The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 320 เริ่มสงคราม

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 320 เริ่มสงคราม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.320 เริ่มสงคราม

พลบค่ำ มีเสียงเกือกเท้าม้าวิ่งไปมานอกเมือง ท่ามกลางควันโขมงทหารม้าจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับธงของทหารอาสา กลุ่มทหารเกราะแดงเข้มหยุดห่างจากเมืองหลันเยี่ยนหนึ่งกิโลเมตร ทั้งหมดรวมตัวกันโดยให้ทหารม้าอยู่แนวหน้าและทหารราบอยู่กองหลัง ก่อนจะจุดคบเพลิงขึ้นเป็นทอดๆ

ไม่นานนักท้องฟ้าก็มืดลงเข้าสู่ช่วงเวลายามราตรี คบเพลิงด้านนอกเมืองแผ่กระจายมาจากป่าล่ามังกรราวกับทะเลเพลิง กองกำลังอันมากล้นนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก

“แม่เจ้า…” จางเหว่ยรู้สึกชาไปทั้งตัว “ผู้หญิงจากหลิงหนานสามารถคลอดปีศาจออกมาได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ให้ตาย…ข้าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะตัดหัวพวกมันหมด”

เว่ยโฉวขมวดคิ้ว “พวกมันยังไม่โจมตีมา รออะไรอยู่กันแน่?”

“รอกองทัพหลัก” เฟิงจี้สิงกล่าว “การเคลื่อนย้ายบันไดและเครื่องยิ่งหินนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยคงใช้เวลาทั้งคืนกว่าจะมาถึง พวกมันจึงต้องรอ…เพราะคงเป็นเรื่องยากหากจะบุกคืนนี้”

“เหตุใดจึงยากหรือขอรับ?” จางเหว่ยถาม

เฟิงจี้สิงยิ้ม “หลงเซียนหลินเป็นอดีตผู้บัญชาการทหาร เขาคุ้นเคยกับกลยุทธ์ทำศึกเป็นอย่างดี เขาจึงรู้ว่าหัวใจสำคัญของศึกนี้คืออะไร คอยดูเถิด…ไม่นานเจ้าจะรู้เอง”

“ขอรับ”

คบเพลิงถูกนำขึ้นไปจุดบนกำแพงเมือง มันดูสวยงามเมื่อถูกเรียงเป็นแนวเดียวกัน

ไม่นาน คนของหลิงนานก็เริ่มแตกตัวออกมา ชายร่างผอมที่เป็นราชทูตถือธงขาวเดินมาที่เมืองพร้อมกับหัวเราะลั่น “แม่ทัพหลงเซียนหลินแห่งหลิงหนานนำทัพหนึ่งแสนกองแรกมายังเมืองหลวงเพื่อมอบของขวัญแสดงความยินดีกับจักรวรรดิ หวังว่าแม่ทัพทั้งหลายจะยอมรับด้วยความกรุณา”

ขณะกำลังพูดอยู่ ราชทูตก็โบกธงขาว ทันใดนั้นทหารม้าหนึ่งร้อยนายควบม้าเข้าประชิดเมือง ก่อนจะโยนของสีดำบางอย่างไปทั่วและหันม้าควบกลับเข้าแถว

“มันคือสิ่งใด?” จางเหว่ยสงสัย

เฟิงจี้สิงเพ่งมองจากระยะไกลก่อนทั้งร่างเขาจะสั่นเทิ้ม “มันคือธงรบ…”

“ธงรบอะไร?” หลินมู่อวี่ชะงัก

เฟิงจี้สิงกัดฟัน “ธงรบของกองทัพเทียนฉงและหลงฉวน พระเจ้า…ธงรบกว่าพันผืนของกองทัพที่ฝ่าบาทนำไปมณฑลเทียนชู่…ถูกกำจัดจนสิ้นแล้ว”

“อะไรนะ…”

หลินมู่อวี่รู้สึกราวกับถูกมีดทิ่มแทงอก เขาหวังว่าฉินจิ้นจะนำทัพกลับมาได้อย่างปลอดภัย ทว่ากลายเป็นข่าวร้ายเสียนี่

เว่ยโฉวคำนับ “หมายถึง…นี่คือธงรบที่กองทัพจักรวรรดิเคยใช้สร้างขวัญกำลังใจใช่หรือไม่?”

หลินมู่อวี่กล่าวด้วยสายตาอันเยือกเย็น “ยิงพลุไฟเผาธงพวกนี้เสีย”

“ขอรับ…”

“ฟิ้ว!” พลุไฟถูกยิงไปยังธงรบเบื้องจนติดไฟอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเศษผ้าทั้งหมดก็ถูกเผาจนเป็นธุลี เสียงหัวเราอย่างบ้าคลั่งของพวกทหารอาสาดังขึ้น ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังไม่ยอมโจมตี เสียงกลองศึกจากทางเหนือดังสนั่น ตามมาด้วยกองทัพจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นทัพของจื่อเย่า

แม่ทัพจื่อเย่าในชุดขาวปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางพลโล่

จื่อเย่าหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ใครเป็นคนเฝ้าประตูทางเหนือ จงออกมาคุยกับข้า…”

เฟิงจี้สิงกระชับดาบในมือพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โอ้ แม่ทัพจื่อเย่าเองหรือ?”

“เจ้าเองรึ…เฟิงจี้สิง?”

จื่อเย่าเงยหน้ามองบนกำแพงเมือง “ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงได้เห็นแล้วว่ากองทัพเทียนฉงและหลงฉวนถูกกำจัดสิ้น รวมไปถึงมณฑลดารา มณฑลชางหนาน มณฑลหลิงตง และมณฑลเทียนชู่ต่างก็ถูกพวกข้าพิชิตหมดแล้ว แปดมณฑลจากสิบสองอยู่ในกำมือพวกข้า รู้เช่นนี้แล้วยังจะรออะไรอยู่เล่า? เปิดประตูเมืองและให้เหล่าทหารของข้าเข้าไปเสีย จื่อเย่าผู้นี้จะเข้าไปยืนแทนที่พวกเจ้าเอง ว่าอย่างไรเหล่าแม่ทัพแห่งจักรวรรดิ?”

เฟิงจี้สิงหัวเราะลั่น “ในบรรดาแม่ทัพแห่งจักรวรรดิทั้งเจ็ด ข้าอยู่อันดับสามส่วนเจ้าอยู่อันดับหก จากทั้งหลิงหนานหานายพลได้กระจอกเท่านี้เองหรือ? ฮ่าๆๆ จื่อเย่า หากเจ้าอยากทำศึกก็เชิญบุกเข้ามาได้เลย เฟิงจี้สิงผู้นี้กำลังรอเศษสวะอย่างพวกเจ้าอยู่เลยล่ะ…”

“ช่างดื้อด้านเสียจริง”

จื่อเย่ากระแอมพลางชักดาบชี้ขึ้นไปบนกำแพงเมือง “ข้าขอประกาศว่า…หากเมืองหลันเยี่ยนยังยืนกรานต่อต้าน จื่อเย่าผู้นี้จะทำการบุกเมืองและสังหารพวกขี้ข้าจักรวรรดิเสียให้สิ้น…สัตว์เลี้ยงอย่างพวกเจ้าจงฟังข้าให้ดี อาณาจักรนี้จะตำทำตามบัญชาสวรรค์และเอาชนะใจประชาชนด้วยความเที่ยงธรรมโดยการโค่นล้มระบอบกษัตริย์เสีย หากพวกเจ้ายังดื้อด้าน สิ่งเดียวที่จะได้รับคือจุดจบอันน่าสมเพช ก่อนรุ่งสางเช้าวันถัดไป จงเปิดประตูเมืองและยกเมืองให้พวกข้าเสีย แล้วข้าจะไม่กล่าวโทษ หรือมิเช่นนั้นก็รอดูการสังหารหมู่ได้เลย…”

จื่อเย่าควบม้าเดินกลับไป ปล่อยให้เหล่าแม่ทัพบนกำแพงตกตะลึงไปตามกัน

จางเหว่ยกัดฟัน “ข้าไปเป็นสัตว์เลี้ยงของจักรวรรดิตั้งแต่เมื่อไร?”

หลัวเลี่ยเอ่ยถาม “ผู้บัญชาการ เราจะทำอย่างไรต่อไปดีขอรับ?”

“จะทำอะไรเสียอีกล่ะ?”

เฟิงจี้สิงยิ้มมุมปาก “ทุกคนจงเตรียมพร้อมรับศึกในวันพรุ่งนี้ ทันทีที่รุ่งสางการรบจะเริ่มขึ้น”

“ขอรับ…”

ดูเหมือนฝ่ายศัตรูจะไม่ยอมให้แนวป้องกันเมืองหลันเยี่ยนได้พักผ่อน ด้วยเสียงโห่ร้องของทหารอาสาที่โบกธงไปมาและกลองรบที่รัวลั่นตลอดทั้งคืน

กระทั่งรุ่งสาง แสงอาทิตย์สีแดงเดือดทะลุผ่านเมฆหนาสะท้อนกับกำแพงเมืองหลันเยี่ยน หลินมู่อวี่ลืมตาด้วยความสิ้นหวัง “สงครามเริ่มแล้ว…”

“ตู้ม…”

ทันใดนั้นก็มีเสียงสั่นสะเทือนดังขึ้นที่กำแพงจากการโดนลูกหินพุ่งเข้าชน ผนังหนาราวสามเมตรสั่นไหว แม้กำแพงเมืองหลันเยี่ยนจะหนา ทว่าหากถูกโจมตีเช่นนี้ต่อไปคงทนได้ไม่นาน

“ปัง…ปัง…ปัง…”

เสียงกลองรัวลั่นไม่หยุดยั้ง มีรถบันไดนับพันเต็มสนามรบพร้อมทหารถือโล่หนักคอยคุ้มกันอยู่มุ่งตรงไปยังเมืองหลันเยี่ยนอย่างช้าๆ จักรวรรดิไม่ได้เผชิญสถานการณ์เช่นนี้มานานแล้ว กองทัพองครักษ์และกองทัพเขาเหินเตรียมพร้อมรบด้วยขบวนทัพขนาดมหึมา กลุ่มศัตรูเบื้องล่างกำแพงจะไปเอาชนะเหล่าทหารกล้าได้อย่างไร?

หลงเซียนหลินในชุดเกราะเงินยืนอยู่ใต้กำแพงเมืองพร้อมกับหอกในมือ “ล้อมเข้ามา…ใครก็ตามที่สามารถปีนถึงด้านบนได้คนแรก จะได้รับรางวัลหนึ่งแสนเหรียญพร้อมกับตำแหน่งขุนนาง!”

“เสียงนี้ต้องเป็นหลงเซียนหลินแน่นอน…” หลินมู่อวี่มองด้วยสายตาเยือกเย็น

เฟิงจี้สิงยิ้มมุมปาก “เสียใจหรือไม่ที่ปล่อยมันไป?”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “มีสิ่งใดให้เสียใจ? ไม่ใช่เพราะฝ่าบาทไปสังหารครอบครัวหลงเซียนหลินหรอกหรือเขาจึงได้โกรธเช่นนี้?”

เฟิงจี้สิงชะงักกับคำพูดของหลินมู่อวี่พลางตบบ่าและกล่าว “เตรียมตัวจัดการกับข้าศึกเถิด…”

“พลธนู เล็งคนเคลื่อนรถบันได!” เว่ยโฉวง้างคันศรกลืนปีศาจจากบนกำแพง “ฉึก!” ลูกธนูถูกปล่อย คนเคลื่อนรถบันไดล้มลงทันที

กระทั่งรถบันไดเข้ามาในระยะเกือบหมด ฝนธนูก็ถูกยิงจากเมืองหลันเยี่ยน “ฉึกๆๆ” ฝนเหล็กแหลมทะลวงร่างทหารอาสาคนแล้วคนเล่าคนกลุ่มใหญ่ล้มตายในพริบตา ทว่ารถบันไดยังคงถูกเคลื่อนเข้าหาเมืองอย่างไม่ลดละ

“ปล่อยหินกลิ้งขวางทางรถบันได!” เฟิงจี้สิงสั่งการ

ไม่กี่นาทีต่อมา หินนับพันก้อนก็ถูกโยนลงจากกำแพงกลิ้งใส่รถบันได ทหารอาสาต่างพากันยกโล่ขึ้นมาป้องกัน ทว่าทัพหินกลิ้งยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันถูกโยนลงไปอีกระลอก กระทั่งพื้นราบเต็มไปด้วยคราบเลือด

ด้วยระยะไกลกว่าสองร้อยเมตรทำให้การโจมตีของมีดเสียงปีศาจไปไม่ถึง หลินมู่อวี่จึงเปลี่ยนมาใช้ธนูแทน นายทหารคนหนึ่งถูกยิงตายในดอกเดียว แม้ธนูจะเป็นอาวุธที่ไม่แข็งแกร่งมาก ทว่ามันก็รุนแรงและรวดเร็ว ฆ่าทหารได้นับสิบในครึ่งชั่วโมง โชคดีที่มีการเตรียมการมาอย่างดี ด้วยจำนวนลูกธนูมหาศาลทำให้เมืองหลันเยี่ยนต้านการรุกรานได้นานพอ

ทันใดนั้น บันไดหลังหนึ่งก็เข้าประชิดกำแพงเมืองจนได้ ทหารอาสาต่างจับดาบกรูขึ้นกำแพงอย่างรวดเร็ว

หลินมู่อวี่ชักกระบี่ยาวออกมา คมกระบี่สะท้อนแสงเจิดจ้าฟาดฟันแขนบรรดาทหารกล้าที่ปีนมาถึง ส่วนทหารคนอื่นๆ ก็ถูกพลธนูยิงจนกลายเป็นเม่น มีคนอีกมากมายที่คอยคุ้มกันกำแพงอยู่และอยากใช้กำลังเข้าสู้ เมืองนี้จึงต้องเข้าสู่สมรภูมิเลือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลังการกระหน่ำโจมตีได้สองชั่วโมง ดูเหมือนทหารอาสาจะรู้แล้วว่าเป็นการกระทำที่ไร้ความหมายเพราะไม่สามารถเจาะผ่านกำแพงเมืองได้ กระทั่งเสียงแตรดังขึ้นจึงถอยทัพกลับอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นน้ำ

ทหารฝั่งหลันเยี่ยนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จางเหว่ยถือดาบเปื้อนเลือดพลางหัวเราะอย่างสะใจใส่ทหารอาสาด้านล่าง “ข้าก็นึกว่าพวกเจ้าจะเป็นทหารฝีมือดียิ่งกว่านี้เสียอีก สุดท้ายก็แค่พวกสุนัขปลายแถว! หลงเซียนหลิน…เจ้าคงต้องวางแผนบุกเมืองใหม่แล้วล่ะ ข้าจะรอพวกเจ้าเอง…”

เว่ยโฉวและคนอื่นๆ ต่างก็หัวเราะเย้ยหยันไปตามกัน แม้ลูกธนูที่เตรียมไว้จะถูกใช้ไปหมดแล้ว ทว่าไม่เป็นปัญหาเพราะกองทัพองครักษ์เริ่มรวมกำลังพลเพิ่มแล้ว

หลงเซียนหลินที่อยู่ล่างกำแพง มองขึ้นไปด้วยสายตาแข็งกร้าว เขาไม่โต้ตอบอันใดนอกจากควบม้ากลับไปทันที

ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยมาจนบ่าย เหล่าทหารที่คอยป้องกันเมืองต่างก็นั่งพักผ่อนกันอย่างอ่อนล้าตรงบริเวณทางเดิน สายลมร้อนพัดผ่านมาจากทางใต้ ขณะที่เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและทหารกลุ่มหนึ่งกำลังขำขันกันอยู่ “หากข้าป้องกันเมืองได้สำเร็จ ข้าจะหาเมียให้เจ้า”

เว่ยโฉวหน้าแดง “อย่ามาหลอกข้าเล่น…”

เซี่ยโหวซางยิ้ม “คนเดียวพอหรือไม่? หรืออยากได้สักสามคน ไม่สิ…ห้าไปเลย”

“มีชีวิตรอดไปรบได้ก่อนเถิด ฮ่าๆๆ”

ทันใดนั้นก็มีใครคนหนึ่งชี้ขึ้นไปบนฟ้า “นั่นมันอะไร?”

ทุกคนหันมองตามก่อนจะพบว่ามันคือเศษกระดาษปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ลอยลิ่วสู่เมืองหลันเยี่ยนตามแรงลม หลินมู่อวี่มองออกว่ามันคือว่าวจึงรีบสั่งการ “สอยว่าวนั่นลงมาเสีย!”

“ขอรับ!”

ทหารอวี้หลินคนหนึ่งวิ่งไปตามกำแพงเมืองก่อนจะสอยว่าวกระดาษที่มาข้อความเขียนติดด้านหลังลงมา หลินมู่อวี่รีบเข้าไปดูก่อนจะพบว่าตัวอักษรที่เขียนอยู่นั้นช่างเป็นลายมือที่หาได้ยากและน่าสะเทือนใจยิ่งนัก

ราชาเจิ้นหนานได้นำกองกำลังหลายล้านนายมุ่งหน้าไปทางเหนือ สาบานว่าจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์และสถาปนาเป็นประเทศแห่งความเที่ยงธรรม สงบสุขและเท่าเทียม ที่ใดก็ตามที่ทหารผู้ชอบธรรมผ่านไป เหล่าขุนนางจะถูกลงโทษ แต่ละครัวเรือนจะได้รับการแบ่งเขตอย่างเท่าเทียมกันตามจำนวนประชากร อีกทั้งได้รับการลดหย่อนและยกเว้นภาษีสามปี เมืองหลันเยี่ยนอันเป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิ ขอประชาชนในเมืองจงเลิกต่อต้านและยอมยกเมืองให้เสีย เพื่อประชาชนและประเทศชาติ หากยังคงต่อต้านแบบไม่ลืมหูลืมตา เมื่อใดที่เมืองแตกพ่าย…ทุกผู้ที่อยู่ในเมืองไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์เลี้ยงจะต้องถูกสังหารอย่างราบคาบ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 320 เริ่มสงคราม

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 320 เริ่มสงคราม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.320 เริ่มสงคราม

พลบค่ำ มีเสียงเกือกเท้าม้าวิ่งไปมานอกเมือง ท่ามกลางควันโขมงทหารม้าจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับธงของทหารอาสา กลุ่มทหารเกราะแดงเข้มหยุดห่างจากเมืองหลันเยี่ยนหนึ่งกิโลเมตร ทั้งหมดรวมตัวกันโดยให้ทหารม้าอยู่แนวหน้าและทหารราบอยู่กองหลัง ก่อนจะจุดคบเพลิงขึ้นเป็นทอดๆ

ไม่นานนักท้องฟ้าก็มืดลงเข้าสู่ช่วงเวลายามราตรี คบเพลิงด้านนอกเมืองแผ่กระจายมาจากป่าล่ามังกรราวกับทะเลเพลิง กองกำลังอันมากล้นนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก

“แม่เจ้า…” จางเหว่ยรู้สึกชาไปทั้งตัว “ผู้หญิงจากหลิงหนานสามารถคลอดปีศาจออกมาได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ให้ตาย…ข้าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะตัดหัวพวกมันหมด”

เว่ยโฉวขมวดคิ้ว “พวกมันยังไม่โจมตีมา รออะไรอยู่กันแน่?”

“รอกองทัพหลัก” เฟิงจี้สิงกล่าว “การเคลื่อนย้ายบันไดและเครื่องยิ่งหินนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยคงใช้เวลาทั้งคืนกว่าจะมาถึง พวกมันจึงต้องรอ…เพราะคงเป็นเรื่องยากหากจะบุกคืนนี้”

“เหตุใดจึงยากหรือขอรับ?” จางเหว่ยถาม

เฟิงจี้สิงยิ้ม “หลงเซียนหลินเป็นอดีตผู้บัญชาการทหาร เขาคุ้นเคยกับกลยุทธ์ทำศึกเป็นอย่างดี เขาจึงรู้ว่าหัวใจสำคัญของศึกนี้คืออะไร คอยดูเถิด…ไม่นานเจ้าจะรู้เอง”

“ขอรับ”

คบเพลิงถูกนำขึ้นไปจุดบนกำแพงเมือง มันดูสวยงามเมื่อถูกเรียงเป็นแนวเดียวกัน

ไม่นาน คนของหลิงนานก็เริ่มแตกตัวออกมา ชายร่างผอมที่เป็นราชทูตถือธงขาวเดินมาที่เมืองพร้อมกับหัวเราะลั่น “แม่ทัพหลงเซียนหลินแห่งหลิงหนานนำทัพหนึ่งแสนกองแรกมายังเมืองหลวงเพื่อมอบของขวัญแสดงความยินดีกับจักรวรรดิ หวังว่าแม่ทัพทั้งหลายจะยอมรับด้วยความกรุณา”

ขณะกำลังพูดอยู่ ราชทูตก็โบกธงขาว ทันใดนั้นทหารม้าหนึ่งร้อยนายควบม้าเข้าประชิดเมือง ก่อนจะโยนของสีดำบางอย่างไปทั่วและหันม้าควบกลับเข้าแถว

“มันคือสิ่งใด?” จางเหว่ยสงสัย

เฟิงจี้สิงเพ่งมองจากระยะไกลก่อนทั้งร่างเขาจะสั่นเทิ้ม “มันคือธงรบ…”

“ธงรบอะไร?” หลินมู่อวี่ชะงัก

เฟิงจี้สิงกัดฟัน “ธงรบของกองทัพเทียนฉงและหลงฉวน พระเจ้า…ธงรบกว่าพันผืนของกองทัพที่ฝ่าบาทนำไปมณฑลเทียนชู่…ถูกกำจัดจนสิ้นแล้ว”

“อะไรนะ…”

หลินมู่อวี่รู้สึกราวกับถูกมีดทิ่มแทงอก เขาหวังว่าฉินจิ้นจะนำทัพกลับมาได้อย่างปลอดภัย ทว่ากลายเป็นข่าวร้ายเสียนี่

เว่ยโฉวคำนับ “หมายถึง…นี่คือธงรบที่กองทัพจักรวรรดิเคยใช้สร้างขวัญกำลังใจใช่หรือไม่?”

หลินมู่อวี่กล่าวด้วยสายตาอันเยือกเย็น “ยิงพลุไฟเผาธงพวกนี้เสีย”

“ขอรับ…”

“ฟิ้ว!” พลุไฟถูกยิงไปยังธงรบเบื้องจนติดไฟอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเศษผ้าทั้งหมดก็ถูกเผาจนเป็นธุลี เสียงหัวเราอย่างบ้าคลั่งของพวกทหารอาสาดังขึ้น ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังไม่ยอมโจมตี เสียงกลองศึกจากทางเหนือดังสนั่น ตามมาด้วยกองทัพจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นทัพของจื่อเย่า

แม่ทัพจื่อเย่าในชุดขาวปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางพลโล่

จื่อเย่าหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ใครเป็นคนเฝ้าประตูทางเหนือ จงออกมาคุยกับข้า…”

เฟิงจี้สิงกระชับดาบในมือพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โอ้ แม่ทัพจื่อเย่าเองหรือ?”

“เจ้าเองรึ…เฟิงจี้สิง?”

จื่อเย่าเงยหน้ามองบนกำแพงเมือง “ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงได้เห็นแล้วว่ากองทัพเทียนฉงและหลงฉวนถูกกำจัดสิ้น รวมไปถึงมณฑลดารา มณฑลชางหนาน มณฑลหลิงตง และมณฑลเทียนชู่ต่างก็ถูกพวกข้าพิชิตหมดแล้ว แปดมณฑลจากสิบสองอยู่ในกำมือพวกข้า รู้เช่นนี้แล้วยังจะรออะไรอยู่เล่า? เปิดประตูเมืองและให้เหล่าทหารของข้าเข้าไปเสีย จื่อเย่าผู้นี้จะเข้าไปยืนแทนที่พวกเจ้าเอง ว่าอย่างไรเหล่าแม่ทัพแห่งจักรวรรดิ?”

เฟิงจี้สิงหัวเราะลั่น “ในบรรดาแม่ทัพแห่งจักรวรรดิทั้งเจ็ด ข้าอยู่อันดับสามส่วนเจ้าอยู่อันดับหก จากทั้งหลิงหนานหานายพลได้กระจอกเท่านี้เองหรือ? ฮ่าๆๆ จื่อเย่า หากเจ้าอยากทำศึกก็เชิญบุกเข้ามาได้เลย เฟิงจี้สิงผู้นี้กำลังรอเศษสวะอย่างพวกเจ้าอยู่เลยล่ะ…”

“ช่างดื้อด้านเสียจริง”

จื่อเย่ากระแอมพลางชักดาบชี้ขึ้นไปบนกำแพงเมือง “ข้าขอประกาศว่า…หากเมืองหลันเยี่ยนยังยืนกรานต่อต้าน จื่อเย่าผู้นี้จะทำการบุกเมืองและสังหารพวกขี้ข้าจักรวรรดิเสียให้สิ้น…สัตว์เลี้ยงอย่างพวกเจ้าจงฟังข้าให้ดี อาณาจักรนี้จะตำทำตามบัญชาสวรรค์และเอาชนะใจประชาชนด้วยความเที่ยงธรรมโดยการโค่นล้มระบอบกษัตริย์เสีย หากพวกเจ้ายังดื้อด้าน สิ่งเดียวที่จะได้รับคือจุดจบอันน่าสมเพช ก่อนรุ่งสางเช้าวันถัดไป จงเปิดประตูเมืองและยกเมืองให้พวกข้าเสีย แล้วข้าจะไม่กล่าวโทษ หรือมิเช่นนั้นก็รอดูการสังหารหมู่ได้เลย…”

จื่อเย่าควบม้าเดินกลับไป ปล่อยให้เหล่าแม่ทัพบนกำแพงตกตะลึงไปตามกัน

จางเหว่ยกัดฟัน “ข้าไปเป็นสัตว์เลี้ยงของจักรวรรดิตั้งแต่เมื่อไร?”

หลัวเลี่ยเอ่ยถาม “ผู้บัญชาการ เราจะทำอย่างไรต่อไปดีขอรับ?”

“จะทำอะไรเสียอีกล่ะ?”

เฟิงจี้สิงยิ้มมุมปาก “ทุกคนจงเตรียมพร้อมรับศึกในวันพรุ่งนี้ ทันทีที่รุ่งสางการรบจะเริ่มขึ้น”

“ขอรับ…”

ดูเหมือนฝ่ายศัตรูจะไม่ยอมให้แนวป้องกันเมืองหลันเยี่ยนได้พักผ่อน ด้วยเสียงโห่ร้องของทหารอาสาที่โบกธงไปมาและกลองรบที่รัวลั่นตลอดทั้งคืน

กระทั่งรุ่งสาง แสงอาทิตย์สีแดงเดือดทะลุผ่านเมฆหนาสะท้อนกับกำแพงเมืองหลันเยี่ยน หลินมู่อวี่ลืมตาด้วยความสิ้นหวัง “สงครามเริ่มแล้ว…”

“ตู้ม…”

ทันใดนั้นก็มีเสียงสั่นสะเทือนดังขึ้นที่กำแพงจากการโดนลูกหินพุ่งเข้าชน ผนังหนาราวสามเมตรสั่นไหว แม้กำแพงเมืองหลันเยี่ยนจะหนา ทว่าหากถูกโจมตีเช่นนี้ต่อไปคงทนได้ไม่นาน

“ปัง…ปัง…ปัง…”

เสียงกลองรัวลั่นไม่หยุดยั้ง มีรถบันไดนับพันเต็มสนามรบพร้อมทหารถือโล่หนักคอยคุ้มกันอยู่มุ่งตรงไปยังเมืองหลันเยี่ยนอย่างช้าๆ จักรวรรดิไม่ได้เผชิญสถานการณ์เช่นนี้มานานแล้ว กองทัพองครักษ์และกองทัพเขาเหินเตรียมพร้อมรบด้วยขบวนทัพขนาดมหึมา กลุ่มศัตรูเบื้องล่างกำแพงจะไปเอาชนะเหล่าทหารกล้าได้อย่างไร?

หลงเซียนหลินในชุดเกราะเงินยืนอยู่ใต้กำแพงเมืองพร้อมกับหอกในมือ “ล้อมเข้ามา…ใครก็ตามที่สามารถปีนถึงด้านบนได้คนแรก จะได้รับรางวัลหนึ่งแสนเหรียญพร้อมกับตำแหน่งขุนนาง!”

“เสียงนี้ต้องเป็นหลงเซียนหลินแน่นอน…” หลินมู่อวี่มองด้วยสายตาเยือกเย็น

เฟิงจี้สิงยิ้มมุมปาก “เสียใจหรือไม่ที่ปล่อยมันไป?”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “มีสิ่งใดให้เสียใจ? ไม่ใช่เพราะฝ่าบาทไปสังหารครอบครัวหลงเซียนหลินหรอกหรือเขาจึงได้โกรธเช่นนี้?”

เฟิงจี้สิงชะงักกับคำพูดของหลินมู่อวี่พลางตบบ่าและกล่าว “เตรียมตัวจัดการกับข้าศึกเถิด…”

“พลธนู เล็งคนเคลื่อนรถบันได!” เว่ยโฉวง้างคันศรกลืนปีศาจจากบนกำแพง “ฉึก!” ลูกธนูถูกปล่อย คนเคลื่อนรถบันไดล้มลงทันที

กระทั่งรถบันไดเข้ามาในระยะเกือบหมด ฝนธนูก็ถูกยิงจากเมืองหลันเยี่ยน “ฉึกๆๆ” ฝนเหล็กแหลมทะลวงร่างทหารอาสาคนแล้วคนเล่าคนกลุ่มใหญ่ล้มตายในพริบตา ทว่ารถบันไดยังคงถูกเคลื่อนเข้าหาเมืองอย่างไม่ลดละ

“ปล่อยหินกลิ้งขวางทางรถบันได!” เฟิงจี้สิงสั่งการ

ไม่กี่นาทีต่อมา หินนับพันก้อนก็ถูกโยนลงจากกำแพงกลิ้งใส่รถบันได ทหารอาสาต่างพากันยกโล่ขึ้นมาป้องกัน ทว่าทัพหินกลิ้งยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันถูกโยนลงไปอีกระลอก กระทั่งพื้นราบเต็มไปด้วยคราบเลือด

ด้วยระยะไกลกว่าสองร้อยเมตรทำให้การโจมตีของมีดเสียงปีศาจไปไม่ถึง หลินมู่อวี่จึงเปลี่ยนมาใช้ธนูแทน นายทหารคนหนึ่งถูกยิงตายในดอกเดียว แม้ธนูจะเป็นอาวุธที่ไม่แข็งแกร่งมาก ทว่ามันก็รุนแรงและรวดเร็ว ฆ่าทหารได้นับสิบในครึ่งชั่วโมง โชคดีที่มีการเตรียมการมาอย่างดี ด้วยจำนวนลูกธนูมหาศาลทำให้เมืองหลันเยี่ยนต้านการรุกรานได้นานพอ

ทันใดนั้น บันไดหลังหนึ่งก็เข้าประชิดกำแพงเมืองจนได้ ทหารอาสาต่างจับดาบกรูขึ้นกำแพงอย่างรวดเร็ว

หลินมู่อวี่ชักกระบี่ยาวออกมา คมกระบี่สะท้อนแสงเจิดจ้าฟาดฟันแขนบรรดาทหารกล้าที่ปีนมาถึง ส่วนทหารคนอื่นๆ ก็ถูกพลธนูยิงจนกลายเป็นเม่น มีคนอีกมากมายที่คอยคุ้มกันกำแพงอยู่และอยากใช้กำลังเข้าสู้ เมืองนี้จึงต้องเข้าสู่สมรภูมิเลือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลังการกระหน่ำโจมตีได้สองชั่วโมง ดูเหมือนทหารอาสาจะรู้แล้วว่าเป็นการกระทำที่ไร้ความหมายเพราะไม่สามารถเจาะผ่านกำแพงเมืองได้ กระทั่งเสียงแตรดังขึ้นจึงถอยทัพกลับอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นน้ำ

ทหารฝั่งหลันเยี่ยนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จางเหว่ยถือดาบเปื้อนเลือดพลางหัวเราะอย่างสะใจใส่ทหารอาสาด้านล่าง “ข้าก็นึกว่าพวกเจ้าจะเป็นทหารฝีมือดียิ่งกว่านี้เสียอีก สุดท้ายก็แค่พวกสุนัขปลายแถว! หลงเซียนหลิน…เจ้าคงต้องวางแผนบุกเมืองใหม่แล้วล่ะ ข้าจะรอพวกเจ้าเอง…”

เว่ยโฉวและคนอื่นๆ ต่างก็หัวเราะเย้ยหยันไปตามกัน แม้ลูกธนูที่เตรียมไว้จะถูกใช้ไปหมดแล้ว ทว่าไม่เป็นปัญหาเพราะกองทัพองครักษ์เริ่มรวมกำลังพลเพิ่มแล้ว

หลงเซียนหลินที่อยู่ล่างกำแพง มองขึ้นไปด้วยสายตาแข็งกร้าว เขาไม่โต้ตอบอันใดนอกจากควบม้ากลับไปทันที

ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยมาจนบ่าย เหล่าทหารที่คอยป้องกันเมืองต่างก็นั่งพักผ่อนกันอย่างอ่อนล้าตรงบริเวณทางเดิน สายลมร้อนพัดผ่านมาจากทางใต้ ขณะที่เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและทหารกลุ่มหนึ่งกำลังขำขันกันอยู่ “หากข้าป้องกันเมืองได้สำเร็จ ข้าจะหาเมียให้เจ้า”

เว่ยโฉวหน้าแดง “อย่ามาหลอกข้าเล่น…”

เซี่ยโหวซางยิ้ม “คนเดียวพอหรือไม่? หรืออยากได้สักสามคน ไม่สิ…ห้าไปเลย”

“มีชีวิตรอดไปรบได้ก่อนเถิด ฮ่าๆๆ”

ทันใดนั้นก็มีใครคนหนึ่งชี้ขึ้นไปบนฟ้า “นั่นมันอะไร?”

ทุกคนหันมองตามก่อนจะพบว่ามันคือเศษกระดาษปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ลอยลิ่วสู่เมืองหลันเยี่ยนตามแรงลม หลินมู่อวี่มองออกว่ามันคือว่าวจึงรีบสั่งการ “สอยว่าวนั่นลงมาเสีย!”

“ขอรับ!”

ทหารอวี้หลินคนหนึ่งวิ่งไปตามกำแพงเมืองก่อนจะสอยว่าวกระดาษที่มาข้อความเขียนติดด้านหลังลงมา หลินมู่อวี่รีบเข้าไปดูก่อนจะพบว่าตัวอักษรที่เขียนอยู่นั้นช่างเป็นลายมือที่หาได้ยากและน่าสะเทือนใจยิ่งนัก

ราชาเจิ้นหนานได้นำกองกำลังหลายล้านนายมุ่งหน้าไปทางเหนือ สาบานว่าจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์และสถาปนาเป็นประเทศแห่งความเที่ยงธรรม สงบสุขและเท่าเทียม ที่ใดก็ตามที่ทหารผู้ชอบธรรมผ่านไป เหล่าขุนนางจะถูกลงโทษ แต่ละครัวเรือนจะได้รับการแบ่งเขตอย่างเท่าเทียมกันตามจำนวนประชากร อีกทั้งได้รับการลดหย่อนและยกเว้นภาษีสามปี เมืองหลันเยี่ยนอันเป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิ ขอประชาชนในเมืองจงเลิกต่อต้านและยอมยกเมืองให้เสีย เพื่อประชาชนและประเทศชาติ หากยังคงต่อต้านแบบไม่ลืมหูลืมตา เมื่อใดที่เมืองแตกพ่าย…ทุกผู้ที่อยู่ในเมืองไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์เลี้ยงจะต้องถูกสังหารอย่างราบคาบ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา 320 เริ่มสงคราม

Now you are reading The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา Chapter 320 เริ่มสงคราม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ep.320 เริ่มสงคราม

พลบค่ำ มีเสียงเกือกเท้าม้าวิ่งไปมานอกเมือง ท่ามกลางควันโขมงทหารม้าจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับธงของทหารอาสา กลุ่มทหารเกราะแดงเข้มหยุดห่างจากเมืองหลันเยี่ยนหนึ่งกิโลเมตร ทั้งหมดรวมตัวกันโดยให้ทหารม้าอยู่แนวหน้าและทหารราบอยู่กองหลัง ก่อนจะจุดคบเพลิงขึ้นเป็นทอดๆ

ไม่นานนักท้องฟ้าก็มืดลงเข้าสู่ช่วงเวลายามราตรี คบเพลิงด้านนอกเมืองแผ่กระจายมาจากป่าล่ามังกรราวกับทะเลเพลิง กองกำลังอันมากล้นนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก

“แม่เจ้า…” จางเหว่ยรู้สึกชาไปทั้งตัว “ผู้หญิงจากหลิงหนานสามารถคลอดปีศาจออกมาได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ให้ตาย…ข้าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะตัดหัวพวกมันหมด”

เว่ยโฉวขมวดคิ้ว “พวกมันยังไม่โจมตีมา รออะไรอยู่กันแน่?”

“รอกองทัพหลัก” เฟิงจี้สิงกล่าว “การเคลื่อนย้ายบันไดและเครื่องยิ่งหินนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยคงใช้เวลาทั้งคืนกว่าจะมาถึง พวกมันจึงต้องรอ…เพราะคงเป็นเรื่องยากหากจะบุกคืนนี้”

“เหตุใดจึงยากหรือขอรับ?” จางเหว่ยถาม

เฟิงจี้สิงยิ้ม “หลงเซียนหลินเป็นอดีตผู้บัญชาการทหาร เขาคุ้นเคยกับกลยุทธ์ทำศึกเป็นอย่างดี เขาจึงรู้ว่าหัวใจสำคัญของศึกนี้คืออะไร คอยดูเถิด…ไม่นานเจ้าจะรู้เอง”

“ขอรับ”

คบเพลิงถูกนำขึ้นไปจุดบนกำแพงเมือง มันดูสวยงามเมื่อถูกเรียงเป็นแนวเดียวกัน

ไม่นาน คนของหลิงนานก็เริ่มแตกตัวออกมา ชายร่างผอมที่เป็นราชทูตถือธงขาวเดินมาที่เมืองพร้อมกับหัวเราะลั่น “แม่ทัพหลงเซียนหลินแห่งหลิงหนานนำทัพหนึ่งแสนกองแรกมายังเมืองหลวงเพื่อมอบของขวัญแสดงความยินดีกับจักรวรรดิ หวังว่าแม่ทัพทั้งหลายจะยอมรับด้วยความกรุณา”

ขณะกำลังพูดอยู่ ราชทูตก็โบกธงขาว ทันใดนั้นทหารม้าหนึ่งร้อยนายควบม้าเข้าประชิดเมือง ก่อนจะโยนของสีดำบางอย่างไปทั่วและหันม้าควบกลับเข้าแถว

“มันคือสิ่งใด?” จางเหว่ยสงสัย

เฟิงจี้สิงเพ่งมองจากระยะไกลก่อนทั้งร่างเขาจะสั่นเทิ้ม “มันคือธงรบ…”

“ธงรบอะไร?” หลินมู่อวี่ชะงัก

เฟิงจี้สิงกัดฟัน “ธงรบของกองทัพเทียนฉงและหลงฉวน พระเจ้า…ธงรบกว่าพันผืนของกองทัพที่ฝ่าบาทนำไปมณฑลเทียนชู่…ถูกกำจัดจนสิ้นแล้ว”

“อะไรนะ…”

หลินมู่อวี่รู้สึกราวกับถูกมีดทิ่มแทงอก เขาหวังว่าฉินจิ้นจะนำทัพกลับมาได้อย่างปลอดภัย ทว่ากลายเป็นข่าวร้ายเสียนี่

เว่ยโฉวคำนับ “หมายถึง…นี่คือธงรบที่กองทัพจักรวรรดิเคยใช้สร้างขวัญกำลังใจใช่หรือไม่?”

หลินมู่อวี่กล่าวด้วยสายตาอันเยือกเย็น “ยิงพลุไฟเผาธงพวกนี้เสีย”

“ขอรับ…”

“ฟิ้ว!” พลุไฟถูกยิงไปยังธงรบเบื้องจนติดไฟอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเศษผ้าทั้งหมดก็ถูกเผาจนเป็นธุลี เสียงหัวเราอย่างบ้าคลั่งของพวกทหารอาสาดังขึ้น ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังไม่ยอมโจมตี เสียงกลองศึกจากทางเหนือดังสนั่น ตามมาด้วยกองทัพจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นทัพของจื่อเย่า

แม่ทัพจื่อเย่าในชุดขาวปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางพลโล่

จื่อเย่าหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ใครเป็นคนเฝ้าประตูทางเหนือ จงออกมาคุยกับข้า…”

เฟิงจี้สิงกระชับดาบในมือพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โอ้ แม่ทัพจื่อเย่าเองหรือ?”

“เจ้าเองรึ…เฟิงจี้สิง?”

จื่อเย่าเงยหน้ามองบนกำแพงเมือง “ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงได้เห็นแล้วว่ากองทัพเทียนฉงและหลงฉวนถูกกำจัดสิ้น รวมไปถึงมณฑลดารา มณฑลชางหนาน มณฑลหลิงตง และมณฑลเทียนชู่ต่างก็ถูกพวกข้าพิชิตหมดแล้ว แปดมณฑลจากสิบสองอยู่ในกำมือพวกข้า รู้เช่นนี้แล้วยังจะรออะไรอยู่เล่า? เปิดประตูเมืองและให้เหล่าทหารของข้าเข้าไปเสีย จื่อเย่าผู้นี้จะเข้าไปยืนแทนที่พวกเจ้าเอง ว่าอย่างไรเหล่าแม่ทัพแห่งจักรวรรดิ?”

เฟิงจี้สิงหัวเราะลั่น “ในบรรดาแม่ทัพแห่งจักรวรรดิทั้งเจ็ด ข้าอยู่อันดับสามส่วนเจ้าอยู่อันดับหก จากทั้งหลิงหนานหานายพลได้กระจอกเท่านี้เองหรือ? ฮ่าๆๆ จื่อเย่า หากเจ้าอยากทำศึกก็เชิญบุกเข้ามาได้เลย เฟิงจี้สิงผู้นี้กำลังรอเศษสวะอย่างพวกเจ้าอยู่เลยล่ะ…”

“ช่างดื้อด้านเสียจริง”

จื่อเย่ากระแอมพลางชักดาบชี้ขึ้นไปบนกำแพงเมือง “ข้าขอประกาศว่า…หากเมืองหลันเยี่ยนยังยืนกรานต่อต้าน จื่อเย่าผู้นี้จะทำการบุกเมืองและสังหารพวกขี้ข้าจักรวรรดิเสียให้สิ้น…สัตว์เลี้ยงอย่างพวกเจ้าจงฟังข้าให้ดี อาณาจักรนี้จะตำทำตามบัญชาสวรรค์และเอาชนะใจประชาชนด้วยความเที่ยงธรรมโดยการโค่นล้มระบอบกษัตริย์เสีย หากพวกเจ้ายังดื้อด้าน สิ่งเดียวที่จะได้รับคือจุดจบอันน่าสมเพช ก่อนรุ่งสางเช้าวันถัดไป จงเปิดประตูเมืองและยกเมืองให้พวกข้าเสีย แล้วข้าจะไม่กล่าวโทษ หรือมิเช่นนั้นก็รอดูการสังหารหมู่ได้เลย…”

จื่อเย่าควบม้าเดินกลับไป ปล่อยให้เหล่าแม่ทัพบนกำแพงตกตะลึงไปตามกัน

จางเหว่ยกัดฟัน “ข้าไปเป็นสัตว์เลี้ยงของจักรวรรดิตั้งแต่เมื่อไร?”

หลัวเลี่ยเอ่ยถาม “ผู้บัญชาการ เราจะทำอย่างไรต่อไปดีขอรับ?”

“จะทำอะไรเสียอีกล่ะ?”

เฟิงจี้สิงยิ้มมุมปาก “ทุกคนจงเตรียมพร้อมรับศึกในวันพรุ่งนี้ ทันทีที่รุ่งสางการรบจะเริ่มขึ้น”

“ขอรับ…”

ดูเหมือนฝ่ายศัตรูจะไม่ยอมให้แนวป้องกันเมืองหลันเยี่ยนได้พักผ่อน ด้วยเสียงโห่ร้องของทหารอาสาที่โบกธงไปมาและกลองรบที่รัวลั่นตลอดทั้งคืน

กระทั่งรุ่งสาง แสงอาทิตย์สีแดงเดือดทะลุผ่านเมฆหนาสะท้อนกับกำแพงเมืองหลันเยี่ยน หลินมู่อวี่ลืมตาด้วยความสิ้นหวัง “สงครามเริ่มแล้ว…”

“ตู้ม…”

ทันใดนั้นก็มีเสียงสั่นสะเทือนดังขึ้นที่กำแพงจากการโดนลูกหินพุ่งเข้าชน ผนังหนาราวสามเมตรสั่นไหว แม้กำแพงเมืองหลันเยี่ยนจะหนา ทว่าหากถูกโจมตีเช่นนี้ต่อไปคงทนได้ไม่นาน

“ปัง…ปัง…ปัง…”

เสียงกลองรัวลั่นไม่หยุดยั้ง มีรถบันไดนับพันเต็มสนามรบพร้อมทหารถือโล่หนักคอยคุ้มกันอยู่มุ่งตรงไปยังเมืองหลันเยี่ยนอย่างช้าๆ จักรวรรดิไม่ได้เผชิญสถานการณ์เช่นนี้มานานแล้ว กองทัพองครักษ์และกองทัพเขาเหินเตรียมพร้อมรบด้วยขบวนทัพขนาดมหึมา กลุ่มศัตรูเบื้องล่างกำแพงจะไปเอาชนะเหล่าทหารกล้าได้อย่างไร?

หลงเซียนหลินในชุดเกราะเงินยืนอยู่ใต้กำแพงเมืองพร้อมกับหอกในมือ “ล้อมเข้ามา…ใครก็ตามที่สามารถปีนถึงด้านบนได้คนแรก จะได้รับรางวัลหนึ่งแสนเหรียญพร้อมกับตำแหน่งขุนนาง!”

“เสียงนี้ต้องเป็นหลงเซียนหลินแน่นอน…” หลินมู่อวี่มองด้วยสายตาเยือกเย็น

เฟิงจี้สิงยิ้มมุมปาก “เสียใจหรือไม่ที่ปล่อยมันไป?”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “มีสิ่งใดให้เสียใจ? ไม่ใช่เพราะฝ่าบาทไปสังหารครอบครัวหลงเซียนหลินหรอกหรือเขาจึงได้โกรธเช่นนี้?”

เฟิงจี้สิงชะงักกับคำพูดของหลินมู่อวี่พลางตบบ่าและกล่าว “เตรียมตัวจัดการกับข้าศึกเถิด…”

“พลธนู เล็งคนเคลื่อนรถบันได!” เว่ยโฉวง้างคันศรกลืนปีศาจจากบนกำแพง “ฉึก!” ลูกธนูถูกปล่อย คนเคลื่อนรถบันไดล้มลงทันที

กระทั่งรถบันไดเข้ามาในระยะเกือบหมด ฝนธนูก็ถูกยิงจากเมืองหลันเยี่ยน “ฉึกๆๆ” ฝนเหล็กแหลมทะลวงร่างทหารอาสาคนแล้วคนเล่าคนกลุ่มใหญ่ล้มตายในพริบตา ทว่ารถบันไดยังคงถูกเคลื่อนเข้าหาเมืองอย่างไม่ลดละ

“ปล่อยหินกลิ้งขวางทางรถบันได!” เฟิงจี้สิงสั่งการ

ไม่กี่นาทีต่อมา หินนับพันก้อนก็ถูกโยนลงจากกำแพงกลิ้งใส่รถบันได ทหารอาสาต่างพากันยกโล่ขึ้นมาป้องกัน ทว่าทัพหินกลิ้งยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันถูกโยนลงไปอีกระลอก กระทั่งพื้นราบเต็มไปด้วยคราบเลือด

ด้วยระยะไกลกว่าสองร้อยเมตรทำให้การโจมตีของมีดเสียงปีศาจไปไม่ถึง หลินมู่อวี่จึงเปลี่ยนมาใช้ธนูแทน นายทหารคนหนึ่งถูกยิงตายในดอกเดียว แม้ธนูจะเป็นอาวุธที่ไม่แข็งแกร่งมาก ทว่ามันก็รุนแรงและรวดเร็ว ฆ่าทหารได้นับสิบในครึ่งชั่วโมง โชคดีที่มีการเตรียมการมาอย่างดี ด้วยจำนวนลูกธนูมหาศาลทำให้เมืองหลันเยี่ยนต้านการรุกรานได้นานพอ

ทันใดนั้น บันไดหลังหนึ่งก็เข้าประชิดกำแพงเมืองจนได้ ทหารอาสาต่างจับดาบกรูขึ้นกำแพงอย่างรวดเร็ว

หลินมู่อวี่ชักกระบี่ยาวออกมา คมกระบี่สะท้อนแสงเจิดจ้าฟาดฟันแขนบรรดาทหารกล้าที่ปีนมาถึง ส่วนทหารคนอื่นๆ ก็ถูกพลธนูยิงจนกลายเป็นเม่น มีคนอีกมากมายที่คอยคุ้มกันกำแพงอยู่และอยากใช้กำลังเข้าสู้ เมืองนี้จึงต้องเข้าสู่สมรภูมิเลือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลังการกระหน่ำโจมตีได้สองชั่วโมง ดูเหมือนทหารอาสาจะรู้แล้วว่าเป็นการกระทำที่ไร้ความหมายเพราะไม่สามารถเจาะผ่านกำแพงเมืองได้ กระทั่งเสียงแตรดังขึ้นจึงถอยทัพกลับอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นน้ำ

ทหารฝั่งหลันเยี่ยนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จางเหว่ยถือดาบเปื้อนเลือดพลางหัวเราะอย่างสะใจใส่ทหารอาสาด้านล่าง “ข้าก็นึกว่าพวกเจ้าจะเป็นทหารฝีมือดียิ่งกว่านี้เสียอีก สุดท้ายก็แค่พวกสุนัขปลายแถว! หลงเซียนหลิน…เจ้าคงต้องวางแผนบุกเมืองใหม่แล้วล่ะ ข้าจะรอพวกเจ้าเอง…”

เว่ยโฉวและคนอื่นๆ ต่างก็หัวเราะเย้ยหยันไปตามกัน แม้ลูกธนูที่เตรียมไว้จะถูกใช้ไปหมดแล้ว ทว่าไม่เป็นปัญหาเพราะกองทัพองครักษ์เริ่มรวมกำลังพลเพิ่มแล้ว

หลงเซียนหลินที่อยู่ล่างกำแพง มองขึ้นไปด้วยสายตาแข็งกร้าว เขาไม่โต้ตอบอันใดนอกจากควบม้ากลับไปทันที

ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยมาจนบ่าย เหล่าทหารที่คอยป้องกันเมืองต่างก็นั่งพักผ่อนกันอย่างอ่อนล้าตรงบริเวณทางเดิน สายลมร้อนพัดผ่านมาจากทางใต้ ขณะที่เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและทหารกลุ่มหนึ่งกำลังขำขันกันอยู่ “หากข้าป้องกันเมืองได้สำเร็จ ข้าจะหาเมียให้เจ้า”

เว่ยโฉวหน้าแดง “อย่ามาหลอกข้าเล่น…”

เซี่ยโหวซางยิ้ม “คนเดียวพอหรือไม่? หรืออยากได้สักสามคน ไม่สิ…ห้าไปเลย”

“มีชีวิตรอดไปรบได้ก่อนเถิด ฮ่าๆๆ”

ทันใดนั้นก็มีใครคนหนึ่งชี้ขึ้นไปบนฟ้า “นั่นมันอะไร?”

ทุกคนหันมองตามก่อนจะพบว่ามันคือเศษกระดาษปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ลอยลิ่วสู่เมืองหลันเยี่ยนตามแรงลม หลินมู่อวี่มองออกว่ามันคือว่าวจึงรีบสั่งการ “สอยว่าวนั่นลงมาเสีย!”

“ขอรับ!”

ทหารอวี้หลินคนหนึ่งวิ่งไปตามกำแพงเมืองก่อนจะสอยว่าวกระดาษที่มาข้อความเขียนติดด้านหลังลงมา หลินมู่อวี่รีบเข้าไปดูก่อนจะพบว่าตัวอักษรที่เขียนอยู่นั้นช่างเป็นลายมือที่หาได้ยากและน่าสะเทือนใจยิ่งนัก

ราชาเจิ้นหนานได้นำกองกำลังหลายล้านนายมุ่งหน้าไปทางเหนือ สาบานว่าจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์และสถาปนาเป็นประเทศแห่งความเที่ยงธรรม สงบสุขและเท่าเทียม ที่ใดก็ตามที่ทหารผู้ชอบธรรมผ่านไป เหล่าขุนนางจะถูกลงโทษ แต่ละครัวเรือนจะได้รับการแบ่งเขตอย่างเท่าเทียมกันตามจำนวนประชากร อีกทั้งได้รับการลดหย่อนและยกเว้นภาษีสามปี เมืองหลันเยี่ยนอันเป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิ ขอประชาชนในเมืองจงเลิกต่อต้านและยอมยกเมืองให้เสีย เพื่อประชาชนและประเทศชาติ หากยังคงต่อต้านแบบไม่ลืมหูลืมตา เมื่อใดที่เมืองแตกพ่าย…ทุกผู้ที่อยู่ในเมืองไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์เลี้ยงจะต้องถูกสังหารอย่างราบคาบ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+