Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์บทที่ 316 พรตเต๋สังหาร

Now you are reading Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ Chapter บทที่ 316 พรตเต๋สังหาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 316 พรตเต๋สังหาร

“ไอ้สารเลว! จะหนีไปไหน?!”

องค์ชายรัชทายาทหลีก่วงซ่านเหาะทะยานขึ้นฟ้าด้วยความโกรธก่อนร่อนลงบนหลังคากระโจมและไล่ตามอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละด้วยเกรงว่าเยี่ยฉวนจะหลบหนีออกไปได้ แต่ยังไม่ทันเข้าประชิดตัว ปลายเท้าของเยี่ยฉวนกลับสัมผัสถูกอากาศที่ว่างเปล่าและใช้เคล็ดวิชาไร้เทียมทานเว้นกายหายลับไปจากพื้นที่ทันที!

เยี่ยฉวนหันกลับไปมองหลีก่วงซ่านด้วยสายตาเย็นชา แต่แล้วอึดใจต่อมาหัวใจเขาเกิดเต้นผิดจังหวะเมื่อตระหนักว่าเคล็ดวิชาไร้เทียมทานที่เขาเลือกใช้เริ่มเสื่อมประสิทธิภาพ แม้พยายามถึงสองสามครั้งเพื่อแก้ไขกลับคืนทว่าไม่สัมฤทธิผล ครั้นรูปแบบพสุธาใช้การไม่ได้เขาจึงเปลี่ยนไปใช้เคล็ดวิชาวายุสังหาร ถึงกระนั้นก็ยังไม่เกิดผลใดๆทั้งสิ้น ทันใดนั้นความแปรปรวนของพลังปราณที่คลุมเครือจึงแผ่ขยายออกปกคลุมทั่วชั้นบรรยากาศ

ท่าไม่ดีแล้ว!

นี่คือขอบเขตป้องกันขนาดใหญ่! ใครบางคนได้เรียกใช้เคล็ดวิชาอันทรงพลังที่มีรัศมีรอบด้านกว้างกว่าหนึ่งกิโลเมตรเพื่อหยุดยั้งเขา เคล็ดวิชาไร้เทียมทานทุกรูปแบบของเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

จิตใจของเยี่ยฉวนเข้าสู่สภาวะตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเต้นเร็วแรงยิ่งกว่าครั้งไหน บัดนี้เขาเข้าใจแล้วว่าตนไม่ควรสบประมาทความสามารถขององค์ชายหลีก่วงซ่าน!

ชายคนนี้ไม่เพียงคิดค้นวิธีเพื่อหลอกล่อเหยื่อตัวใหญ่ให้ติดกับ แต่ยังเตรียมกองกําลังมหาศาลเพื่อซุ่มโจมตีไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซ้ําร้ายยังเรียกใช้ขอบเขตป้องกันอันทรงพลังหมายสังหารเขาให้สิ้นซาก!

“ฮ่าๆๆ! ไอ้สารเลว! ไม่คิดจะวิ่งหนีแล้วกระนั้นรึ?!”

องค์ชายหล็กวงฮ่านแค่นเสียงคารามกลัวหัวเราะด้วยความภูมิใจในแผนการครั้งนี้ของตนอย่างหาใดเปรียบ เวลานี้ใบหน้าครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจของเขาบิดเบี้ยวและน่าสยดสยองขึ้นเป็นเท่าทวี! “อุตส่าห์มาเยือนถึงถิ่นข้าเช่นนี้ คิดว่าเจ้าจะมีโอกาสรอดออกไปได้?! หากใบหน้าของเจ้าไม่ถูกผ่าออกเป็นสองซีกแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร?! ฮ่าๆๆ !”

ร่างสูงผอมบางอีกร่างค่อยๆ โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ทึบและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ราวเดินออกมาจากมวลอากาศที่ว่างเปล่า

บุคคลปริศนานั้นคือนักพรตเต๋วัยกลางคนซึ่งสวมชุดคลุมสีเทาหม่นแบบโบราณ ในมือของเขามีแส้หางม้าขนาดใหญ่ โครงหน้าซูบผอมมีเคราสีเทาขึ้นแซมกรอบคาง ทว่าผิวหนังกลับนุ่มเนียนละเอียดประดุจผิวทารก ลักษณะรูปกายภายนอกประณีตเสียจนดูเหมือนสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือธรรมชาติ ทั้งยังแผ่พลังปราณประหลาดออกมาโดยรอบราวเรียกใช้เคล็ดวิชาบางอย่าง เพื่อถ่ายโอนพลังชีวิตของเด็กวัยเยาว์เข้าสู่ร่างของตน

“ฝ่าบาท นักพรตเต๋ผู้ต่ําต้อยขอคํานับพระองค์” นักพรตวัยกลางคนเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าขององค์ชายรัชทายาทหลีก่วงซ่านและโค้งคํานับ ดวงตาคมคายจับจ้องไปที่เยี่ยฉวนด้วยสายตาเย็นชา ลักษณะภายนอกของเขาว่าผิดแปลกแล้ว แต่ดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววประหลาดยิ่งกว่า!

“ฮ่าๆๆ! พรตเต๋สังหาร! เจ้ามาถึงที่นี่ทันการณ์พอดี! เข้ามาจับเส้นตรวจดวงชะตาของข้าทีเถิดว่าควรจะใช้วิธีใดในการสังหารไอ้เด็กเหลือขอผู้นี้ดี?! ไม่สิ…ควรผ่าใบหน้าของมันออกเป็นครึ่งซีกเช่นเดียวกับข้าดีหรือไม่?! หากทําเช่นนั้นแล้วจงเรียกใช้เคล็ดวิชาชั้นสูงของเจ้าควบคุมอาการบาดเจ็บของมันไว้ไม่ให้ตายเร็วเกินไปนัก ขั้นแรก ข้าต้องทําการปั่นหัวของมันออกเสียก่อน แสดงให้มันดูว่าองค์รัชทายาทเช่นข้าจะกวาดล้างสํานักหมอกเมฆาของมันอย่างไร? และจะร่วมสวาทกับศิษย์น้องหญิงผู้งดงามของเขาด้วยท่วงท่าใด?! ฮ่าๆๆ!”

องค์ชายหล็กวงฮ่านแค่นเสียงคารามกลั้วหัวเราะ ใบหน้าซีกขวาซึ่งหลอมจากเหล็กกล้ายังคงเย็นเยียบและแข็งที่อไร้การตอบสนอง ทว่าใบหน้าครึ่งซ้ายกลับบิดเบี้ยวด้วยความตื่นเต้น!

วิปลาส!

คนผู้นี้คือตัวเดรัจฉานที่มักมากในกามโดยแท้

เยี่ยฉวนโคลงศีรษะด้วยไม่คาดคิดว่าองค์ชายผู้มีฐานันดรสูงศักดิ์จะพ่นวาจาหยาบโลนเช่นนี้ออกมาท่ามกลางสาธารณชนจํานวนมหาศาล สิ่งที่เขากระท่าไม่ได้ช่วยสร้างความฮึกเหิมยินดีแต่อย่างใด ทว่าเต็มไปด้วยความน่ารังเกียจเดียดฉันท์!

“เรื่องวิธีการสังหารนั้นขอฝ่าบาททรงดําเนินการตามเห็นสมควร ด้วยการคาดเดาดวงชะตา แล้วเด็กหนุ่มน่าสังเวชผู้นี้ไม่สามารถหลบหนีอย่างไรได้ หากจะกล่าวก็คือนักพรตต่ําต้อยผู้นี้ยังห่างชั้นจากองค์ชายอยู่มาก หลังพระองค์ทรงเฉือนใบหน้าของเขาออกจนเหลือเพียงครึ่งซีกแล้ว ข้าน้อยเกรงว่าคงไม่อาจยื้อชีวิตของเด็กหนุ่มผู้นี้ได้นานเท่าที่ควรมีก็แต่กลอุบายเล็กน้อยเช่น การถ่ายโอนอาการบาดเจ็บของเขาไปยังแมวและสุนัขบางตัวกระทั่งเขาสามารถนอนรอความตายได้อีกประมาณสองถึงสามวัน ฮ่าๆๆ!”

ชายผู้มีฉายาว่าพรตเต๋สังหารระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้าย ขณะสํารวจเยี่ยฉวนตั้งแต่หัวจรดเท้า ทําให้ผู้ที่ถูกมองเผยสีหน้าวิตกทันควัน

ด้วยทักษะพิเศษของพรตเต๋สังหาร เขาสามารถแยกธาตุดิน น้ํา ลม ไฟออกจากสรรพสิ่งเป็นส่วนๆได้อย่างง่ายดาย ซึ่งนับว่าเป็นความหายนะครั้งยิ่งใหญ่สําหรับเคล็ดวิชาไร้เทียมทานทุกรูปแบบ หากมองจากระยะไกลอาจเห็นพื้นที่แห่งนี้เป็นรัศมีสีด่าเลือนรางซึ่งโอบล้อมรอบทุกสิ่ง ภายในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร อาคารบัญชาการนี้ถือเป็นจุดศูนย์กลางเสมือนหม้อเหล็กปรุงยาขนาดใหญ่ซึ่งแบ่งแยกพื้นที่ภายใน และภายนอกเอาไว้อย่างชัดเจน ต่อให้ผู้ที่ถูกกักขังเป็นถึงยอดฝีมือ ผู้ชํานาญเคล็ดวิชาเพียงใดก็ไม่อาจหาหนทางหลบหนี!

ขอบเขตป้องกันอันทรงพลังมหาศาลดังกล่าวทําให้นักพรตเต๋สามารถอาศัยอยู่ในวังหลวงด้วยฐานะยอดฝีมือมาแล้วหลายศตวรรษ ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของบรรดาราชวงศ์ในด้านการป้องกันพระราชวังชั้นใน ทําให้ไม่ว่าบรรดายอดฝีมือหรือเหล่ากบฎที่คิดลอบสังหารองค์จักรพรรดิไม่สามารถมีชีวิตรอดออกไปจากขอบเขตป้องกันดังกล่าวได้

ครั้งนี้นักพรตวัยกลางคนยอมเดินทางออกจากวังมาร่วมกรําศึกเพราะองค์ชายรัชทายาทเป็นผู้เชิญชวนเขาด้วยฐานะที่แท้จริง เพื่อช่วยในการวางกับดักและจู่โจมเยี่ยฉวน ซึ่งในขั้นตอนแรกนับตั้งแต่พวกเขาย่างกรายเข้าใกล้เทือกเขาหมอกเมฆาถือว่าแผนการสําเร็จ!

“นั่นนับว่าเพียงพอแล้ว! ขอเพียงมากกว่าหนึ่งวันเป็นพอ! ข้าสามารถใช้ระยะเวลาสามวันนี้ บดขยีhสํานักของไอ้สารเลวนี่ให้แหลก! ทั้งยังมีเวลามากพอจะเสพสมศิษย์น้องหญิงของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ฮ่าๆๆ!”

องค์ชายรัชทายาทก้าวไปด้านหน้าด้วยจิตสังหารที่ยิ่งทวีความหนาแน่น ตอนนี้เขาตั้งท่าเตรียมพร้อมเพื่อเรียกใช้เคล็ดวิชาหมัดจักรพรรดิอีกครั้ง!

“ช้าก่อน ฝ่าบาท พระองค์ทรงไม่ต้องการทราบหรือว่าสตรีพรหมจรรย์หงจือเซียกล่าวถึงท่านในห้องโถงมังกรปีศาจเอาไว้อย่างไรบ้าง หลังจากที่พระองค์ทรงถูกฟองอากาศพิลึกดูดกลืนเข้าไป?” เยี่ยฉวนกล่าวขัดจังหวะทันที

“สตรีพรหมจรรย์หงจอเซียงั้นหรือ?!”

องค์ชายรัชทายาทหลีก่วงซ่านหยุดชะงักการกระทําทั้งมวลของตนอย่างกะทันหัน แม้รู้ดีว่านี่เป็นอีกหนึ่งกลอุบายที่เยี่ยฉวนสร้างขึ้น แต่เขากลับควบคุมร่างกายไม่ได้เมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวถึงสตรีที่เขาพึงใจ

หากไม่เอ่ยถึงเขาคงลืมเลือนนางไปเสียแล้ว แต่เมื่อกล่าวถึงชื่อของนางอีกครั้งหัวใจขององค์ชายผู้สูงส่งกลับรู้สึกปวดแปลบ

แม้ชั่วชีวิตนี้เขาเคยผ่านสตรีงามมานับไม่ถ้วน ทว่าครั้งแรกที่ประสบพบใบหน้าของหงจอเซีย หัวใจของเขาพลันสั่นสะท้านเพราะอารมณ์ตกหลุมรักเข้าเต็มประดา โครงหน้าได้รูปซึ่งงามวิจิตร ไร้ที่ติของนางเปล่งประกายออร่าแห่งความสูงส่งเกินมนุษย์ทั้งยังอ่อนหวานจับจิตจับใจ อุปนิสัยเย่อหยิ่งเย็นชาของนางทําให้ธารน้ําแข็งในหัวใจขององค์ชายหนุ่มสันคลอนอย่างไร้เงื่อนไข ทุกกิริยาจารึกลงในห้วงลึกของจิตใจจนเขาสาบานกับตนว่าจะครอบครองนางให้จงได้

แม้ความฝันเต็มไปด้วยความลุ่มหลงหาใดเปรียบ ทว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเขาช่างโหดร้ายอย่างสุดจะพรรณนา องค์ชายเพียรติดตามนางเพียงใดทว่านางกลับไม่ใส่ใจไยดีเขาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับอุทิศชีวิตของตนเพื่อปกป้องผู้ฝึกตนด้อยราคาเช่นไอ้เยี่ยฉวนอย่างสุดกําลัง!

สมัยที่เขายังมีรูปกายผ่องแผ้วเปี่ยมสง่าราศีเขายังไม่เคยได้รับความโปรดปรานจากนางเลยแม้แต่หางตา แล้วตอนนี้ที่เขามีรูปกายครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจเช่นนี้จะเอาสิ่งใดไปชนะใจนางได้อีก?! เห็นที่เขาคงใช้วิธีเทียวไล้เทียวชื่อเช่นทุกครั้งไม่ได้เสียแล้ว แต่การใช้กองกําลังบีบบังคับให้สํานักอสูรเมฆายอมส่งนางบรรณาการให้เขาก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเช่นกัน!
องค์ชายรัชทายาทหลีก่วงฮานยิ่งคิดยิ่งรู้สึกขมขึ้น หากย้อนเวลากลับไปได้เขาจะใช้กําลังเอาเปรียบนางเสียให้สิ้นความ แม้นางไม่รับรักตอบทว่าได้ชมเชยเรือนร่างเย้ายวนของนางก็นับว่ายังดี แต่ปัญหาใหญ่คือสํานักอสูรเมฆาของนางถือเป็นสํานักผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดในใต้หล้า ต่อให้ยกไพร่พลของจักรวรรดิต้าฉันทั้งหมด เพื่อทําสงครามก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่?!

“ฝ่าบาท แม่นางจอเซียเอ่ยชมเชยว่าพระองค์ช่างดีเลิศยิ่ง เพียงแต่…”

เยี่ยฉวนลอบสัมผัสถึงความแปรปรวนของพรมแดนเต่สังหาร ด้วยขั้นการฝึกตนในปัจจุบันของเขายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเรียกใช้เคล็ดวิชาไร้เทียมทานขั้นสูงเพื่อหลบหนี ดังนั้นเขาทําได้เพียงคิดหาวิธีอื่นเพื่อฝ่าวงล้อมนี้ออกไป ทันใดนั้นเขาจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ําคืนมืดสนิท พลางเปล่งเสียงดังยาวเพื่อส่งสัญญาณอย่างแนบเนียน

“เพียงแต่อะไร?! ไอ้สารเลว! คายคําพูดของเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้นะ! แม่นางจอเซียเอ่ยถึงข้าว่าอย่างไร?!” องค์ชายหลีก่วงซ่านตะคอกถาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาใคร่รู้ในสิ่งที่หญิงสาวฝากวาจาไว้ และอีกส่วนหนึ่งคือขณะนี้เขารู้สึกปลอดภัยเพราะมีกองทหารใต้บังคับบัญชาเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยฉวนก็ไม่มีทางรอดพ้นไปจากเงื้อมมือของเขาได้อย่างแน่นอน ต่อให้มีปีกสักคู่ร่วงลงมาจากสรวงสวรรค์ก็ไม่อาจช่วยเหลือใดๆได้ เขาจึงไม่ใส่ใจว่าคําพูดจากปาก อีกฝ่ายเป็นการถ่วงเวลาหรือเป็นกลอุบายอื่น

“แม่นางจอเซียกล่าวว่า ครั้นสายลมโชยพัด…แม้แต่สุกรที่ยืนขวางช่องระบายอากาศก็สามารถเหาะเหิน ทว่ากบตัวน้อยกลับเกาะอยู่ที่เดิม นั่นเพราะถึงพื้นฐานของหมูจะขี้เกียจแต่ยังรู้จักวิธีก้าวหน้า ส่วนกบที่เอาแต่นั่งยองๆกลับอยู่ในจุดเดิมและเอาแต่วาดฝันว่าตนจะสูงขึ้นจนแตะขอบฟ้าหรือไม่” เยี่ยฉวนพรรณนาบทกวีไปพลางพร้อมจับจ้องใบหน้าขององค์ชายราวสิ่งที่เอื้อนเอ่ยอยู่นั้นเป็นความจริงที่เกิดขึ้น

ครั้นจบประโยคเยี่ยฉวนจึงยกยิ้มแฝงเลศนัย ส่วนองค์ชายรัชทายาทหลีก่วงฮ่านกลับโกรธแค้นเมื่อตระหนักว่าตนตกหลุมพรางอีกครั้ง เขาพยายามระงับโทสะเพื่อไม่ให้พุ่งตัวเข้าจัดการกับอีกฝ่ายเร็วเกินไป วันนี้ถ้าเขาไม่สังหารเยี่ยฉวนให้ตายตกไปเสีย…ต่อให้เขากลายเป็นภูตผีก็ไม่อาจเป็นสุขได้!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด