Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์บทที่ 200 วิหคทรราช

Now you are reading Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ Chapter บทที่ 200 วิหคทรราช at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์

ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 200 วิหคทรราช

บทที่ 200 วิหคทรราช

ก้อนผลึกมนุษย์ขนาดเล็กหกชิ้นที่วางเรียงอยู่เบื้องหน้า เยี่ยฉวนเป็นสีขาวหม่นไปเสียห้าชิ้น มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้นที่เป็นสีฟ้า…

เยี่ยฉวนหยิบก้อนผลึกสีขาวหม่นขึ้นพิจารณาทีละชิ้นก่อนวางลงที่เดิม จากนั้นจึงเพ่งความสนใจไปที่ก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้าซึ่งหมายตาไว้ในตอนแรก

 

ทันทีที่สัมผัสก้อนผลึกเยี่ยฉวนพลันรู้สึกได้ถึงความเย็นเยือก พื้นผิวบริสุทธิ์ราวถูกหลอมขึ้นด้วยหยกสีฟ้าโปร่งแสง รอบลําตัวปรากฏจุดและเส้นสีแดงพาดโยงใยไปทั่ว เมื่อกวาดสายตามองผ่านๆจะเห็นว่าเส้นเหล่านี้ดูยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ แต่หากสังเกตอย่างถี่ถ้วนจึงทราบว่าพวกมันเรียงตัวอย่างมีแบบแผน

 

“นายท่าน อย่าใช้เพียงสายตาสํารวจขอรับ โปรดใช้สัมผัสวิญญาณในการหยั่งรู้”

สุ่มเสียงของวิญญาณร้ายเฮยกุ้ยดังขึ้นในมโนสํานึกของเยี่ยฉวนอีกครั้ง ทว่าเสียงกลับขาดหายไป เมื่อชายหนุ่มปิดข้อจํากัดการได้ยินของโคมบงกชสีครามเพื่อไม่ให้มีเสียงรบกวนใดๆ

หลังได้รับประสบการณ์ตรงในการขัดเกลาผลึกโสมปีศาจจากอสรพิษหน้าคน เยี่ยฉวนก็ตระหนักดีว่าตนควรทําอย่างไรกับก้อนผลึกเหล่านี้โดยไม่ต้องฟังคําแนะนําจากเฮยกุ้ยด้วยซ้ํา

 

ลมหนาวกระโชกแรงในยามรุ่งสางพัดผ่านใบหูของเขาจนรู้สึกเย็นยะเยือก

เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นอย่างเงียบเชียบ เพื่อทําการถอดดวงจิตออกจากกายหยาบ ไม่นานดวงจิตของเขาจึงลอยล่องอยู่บนท้องนภา โคมบงกชสีครามที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าเปล่งแสงสีฟ้านวลตาให้ความอบอุ่นแก่ดวงจิตอย่างต่อเนื่อง

ปาหมื่นอสูรแห่งนี้เต็มไปด้วยภยันตรายเกินหยั่งรู้ ทั้งยังมีวิญญาณชั่วร้ายสิงสถิตอยู่ทั่วบริเวณ ยิ่งตกดึกบรรยากาศโดยรอบยิ่งเต็มไปด้วยความน่ากลัว หากมนุษย์สามัญหลงเข้ามาสํารวจเส้นทางคงสั่นสะท้านไปทั้งร่างด้วยความหวาดผวาจนสติไม่สมประดี ถึงกระนั้นเยี่ยฉวนยังเลือกถอดดวงจิตเพื่อท่องไปสํารวจในสถานที่ที่ตนไม่คุ้นเคย การใช้จิตวิญญาณในการศึกษาเคล็ดวิชาลึกลับดังกล่าวอาจไม่เพียงพอ จําเป็นต้องดื่ม-สู่ห้วงลึกของมันด้วยดวงจิตบริสุทธิ์

ห่างจากจุดที่เขาเข้าสู่สมาธิไปสิบลี้หลิวหงและคนอื่นๆ ยังคงโจมตีอสูรหินยักษ์ที่ตาบอดอย่างไม่หยุดหย่อน

 

ไกลออกไปอีกยี่สิบก้อนหินที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันตกสั่นสะเทือนเล็กน้อย จากนั้นบนพื้นผิวพลันปรากฎรอบปริร้าวเป็นทางยาวพร้อมกับอสูรหินอีกตนที่กระโจนออกมา ครั้นมันได้ยินเสียงปะทะจึงพุ่งเข้าหากลุ่มคนทั้งห้าโดยไม่รีรอ

ไกลออกไปอีกสามสิบล้ําจากกองหินมหึมาเหล่านั้น ปรากฏรัศมีแห่งความอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ทีละนิด ประหนึ่งบรรดาสัตว์อสูรที่ซ่อนเร้นกายอยู่บริเวณนั้นเตรียมพร้อมที่จะออกมาก่อความโกลาหล

หลังถอดดวงจิตออกจากร่างได้ครู่หนึ่ง เยี่ยฉวนสามารถรับรู้ได้ แม้กระทั่งเสียงใบไม้แห้งที่ถูกสายลมพัดจนกระทบกันดังกรอบแกรบภายในขอบเขตสามสิบลี้ จากนั้นดวงจิตจึงลอยล่องไปทางก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้า และค่อยๆซึมซับเข้าไปภายใน ทันใดนั้นเคล็ดวิชาที่คลุมเครือและกระบวนท่ามากมายพลันปรากฏขึ้นในห้วงความคิด! ตอนนี้ภวังค์ของเขามีภาพลวงตาซ้อนทับอย่างน่าอัศจรรย์ ดวงจิตของเขาเคลื่อนไปจนถึงสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง ดุจหลอมรวมจิตวิญญาณเข้ากับก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้าที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ําในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

น้ําทะเลที่สถานที่แห่งนี้เป็นสีดําสนิท ทุกครั้งที่สายลมแรงพัดผ่านเหนือผิวน้ําจะปรากฏคลื่นยักษ์ความสูงถึงหนึ่งกิโลเมตรโหมดอย่างบ้าคลั่ง คลื่นลูกนี้ไม่ได้เกิดจากการกระทําของปราณจิตวิญญาณโลกที่เคยพบเห็นในดินแดนรกร้างแต่อย่างใด ทว่าเกิดจากพลังปราณที่ไม่สามารถอธิบายคุณสมบัติได้ หนําซ้ํายังรุนแรงราวจะฉีกร่างของเขาออกเป็นชิ้นๆ ส่วนเส้นขอบฟ้าอันไกลโพ้นปรากฏเขาสูงตระหง่านที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนซึ่งโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันความแปรปรวนของพลังงานในที่แห่งนี้พลันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น! แม้พยายามเข้าใกล้เพียงนิด เขากลับรู้สึกราวดวงจิตกําลังจะแยกออกเป็นสองส่วน

 

ทันใดนั้นเองเยี่ยฉวนจึงตื่นขึ้นจากห้วงภวังค์ที่น่ากลัวนั้น ทั่วร่างกายชุ่มโชกไปด้วยหยดเหงื่อ ตอนนี้ดวงจิตและกายหยาบของเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย

แสงแห่งรุ่งอรุณฉาบทาบนขอบฟ้า…ทว่าหลิวหงและคนอื่นๆยังคงต่อสู้กับอสูรหินยักษ์โดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดยั้ง ความจริงเวลาผันผ่านไปเพียงไม่นานแต่เยี่ยฉวนที่หมดเรี่ยวแรงทั้งทางกายและใจกลับรู้สึกราวกับเวลาล่วงเลยไปหลายพันปี

 

น่าแปลกจริง! เคล็ดวิชาดังกล่าวคืออะไรกันแน่?!

มหาสมุทรสีดําสนิทที่เขาเห็นในภวังค์เมื่อครู่จะเป็นเพียงความฝันเท่านั้น…หรือมันคือโลกเหนือแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่เขาใฝ่หา?!

 

ความสงสัยก่อเกิดขึ้นในจิตใจเยี่ยฉวนจนเต็มตื้น ศีรษะของเขาก้มต่ําด้วยรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นรัวขึ้นอย่างกะทันหัน

ตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบที่บนปลายนิ้วชี้ปรากฏพลังปราณสีดําจางๆ ลอยวนอยู่โดยรอบราวเป็นแหวนสีดําวงหนึ่ง พลังที่แผ่ออกให้ความรู้สึกอันตรายอย่างหาใดเปรียบ ซ้ําร้ายมันยังหลอมรวมกับปราณจิตวิญญาณแห่งโลกไม่ได้โดยสิ้นเชิง ทุกครั้งที่มันหมุนวนอย่างเนิบช้ากลับทรงพลังประหนึ่งกําลังจะแยกแผ่นดินออกเป็นสองฝั่ง

 

“หรือนี่จะเป็นพลังปราณที่ปรากฏอยู่เหนือมหาสมุทรสีดํา?”

 

เยี่ยฉวนทบทวนครู่หนึ่งจึงคาดเดาสิ่งที่ปรากฏได้ทันที เขาสูดลมหายใจลึกพร้อมโคจรเคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์อย่างเงียบเชียบ เพื่อดูดซับพลังประหลาดนั้นเข้าสู่ร่างกาย

 

ทันใดนั้นความแปรปรวนอย่างรุนแรงของพลังปราณภายในร่างที่ผสมปนเปปะทุขึ้นจากภายในกายอย่างไม่อาจต้านทาน จนเขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณซี่โครง หน้าท้องและลําคออย่างยิ่ง! ความเจ็บปวดเสียดแทงขึ้นจากแขน ขา และกระดูกทั้งหมดจนร้าวระบม อวัยวะภายในส่งเสียงเอี้ยดดจากการเคลื่อนตัวอย่างต่อเนื่อง เยี่ยฉวนรู้สึกว่าตนอดทนความสาหัสดังกล่าวไม่ได้อีกต่อไป หากช้ากว่านี้ร่างคงระเบิดออกเป็นเสี่ยง!

“ภพก่อนข้าเคยซ่อนเร้นสวรรค์ไว้ด้วยฝ่ามือ แต่ภพนี้ ข้าต้องการกลืนกินสวรรค์ซะ!”

 

เยี่ยฉวนรวบรวมพลังอีกครั้งพร้อมแค่นเสียงคํารามขณะโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งห้าอย่างเดือดดาล เพื่อต่อต้านและขัดเกลาพลังปราณที่มาจากอีกโลกหนึ่ง ร่างกายยังคงสั่นรัวไม่หยุดหย่อน ความเจ็บปวดมหาศาลกลิ้งไหลเวียนไปมาราวระลอกคลื่นในมหาสมุทรที่โหมสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างปรารถนาจะฉีกจิตวิญญาณของเขาออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หากมีผู้ใดคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกลจะเห็นภาพกล้ามเนื้อทุกส่วนที่บิดเบี้ยวผิดรูปอย่างน่าสยดสยอง รวมถึงรูขุมขนที่แดงเถือกราวโลหิตแดงสดกําลังจะทะลักออกมา!

 

โคมบงกชสีครามเปล่งประกายสว่างจ้า แสงสีฟ้านวลตาส่องไปยังร่างของเขาเพื่อเพิ่มความอบอุ่นจนความเจ็บปวดทั้งมวลที่เกิดขึ้นค่อยบรรเทาลง

ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรงอีกครั้ง กระทั่งแสงสีฟ้าที่อาบทาทําให้ความแปรปรวนเหล่านั้นสงบลงอย่างช้าๆ ไม่นานนักพลังปราณสีดําที่ได้รับจากโลกเหนือแดนสวรรค์สูงสุดพลันเลือนหาย ตอนนี้ยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งห้าใบควบแน่นขึ้นทั้งยังมีแสงสีดําไหลเวียนอยู่โดยรอบ เมื่อเขายันกายขึ้นยืนเสียงลั่นของกระดูกก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับความสูงที่เพิ่มขึ้นโดยไม่คาดคิด กําปั้นของเขาที่เหวี่ยงไปส่งๆ ทรงพลังเสียจนอากาศโดยรอบถึงขั้นบิดเบี้ยว แม้การฝึกตนยังคงเดิมที่ขั้นซิวฉือระดับที่สี่ และยันต์กลืนกินสวรรค์ ยังคงมีห้าใบเช่นเดิมปราศจากการเพิ่มจํานวนใดๆ ทว่าความแข็งแกร่งทางร่างกายกลับพัฒนาไปไกลเกินพรรณนาแล้ว!

“เหล่าเทพเซียน! นี่ไม่ใช่เคล็ดวิชาการฝึกตนแต่เป็นช่องทางสื่อสารระหว่างโลกมนุษย์กับโลกเหนือแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ต่างหาก!”

 

ชายหนุ่มหยิบก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้าตัวจิ๋วขึ้นพินิจใกล้ๆอีกครั้งด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น!

หากเปรียบเทียบก้อนผลึกมนุษย์ที่เขาได้รับมาโดยบังเอิญชิ้นนี้ กับการได้รับเคล็ดวิชาอันสูงส่ง เยี่ยฉวนคิดว่าอย่างแรกมีประโยชน์มากกว่าหลายเท่า เพราะมันทําให้เขามองเห็นอีกมุมมองของโลกอีกหนึ่งใบที่อยู่ไกลลิบ ทั้งยังเป็นการเผยความจริงว่าโลกเหนือแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไม่ได้มีเพียงตํานานที่เล่าสืบต่อกันมาเท่านั้น ทว่าเป็นโลกที่มีอยู่จริง! จากที่เขาพบเห็นด้วยตาโลกใบนั้นกว้างใหญ่ไพศาลกว่าโลกนี้หลายเท่าตัว อีกทั้งพลังปราณทางโลกในชั้นบรรยากาศยังทรงพลังมหาศาลกว่าถึงร้อยเท่า! อาจตัดสินชี้ขาดได้ว่าสถานที่แห่งนั้นคือดินแดนรกร้างอย่างแท้จริง!

หลายล้านปีก่อนเยี่ยฉวนในภพอดีตเป็นมหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถซ่อนเร้นสรวงสวรรค์ไว้ด้วยฝ่ามือ เขาเคยได้ยินพระวจนะอันน่าเลื่อมใสของพระโพธิสัตว์ในครั้งโบราณ ความว่าสิ่งที่เห็นว่าเป็นภูเขาอาจไม่ใช่ภูเขา สิ่งที่เห็นเป็นน้ําอาจไม่ใช่น้ํา ผืนโลกที่ผู้คนเห็นว่ารกร้างว่างเปล่าอาจไม่ใช่ดินแดนที่ว่างเปล่าโดยแท้

 

*ความหมายของพุทธสุภาษิต = ทุกสรรพสิ่งย่อมมีคุณมากกว่าที่ตาเห็น

 

เวลานั้นเมื่อเยี่ยฉวนได้ยินประโยคดังกล่าวเขากลับหัวเราะออกมาด้วยไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนพุทธวจนะนั้นแฝงสัจธรรมแท้จริงไว้อย่างลึกล้ํา!

ครั้นความตื่นเต้นและกระตือรือร้นทั้งหมดคลายลง สัมผัสเกี่ยวกับอันตรายร้ายแรงพลันแทรกเข้าแทนที่

เยี่ยฉวนสะบัดศีรษะไล่ภวังค์อันน่าตื่นตาออกไปสิ้น ก่อนหันกลับไปมองเส้นขอบฟ้า จุดสีดําเล็กๆปรากฏขึ้นจากเขตสิ้นสุด ของปาหมื่นอสูรที่อยู่ห่างออกไปเกือบหนึ่งร้อยลี้ แต่ภายในชั่วพริบตา จุดสีดํานั้นกลับขยายใหญ่ขึ้นและใกล้เข้ามาจนเหลือระยะห่างเพียงยี่สิบลี้! ไม่กี่อึดใจจุดสีดําก็ขยายใหญ่กลายเป็นนกยักษ์ที่มีลักษณะน่าเกลียดน่ากลัว กรงเล็บแหลมคมพุ่งตรงไปหาก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้าที่อยู่บนฝ่ามือชายหนุ่มหมายโฉบฉวยไป!

 

วิหคยักษ์อย่างนั้นรี?

ลําคอของเยี่ยฉวนแห้งผากขึ้นมาทันใด! ปิกของวิหคยักษ์ที่ปรากฎกายต่อหน้าเขาเมื่อกางออกจนสุดความยาวนั้นมีขนาดใหญ่โตกว่าอสูรหินเศียรสุนัขถึงสิบเท่า! ตลอดทั้งลําตัวประกอบขึ้นจากหินทั้งหมด แม้แต่ขนนกเส้นเล็กๆที่เรียงตัวอยู่บนปีกซึ่งมีความยาวข้างละหนึ่งร้อยเมตรยังเป็นหินแข็ง พลังโดยรวมแข็งแกร่งมหาศาล อีกทั้งการเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนจะเทอะทะกลับคล่องตัวเกินคาด กรงเล็บแหลมคมกริบเสียยิ่งกว่ากระบี่บินชั้นดี ขนาดลําตัวที่ใหญ่มหึมาสร้างความคุกคามแก่มนุษย์ทั่วไปที่พบเห็นจนขวัญหนีดีฝ่อ ลักษณะทั้งมวลที่ประกอบกันไม่ต่างอันใดไปจากวิหคทรราชที่ผู้คนต่างหวาดผวาเลยแม้แต่น้อย!

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด