Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์บทที่ 52 แม่นางตัวขาว

Now you are reading Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ Chapter บทที่ 52 แม่นางตัวขาว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 52 แม่นางตัวขาว

เยี่ยฉวนโจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนอสุรกายพันขาได้รับบาดเจ็บหนัก ครึ่งหนึ่งของร่างใหญ่โตโผล่พ้นดินขึ้นมา

ยามนี้มันเหลือทางเลือกอยู่สองทาง…ประการแรก เลื้อยขึ้นมาและโต้กลับอย่างรุนแรงเพื่อสังหารอีกฝ่าย หรือสอง มุดลงใต้ดินเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสังหาร!

โฮก!

เสียงคำรามดังกึกก้องสะเทือนไปถึงสรวงสวรรค์! ฝุ่นทรายตลบไปทั่วเนินดินก้อนกรวดต่างๆ ถูกลมพายุพัดพาจนปลิวว่อนอยู่บนอากาศ…ใบไม้ร่วงหล่นกระจัดกระจาย

อสุรกายพันขาจู่โจมอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่งโดยใช้สัญชาติญาณอันโหดร้ายป่าเถื่อน โดยไม่ใส่ใจว่าร่างของตนจะ บาดเจ็บ

ข้อด้อยของมันมีสองประการ หนึ่งคือมันไม่รู้จักการป้องกันและยังโต้กลับอย่างไร้ทิศทาง สองคือการที่มันไม่ยอมถอยร่นเพื่อรักษาชีวิต แต่กลับดันทุรังสู้จนนำพาไปถึงวาระสุดท้ายของชีวิต…

เยี่ยฉวนเงยศีรษะขึ้นก่อนเปล่งเสียงดังขณะโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ พร้อมเสกใบมีดเก้าใบสำแดงอิทธิฤทธิ์ของเคล็ดวิชาคืบอรุณที่ราชาโอสถหัตถ์วิญญาณผู้ก่อตั้งสำนักหมอกเมฆาหลงเหลือไว้เป็นอนุสรณ์ ความบ้าคลั่งของอสุรกายพันขาช่างจรรโลงใจเขาเสียจริง!

แสงวูบวาบเกิดขึ้นขณะที่ใบมีดโฉบฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศ…

เยี่ยฉวนเผยสีหน้าเย็นเยือกขณะฟาดฟันสร้างบาดแผลฉกรรจ์ไว้ทั่วร่างอสุรกายพันขา ใบมีดทุกเล่มกรีดเชือดกลางรอยต่อระหว่างเกล็ดของมันอย่างแม่นยำตลอดลำตัว ปลายมีดคมกริบฝังลงในเนื้อลึกประมาณครึ่งนิ้ว แต่กลับมีพลังทำลายล้างสูงจนอวัยวะภายในเสียหายยิ่ง!

อสุรกายพันขาคำรามลั่นสลับกับร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเพราะไม่สามารถโต้กลับได้แม้แต่ครั้งเดียว! มันดิ้นรนอย่างสุดแรงเพื่อเลื้อยออกจากใต้ดิน ทว่าใบมีดของเยี่ยฉวนรวดเร็วกว่า…ใบมีดคมกริบเฉือนชำแหละร่างของมันตลอดลำตัวจนขาดครึ่ง ครั้นเลือดไหลจนแทบหมดตัวร่างใหญ่ล้มฟาดลงกับพื้นดิน ไร้เรี่ยวแรงต่อต้านโดยสมบูรณ์

เยี่ยฉวนตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าอสุรกายพันขาสิ้นชีพแล้วถึงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก หลังพักครู่ใหญ่จนหายเหนื่อยล้าจึงทำการเปิดกะโหลกของมันพร้อมล้วงไปหยิบเอาก้อนผลึกสีฟ้าอ่อนขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือออกมา ลักษณะของมันอ่อนนุ่มและชุ่มชื้นราวอัญมณีเนื้อดีจากธรรมชาติ ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงพลังงานที่แปรปรวนอยู่ภายใน

มันคือแกนผลึกแก้ว…ก้อนผลึกที่มีคุณภาพล้ำเลิศมหาศาล!

อสุรกายพันขาสังหารสัตว์อสุรกายตนอื่นและกินพวกมันเพื่อยังชีพ แกนผลึกแก้วในร่างของมันนอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานหลัก ยังสามารถดูดซับพลังปราณหยางได้เป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งนี้มีคุณสมบัติตรงตามที่เยี่ยฉวนกำลังต้องการในยามนี้!

“เสียดายจริง…แกนผลึกแก้วนี้มีขนาดเล็กไปหน่อย ช่างเถอะ! เก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน”

เขาโคลงศีรษะพลางเก็บแกนผลึกแก้วไว้กับตัว จากนั้นจึงจึงเริ่มชำระล้างศพของอสุรกายพันขาก่อนหมุนกายจากไป

เยี่ยฉวนสูญเสียพลังยุทธ์ไปมากในการช่วยปีศาจเพลิงฟื้นฟูร่างกาย ดังนั้นเขาจึงร้อนใจเรื่องการหาแหล่งพลังงานอื่นๆ มาซ่อมแซมร่างกายให้สมบูรณ์โดยเร็ว รวมถึงเสริมสร้างดวงจิตให้แข็งแกร่ง เดิมทีเขาฝากความหวังไว้ที่ผลชิ่งหยาง ไม่คาดคิดว่าก่อนจะได้พบผลไม้วิเศษนั้น…กลับพบแกนผลึกแก้วของอสุรกายพันขาเข้าเสียก่อน! เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความประหลาดใจให้แก่เขาอย่างเหลือเชื่อ!

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในดินแดนอรัญญิกเริ่มดึงดูดสัตว์อสุรกายต่างๆ ให้เข้าใกล้ เยี่ยฉวนตระหนักถึงเรื่องนี้จึงเร่งออกไปจากบริเวณเนินดินนี้ก่อนพุ่งทะยานขึ้นไปตามแนวสันเขาสูงตระหง่าน และเป็นดังที่เขาคาดการณ์…เสียงคำรามของอสุรกายนานาชนิดพลันดังขึ้นจากเบื้องหลัง พวกมันคงจ้องจะกัดกินศพของอสุรกายพันขาอยู่เป็นแน่!

เขามาถึงจุดหมายปลายทางในยามอาทิตย์อัสดง…

แหล่งต้นน้ำกำเนิดบนยอดภูเขาน้ำแข็ง ลำธารหมอกเมฆาไหลลงจากเทือกเขาที่มีความสูงถึงหนึ่งหมื่นลี้ เก้าโค้ง สิบแปดเลี้ยว ทำให้อ่าวกลืนน้ำแห่งนี้งดงามจับใจราวอัญมณีสีครามขนาดใหญ่ที่โอบล้อมทิวทัศน์โดยรอบ

เคยมีตำนานโบราณว่าสถานที่แห่งนี้งดงามจนเหล่าเทพธิดาหลงใหลราวต้องมนตร์สะกด จึงมักมาชำระล้างเส้นผมดำขลับยาวสลวยอยู่บ่อยครั้ง จนเกิดเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับโชคชะตารักที่อาภัพระหว่างเทพธิดาและคนล่าสัตว์ ตั้งแต่นั้นมาจึงมีชายหนุ่มและหญิงสาวพากันมาพลอดรักตามรอยตำนานของทั้งสองที่ถูกเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น

เยี่ยฉวนอาศัยความสว่างจากแสงจันทราสลัวรางเดินสำรวจโดยรอบเพื่อค้นหาเมล็ดพันธุ์ชิ่งหยางตามคำบอกกล่าวของอู๋เฟิง พร้อมพึ่งพาโคมบงกชสีครามด้วยคาดหวังว่ามันจะตอบสนองเมื่อค้นพบสมบัติล้ำค่า ทว่ายามนี้มันยังนิ่งสงบไร้การสั่นสะเทือนใด

ขณะนั้นเองเขาได้ยินเสียงน้ำไหลซัดฝั่งดังแว่วมา…

มนุษย์?

หรือเป็นเสียงของสัตว์อสุรกายป่าเถื่อน?!

เขาหยุดชะงักฝีเท้าด้วยความลังเล ก่อนก้าวเดินตามเสียงนั้นไปอย่างระมัดระวังและเงียบเชียบ เมื่อเดินมาไกลหลายร้อยเมตร ภาพทิวทัศน์งดงามของฤดูใบไม้ผลิก็ปรากฏขึ้นต่อสายตา…

สตรีวัยแรกรุ่นนางหนึ่งกำลังเดินลงไปในอ่าวเล็กๆ ที่มีน้ำใสสะอาดแห่งนี้ ร่างโปร่งระหงค่อยๆ เปลื้องเสื้อผ้าออกทีละชิ้น ผ้ารัดเอวฉลุลายสวยงาม ชุดคลุมตัวโคร่งและชุดชั้นในตัวบางไหลหลุดลงกองกับพื้นดิน ทันใดนั้นสัดส่วนอันงดงามหมดจดราวหยกขาวบริสุทธิ์พลันปรากฏชัดแก่สายตา! ผิวขาวผ่องเนียนละเอียดทำให้ผู้ที่ได้เห็นใจเต้นระรัวด้วยไม่อาจละสายตา…

ร่างเปลือยเปล่านั้นแหวกว่ายอยู่ในน้ำใสสะอาดอย่างเริงร่า จากนั้นจึงเหยียดแขนเรียวออกก่อนสางสระเส้นผมยาวสลวยพร้อมเอื้อนเอ่ยบทเพลงที่ไม่คุ้นหูด้วยน้ำเสียงเสนาะเพราะพริ้ง มีร่องรอยความขมขื่นเจืออยู่ในน้ำเสียงอันอ่อนโยนนั้น ประหนึ่งความรู้สึกของสตรีผู้หลงใหลอยู่ในห้วงรัก ภาพตรงหน้าและเสียงเพลงของนางทำให้เยี่ยฉวนผู้กำลังซ่อนกายอยู่เหม่อลอยและจมดิ่งสู่ภพอดีต…

นานมาแล้ว เคยมีสตรีนางหนึ่งอยู่เคียงข้างเขาคอยแบ่งปันความตื่นเต้นยินดี และระบายเรื่องที่นางกลัดกลุ้มทุกข์ใจให้ฟัง ทว่าหลังจากนั้น…

จิตใจของเขาปวดแปลบเมื่อภาพทรงจำจางๆ ในอดีตแล่นขึ้นมาในห้วงความคิด เท้าข้างหนึ่งเผลอถอยไปเหยียบกิ่งไม้แห้งจนเกิดเสียงดังขึ้นทำลายความเงียบในยามค่ำคืน!

“นั่นใคร?!”

สตรีงามผู้กำลังชำระร่างกายในแหล่งน้ำนั้นหันขวับมองโดยรอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและตื่นตระหนก ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตและคางเรียวปรากฏชัด นางคือโท่วป่าเซียงเนียวที่เขาเคยพบพานบนยอดเขาเมฆาอินทนิล!

จิตสังหารแผ่ออกฉับพลันมาถึงเขาที่กำลังซ่อนกายอยู่ในดงพุ่มไม้…

“ข้าเอง…เยี่ยฉวน!”

เยี่ยฉวนเปิดเผยตัวตนด้วยท่าทีสงบนิ่งหลังถูกนางจับได้ สายตาเจ้าเล่ห์จับจ้องไปที่เรือนร่างของโท่วป่าเซียงเนียวที่เพิ่งขึ้นจากน้ำพลางยกยิ้มมุมปากก่อนกล่าวออก “ภรรยา…นี่ข้าเอง เคยมีคำกล่าวว่าสามีภรรยาพรากจากชั่วครู่ความรักจะยิ่งแน่นแฟ้น นี่จากไปเพียงไม่กี่วัน แม้แต่สามีตนก็จำไม่ได้แล้วหรือ?”

“เป็นเจ้า?!”

โท่วป่าเซียงเนียวยิ่งตื่นตระหนกด้วยไม่คาดคิดว่าผู้ที่ลอบมองนางคือเยี่ยฉวน ครั้นทบทวนถึงเหตุการณ์น่าอับอายก่อนหน้านี้ใบหน้าของนางก็แปรเป็นสีแดงระเรื่อก่อนเปลี่ยนเป็นเย็นชา “เจ้า! บอกมานะ เจ้าเห็นอะไรบ้าง!”

“ข้าเห็นทุกสิ่งชัดเจน ทั้งส่วนที่ควรเปิดเผยและส่วนที่ไม่ควรเปิดเผย…ก็เห็น”

เขาสารภาพอย่างตรงไปตรงมาจนหมดเปลือกด้วยสีหน้าสัตย์จริง “จุ๊ๆ น้องหญิง…ข้าไม่คิดเลยว่าผิวของเจ้าจะขาวเนียนผุดผ่องเพียงนี้! ผู้ใดว่าข้ามีโชคชะตาอาภัพ? ข้าโชคดีมากต่างหากที่ได้แต่งงานกับแม่นางขาวผ่องเช่นเจ้า!”

“เจ้าผู้แซ่เยี่ย! เจ้า….”

โท่วป่าเซียงเนียวขบกรามแน่นเมื่อได้ยินอีกฝ่ายแทะโลมนางด้วยถ้อยคำว่าแม่นางตัวขาว นางโกรธายิ่งจนดวงตากลมโตเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา

ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ มือของนางไม่เคยถูกบุรุษผู้ใดนอกจากบิดาจับต้องมาก่อน…เสื้อผ้าที่สวมใส่ล้วนปกปิดมิชิด ไม่คาดคิดว่าในวัยสาวจะถูกเยี่ยฉวนจ้องมองเรือนร่างจนทั่วเช่นนี้!

แม้เขาจะเห็นอะไรต่อมิอะไรหมดแล้ว แต่เขาก็ยังพ่นถ้อยคำอันน่าอับอายออกมาอย่างโจ่งแจ้ง คำหนึ่งก็ภรรยา…สองคำก็น้องหญิง ราวเขาไม่ได้ตั้งใจมาลอบมองนางอาบน้ำเพียงเท่านั้น เขาต้องการจะทำการใดบางอย่างกันแน่?!

“ศิษย์น้องหญิง! อย่ากังวลไป…ศิษย์พี่ใหญ่จะสังหารมันให้เจ้าเอง!”

ทันใดนั้นเสียงเย็นเยือกจากบุคคลที่สามดังขึ้นจากความมืด!

ไม่ทันขาดคำ แสงวาบของกระบี่เล่มหนึ่งสว่างไสวไปทั่วท้องฟ้าจนเยี่ยฉวนถึงกับขมวดคิ้ว เด็กหนุ่มร่างเล็กผอมเพรียวพุ่งกระโจนออกมาจากเงามืดพร้อมแผ่จิตสังหารรุนแรง! รูปร่างของเขาปราศจากความสะดุดตา ทว่ากระบวนการจ้วงแทงกระบี่ของเขาน่าหวั่นเกรงยิ่ง! ทุกครั้งที่เขาลงมือฟาดฟันจะเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่วบริเวณราวเสียงสายฟ้าฟาด แขนเสื้อด้านขวาปักเป็นรูปหม้อสัมฤทธิ์ พลังปราณภายในร่างพลุ่งพล่านแปรปรวน ความสามารถเช่นนี้คงเป็นยอดฝีมือแห่งสำนักเครื่องนิลเป็นแน่!

กระบวนกระบี่อสนีพิฆาตแห่งสำนักเครื่องนิล!

บุรุษในชุดดำเคลื่อนไหวร่างกายด้วยกระบวนท่าไม้ตายของสำนักเครื่องนิล เพียงพบหน้าเยี่ยฉวนเป็นครั้งแรก เขาก็แทบจะฟาดฟันให้ร่างของอีกฝ่ายขาดสะบั้นเป็นพันๆ ท่อน!

“เพลงกระบี่ชั้นยอด! เจ้าคือผู้ใด?!” เยี่ยฉวนเบี่ยงกายหลบคมกระบี่ที่ฟันลงมา ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

“ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเครื่องนิล…หงลี่!”

ชายชุดดำประกาศก้องด้วยน้ำเสียงแหลมเสียดหู ก่อนกวัดแกว่งกระบี่จ้วงแทงเยี่ยฉวนอย่างรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่า เพลงกระบี่ของเขาพริ้วไหวดุจสายน้ำ “ไอ้สารเลว! เดิมทีข้าจะอดทนรอให้ถึงวันประลองเสียก่อนจึงลงมือสังหาร…แต่เจ้ากลับมารนหาที่ตายซะเอง! เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าสมหวัง!”

ทันใดนั้นเสียงสายฟ้าฟาดดังกึกก้องอีกครั้ง หงลี่ฟาดฟันกระบี่ใส่เยี่ยฉวนด้วยสิบเจ็ดกระบวนท่าอย่างหมายเอาชีวิต!

หากยกตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักมาเปรียบ ระดับขั้นการฝึกตนของหงลี่สูงกว่าเยี่ยฉวนอย่างเห็นได้ชัด! ระหว่างสามสำนักคงมีเพียงกู่ชานเหลิง…ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเบญจลักษณ์เท่านั้นที่พอมีความสามารถเทียบเคียงกับหงลี่ได้!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด