Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์บทที่ 16 ท่องราตรี

Now you are reading Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ Chapter บทที่ 16 ท่องราตรี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 16 ท่องราตรี

ยามนี้เยี่ยฉวนต้องการยืนหยัดอย่างน่าเกรงขาม เขาจึงไม่คิดผ่อนปรนโทษ…

จินหัวและเหอไท่ซวีนอนแน่นิ่งกับพื้นหลังถูกฟาดบั้นท้ายโดยแรงจนเลือดไหลอาบ!

“ศิษย์น้องเทียนตู! ส่งแขก!

เยี่ยฉวนกวาดสายตามองโดยรอบพลางออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นจึงหมุนกายเดินกลับเข้าไปยังลานกว้างโดยไม่ชายตามองกางเกงแพรของจินหัว

หนานเทียนตูน้อมกายรับคำสั่ง เขาหิ้วร่างจินหัวที่เลือดไหลท่วมก้นด้วยมือข้างหนึ่งและร่างเหอไท่ซวีที่ไร้เรี่ยวแรงด้วยมืออีกข้างไปโยนทิ้งไว้ตรงตีนเขา

“อะ…ไอ้โสโครก! ขะ…ข้า…ไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!.”

จินหัวขบกรามแน่นพลางเอ่ยเสียงแหบพร่า

หลังถูกลงแส้จนเลือดอาบต่อหน้าฝูงชน ความชิงชังแค้นเคืองต่อเยี่ยฉวนยิ่งลุกฮืออยู่ภายในใจราวเปลวไฟที่โหมกระหน่ำ บังอาจดูหมิ่นเกียรติศิษย์ชั้นเลิศแห่งหอแปรธาตุถึงเพียงนี้! เขาสาบานกับตัวเองอย่างมั่นหมาย หากชาตินี้ไม่อาจหักกระดูกมันมาบดขยี้ได้…ชาติหน้าข้าจะไม่ขอเกิดเป็นมนุษย์อีก!”

“ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่! รีบแยกย้ายเถอะ!”

“ข้าว่ากว่าบาดแผลของจินหัวจะหายดีคงใช้เวลาอย่างน้อยสิบหรือสิบห้าวัน ศิษย์พี่ใหญ่อาจหาญเสียจริง!  เห็นทีบรรยากาศภายในสำนักคงเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว!”

ฝูงชนเริ่มรู้สึกถึงความปั่นป่วนจึงพากันกระจายตัว ไม่กล้าอยู่บนยอดเขาเมฆาอินทนิลอีกต่อไป

การที่เยี่ยฉวนสั่งลงโทษอย่างรุนแรงในครั้งนี้ส่งผลให้เกิดคลื่นระลอกใหม่อันน่าสะพรึงกลัว ทั้งยังอาจพลิกผันสถานการณ์ภายในสำนักนับจากนี้!

จินหัวและเจ้าหอแปรธาตุผู้เป็นบิดาไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้เงียบเป็นแน่! พวกเขาอาจใช้วิธีกดดันหอพิทักษ์กฎให้จับเยี่ยฉวนเข้าคุกพร้อมปลดออกจากตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนัก หรือดำเนินการล้างแค้นอย่างสาสม

ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็เลวร้ายทั้งนั้น! ฝูงชนเลิกคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้และรีบเร่งออกจากที่เกิดเหตุ จูซือเจียกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงเขาโดยมีจ้าวต้าจื่อเคียงข้าง นางหันไปมองลานกว้างอีกครั้งพลางครุ่นคิดบางสิ่ง…สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม และแล้วจึงตัดสินใจไปยังยอดเขาที่ท่านปู่ฝึกตนอยู่เพื่อบอกกล่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ จะได้เตรียมการรับมือสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างทันท่วงที

“ศิษย์พี่ใหญ่ช่างห้าวหาญ! แต่เขาปักใจอันใดกับการฟาดก้นนักนะ แม้แต่เจียเจียยัง…”

จ้าวต้าจื่อไม่ได้คำนึงอันใดขณะรำพึงแผ่วพลางลูบก้นตัวเองคล้ายถูกฟาดเองเสียอย่างนั้น

เดิมเขาคิดว่าเยี่ยฉวนลงโทษเขาอย่างโหดเหี้ยมและทารุณยิ่งในครั้งก่อนเพราะเขาถึงกับหย่อนก้นลงนั่งไม่ได้ แต่เมื่อเทียบกับจินหัวที่ถูกฟาดก้นจนแตกเลือดอาบจึงตระหนักว่าศิษย์พี่ใหญ่มีเมตตาต่อเขามากกว่า ครั้นมองสะโพกที่โยกย้ายไปมาของจูซือเจียก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเผลอเอ่ยสิ่งที่ไม่ควรพูดเข้าแล้วจึงเม้มปากสนิททันที! หากนางได้ยินว่าเขาพาดพิงถึงจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่!

เป็นจริงดังคาด จูซือเจียหันขวับทันทีพร้อมเผยสีหน้าเย็นเยือก “ไอ้อ้วนปากเสีย! เมื้อกี้เจ้าว่าอย่างไร?!”

“ข้าเปล่า!”

ชายร่างอ้วนส่ายศีรษะอย่างร้อนรน ครั้นจูซือเจียจ้องมองอย่างคาดโทษจึงเร่งแก้ตัว “ขะ…ข้าหมายถึง…เคราะห์ดีไม่ใช่ก้นข้าที่ถูกศิษย์พี่ใหญ่ลงมือ ไม่สิ! ศิษย์พี่ใหญ่ช่างประหลาดที่เอาแต่จะตีก้นคนอื่น เอ๊ะ…ไม่ใช่ ข้า…โอ๊ย! เจียเจีย…หูข้า! เบาๆ หน่อย!”

เม็ดเหงื่อผุดขึ้นทั่วหน้าผากของจ้าวต้าจื่อที่พูดติดอ่างและลนลานขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่….ไม่ทันได้หยิบยกคำใดมาอธิบายก็โดนจูซือเจียบิดหูเสียก่อน เขาร้องโหยหวนราวหมูถูกเชือด!

“ข้าไม่ไปแล้ว! ข้าเกลียดไอ้โสโครกเยี่ยฉวน ข้าไม่จำเป็นต้องร้องขอให้ท่านปู่ช่วยเขาด้วยซ้ำ?! ฮึ!”

ขณะนางบิดหูที่แน่นไปด้วยไขมันของจ้าวต้าจื่อ ใจหวนนึกถึงตอนถูกไอ้คนอันธพาลใช้ฝ่ามือตีก้น ทำให้ทั้งโกรธทั้งอับอายยิ่ง! นางขบกรามแน่นพร้อมทำท่าทางฟึดฟัดก่อนกระทืบเท้าจากไป ยังคงตรงไปยังยอดเขาที่ท่านปู่ฝึกตนเพื่อแจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นตามความตั้งใจแรก

ท่านเจ้าสำนักออกท่องยุทธภพทำให้ไม่อาจคุ้มครองและสอนวิทยายุทธให้เยี่ยฉวน แม้เป็นศิษย์สายตรงทว่าครองตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่แต่เพียงในนามเท่านั้น! เดิมทีก็น่าอับอายอยู่แล้ว…ยามนี้กลับดึงดูดความหายนะเข้าตัวอีก! มีเพียงท่านปู่ที่พอช่วยเหลือเขาได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่รอดชีวิตเป็นแน่!

“เจียเจีย หากเจ้ารังเกียจศิษย์พี่ใหญ่ถึงเพียงนั้นแล้วเหตุใดยังต้องการช่วยเหลือเขาอยู่เล่า?!”

“หึ! ใครว่าข้าต้องการช่วยเหลือ?! ข้าแค่กังวลว่ามันจะจบชีวิตเร็วเกินไป ศิษย์พี่หญิงผู้นี้จะแก้แค้นโดยการทรมานอย่างช้าๆ! ให้มันรู้ถึงฤทธิ์เดชของข้าเสียบ้าง!”

“ใช่ ๆ ๆ ต้องค่อยๆ ทรมานเขา โอ๊ย! เจียเจีย…เบาหน่อย ข้าเจ็บนะ!”

เสียงศิษย์พี่หญิงและศิษย์น้องแว่วมาตามลมหนาวขณะทั้งสองเร่งร้อนเดินจากไป โกรธแค้นเขาถึงเพียงนี้ ทว่านางกลับไม่เข้าใจตนเองว่าเหตุใดไม่นิ่งเฉยเสีย…

เยี่ยฉวนมองตามทั้งสองจากยอดเขาสูงพลางยกยิ้มมุมปาก ครั้นลับสายตาก็กระโดดจากยอดไม้หนึ่งไปยังอีกยอดเพื่อสำรวจโดยรอบ เมื่อตรวจสอบของเหลวชนิตต่างๆ ที่อาวุโสลำดับสองผสมทิ้งไว้แล้วจึงเข้าสู่สมาธิ

การบรรลุจากระดับห้าสู่ระดับหกถือเป็นขั้นตอนที่สลักสำคัญและยากยิ่งในทักษะขั้นอู๋เจ๋อ บรรดาศิษย์มากมายพยายามอย่างยิ่งเพื่อบรรลุแต่กลับติดอยู่เพียงขั้นนี้ ไม่อาจบรรลุถึงขั้นซิวฉือได้

เขาจงใจชะลอความเร็วในการฝึกตนเพราะไม่ต้องการติดอยู่ที่ขั้นดังกล่าว! สิ่งที่สำคัญสำหรับเขาไม่ใช่ความเร็วในการบรรลุ แต่เป็นการบ่มเพาะรากฐานให้มั่นคงและค่อยๆ พัฒนาสู่ระดับสูงสุด ทว่ากลับมีสิ่งรบกวนให้จิตไม่สงบครั้งแล้วครั้งเล่าขณะฝึกตนเพียงไม่กี่ชั่วยาม

“ดวงใจมารต้องการแทรกแซงหรือ?”

เยี่ยฉวนขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นจึงไม่ฝืนสังขารฝึกตนต่อแล้วเรียกโคมบงกชสีครามในร่างกายออกมา

ท้องฟ้าและบรรยากาศโดยรอบรวมถึงห้องตำรามืดสนิท มีเพียงแสงจากโคมบงกชสีครามเท่านั้นที่ส่องสว่าง แสงนั้นสลัววูบไหวคล้ายตะเกียงน้ำมันอันเล็ก ทว่าให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย

เขาลูบไล้คำจารึกบนโคมบงกชสีครามอย่างเบามือ โคมนี้ไม่เพียงเป็นสมบัติล้ำค่าที่ได้จากสุสานเทพเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนความทรงจำส่วนหนึ่งของชีวิต หากไม่มีมันเขาอาจสิ้นชีพในสุสานนั้นอย่างโดดเดี่ยว

ลักษณะของโคมบงกชสีครามดูคล้ายคลึงกับตะเกียงน้ำมันทั่วไป ทว่าเขาตระหนักโดยสัญชาตญาณว่ามันต้องเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้และหายากยิ่งในสมัยโบราณ นั่นหมายถึงภายในสุสานอาจยังมีสมบัติเช่นนี้อีกมากในบริเวณที่ยังไม่ได้สำรวจ

ศพที่ถูกฝังอยู่ในสุสานมีทั้งเทพเจ้าและมารปีศาจยุคโบราณที่ล้วนแล้วแต่มีพลังอำนาจมหาศาล เคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจยังให้ความตกตะลึงไม่น้อย โคมบงกชสีครามนี้ก็คงไม่ธรรมดาเช่นกัน

“โคมสว่าง ดวงจิตดำรงอยู่…โคมมืดมน ดวงจิตดับสูญ…”

เขาพึมพำขณะนั่งขัดสมาธินิ่ง จากนั้นจึงปรากฎดวงจิตที่มีสภาพเป็นเงาเลือนรางออกมาทางศีรษะ! มันหมุนวนอยู่ชั่วครู่ก่อนลอยออกไปด้านนอก

ดวงจิตหยินท่องราตรี!

เขาใช้เคล็ดวิชาลับปลดปล่อยดวงจิตให้ออกจากร่างไปตรวจสอบว่าสิ่งใดกันที่ทำให้กระวนกระวายใจ ภายใต้อำนาจคุ้มครองของโคมบงกชสีคราม

ขั้นอู่เจ๋อทั้งเจ็ดระดับคือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายผ่านการฝึกตนเพื่อขัดเกลาผิวหนัง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ไขกระดูก อวัยวะภายในและโลหิต จากนั้นเมื่อบรรลุขั้นซิวฉือจึงจะสามารถฝึกวิทยายุทธด้านอื่นๆได้ ทว่าสำหรับเยี่ยฉวนผู้เคยซ่อนเร้นสวรรค์กลับรู้เคล็ดวิชาลับบางอย่างที่แม้บรรลุเพียงขั้นอู่เจ๋อก็สามารถถอดดวงจิตได้!

เคล็ดวิชายิ่งลึกลับยิ่งอันตราย แม้ไม่ถูกมารปีศาจพบเข้าแต่หากประมาทเพียงชั่วครู่ดวงจิตอาจถึงขั้นแหลกสลาย! ตราบใดที่โคมบงกชสีครามดับมอดแล้วดวงจิตยังไม่กลับเข้าร่างนั่นหมายความว่าเขากำลังตายทั้งเป็น!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด