Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์บทที่ 224 ตระกูลขุนนางมู่หรง

Now you are reading Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ Chapter บทที่ 224 ตระกูลขุนนางมู่หรง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 224 ตระกูลขุนนางมู่หรง

“เจ้าเป็นใครกัน?”

ใบหน้าของเยี่ยฉวนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อ เผชิญหน้ากับจัยเฟิงโดยตรง ส่วนจูซื้อเจียและจ้าวต้าจ่อที่ยืนอยู่ไม่ห่างเผยสีหน้าตึงเครียดด้วย ความหวั่นวิตก

ชายหนุ่มชุดคลุมสีม่วงผู้นี้บรรลุการฝึกตนขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ระดับที่ห้า ต่อให้อาวุโสสูงสุดซ่ โกวหงยืนอยู่ที่นี่ก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ําสม เนื้อ!

“ข้าเป็นใครงั้นหรือ?!” คุณชายจุยเฟิงผู้สวมเสื้อคลุมที่ตัดเย็บจากผ้า แพรราคาสูงยกยิ้มอย่างเย็นชาขณะก้าวเดินไปทางเยี่ยฉวน เขาเอ่ยตอบด้วยท่าที่ผ่อนคลาย “มู่หรงซุ้ยเฟิง…เจ้าสามารถเรียกข้าว่านายน้อยมู่หรง หรือจะเรียกว่าคุณชายจุยเฟิงก็ย่อมได้

เหล่ายอดฝีมือที่เฝ้าสังเกตการณ์ต่างรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาทันใด!

ในอาณาจักรต้าฉันมีกลุ่มใหญ่ทรงอิทธิพลมากมาย บางกลุ่มเลี้ยงดูยอดฝีมือชั้นเลิศจํานวนมาก บางกลุ่มมีฐานะมั่งคั่งเทียบเท่ากับทรัพย์สินของครัวเรือนทั้งอาณาจักร แต่กลุ่มที่เปี่ยมด้วยอํานาจและบารมีที่สุดคือสามตระกูลชั้นสูงแห่งเมืองหลวง หนึ่งคือตระกูลหมู่ที่ชํานาญด้านการค้าและธุรกิจทุกประเภทอิทธิพลของพวกเขา ขยายไปไกลถึงทวีปอัคคีสวรรค์ทั้งยังมีไพร่พลแฝงตัวอยู่ทุกซอกทุกมุม สองคือตระกูลหลงที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตและปรับแต่งศาสตราวุธ ในตลาดค้าอาวุธทั่วอาณาจักรต้าฉันตระกูลหลงคุมอํานาจกว่าเก้าในสิบ และกลุ่มสุดท้ายคือตระกูลขุนนางมู่หรงซึ่งบ่มเพาะยอดฝีมือผู้เก่งกาจในด้านต่างๆไว้ทุกแขนง พวกเขาสร้างยอดฝีมือที่มี ชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์สู่สังคมมาแล้วรุ่นต่อรุ่น

เมื่อระยะเวลาผ่านมาหลายชั่วอายุคน ตระกูลชั้นสูงทั้งสามจึงกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่ว ทั้งรากแก้วยังหยั่งลึกเกินโค่นล้ม ไม่เพียงดํารงตําแหน่งขุนนางระดับสูงในพระราชสํานักเท่านั้น ทว่าพวกเขายังมีฐานะเป็นผู้ฝึกตนที่มีทักษะสูงส่งกว่าผู้ฝึกตนที่สังกัดสํานักเสียอีก ในบรรดาสามตระกูลใหญ่…ตระกูลมู่หรงเป็นกลุ่มที่ทรงอํานาจและบารมีมากที่สุด หลายร้อยปีก่อน บรรพบุรุษของตระกูลมู่หรงบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าระดับสูงสุด เขาทําการฝึกตนอย่างสันโดษโดยละทางโลกเป็นเวลาหลายร้อยปี ตํานานกล่าวขานว่าเขาอาจบําเพ็ญตนกระทั่งถึงขั้นมหาปราชญ์ฝึกหัดและยังมีความเพียรที่จะบรรลุถึงขั้นนักปราชญ์ในสักวันหนึ่ง หากเขาไปถึงจุดนั้นจริง ตระกูลขุนนางมู่หรงจะขึ้นสู่จุดสูงสุดจนไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้

“ความจริงปรากฏแล้ว! เขามาจากตระกูลขุนนางมู่หรงแห่งเมืองหลวง! มิน่าเล่าเครื่องแต่งกายจึงหรูหราฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้ สตรีผู้คุ้มกันทั้งสิบสองนางของเขานอกจากจะเก่งกาจอย่างน่าทึ่ง แล้วยังงดงามไร้ที่ติ!”

“มู่หรงซุ้ยเฟิง เขาเป็นหนึ่งในสามนายน้อยแห่งเมืองหลวงเชียวนะ! คําโบราณว่าไว้…การรู้จักบุคคลผ่านชื่อเสียงไม่ดีเท่ารู้จักผ่านการพบหน้า ผู้คนในเมืองหลวงลือกันว่าเขาเป็นมังกรในร่างมนุษย์ เพราะกระบวนดาบของเขาบรรลุถึงจุดที่สมบูรณ์แบบ อีกทั้งปรมาจารย์บรรพบุรุษของเขายังมอบใบมีดระดับสวรรค์ซึ่งสมบัติล้ําค่ามหาศาลให้เขาครอบครอง ในอนาคตเขาอาจกลายเป็นมหาปราชญ์แห่งศาสตราวุธก็เป็นได้!”

ฝูงชนต่างหันไปพูดคุยกันอย่างออกรสพลางกอดอกเฝ้ามองสถานการณ์ตรงหน้า

หมอกพิษที่ปกคลุมอยู่เหนือโลงศพหินเป็นอันตรายยิ่งต่อผู้สัมผัส เวลานี้พวกเขาต้อง การใครสักคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งพอที่จะทําลายมัน ยอดฝีมือทุกคนต่างใส่ใจสมบัติที่อยู่ภายในมากกว่าจะสนใจการวางอํานาจบาตรใหญ่ของมู่หรงจุ้ยเฟิงที่บีบบังคับให้เยี่ยฉวนไปยังแท่นบูชา เพื่อสํารวจหมอกพิษดังกล่าว โท่วป่าเซียงเนียวร้อนใจจนไม่อาจนิ่งเฉยจึงร้องขอให้บิดาของนางช่วยเหลือเขา ทว่านอกจากผู้เป็นบิดาจะไม่กระทําการใด ยังออกคําสั่งให้สาวกจับตัวนางมัดไว้กับเสาอย่างเร่งด่วน!

มู่หรงซุ้ยเฟิงเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิ บน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน เขาพึงใจไม่น้อยที่ได้ยินฝูงชนยกย่องชื่นชมชื่อเสียงของเขากันเซ็งแซ่

หลิวหงลอบหัวเราะในใจอย่างร้ายกาจ ทว่าภายนอกกลับเสแสร้งแสดงท่าที่ราวตนเป็นหญิงสาวบอบบาง ขณะเดินไปยืนข้างกายชายหนุ่มชุดคลุมสีม่วง

“ฟังดูน่าทึ่งไม่น้อย น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลของท่านมาก่อน…” เยี่ยฉวนปริปากเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ท่านมีนามว่าจุยเฟิง…อยากรู้นักว่าการเคลื่อนไหวของท่านจะเร็วจนเทียบเท่ากระแสลมจริงหรือไม่?!”

*จุยเฟิง = การวิ่งไล่ตามลม

เสียงอื้ออึงในห้องโถงใหญ่เงียบลงฉับพลัน

ตระกูลขุนนางมู่หรงซึ่งเป็นหัวหน้าของสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงในอาณาจักรต้าฉันมีชื่อเสียงโด่งดังคับฟ้า ทั้งยังทรงอิทธิพลและเปี่ยมด้วยอํานาจ แม้แต่โลกของผู้ฝึกตนยังไม่กล้าดูแคลนความสามารถของพวกเขา แต่ในที่แห่งนี้ เยี่ยฉวนซึ่งเป็นเพียงศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักหมอกเมฆากลับประกาศต่อสาธารณชนว่าไม่เคยได้ยิน เรื่องเกี่ยวกับพวกเขามาก่อน! นี่หมายความว่า…

รอยยิ้มของมู่หรงซุ้ยเฟิงจางลงทันที ใบหน้าพลันถอดสีเพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้

ครู่นี้เขายังเพลิดเพลินไปกับสารพันคํายกย่อง ชมเชยจากบรรดายอดฝีมือที่มารวมตัวกัน ทว่าชั่วพริบตาชายหนุ่มนามว่าเยี่ยฉวนกลับกล่าวว่าไม่เคยได้ยินเรื่องพรรค์นั้นมาก่อน ทําให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าว ราวถูกอีกฝ่ายตบเข้าเต็มแรง

“ถ้าอยากรู้ว่าความเร็วของข้าเทียบเท่ากระแสลมหรือไม่ เช่นนั้นเรามาพิสูจน์กันสักครั้ง! ไอ้หนู หากข้าไม่สามารถตบหน้าเจ้าได้ภายในสามกระบวนท่า จงอย่านับข้าเป็นตระกูลมู่หรง!

”มู่หรงซุ้ยเฟิงคํารามอย่างเกรี้ยวกราด ทันทีที่พูดจบ จึงพุ่งตัวไปด้านหน้าหมายตบหน้าเยี่ยฉวนอย่างไม่รอช้า!

ก่อนหน้านี้เขาต้องการสั่งสอนบทเรียนให้เขาหลาบจําเพื่อหลิวหง แต่ครั้งนี้เขาโกรธายิ่งจนทําการโจมตีด้วยเหตุผลส่วนตน ผู้ใดบังอาจดูหมิ่นเขาและตระกูลมู่หรงต้องถูกสังหารให้ตายตกไปเสีย!

วีด… ฝ่ามือของมู่หรงจุ้ยเฟิงยังไม่กระทบถูกเป้าหมาย ทว่ากระแสลมซึ่งเป็นแรงส่งอันทรงพลังรุนแรงเสียจนผู้คนไม่อาจลืมตา ชายชุดคลุมของพวกเขาถูกสายลมแรงพัดกระโชกจนสะบัดปลิวไสว

ฝูงชนที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ไม่ห่างแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นซีดเผือด ขณะก้าวถอยหลังตามระเบียบ

การโจมตีด้วยฝ่ามือของชายหนุ่มรวดเร็วมาก พลังซึ่งอยู่ภายใต้กระบวนการโจมตีทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ต่อให้บุคคลผู้นั้นบรรลุการฝึกตนขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ยังหลบหลีกได้ยากนัก นับประสาอะไรกับเยี่ยฉวนซึ่งบรรลุเพียงขั้นซิวฉือระดับที่ห้า หากฝ่ามือนี้ตบลงบนพื้นดินโดยแรง แม้แต่ก้อนหินยังอาจแตกร้าว!

เจตนาของเขาไม่ใช่การสั่งสอนเยี่ยฉวนให้หลาบจําเท่านั้น ทว่ามีเพียงเป้าหมายเดียวคือ สังหารอีกฝ่ายที่บังอาจกล่าววาจาล่วงเกินถึงเพียงนี้!

ฝูงชนตื่นตระหนกยิ่ง! แม้เยี่ยฉวนกระทําผิดพลาดอย่างไร เขาก็ดํารงตําแหน่งเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักหมอกเมฆา การสังหารเขาอย่างเปิดเผยเท่ากับเป็นการลบหลู่สํานักหมอกเมฆา

ซึ่งหน้าไม่ใช่หรือ?! เจ้าสํานักโท่วป่าเซียงจอมเอาแต่ใจ และอาวุโสเฟิงเหรินอยากสังหารเขาใจแทบขาดยังยั้งมือ เพราะกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ร้าวฉานหลังจากนั้น ทว่ามู่หรงซุ้ยเฟิงผู้นี้กลับกล้ากระทําการอุกอาจโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด เห็นได้ชัดว่าตระกูลขุนนางมู่หรงมีอํานาจเหนือกว่าทุกสิ่งโดยแท้

โท่วป่าเซียงเนียวร้อนรนยิ่งกว่าเก่า ร่างของนางไม่เพียงถูกมัดติดกับเสาแต่ยังถูกผ้าพันปิดปากไว้จนไม่อาจร้องตะโกนได้อีกต่อไป เวลานี้ นางทําสิ่งใดไม่ได้นอกจากเฝ้าดูเยี่ยฉวนถูกอีกฝ่ายโจมตีต่อหน้าต่อตาเท่านั้น!

มู่หรงซุ้ยเฟิงทะนงว่าตนมีฐานันดรสูงส่งเป็นถึงนายน้อยตระกูลขุนนาง ทั้งยังคิดว่าตนวิเศษเลิศเลอเหนือผู้อื่น การเคลื่อนที่ของเขารวดเร็วมาก คนผู้คนมองตามไม่ทัน เสียงคํารามของเขายังคงกังวานอยู่ในห้องโถง แต่ร่างพุ่งออกไปประชิดตัวเยี่ยฉวนเพื่อโจมตีอย่างดุเดือด!

เสียงอุทานอย่างตื่นตระหนกดังขึ้นจากกลุ่มฝูงชน โท่วป่าเซียงเพียวคร่ําครวญเสียงอู้อี้พร้อมหยดน้ําตาที่รินไหลลงอาบแก้ม

กระแสลมจากฝ่ามือนั้นรวดเร็วและรุนแรงเกินไป จนจซื้อเจียและจ้าวต้าจอที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยฉวนไม่อาจตอบสนองได้ทันเวลา ลมที่พัดเข้าปะทะใบหน้าทําให้พวกเขาหลับตาลงทุนที่ด้วยความหวาดกลัว ใจนึกเป็นกังวลว่าศิษย์พี่ใหญ่อาจหลบเลี่ยงหายนะในครั้งนี้ไม่สําเร็จ หนําซ้ํพวกต นอาจพลอยถูกลูกหลงไปด้วย

ทันใดนั้นเยี่ยฉวนขยับแขนทั้งสองข้างผลักทั้ง สองที่ยืนขนาบข้างให้หลบไปจากพื้นที่โจมตีขาตั้งสองไม่ขยับราวถูกตอกตรึงไว้กับพื้นดิน ทว่า ร่างกายส่วนบนกลับแกว่งเบี่ยงไปทางซ้ายและขวา จากนั้นจึงค่อยๆเพิ่มความเร็วขึ้นตามลําดับ เมื่อมองจากระยะไกลอาจดูเหมือนเขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น แต่ความเป็นจริงใบหน้ากลับพร่ามัวจากการขยับกายรวดเร็วเกินขีดจํากัด ทันทีที่ฝ่ามือของมู่หรงซุ้ยเฟิงตบลงไปโดยแรงจึงกระทบเข้ากับอากาศเท่านั้น!

“อะไรกัน!? ไอ้เด็กบัดซบผู้นี้ล่วงรู้เคล็ดวิชาลับ วายุวิถีของสํานักเบญจลักษณ์ได้อย่างไร?! หลิวหง…นังหญิงโสโครกนั่นลอบถ่ายทอดให้มันรึ?!”

เฟิงเหรินที่สังเกตการณ์อยู่ด้านข้างตะโกนลั่นด้วยความพิศวง ครั้นพิจารณาดูให้ดีคิ้วทั้งสองของเขาจึงขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่ามีบางสิ่งที่แตกต่าง…

กระบวนท่าที่เยี่ยฉวนใช้เมื่อครู่มีรูปแบบคล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาวายุวิถีซึ่งเป็นวิชาเฉพาะของสํานักเบญจลักษณ์ แต่เมื่อสังเกตให้ดีจะพบว่ามันมีความผิดแปลกบางประการ ทั้งยังเป็นเคล็ดวิชาระดับสูงกว่า

แววตาอาวุโสเฟิงเหรินผู้มีชื่อเสียงด้านเคล็ดวิชาวายุวิถีและดาบวายุสังหารทอประกายกล้า ไม่คาดคิดว่าวันนี้เขาจะค้นพบกระบวนปราณลมที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกันแต่ลึกซึ้งยิ่งความตื่นเต้นดีก่อตัวขึ้นในจิตใจ อานุภาพของมันไม่ได้ด้อยค่าไปกว่าสมบัติเก่าแก่ที่ซ่อนอยู่ในโลงศพตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย และอาจทรงพลังมากกว่าด้วยซ้ํา! ชายชรามั่นใจว่าหากตนได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาดังกล่าวจากเยี่ยฉวน ระดับขั้นการฝึกตนรวมถึงความแข็งแกร่งภายในร่างกายย่อมพัฒนาขึ้น ราวพยัคฆ์เต็มวัยที่มีปีกกระทั่งได้รับตําแหน่งราชาแห่งวายุวิถีอย่างสมเกียรติ!
“ครั้งที่สอง! ไอ้หนู หากเจ้าแน่จริง ก็อย่าหลบ!”

มู่หรงซุ้ยเฟิงตะโกนลั่นอีกครั้งก่อนฟาดฝ่ามือลงโดยแรง คราวนี้การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็ว ไม่ด้อยไปกว่าเคล็ดวิชาวายุวิถี ราวพายุลูกใหญ่ที่ซัดกระหน่ําไปทางเยี่ยฉวน ทั้งยังส่งผลให้เกิดเสียงระเบิดดังกัมปนาทเสียดโสตประสาท!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด