Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์บทที่ 195 ก้อนผลึกมนุษย์ขนาดใหญ่

Now you are reading Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ Chapter บทที่ 195 ก้อนผลึกมนุษย์ขนาดใหญ่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์ ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 195 ก้อนผลึกมนุษย์ขนาดใหญ่

บทที่ 195 ก้อนผลึกมนุษย์ขนาดใหญ่

 

ขณะนั้นเองมีเสียงตะโกนของชายและหญิงดังขึ้นจากที่ไกลๆ

 

เมื่อทั้งหมดได้ยินเสียงตะโกนของเยี่ยฉวน หลิวหงและคนอื่นๆ ตะโกนตอบกลับอย่างไม่อดทน ดูเหมือนว่าพวกเขากําลังต่อว่าที่เยี่ยฉวนใช้เวลานานเกินไป อย่างไรซะพวกเขาเพียงตะโกนเพื่อระ บายความขุ่นเคืองเท่านั้น แต่ไม่มีใครกล่าวถามว่าเยี่ยฉวนพบเจออันตรายหรือไม่

“ศิษย์พี่หญิงใหญ่หลิว เจ้ารออีกสักหน่อยไม่ได้หรือไร?”

 

เยี่ยฉวนกล่าวเย้ยหยันออกมาในขณะที่มุ่งหน้าสํารวจหนทางต่อ

 

จากนั้นครู่หนึ่ง อสูรหินโผล่ออกมาจากก้อนหินใหญ่พร้อมกับขวางทางเยี่ยฉวนเอาไว้

มันเป็นแค่อสูรหินเศียรสุนัขทั่วไปเท่านั้น เยี่ยฉวนจึงออกแรงชก โดยไม่ใช้วิชาใดเสริมกําลัง ทันใดนั้นเองร่างของอสูรหินที่ไม่เคยได้รับความเสียหายใดจากกระบี่บินกลับระเบิดออกอย่างรวดเร็ว ปรากฎก้อนผลึกมนุษย์ที่อยู่ภายในร่างกายของมันออกมา ก้อนผลึกมนุษย์เต็มไปด้วยอักขระมากมาย อีกทั้งยังมีบันทึกเกี่ยวกับเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องกับโลกเหนือแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

หากเป็นก่อนหน้านี้เยี่ยฉวนคงจะตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อได้พบสิ่งนี้ ทว่าเขาได้ลิ้มรสผลึกโสมปีศาจแล้ว ก้อนผลึกเล็กจ้อยจึงกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อในทันที

 

เยี่ยฉวนนั่งลงพร้อมกับคิดอย่างถี่ถ้วน สุดท้ายเขาเลือกที่จะเก็บก้อนผลึกมนุษย์นี้ไว้

จริงอยู่ที่เขาไม่ต้องการเคล็ดวิชาภายในก้อนผลึกมนุษย์นี้ แต่เขาสามารถมอบมันให้กับปีศาจเพลิง เจ้าอ้วน จูชื่อเจียหรือและคนอื่นๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง สิ่งที่เขาไม่ต้องการอาจจะเป็นสมบัติล้ําค่าในสายตาของผู้อื่นก็ย่อมได้!

หลังจากหยุดพักเล็กน้อย เยี่ยฉวนเดินตรงมาตามเลี้ยวคดเคี้ยวแคบๆ อีกฝั่งหนึ่ง มันให้ความรู้สึกราวกับว่ายืนอยู่บนปีกนก ทันใดนั้นพลันปรากฏอสูรหินอีกตัวอย่างกะทันหัน เยี่ยฉวนออกหมัดในทันที อสูรหินตายตกไปโดยไม่ทันรู้สึกเจ็บปวดด้วยซ้ํา

 

เวลากลางคืน ป่าหมื่นอสูรอันกว้างใหญ่นี้เงียบงันราวกับสุสานขนาดใหญ่ บรรยากาศน่าสะพรึงเต็มไปด้วยความลับมากมายซุกซ่อนอยู่ เช่นนี้หลิวหงและคนอื่นๆ จึงไม่กล้าที่จะเดินนุ่มบ่ามไปทั่ว แต่เยี่ยฉวนกลับเคลื่อนไหวไปมาอย่างอิสระ ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และระยะทางในการสํารวจก็เพิ่มขึ้นจากสิบลี้เป็นยี่สิบ

จนถึงสามสิบลี้ ชายหนุ่มเผชิญหน้ากับอสูรหินตลอดทางและเก็บสมบัติได้มากมาย ตอนนี้เขาครอบครองทั้งกระบี่บิน ชุดเกราะและก้อนผลึกมนุษย์มากมาย แต่จนแล้วจนเล่าเขายังไม่ได้พบกับอสรพิษครึ่งคนอย่างก่อนหน้านี้เลย เยี่ยฉวนยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ จนเสื้อผ้าของเขาไม่สามารถเก็บสมบัติมากมายได้อีกแล้ว เช่นนี้เขาจึงโยนมันเข้าไปในโคมบงกชสีครามแทน

 

ภายในปาหินขรุขระ หลิวหงยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่พร้อมทอดสายตาออกไปไกล

 

เยี่ยฉวนออกไปสํารวจเส้นทางนานกว่าหกชั่วโมงแล้ว และเวลาส่วนใหญ่ของคืนนี้ผ่านไปโดยไร้การส่งสัญญาณใดกลับมา ในตอนแรกพวกเขายังพอได้ยินเสียงการต่อสู้และเสียงตะโกนจากระยะไกล ทว่าเมื่อนานไปกลับไม่มีแม้สุ่มเสี่ยงใดตอบกลับ

“แม่นางหลิว คุณชายเยี่ยอาจจะได้รับอันตราย เราควรจะส่งกําลังเสริมไปช่วยเหลือเขาหรือไม่?” โท่วปาเซียงเนียวกล่าวคําออกหลังจากลังเลอยู่นาน

 

เมื่อนึกถึงเยี่ยฉวน นางไม่มีความรู้สึกดีต่ออีกฝ่ายแม้แต่น้อย ความโกรธไม่เคยจางหายไปแต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบจึงได้รู้สึกห่วงใยเขาขึ้นมาอย่างกระทันหัน ทั้งหมดเป็นความสับสนในใจโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้

“ฮ่ม! คนดีมักจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่คนเลวจะแคล้วคลาดจากหายนะได้นับพันปี! ไอ้สารเลวนั่นฉลาดแกมโกงยิ่งกว่าผู้ใด เขาจะตายตกง่ายดายได้อย่างไรล่ะ?”

 

หนาสุ่ยศิษย์แห่งสํานักเบญจลักษณ์กล่าวออกด้วยสีหน้าเหยียดหยาม

 

นับตั้งแต่เขาสูญเสียขาขวาไป คําพูดที่พ่นออกมาร้ายกาจขึ้นเป็นเท่าทวี อีกทั้งเมื่อกล่าวถึงเยี่ยฉวน ใบหน้ายิ่งบิดเบี้ยวอย่างไม่น่าดู

“แม่นางหลิว นี่ก็ผ่านไปนานแล้วแต่ยังไม่มีการส่งสัญญาณใด เรื่องนี้ค่อนข้างประหลาดยิ่ง แม้ว่าคุณชายเยี่ยจะไม่พบเจออันตรายใด แต่เขาอาจจะหลงทางก็เป็นได้ อย่างนั้นให้ข้ากับโท่วปาเซียงเนียวออกไปดูสักหน่อยดีหรือไม่?” พี่ใหญ่ลู่กล่าวพร้อมขมวดคิ้วแน่น แม้เขาจะหลงเสน่ห์หลิวหงเข้าแล้ว แต่อย่างไรพื้นฐานเดิมเขา ไม่ใช่คนจิตใจย่ําแย่ดั่งเช่นหนาซานและหนาสุย

“ไม่จําเป็น ยังมีเวลา!”

 

หลิวหงปฏิเสธโท่วปาเซียงเนียวและพี่ใหญ่ล่อย่างไม่ใยดี หลังจากได้ลิ้มรสหวานของการเป็นผู้นําแล้ว นางไม่ยินยอมที่จะสละอํานาจในส่วนนี้และไม่ต้องการให้ใครออกไปเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือเยี่ยฉวนเด็ดขาด “หนาสุยกล่าวถูกต้องแล้ว คุณชายเยี่ยเป็นคนฉลาดหลักแหลม เขาไม่น่าจะหลงทางหรือตกอยู่ในอันตรายใดได้ ข้าคิดว่าเขาเพียงแค่ออกไปไกลกว่าเดิมสักเล็กน้อยเท่านั้น พวกเราทั้งหมดควรจะเชื่อมั่นในตัวเขาและอดทนรออยู่ที่นี่”

เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการเสี่ยงอันตรายเพื่อเยี่ยฉวนเช่นกัน แต่คําพูดของหลิวหงนั้นฟังดูดียิ่ง สิ่งนี้ทําให้โท่วปาเซียงเนียวและพี่ใหญ่ลู่ถึงกับขมวดคิ้วแน่น แต่อย่างไรเสียพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมแพ้และทําได้เพียงทอดสายตาออกไปไกล โท่วป่าเซียงเนียวถอนหายใจออกมาอย่างกังวล ทันใดนั้นเองนางพลันเห็น เงาดําตะคุ้มเคลือบคลานเข้ามาใกล้หญิงสาวกระโดดขึ้นก้อนหินสูง เพื่อตรวจสอบอย่างระมัดระวังจึงได้พบว่ามีมนุษย์คนหนึ่งกําลังเดินโซเซมาทางนี้

 

นั่นคือเยี่ยฉวนหรือ? เขากําลังบาดเจ็บใช่หรือไม่?

แววตาของโท่วปาเซียงเนียวทอประกายก่อนจะขยี้ตาเพื่อยืนยัน กับตนเองว่าทั้งหมดไม่ใช่ภาพลวงตา เมื่อตรวจสอบจนชัดเจนแล้ว

นางกระโดดขึ้นกระบี่บินพร้อมร้องตะโกน “เร็วเข้า! ดูนั่นสิ คุณชาย เยี่ยกลับมาแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะได้รับบาดเจ็บ ข้าจะไปตรวจส อบ!”

 

“ช้าก่อน ข้าไปด้วย!”

พี่ใหญ่ลู่วิ่งตามโท่วปาเซียงเนียวไปยังเงาดําที่ห่างไกล เมื่อเข้าไปใกล้ก็พบว่าชายคนนั้นคือเยี่ยฉวนจริงๆ แต่เขาไม่มีอาการบาดเจ็บแต่อย่างใด ที่เขาเดินโซซัดโซเซเป็นเพียงเขาแค่แบกถุงใหญ่อยู่บนหลังเท่านั้น ด้วยน้ําหนักของมันทําให้ชายหนุ่มเซไปมาระหว่างก้าวเดิน

 

เมื่อพี่ใหญ่ลีกับโท่วปาเซียงเนียวมาถึง ภาพตรงหน้าทําให้ทั้งสองตกตะลึง เยี่ยฉวนแบกก้อนหินขนาดใหญ่กลับมาทําไมกัน?

 

“คุณชายเยี่ยนั่นคือสิ่งใด?” พี่ใหญ่ลู่ถามออกอย่างตรงไปตรงมา แววตาฉายความสับสนยิ่ง

“แค่ก้อนหินเท่านั้น”

เยี่ยฉวนดึงผ้าสีดําคลุมหินให้แน่นขึ้นพร้อมกับพูดต่อ “พี่ใหญ่ลู่ ดีจังที่เจ้ามาได้ทันเวลา ช่วยข้ายกหินก้อนนี้กลับไปที่เถิด ข้าไม่อาจขยับร่างกายได้อีกแล้ว”

“ที่แห่งนี้ทั้งน่าสยดสยองแล้วไม่มีสิ่งใดนอกจากก้อนหิน แต่ทําไมเจ้าจึงขนมันกลับมาด้วยเล่า?”

พี่ใหญ่ลูกระซิบคําเบากับเยี่ยฉวน อย่างไรแล้วเขาคือบุรุษผู้ตรงฉิน เช่นนี้เขาจึงไม่ปฏิเสธพร้อมกับยกหินก้อนใหญ่ขึ้นบนหลัง ทว่าเขาเซไปมาและเกือบล้มลงเพราะหินก้อนยักษ์ มันหนักกว่าที่คิดไว้มาก น้ําหนักของมันน่าจะอยู่ที่หนึ่งพันจิน แม้แต่เขายังแบกรับได้ลําบาก ไม่แปลกที่เยี่ยฉวนจะเดินเซไปมาราวกับงู

“พี่ใหญ่ลูโปรดระวัง อย่าทํามันตกแตกเชียว”

เยี่ยฉวนปัดมือของตนและเดินตามหลังโท่วปาเซียงเนียวกลับไปยังฐานทัพชั่วคราวของทุกคน

 

“นี่คือสิ่งใด? เยี่ยฉวน… เจ้ากลับมาช้าเพราะสิ่งนี้งั้นหรือ?”

 

หลิวหงมองหินที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีดําพร้อมตระหนักได้ถึงความผิดปกติ เยี่ยฉวนคือใคร? เขาคือจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์น่ะสิ แล้วเหตุใดเขาจึงต้องหยิบยกก้อนหินขนาดใหญ่กลับมาด้วยกันเล่า?

 

“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ก้อนหินน่ะ” เยี่ยฉวนตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่น่าเสียดายยิ่งที่ไม่ว่าเขาจะพยายามปกปิดเท่าใด หลิวหงก็ยิ่งเคลือบแคลงใจมากเท่านั้น

 

“ให้ข้าดู”

นางใช้จังหวะที่เยี่ยฉวนไม่ทันระวังตัวเอื้อมมือดึงผ้าคลุมสีดําออกอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเองสายตาของทุกคนจับจ้องภาพตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น

ใต้ผ้าคลุมสีดําหาได้มีก้อนหินใดไม่! แต่ว่ามันคือก้อนผลึกขนาดใหญ่ต่างหาก! ถ้าจะกล่าวก็คือมันคือก้อนผลึกมนุษย์ขนาดใหญ่ มันใหญ่กว่าก้อนผลึกที่พวกเขาได้รับมาในก่อนหน้านี้มากกว่าร้อยเท่า ทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยอักขระสีแดงสด ลวดลายโบราณมากมายปรากฏสู่สายตาของทุกคน เคล็ดวิชาที่ถูกบันทึกไว้ลึกซึ้งอย่าง หาใดเปรียบมิได้

 

โอ้! เห็นได้ชัดว่ามันคือสมบัติล้ําค่าแต่หนุ่มน้อยผู้นี้กลับโกหกว่ามันเป็นเพียงก้อนหิน

ก้อนผลึกที่ใหญ่ยิ่งเช่นนี้ มูลค่าของมันมากมายยิ่งกว่าก้อนผลึกเล็กๆ ก่อนหน้าที่นางเคยได้รับมาอย่างแน่นอน

หัวใจของหลิวหงสั่นระรัว แววตาทอประกายความละโมบอย่าง ชัดเจน หนาสู่ยและหนาซานก็เช่นเดียวกัน พวกเขาทั้งหมดเดิน เข้าใกล้ก้อนผลึกยักษ์โดยไม่รู้ตัว… แต่ไม่มีใครสักคนสังเกต เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าเยี่ยฉวนสักนิด

สตรีผู้นี้มักยึดครองสมบัติล้ําค่าไว้แต่เพียงผู้เดียว นางสามารถพ ลิกลิ้นได้ตลอดเวลาเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ เอาล่ะ ข้าจะเป็นคนม อบบทเรียนให้กับเจ้าเอง!

 

หากคิดจะต่อกรกับข้า… เจ้ายังอ่อนหัดนัก!

เยี่ยฉวนเผยสีหน้าเย้ยหยันออกมาขณะเหลือบมองหลิวหง ในฐานะนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถซ่อนเร้นสวรรค์ด้วยฝ่ามือในภพชาติที่แล้ว ทําให้เขามีทักษะที่สามารถปลอมแปลงสมบัติได้อย่างแนบเนียน อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มคือบรรพบุรุษแห่งการปลอมแปลงก็ว่าได้! การสร้างก้อนผลึกมนุษย์ยักษ์นี้ไม่ใช่เรื่องง่ายก็จริง แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการนําของปลอมไปหลอกลวงผู้เชี่ยวชาญ ทว่ากับหลิวหงผู้อ่อนประสบการณ์และคนอื่นๆมันง่ายดายยิ่ง ณ ที่แห่งนี้ไม่มีใครล่วงรู้ว่าสมบัติตรงหน้าคือของปลอม!

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด