ามายังห้องนั่งเล่น เสี่ยวถงก็เดินไปสะกิดลู่โจวทางด้านหลัง “พี่รู้ไหมว่าพ่อตื่นเต้นขนาดไหน?”
“ตื่นเต้น?”
เสี่ยวถงดูจะทำอะไรไม่ถูก “จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไงล่ะ… ก็พ่อคิดว่าพี่เปิดใจแล้วก็พาลูกสะใภ้มาบ้านน่ะสิ”
“ฉันรู้ว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น แต่ก็ไม่คิดว่าพี่จะพาผู้ชายเข้ามา”
ลู่โจวพลันขมวดคิ้ว
ไม่ว่าจะเป็นวันธรรมดาหรือตรุษจีน ครอบครัวตระกูลลู่ก็ยังคงอัธยาศัยดีไม่เปลี่ยน
ถึงแม้ว่าแคริเบอร์จะพูดภาษาจีนไม่ได้ แต่ทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปได้สวย
ลู่โจวจึงทำหน้าที่เป็นล่าม หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็สลับพูดทั้งภาษาอังกฤษและจีน
ในบางครั้ง การสนทนาบางส่วนก็ต้องถูกแก้ไขตามนิสัยการใช้ภาษาของทั้งสองฝ่าย
ขนมจีบของคุณแม่นั้นอร่อยมาก แม้แต่ศาสตราจารย์แคริเบอร์ที่มักจะหมกมุ่นอยู่กับการทำงานก็ต้องยกนิ้วให้
เมื่อลู่โจวแปลคำพูดของศาสตราจารย์เป็นภาษาจีน ทุกคนก็จะเงียบและตั้งใจฟัง
หลังจากใช้เวลามานานหลายปี นี่ถือเป็นครั้งแรกที่แคริเบอร์ได้รับการยอมรับจากเพื่อนต่างชาติ สำหรับฟางเหม่ยแล้วนี่ถือเป็นสิ่งที่ดีไม่น้อย
ทว่า ศาสตราจารย์นั้นก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้จนดึก หลังจากทานอาหารเสร็จ เขาก็ต้องกลับแล้ว
ศาสตราจารย์แคริเบอร์นั่งลงบนโซฟาและพูดคุยกับลู่โจวอยู่สักพักก่อนจะลุกขึ้นและกล่าวคำอำลา
เขาเดินไปยังประตูทางออกและยืนรอรถ ไม่นานศาสตราจารย์แคริเบอร์ก็พูดขึ้น
“ขนมจีบอร่อยมากเลย ขอบคุณมากนะ”
“ยินดีอยู่แล้วครับ” ลู่โจวเผยยิ้ม
ทว่า แคริเบอร์ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกล่าวคำพูดออกมา “ยังไงฉันก็ยังต้องขอคิดเรื่องข้อเสนอของนายอีกสักหน่อยนะ เรื่องนี้ฉันตัดสินใจคนเดียวไม่ได้ เพราะว่าเครื่อง WEGA ไม่ใช่แค่สมบัติของสถาบันมักซ์พลังค์เท่านั้น หวังว่าจะเข้าใจนะ”
ทันใดนั้นเอง เขาก็พูดต่อ “ยังไงก็เถอะ รับประกันได้เลยว่าฉันจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่”
ลู่โจวยิ้มและพยักหน้า “หวังว่าคุณคงจะไม่ลำบากเกินไปนะครับ”
………………………………………
Comments