Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์บทที่ 135 นักรบแห่งพฤกษา

Now you are reading Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ Chapter บทที่ 135 นักรบแห่งพฤกษา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 135 นักรบแห่งพฤกษา

 

เจ้าอ้วนและผู้พิทักษ์หยางสีหน้าหม่นหมองด้วยความกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก ในขณะที่เยี่ยฉวนนั้นแลดูไร้กังวล เขาตรงเข้าไปในลานเล็กและลงมือทําสิ่งที่ต้องทํา

 

ปราณแห่งจิตวิญญาณโลกอันบริสุทธิ์พุ่งเข้าหาเยี่ยฉวนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นจากทุกทิศทางราวกับสายน้ําโดยไม่ต้องใช้เคล็ดวิชาใด ปราณเหล่านั้นหล่อเลี้ยงผิวหนังและซึมซาบไปตามอวัยวะภายใน แขนขา และกระดูก ชายหนุ่มรับส่งพลังปราณผ่านโพรงจมูกด้วยการหายใจ บัดนี้ทั้งร่างของเขาราวกับแหวกว่ายอยู่ในทะเลแห่งปราณจิตวิญญาณโลก

 

เยี่ยฉวนตัดความคิดที่ทําให้วอกแวกทิ้งไปจนหมดสิ้นและเข้าสู่สมาธิทันที

 

ชื่อเสียงเลื่องลือของสํานักอสูรเมฆาว่าเป็นสํานักอันไร้เทียมทานใช่ว่าจะได้มาโดยเปล่า ปราณจิตวิญญาณโลกในสํานักหนาแน่นเสียจนคนธรรมดาสัมผัสได้ มันหนาแน่นกว่าในสํานักหมอกเมฆาหลายเท่า การฝึกตนที่นี่จึงให้ผลลัพธ์ถึงสองเท่าด้วยความพยายามเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดสํานักอสูรเมฆาจึงมีสมาชิกที่แข็งแกร่งเป็นจํานวนมากและเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน

 

ร่างกายของเยี่ยฉวนเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นหลังฝึกตนได้ครู่หนึ่ง

 

ระดับการฝึกตนของเขายังคงเป็นขั้นชิวฉือระดับสองดังเดิม หากแต่ยันต์กลืนกินสวรรค์นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ยันต์ขยายใหญ่ขึ้นและมีแสงสลัวเรืองรองอยู่โดยรอบก่อนจะกลืนกินปราณแห่งจิตวิญญาณโลกอันบริสุทธิ์ในอากาศราวกับวาฬยักษ์บนท้องฟ้าเหนือลานเล็ก ปรากฏกระแสพลังงานที่หมุนวนและดูดปราณจิตวิญญาณโลกทั้งหมดเข้าไป!

 

“เอ่อ นี่มัน…”

 

ผู้พิทักษ์หยางผู้กําลังจัดสัมภาระพลันประหลาดใจขึ้นมา และมองไปทางห้องของเยี่ยฉวน ส่วนจ้าวต้าจื่อไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งใดแต่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของปราณจิตวิญญาณโลกในที่แห่งนี้จึงเงยหน้าขึ้นมองกระแสพลังงาน หมุนวนเหนือลานเล็กชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ปราณจิตวิญญาณโลกพุ่งเข้าใส่จากทุกทิศและหายวับไปทุกวินาที

 

ยิ่งระดับการฝึกตนสูงมากเท่าใดก็ควรดูดซับพลังปราณแห่งจิตวิญญาณโลกมากเท่านั้น แต่การสร้างกระแสพลังงานหมุนวนเช่นนี้ต้องมีระดับการฝึกตนอย่างน้อยถึงขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋า แล้วระดับการฝึกตนของเยี่ยฉวนเล่า? เขาอยู่เพียงขั้นชิวฉือระดับสองจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างปรากฏการณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขานําสมบัติบางอย่างติดตัวมาด้วยซึ่งน่าจะเป็นสมบัติที่อาวุโสสูงสุดมอบให้ก่อนจากสํานักมา!

 

หยางเทียนกวงครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งจึงได้คําตอบ

 

แม้ความหวังในการทําภารกิจนี้ให้สําเร็จจะริบหรี่แต่พวกเขาก็ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อาวุโสสูงสุดจะส่งมอบสมบัติแก่เยี่ยฉวน ทว่าเยี่ยฉวนกลับยั่วยุให้เกิดความพินาศตั้งแต่วินาทีที่เขามาถึงสํานักอสูรเมฆาโดยการคุยโวโอ้อวดและทําให้ผู้คนมากมายขุ่นเคือง ต่อให้มีสมบัติวิเศษติดตัวมาด้วยจะมีประโยชน์อันใด? มีสมบัติดีเลิศเพียงใดคอยคุ้มกันก็ไร้ประโยชน์ ตราบใดที่อีกฝ่ายหมายจะสังหารเขา ลืมเรื่องการยืมเตาหลอมระดับสวรรค์ไปได้เลย!

 

หยางเทียนกวงสั่นศีรษะด้วยจิตใจหนักอึ้ง

 

ในขณะเดียวกัน ณ ตําหนักโบราณอันมืดสนิทภายในพระราชวังที่สลับทับซ้อนลึกเข้าไปในสํานักอสูรเมฆา สตรีผมขาวโพลนลืมตาขึ้นมองไปทางลานเล็กที่เยี่ยฉวนและพรรคพวกอยู่ รูม่านตาของนางราวกับหุบเหวลึกล้ําไร้ก้นและมีโลกแห่งความเป็นตายอีกใบซุกซ่อนอยู่ภายใน แม้ผมทุกเส้นของนางจะเป็นสีขาวทว่าไม่ใช่สีหงอกอย่างผมของคนชรา หากแต่เป็นสีขาวสะอาดไร้มลทินราวกับหยก เส้นผมของนางเปล่งประกายแวววาวอีกทั้งยังยาวสลวยจุดพื้นโดยไม่รู้ว่าใช้เวลาถึงกี่ปี

 

สตรีผมขาวปรบมือหลังมองทะลุผ่านชั้นพระราชวังไป

 

ฉับพลันเกิดเสียงโลหะกระทบกันขึ้นในความมืด ทหารอารักขาในชุดเกราะหนักอึ้งก้าวยาวๆมาหยุดเบื้องหน้าสตรีผู้นี้ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ก่อนคุกเข่าทําความเคารพ

 

“ไปดูว่าแขกผู้มาเยือนลานเล็กแห่งภูเขามังกรนิทราเป็นใคร!” หญิงผมขาวสั่ง

 

“ขอรับ!”

 

ทหารอารักขารับคําก่อนหันหลังเดินจากไป ภายในหอ เขาคือข้ารับใช้ผู้ภักดี แต่เมื่อออกจากหอพลังงานมหาศาลก็ปะทุออกจากร่างจนเทียบเท่าหรืออาจเหนือกว่าปีศาจฝนผู้บรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเฝ้าระดับหก! พลังนั้นพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นยักษ์สูงราวหกถึงเจ็ดเมตร! ชุดเกราะที่สวมใส่อยู่ถูกแทนที่ด้วยเปลือกไม้หยาบและแข็งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ อีกทั้งกล้ามเนื้อยังพองตัวราวกับเนื้อไม้หนัก

 

ยักษ์ตนนี้คือนักรบแห่งพฤกษาที่มีชีวิตอยู่มาอย่างน้อยเก้าพันปี

 

ทหารอารักขานอกตําหนักคุกเข่าทําความเคารพทันที่ที่เห็นนักรบแห่งพฤกษา

 

“โฮก!”

 

นักรบแห่งพฤกษาเงยหน้าขึ้นคํารามราวกับเป็นอิสระจาก การถูกกักขังอันยาวนานในพระราชวังอันมืดมิด ทหารอารักขาคุกเข่านิ่ง ร่างของพวกเขาลอยขึ้นขณะที่เสียงคําราม ดังกึกก้องข้างหูราวกับอยู่ใจกลางพายุหมุน ยอดเขาสูงต่ํา และต้นไม้น้อยใหญ่ต่างสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ดงไม้ทึบโยกไหวราวกับจะมีชีวิตขึ้นมา

 

ณ ลานเล็กบนภูเขามังกรนิทราที่ใช้สําหรับรับแขกผู้มาเยือนสํานักอสูรเมฆาเป็นพิเศษ สัมผัสในจิตใจทําให้เยี่ยฉวนตื่นขึ้นจากการฝึกตน เขามองลึกเข้าไปในพระราชวังแห่งสํานักอสูรเมฆา

 

“ราชินีอสูรเนตรสีครามยังมีชีวิตอยู่หรือ? ไม่ ไม่จริง นี่มัน…”

 

เยี่ยฉวนตื่นเต้นทันใดก่อนจะค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงและแทนที่ด้วยความผิดหวัง เขาถอนหายใจแผ่วเบา

 

ออร่าที่แผ่มาจากภายในพระราชวังและออร่าของราชินี อสูรเนตรสีครามผู้ก่อตั้งสํานักอสูรเมฆามีความคล้ายคลึงกัน แต่เมื่อสัมผัสดูถี่ถ้วนกลับพบความแตกต่างว่าไม่ใช่คนเดียวกันอย่างแน่นอน ผู้ติดตามในอดีตของเขาทั้งหมดได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยหลังเขาออกจากสุสานเทพเจ้าและกลับมายังดินแดนรกร้าง

 

กระต่ายเฒ่า เหยาจี และผู้อื่นไปอยู่แห่งหนใด? พวกเขาจากโลกนี้ไปแล้ว หายวับไปในความว่างเปล่า ออกเดินทางสู่โลกที่อยู่นอกแดนสวรรค์หรือ

 

เยี่ยฉวนครุ่นคิดและเกิดความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะข้ามผ่านสภาวะตีบตันและกลับไปยังจุดสูงสุดของการฝึกตน เพื่อหาคําตอบว่าเกิดอะไรขึ้นในดินแดนรกร้างระหว่างที่เขาถูกคุมขังอยู่ในสุสานเทพเจ้า

 

“ก็อกๆๆ” เสียงเคาะประตูดังแว่วมาจากประตูลานเล็ก

 

“ศิษย์น้องผู้นั้นมาที่นี่อีกแล้วหรือ?”

 

เยี่ยฉวนลุกขึ้นยืนพร้อมผุดยิ้มชั่วร้ายเมื่อนึกถึงผู้พิทักษ์ฮั่วชาน ดูท่าชายผู้นี้จะขุ่นเคืองใจอย่างมากจนต้องตามมาล้างแค้นถึงที่

 

เจ้าอ้วนและผู้พิทักษ์หยางเป็นกังวลอย่างมาก พวกเขาทั้งหวั่นกลัวและยําเกรงฮั่วชาน แต่เยี่ยฉวนกลับไม่ใส่ใจชายผู้นี้เลยแม้แต่น้อย

 

ข้าเป็นใคร?

 

หากราชินีอสูรเนตรสีครามยังอยู่ที่นี่ อย่าว่าแต่ผู้พิทักษ์ตัวเล็กตัวน้อยเลย ต่อให้เป็นถึงผู้อาวุโสหรืออาวุโสสูงสุด แต่บังอาจมาปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ ย่อมมีจุดจบเดียวคือความตาย

 

ในยามนี้สํานักอสูรเมฆากําลังเฟื่องฟูและใฝ่ฝันจะเป็นสํานักที่มิอาจมีผู้ใดเทียบเทียม ทว่าเยี่ยฉวนคือผู้ที่ช่วยราชินีอสูรเนตรสีครามวางรากฐานของสํานักที่แท้จริง แม้ราชินีอสูรเนตรสีครามจะไม่อยู่แล้ว แต่เยี่ยฉวนยังคงมีข้อได้เปรียบที่ผู้อื่นไม่รู้แม้แต่อาวุโสสูงสุด อาวุโสลําดับสอง หรือผู้อื่นในสํานักหมอกเมฆา จึงเป็นเหตุผลที่ทําให้เขารับภารกิจนี้โดยไม่ลังเล

 

อาวุโสลําดับสามไปเยี่ยนหูมีกลอุบายชั่วร้ายนับไม่ถ้วน เขาไม่ลังเลที่จะทําลายเตาหลอมทั้งหมดของสํานักหมอกเมฆาเพื่อให้เยี่ยฉวนจําเป็นต้องเดินทางมายังสํานักอสูรเมฆา และถูกสังหาร วิธีที่ดีที่สุดในการต่อกรกับความเลวทรามเช่นนี้คือการฉวยโอกาสจากสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และเมื่ออีกฝ่ายกําลังชื่นชมกับความสําเร็จก็ทําลายแผนการ เปิดโปง และฆ่าทิ้งเสีย!

 

เยี่ยฉวนเดินไปทางประตู เสียงเคาะนั้นฟังดูเร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ จนแทบสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเข้มข้นจากอีกฝั่งประตู ทว่าเยี่ยฉวนยังคงสงบนิ่งพร้อมรอยยิ้มหยันบนใบหน้า

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด