Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1692 พันธะดาบทองคำ

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1692 พันธะดาบทองคำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนทื่ 1692 พันธะดาบทองคำ
ที่คฤหาสน์เย่มีเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาจากด้านใน

“ฮ่าๆ สะใจดีจริง! เฒ่าคนนี้ต่อสู้กับเจ้าเด็กน้อยหรงซูนั้นมาก็ตั้งหลายปี แต่ก็ทำอะไรให้มันไม่ได้ แต่เจ้ากลับใช้เวลาแค่สามเดือนก็สามารถจัดการมันไปได้อย่างหมดจดแล้ว” เล่งหยูบอกออกมาพร้อมหัวเราะร่า

เจิ่งชีเองก็ยิ้มกว้างไม่ต่างกัน “ไอ้เฒ่านั้น ช่วงเวลาหลายต่อหลายปีที่ข้าเป็นผู้อาวุโสใหญ่หอยุทธมาก็ต้องลำบากเพราะมันไม่น้อย ตอนนี้มันรู้สึกโล่งดีเสียจริง”

หอยุทธนั้นต้องพึ่งพาหอโอสถ นี่คือเรื่องที่เลี่ยงมิได้ ไม่ว่าใครจะขึ้นมารับตำแหน่งก็ตาม

เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเล่งหยูหรือเจิ่งชีที่ได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่มา พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก

ต่อให้ทั้งสองจะมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำกว่าหรงซูก็ตาม

เวลาสามเดือนผ่านไป หรงซูได้ออกมาจากนรกฟอกเทพและพบว่าเรื่องราวทุกสิ่งอย่างมันเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นไม่มีใครคิดต้อนรับเขาอีกแล้ว

ต่อให้เป็นเหล่าผู้อาวุโสหอโอสถที่เคยมาขอคำแนะนำปรึกษาเรื่องต่างๆ กับเขาก็ยังหันหน้าไปหาเย่หยวนแทน

หากให้มองจากมุมของหรงซู เขาคงคิดว่าคนพวกนี้มันเข้าไปเลียนเท้าเหม็นๆ ของเย่หยวน

ทั้งๆ อย่างนั้นทุกคนกลับเลือกที่จะทนกลิ่นของมัน

พวกเล่งหยูทั้งสามคนนั้นแสดงความชื่นชมต่อตัวเย่หยวนอย่างมาก

เย่หยวนนั้นต่างจากพวกเขา ทั้งเรื่องวิชายุทธและวิชาโอสถ ฝีมือของเขานั้นมันเหนือล้ำมากกว่าใครๆ

ต่อยหน้า แล้วยื่นขนม

ต่อยไปอีกหมัด แล้วยื่นขนมอีก

เขาไม่คิดที่จะผลักไสผู้คน แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้เข้ามาใกล้เช่นกัน เขาแค่ปล่อยให้คนเหล่านั้นรออยู่หน้าทางเข้า

เหล่าผู้อาวุโสและอาจารย์ทั้งหลายต่างทำตามคำสั่งของเย่หยวนทุกอย่างแล้วตอนนี้

เย่หยวนสั่งไปตะวันออก ก็จะไม่มีใครกล้าเดินไปทางตะวันตกเด็ดขาด

ในหมากการเมืองนี้เย่หยวนสามารถเล่นมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เล่งหยูเองก็ได้แต่มองภาพเหล่านั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตาในช่วงเวลาหลายวันมานี้

เด็กคนนี้มันเพิ่งจะอายุไม่กี่ร้อยปีจริงๆ หรือ?

ดูยังไงก็เป็นปีศาจเฒ่าเจ้าเล่ห์ชัดๆ!

เย่หยวนยิ้มออกมา “หรงซูนั้นปรารถนาในพลังอำนาจมากเกินไป หากคนแบบนี้ได้อำนาจภายในคงแตกระแหง ข้าเองก็ไม่อยากจะเข้ามายุ่งกับเรื่องราวยุ่งยากแบบนี้ แต่ไหนๆ ข้าก็สัญญากับท่านเจ้าเมืองไว้แล้ว ข้าย่อมต้องทำตามให้ถึงที่สุด”

ซวนอี้พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เจ้าทำดีเกินพอแล้ว! ตอนนี้หอโอสถนั้นกลับเข้าร่องเข้ารอยได้ก็เพราะการจัดการดูแลของเจ้า เจ้าทำการอย่างเที่ยงตรง ไม่แสดงความลำเอียงต่อฝ่ายใด แม้ว่ามันจะยังเป็นเวลาไม่นานนักแต่เจ้าก็ชนะใจผู้คนไปได้แล้ว”

เล่งหยูพยักหน้ารับบ้าง “เจ้าเด็กคนนี้มีฝีมือไม่เลวจริงๆ เก่งกาจกว่าคนแก่คนเฒ่าอย่างเราๆ นัก ไม่ว่าจะเป็นหอยุทธหรือหอโอสถต่างก็ยอมรับในตัวเจ้ากันหมด ผู้อาวุโสใหญ่เย่หยวน! ฮ่าๆ ดีจริงๆ เฒ่าคนนี้จะได้ถอนตัวอย่างไร้กังวลใดๆ”

การตัดสินเรื่องราวในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ของเย่หยวนนั้นมันไม่มีความลำเอียงใดๆ

ไม่กี่วันก่อน มีคนหยิ่งผยองที่อวดอ้างว่าตัวเองดีเด่นกว่าคนอื่นเพราะตัวเองได้รับความชอบมากกว่า จนสุดท้ายโดนเย่หยวนลงโทษไป

ตั้งแต่นั้นมาเย่หยวนก็ตัดสินเรื่องราวต่างๆ ด้วยความยุติธรรม

เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ในตอนนี้คงเรียกได้ว่ามันแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่น

เย่หยวนหันไปมองเล่งหยู “พี่เล่ง เวลาก็ผ่านไปหลายต่อหลายปีแล้วท่านยังไม่แตะฐานมันเสียทีหรือ?”

เล่งหยูได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “จะไปง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร? การเดินครึ่งก้าวนี้มันยากเหมือนการเดินขึ้นสวรรค์เลย!”

เพราะแม้ว่าเล่งหยูจะถูกเรียกว่าเป็นยอดอัจฉริยะแค่ไหน การจะบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์มันก็ยังไม่ใช่เรื่องราวที่เขาจะทำได้สำเร็จง่ายๆ เลย

หลายร้อยปีมานี้ แม้ว่าพลังบ่มเพาะก็เขาจะพัฒนาขึ้นอย่างเหนือล้ำ แต่หลายร้อยปีมานี้เขาก็ได้ใช้ความรู้ที่สั่งสมมาไว้จนหมดแล้ว

เพราะการบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์นั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่พื้นฐานของคน

เย่หยวนยิ้มออกมา “ว่ามันยาก มันก็ยาก แต่หากว่ามันไม่ยาก มันก็อาจจะไม่ยากเลย!”

คำพูดนี้ทำให้ทั้งเล่งหยูและเจิ่งชีร่างสั่นสะท้านไปทันที

คำพูดของเย่หยวนนี้มันมีความแฝง!

ซวนอี้ที่อยู่ด้านข้างหันมามองที่เขาอย่างตื่นตกใจ “เย่หยวน เจ้าจะ…เจ้า…หลอมโอสถยอดหยกโมฆะได้แล้วรึ?”

“โอสถยอดหยกโมฆะ! นี่มัน…เย่หยวน ไม่จริงใช่ไหม?” เล่งหยูถามด้วยดวงตาที่ไม่อยากจะเชื่อเรื่องตรงหน้า

โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามนั้นมีโอสถสุริยันจักรวาล ส่วนโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ก็มีโอสถยอดหยกโมฆะ!

นี่คือโอสถที่จะช่วยพานักยุทธให้สามารถบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ได้

เว้นเสียแต่ว่ามันเหมือนกับที่จอมเทพโอสถสามดาวไม่สามารถจะหลอมโอสถสุริยันจักรวาลได้ จอมเทพโอสถสี่ดาวเองก็ไม่มีใครจะหลอมโอสถยอดหยกโมฆะได้ง่ายๆ เช่นกัน

ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้ ไม่เคยมีใครคิดที่จะอยากหลอมโอสถตัวนี้เสียด้วยซ้ำ

เพราะฉะนั้นเมื่อซวนอี้บอกชื่อนั้นออกมา เล่งหยูและเจิ่งชีจึงตัวสั่นสะท้าน

เย่หยวนยิ้มตอบ “ตอนนี้มันยังเร็วไป แต่…วันนั้นคงไม่ไกลเกินรอ”

หลังจากขึ้นอาณาจักรวายุพระเจ้ามาได้แล้ว เวลาที่เย่หยวนมีส่วนใหญ่ก็จะใช้ไปกับการเรียนรู้วิชาโอสถ

การที่เขาสามารถจะหลอมโอสถทะยานสมุทรแยกมิติที่แสนยากเย็นนั้นได้รวดเร็วปานนี้มันล้วนแล้วแต่มาจากความพยายามอันหนักหนาสาหัสของเขาทั้งสิ้น

เว้นเสียแต่ว่าวิชาโอสถระดับสี่นั้นมันยากเย็นและลึกล้ำอย่างที่ยากหยั่งถึง ความยากของมันนั้นเหนือกว่าโอสถศักดิ์สิทธิ์สามดาวอย่างที่เทียบกันไม่ติด

ต่อให้เป็นเย่หยวน การที่จะไปหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ความยากระดับเก้าให้ได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้มันก็ยังเกินมือเขาไป

แต่ว่าเย่หยวนนั้นกลับพูดเรื่องนั้นออกมาด้วยท่าทางแสนสบาย เมื่อมันไปถึงหูคนอื่นมันย่อมเหมือนมีฟ้าผ่าลงกลางใจ

ซวนอี้ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “เด็กน้อย ข้าไม่รู้เลยว่าจะพูดยังไงดี! เฒ่าคนนี้ศึกษาวิชาโอสถมานับแสนปีแต่ก็ยังไปไม่ถึงระดับความยากแปดเลย เจ้าที่เพิ่งบรรลุมาได้ไม่กี่สิบปีกลับเกือบจะหลอมโอสถยอดหยกโมฆะได้แล้ว หากเฒ่าคนนี้หน้าบางกว่านี้หน่อยข้าคงได้เอาหัวทุบดินตายไปแล้ว!”

เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนั้น คนทั้งกลุ่มก็หัวเราะกันลั่นขึ้นมา

แม้ว่ามันจะเป็นแค่การพูดล้อเล่น แต่มันก็แสดงอย่างชัดเจนว่าความสามารถของเย่หยวนเหนือกว่าเขาแค่ไหน

“แต่ว่า…ยาสมุนไพรที่ใช้ในการหลอมโอสถยอดหยกโมฆะนั้นมันล้วนแต่เป็นยอดสมบัติยากจะหาได้ เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เราคงไม่มีปัญญาจะหามันมาได้ง่ายๆ ใช่ไหม?” เล่งหยูบอก

ไม่ว่าจะเป็นยอดพ่อครัวที่ไหนก็ทำข้าวผัดไม่ได้หากขาดข้าว แม้ว่าเย่หยวนจะมีฝีมือในการหลอมโอสถ แต่หากไม่มียาสมุนไพรวัตถุดิบ เขาก็ไม่มีทางที่จะหลอมได้อยู่ดี

เย่หยวนยิ้มรับ “พวกท่านวางใจเถอะ ในการเดินทางครั้งนี้เย่ผู้นี้ได้เก็บรวบรวมสมุนไพรมานาๆ ชนิด หากคัดๆ แยกๆ ดูมันก็น่าจะพอช่วยพวกท่านสองคนบรรลุได้อย่างไร้กังวล”

เมื่อพวกเล่งหยูได้ยินเขาก็ตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่

เล่งหยูบอก “เย่หยวน หากเฒ่าคนนี้บรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ได้จริงข้าจะขอมอบชีวิตนี้ให้เจ้าเลย!”

เจิ่งชียิ้มออกมาตาม “อาจารย์ปู่ ชีวิตของข้านั้นถูกเขาช่วยมาตั้งแต่แรกแล้ว บุญคุณนี้ต่อให้ตายนับหมื่นครั้งก็ยังไม่มีทางชดใช้หมด”

คนทั้งหลายกำลังพูดคุยกันไปแต่จู่ๆ ก็เกิดรอยแยกขึ้นบนอากาศ ก่อนที่จะเผยให้เห็นสองร่างเดินออกมา พวกเขาคือเจ้าเมืองโซชูเจียและเหอชง

“ขอคารวะท่านเจ้าเมือง! ขอคารวะยอดผู้อาวุโส!” พวกเล่งหยูทั้งหลายรีบลุกขึ้นทำความเคารพ

โซชูเจียนั้นมีสีหน้าไม่ค่อยดีนักและบอก “พวกเจ้านั่งลง เจ้าเมืองคนนี้มีเรื่องมาบอกเจ้าทั้งหลาย”

ได้เห็นใบหน้านั้นของโซชูเจีย เล่งหยูก็เริ่มใจไม่ดีขึ้นมาตาม

เพราะดูท่าแล้วมันคงมิใช่ข่าวดีเป็นแน่!

โซชูเจียยื่นมือออกมา เผยให้เห็นตราดาบสีทองในมือ

“ตราดาบทองคำ! นี่มัน…นี่มันตราดาบทองคำของเมืองจักรพรรดิยอดสันติ! พวกมันคิดที่จะเปิดพันธะดาบทองคำ!” เจิ่งชีหน้าถอดสีทันทีที่เห็นมัน

โซชูเจียพยักหน้ารับ “ข้าผู้นี้เพิ่งได้รับตราดาบทองคำจากเมืองจักรพรรดิยอดสันติมา พวกมันคิดลงคำว่าจะเปิดพันธะดาบทองคำในอีกสิบปีข้างหน้า! ดูท่าครานี้พวกมันจะไม่หยุดจนกว่าจะมีคนตาย!”

พวกเล่งหยูหน้าเสียไปอย่างถึงที่สุดในทันทีที่ได้ยิน

“พวกมัน…พวกมันจะรังแกผู้คนจนเกินไปแล้ว!” เล่งหยูกัดฟันแน่น

“เมืองจักรพรรดิยอดสันติ ในหมู่เมืองจักรพรรดิระดับล่างนั้นมันนับว่ามีพลังสูงส่ง! เมื่อมันเปิดใช้พันธะดาบทองคำเช่นนี้จะยังมีใครหยุดพวกมันได้?” เจิ่งชีบอกออกมาด้วยใบหน้าที่แสนขื่นขม

โซชูเจียถอนหายใจยาวและหันไปหาเย่หยวน “เย่หยวน เมืองจักรพรรดิยอดสันตินั้นมันหมายหัวเจ้าไว้! ข้าว่าเจ้า…เจ้าลี้ภัยออกจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เราไปก่อนดีไหมเล่า?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด