True Martial World พิภพเทพยุทธ์ 1114

Now you are reading True Martial World พิภพเทพยุทธ์ Chapter 1114 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
กลกักขัง

“ระวัง!”

ตลอดทางมานี้พวกหลิ่วหรูอี้เป็นดังนกที่ตื่นธนู สัตว์ประหลาดของที่นี่แข็งแกร่งเกินไปจริงๆ หากนำออกไปโลกภายนอกก็ทำลายสำนักขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าเด็กหญิงคนตรงหน้าไม่ปกติ เกรงว่าจะไม่ใช่คน

“ถอย! คอยหาจังหวะลงมือ!”

หลิ่วหรูอี้กับเด็กสองคนตื่นตัวอย่างหนัก แต่ตอนนี้อาจารย์เทียนเซียวกลับมองเข็มทิศในมือตัวเองอย่างงงัน เพราะการปรากฏตัวของเด็กหญิงคนนี้ทำให้เข็มทิศเกิดการตอบสนองพิเศษ

หรือว่า…

อาจารย์เทียนเซียวมองหลิงเสียเอ๋อร์ ตอนนี้หลิงเสียเอ๋อร์จงใจปล่อยกลิ่นอายเพลิงเทพในร่าง นี่จึงทำให้อาจารย์เทียนเซียวที่เชี่ยวชาญวิชาราศีรู้สึกถึง

เรื่องนี้ทำให้เขาดีใจมาก

“ท่านรองประมุขหลิ่ว จับนางไว้ขอรับ!”

อาจารย์เทียนเซียวตะโกนขึ้นอย่างฉับพลัน

เขาพบจุดที่พิเศษมากอย่างหนึ่ง ในร่างคนธรรมดาจะมีโชคชะตาฟ้าดิน ทว่าบนร่างเด็กหญิงคนนี้กลับว่างเปล่า แม้นางจะดูเหมือนคนที่มีชีวิตแต่ก็มีความต่างด้านธาตุแท้

ด้วยเหตุนี้อาจารย์เทียนเซียวจึงแน่ใจว่านางไม่มนุษย์ แต่เป็นร่างวิญญาณที่ก่อรูปขึ้น

วิญญาณที่ก่อรูปเป็นร่างมนุษย์ในที่แห่งนี้ ทั้งยังมีกลิ่นอายแห่งเพลิงบนร่างเด็กหญิงอีก เป็นไปได้มากว่านางก็คือร่างแปลงของวิญญาณหยาง

“นางคือวิญญาณหยาง! ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย” อาจารย์เทียนเซียวพูดอย่างตื่นเต้น

“นางเองหรือ?”

พวกหลิ่วหรูอี้ทั้งสามคนประหลาดใจ แต่จากนั้นรองประมุขรูปร่างเด็กสองคนนั้นก็ยื่นมือจับไปที่หลิงเสียเอ๋อร์พร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ก็จับไว้ก่อน!”

“จับนางแล้วสกัดทิ้ง นำกลับไปที่วังแล้วจะถือว่าสร้างผลงานใหญ่!”

หลิงเสียเอ๋อร์หน้าซีดเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับฝ่ามือขนาดยักษ์ที่ปรากฏขึ้นทางซ้ายขวา จากนั้นนางก็กลายเป็นเปลวไฟลูกหนึ่งในชั่วพริบตาแล้วบินลงเบื้องล่างด้วยความเร็วสูง

ดวงตาหลิ่วหรูอี้เป็นประกายเมื่อเห็นภาพนี้

“เป็นวิญญาณหยางจริงๆ ด้วย! ไล่ตามไป!”

น้ำตกไหลลงด้านล่าง เปลวไฟลูกหนึ่งพุ่งตามน้ำตกไปยังเบื้องล่าง

พวกหลิ่วหรูอี้ตามไปติดๆ ตั้งแต่พวกเขามาที่โลกใต้ดินของทะเลทรายกลบอาทิตย์ก็ไม่เคยเจอเรื่องนี้ ในที่สุดตอนนี้ก็มีผลให้เก็บเกี่ยวแล้ว

หลิงเสียเอ๋อร์รู้สึกถึงกลิ่นอายของคนทั้งสี่ที่ไล่ตามด้านหลังมาติดๆ สายตานางมองไปข้างหน้า

แม้ตอนนี้หลิงเสียเอ๋อร์จะเป็นแค่ร่างวิญญาณ แต่ค่ายกลของที่นี่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับตัวนาง ขอเพียงแค่ระมัดระวังก็มั่นใจว่าจะขังคนเหล่านี้สำเร็จ

ฟิ้ว!

หลิงเสียเอ๋อร์พุ่งตัวเข้าถ้ำ

“ที่นี่มีถ้ำอยู่” พวกหลิ่วหรูอี้มาถึงปากถ้ำภายในชั่วพริบตา

“วิญญาณหยางเหมือนจะจงใจล่อพวกเรามาที่นี่” อาจารย์เทียนเซียวลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้น

เขาถูกความประหลาดและอันตรายของโลกใต้ดินนี้ทำให้หวาดกลัวแล้ว แม้วิญญาณหยางจะอยู่ในถ้ำนี้เขาก็ยังกลัวอยู่ดี

“จงใจแล้วอย่างไร? ที่นี่ทิ้งร้างมานาน เจ้านายเมื่อครั้งวันวานของนางไม่อยู่แล้ว เราเข้าไปอย่างระมัดระวังก็พอ” รองประมุขรูปร่างเหมือนเด็กพูดขึ้น

“อาจารย์เทียนเซียว เจ้ามานำทาง” หลิ่วหรูอี้พูด “อย่าทำอะไรตุกติกล่ะ เมื่อได้วิญญาณหยางแล้วพวกข้าย่อมพาเจ้าออกไปและต่อแขนขาให้ นับจากนี้สำนักความลับสวรรค์ของเจ้าก็พึ่งพิงวังวิถีเจ็ดดาราของพวกข้าได้”

อาจารย์เทียนเซียวหน้าซีดพร้อมก่นด่าในใจ คนจากวังวิถีเจ็ดดาราโหดเหี้ยมไร้ปราณีจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะให้เขาที่ไร้พลังมานำทาง

แต่อาจารย์เทียนเซียวก็ไม่กล้าปฏิเสธ ในเมื่อหาวิญญาณหยางเจอแล้ว ตัวเขาจึงมีประโยชน์ไม่มากอีก รองประมุขวังวิถีเจ็ดดาราสามคนนี้สลัดเขาทิ้งได้ทุกเมื่อ

อาจารย์เทียนเซียวใช้แผ่นกลมาอนุมานไปด้วยเดินเข้าใกล้ตำหนักศิลาไปด้วย

“เหมือนจะไม่มีอันตรายอะไร” อาจารย์เทียนเซียวพูด

อาจารย์เทียนเซียวใช้โชคชะตาฟ้าดินมาคำนวณ หากภายในอันตรายมากจริงๆ เช่นนั้นโชคชะตาเขาก็จะตกต่ำถึงขีดสุด นี่หมายถึงนิมิตรหมายแห่งความตาย

ตูม!

มีเสียงดังสนั่นขึ้นด้านหลังเมื่อพวกเขาเข้ามา

พวกหลิ่วหรูอี้รีบหันไปมองก็เห็นว่าประตูเหล็กบานยักษ์ปิดลง

“นี่!”

อักขระบนประตูเหล็กสว่างวาบขึ้น หลิ่วหรูอี้แทงกระบี่เข้าใส่แต่กลับถูกลำแสงค่ายกลกั้นกลับมา

ตรงหน้าพวกเขาคือทางตัน

“พวกเราถูกขังแล้ว” รองประมุขร่างเด็กพูดอย่างโมโห

หลิ่วหรูอี้จ้องประตูอยู่สักพักแล้วหันไปมองในถ้ำ

“ไม่ต้องร้อนใจ วิญญาณหยางหายไปแล้ว เกรงว่าในถ้ำนี้คงมีเล่ห์กลบางอย่าง ลองหาดูก็ต้องเจอทางออกแน่นอน” หลิ่วหรูอี้พูด

ที่แห่งนี้ไม่มีตัวประหลาดร่างคน ไม่มีสิ่งชีวิตโบราณอะไร เทียบกับอันตรายพวกนั้นแล้วแค่ถูกขังจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่

ยิ่งไปกว่านั้นวิญญาณหยางก็อยู่ใกล้ๆ นี้ ภารกิจของพวกเขาจะเสร็จสิ้นในไม่ช้า

“อาจารย์เทียนเซียว เจ้าจงรีบคำนวณหาทางออก” หลิ่วหรูอี้สั่ง

“ค่ายกลในถ้ำนี้น่าจะขังพวกเขาไว้ได้แล้ว น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจควบคุมปีศาจนอกค่ายกลพวกนั้น ไม่เช่นนั้นจะได้ล่อมาที่ถ้ำ…”

หลิงเสียเอ๋อร์พูดพึมพำกับตัวเองแล้วกลับไปดูอี้อวิ๋นศึกษาม้วนกระดาษที่ทะเลสาบอีกครั้ง

อี้อวิ๋นนั่งขัดสมาธิด้วยท่าทีที่เหมือนเข้าสู่สภาวะจดจ่อมาก ข้างกายเขามีอักขระกระพริบผ่านไม่หยุด ส่วนนิ้วมือก็วาดไปในอากาศ

ตอนแรกอี้อวิ๋นแค่อยากศึกษาค่ายกลนี้ให้ทะลุปรุโปร่ง แต่เมื่อเขาศึกษาม้วนกระดาษก็กลับค่อยๆ จมลงสู่วิชาค่ายกลและวิชาโอสถที่บันทึกอยู่ภายใน

เรียกได้ว่าเทพโอสถผู้นี้บรรลุวิถีโอสถถึงขั้นสุดยอด ม้วนกระดาษนี้จึงเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับอี้อวิ๋น

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว

วันแล้ววันเล่าเคลื่อนผ่านจนเกือบครบหนึ่งเดือน

วันนี้หลิงเสียเอ๋อร์นั่งอยู่ริมแม่น้ำเปลวเพลิง ขาทั้งสองจุ่มลงไปเล่นน้ำ เหล็กหลอมสีแดงสาดกระเซ็น ดูแล้วเกิดความแตกต่างที่ชัดเจนกับเท้าที่เหมือนเครื่องเคลือบของนาง

“เด็กหนุ่มคนนี้มีความอดทนจริงๆ!”

หลิงเสียเอ๋อร์โยกศีรษะไปมาพร้อมกับมองอี้อวิ๋น ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว เขาคอยศึกษาค่ายกลอย่างไม่ขยับเขยื้อนมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าเข้าใจอะไรบ้าง เขาอ่านม้วนกระดาษสีดำของเทพโอสถจบไปแล้วรอบหนึ่ง แต่เทพโอสถอยู่ตั้งระดับไหนกัน บันทึกที่เขาทิ้งไว้ใช่สิ่งที่คนรุ่นหลังจะเข้าใจได้หรือ?

ขณะที่หลิงเสียเอ๋อร์กำลังคิดก็ได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นอย่างฉับพลันเหมือนกำแพงแตก คลื่นพลังของพลังมิติส่งข้ามส่งเข้ามา

“หืม? พวกเขาทำลายพันธนาการของถ้ำหรือ?” หลิงเสียเอ๋อร์กระพริบตาอย่างตกใจเบาๆ แต่ไม่นานนางก็เข้าใจว่าอย่างไรถ้ำพำนักนี้ก็อยู่มาหลายร้อยล้านปี ต่อให้ค่ายกลในอดีตจะเสถียรมาก แต่ผ่านกาลเวลามานานขนาดนี้ก็ใกล้ดับสูญลง ย่อมไม่อาจกักขังพวกหลิ่วหรูอี้ทั้งสี่คน

หลิงเสียเอ๋อร์มองอี้อวิ๋นที่ยังคงไม่ขยับ จากนั้นร่างวิญญาณก็หายไปจากทะเลสาบและมาอยู่ที่หน้าตำหนักศิลาตอนนี้พวกหลิ่วหรูอี้เพิ่งออกจากค่ายกลส่งข้ามมาถึงที่ตำหนักศิลาเช่นกัน

เรียกได้ว่าตอนนี้สภาพพวกเขาสะบักสะบอมมาก การถูกขังในถ้ำพำนักเป็นเวลานานทำให้พวกเขาเสียพลังอย่างหนัก

พวกเขามองไปก็เห็นเงาร่างของเด็กหญิงคนนั้นยืนอยู่หน้าตำหนักศิลา

“วิญญาณหยาง!”

เวลาผ่านมาหนึ่งเดือน แววตารองประมุขร่างเด็กเป็นประกายเมื่อเห็นวิญญาณหยางอีกครั้ง!

หลิงเสียเอ๋อร์หมุนตัววิ่งเข้าสู่ตำหนักเมื่อเห็นคนทั้งสี่

“อีกแล้วหรือ?”

แววตาหลิ่วหรูอี้มีความละโมบ แค้นเคืองและพยาบาท

เมื่อเข้าสู่ตำหนักศิลาก็เห็นหลิงเสียเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างรูปปั้นแกะสลักรูปหนึ่ง

“วิญญาณหยาง!” ดวงตาหลิ่วหรูอี้มีประกายแล่นผ่าน นางยื่นมือออกไปคว้าทันที

แต่ในตอนนี้เองที่จู่ๆ หลิงเสียเอ๋อร์ก็กระโดดตัวไปด้านหลัง บนร่างนางมีแสงเพลิงจ้าตาส่องออกมา บนพื้นตำหนักศิลามีลวดลายลึกล้ำนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นทันที

ลวดลายเหล่านี้มีทั้งสลักขึ้นโดยเทพโอสถ มีทั้งเกิดขึ้นเองตามธรรมดาเมื่อค่ายกลผสานเข้ากับฟ้าดิน

ในฐานะที่หลิงเสียเอ๋อร์เป็นหัวใจของค่ายกลและผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นแม้ตัวนางจะไม่มีพลังแต่ก็กระตุ้นค่ายกลได้

หลิ่วหรูอี้ยั้งมือและถอยตัวไปด้านหลังทันทีเมื่อเห็นลวดลายที่แดงขึ้นมาเหมือนเปลวไฟ

ทว่าลวดลายเหล่านี้สว่างขึ้นทั้งหมดภายในชั่วพริบตา ทั่วทั้งตำหนักจมอยู่ในกองเพลิงอันร้อนระอุ

ตำหนักแห่งนี้กลายเป็นหม้อโอสถขนาดยักษ์ขึ้นมาทันที มันขังพวกหลิ่วหรูอี้ทั้งสี่คนไว้กลางกองเพลิง

ตูม ตูม!

รองประมุขร่างเด็กสองคนรวมพลังกันแต่ก็ไม่อาจทำลายกำแพงเพื่อออกจากกองเพลิง

“อ้าอ้า!” อาจารย์เทียนเซียวร้องโหยหวนไม่หยุด ท่ามกลางเปลวเพลิงนี้เขาคือคนที่ถูกเผาจนอนาถที่สุด ปราณคุ้มครองร่างอันอ่อนแอช่วยเขาไม่ได้แม้แต่น้อย คราวนี้ไม่ใช่แค่หนวดที่ถูกเผา แม้แต่ผมบนศีรษะก็ถูกเผาเกลี้ยงเช่นกัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาก็รู้สึกว่าตัวเองจะถูกเผาจนสุกแล้ว

ส่วนพวกหลิ่วหรูอี้สามคนก็พอต้านทานเปลวเพลิงได้บ้าง แต่การถูกขังที่นี่ มองเห็นวิญญาณหยางแต่กลับคว้ามาไม่ได้ก็น่าคลุ้มคลั่งไม่น้อย

“อื้ม แค่นี้ก็ได้แล้ว เมื่ออี้อวิ๋นรู้ว่าตัวเองไม่อาจทำลายค่ายกลก็คงออกไปเอง” หลิงเสียเอ๋อร์ปรบมือพูดอย่างพอใจ

เดิมทีนางก็เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกล ย่อมไม่เป็นอะไรเมื่ออยู่กลางค่ายกล เข้าออกได้ตามใจชอบ

ทว่าในตอนนี้เองที่จู่ๆ ดวงตาหลิ่วหรูอี้ก็มีประกายชั่วร้ายแล่นผ่าน นางลูบมือไปที่แหวนมิติ แส้เส้นหนึ่งปรากฎออกมา ลายอักขระสว่างวายแล้วม้วนไปทางหลิงเสียเอ๋อร์

สีหน้าหลิงเสียเอ๋อร์เปลี่ยนไปอย่างหนัก ขณะที่นางกำลังจะกลายร่างเป็นเปลวเพลิงเพื่อออกจากที่นี่ แส้เส้นนั้นก็หายไปจากจุดที่มันเคยอยู่ มันมาปรากฏข้างกายหลิงเสียเอ๋อร์ภายในชั่วพริบตาและจับนางไว้แน่น

“ใช่จริงๆ ด้วย! เจ้าเป็นแค่ร่างทางจิต มีเพียงความรู้สึกนึกคิดแต่ไม่มีพลังต้นกำเนิด แส้ของข้าเส้นนี้มีไว้จับความคิดและร่างวิญญาณพอดี” หลิ่วหรูอี้พูดอย่างเย็นยะเยือก

แม้การถูกขังหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้จะทำให้พวกเขาดูสะบักสะบอม แต่แท้จริงแล้วพวกเขาคอยหาจุดอ่อนของหลิงเสียเอ๋อร์อยู่ตลอด

อย่างไรหลิงเสียเอ๋อร์ก็เป็นเด็กหญิงไร้เดียงสา ต่อให้นางจะรู้ทุกอย่างที่นี่ดี ทว่าเทียบกับคนจิตใจชั่วร้ายแล้วนางไม่อาจเทียบกับคนแบบหลิ่วหรูอี้

หลิงเสียเอ๋อร์ดิ้นรนสุดชีวิต แต่ตอนนี้นางไม่มีร่างจริง ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของหลิ่วหรูอี้

“แส้ขังวิญญาณของข้ามีไว้ทรมานวิญญาณโดยเฉพาะ ทุบตีวิญญาณในร่างให้ออกมาแล้วค่อยๆ จัดการจนวิญญาณแตกสลาย เจ้าเป็นแค่วิญญาณ แทนที่จะยอมให้จับแต่โดยดีแต่กลับมาขังพวกข้า เพียงแค่ร่างวิญญาณถูสังหาร เจ้าก็จะสูญเสียสติปัญญา ค่ายกลนี้ย่อมเสื่อมฤทธิ์เช่นกัน”

“ในเมื่อร่างวิญญาณเจ้าอยู่ที่นี่ ร่างจริงของเจ้าก็คงอยู่ที่นี่เหมือนกัน เมื่อพวกข้าได้ร่างจริงของเจ้าก็จะสกัดทิ้งเพื่อให้วังวิถีเจ็ดดารานำไปใช้” หลิ่วหรูอี้พูดพร้อมยกมุมปากขึ้นอย่างชั่วร้าย

หลิงเสียเอ๋อร์ฟังแล้วก็หน้าซีด ผู้หญิงคนนี้จะทำลายจิตนาง! สำหรับพวกเขาแค่จับเปลวเพลิงต้นกำเนิดของนางก็เพียงพอแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด