Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1930 ข้าตกลง

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1930 ข้าตกลง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในสังเวียนจิตม่วงตอนนี้กำลังมีสองคลื่นพลังพุ่งทะยานใส่กันอย่างดุเดือด

หนึ่งนั้นเป็นคลื่นพลังที่กว้างใหญ่เหมือนมหาสมุทรราวกับไร้สิ้นสุด อีกฝ่ายนั้นอ่อนแอเบาบางอย่างมากเมื่อเทียบกัน

แต่ทว่าคลื่นพลังที่เบาบางนั้นมันกลับหนักแน่นไม่ว่าจะมีคลื่นมรสุมซัดใส่เท่าใดมันก็ไม่คิดจะหวั่นไหวแม้แต่น้อย

ทางฝั่งที่มีพลังรุนแรงกว่านั้นกลับเป็นฝ่ายที่มีเหงื่อไหลหยดลงกลางหน้าผากส่วนทางฝ่ายที่เบาบางกว่านั้นมันกลับตั้งมั่นเหมือนต้นสนที่ไม่สนลม

‘หลอม!’

เย่หยวนร้องขึ้นเริ่มการหลอมโอสถ!

หลี่ต้าชิงได้แต่ถอนหายใจยาวก่อนจะก้มหัวลงแก่เย่หยวน “ขอบคุณน้องเย่ที่ช่วยแนะนำ หลี่ผู้นี้ของยอมแพ้”

หลี่ต้าชิงนั้นเป็นยอดฝีมืออันดับสามของระดับจิตม่วง เขาเป็นถึงจอมเทพโอสถหกดาว

แต่สุดท้ายแล้วเขาก็พ่ายให้แก่เย่หยวน

เย่หยวนเองก็ยกมือขึ้นคารวะตอบ “ข้าไม่กล้าแนะนำใดๆ เราแค่แลกเปลี่ยนความรู้กันก็เท่านั้น พี่หลี่มีพลังฝีมือที่เหนือล้ำเก่งกาจจนใกล้ขึ้นถึงอาณาจักรเต๋าแล้ว อีกแค่ก้าวเดียวท่านก็คงสามารถขึ้นไปถึงอาณาจักรเต๋าได้และจะพัฒนาตัวเองไปอย่างมหาศาล!”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ทางฝ่ายหลี่ต้าชิงก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นดีใจขึ้น “ได้การชี้แนะนี้จากน้องเย่มันช่างเหมาะเจาะเวลา หลี่คนนี้เริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างและคงสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรเต๋าได้แน่ในครานี้!”

เย่หยวนยิ้มตอบกลับ “เช่นนั้นข้าก็ขอแสดงความยินดีกับพี่หลี่ล่วงหน้าด้วย!”

เมื่อชนะศึกนี้ไปมันก็เท่ากับว่าเย่หยวนนั้นชนะในสังเวียนจิตม่วงนี้มาได้ถึงแปดสิบศึกแล้ว ตอนนี้เขาแค่ต้องการอีกยี่สิบศึกก็จะสามารถเลื่อนขึ้นไปยังขั้นเกล็ดดำได้

ชัยชนะอันรวดเร็วนี้ของเย่หยวนไม่อาจมีอะไรมาหยุดได้

แม้เหล่าจอมเทพโอสถหกดาวทั้งหลายนั้นจะเก่งกาจกว่าจอมเทพโอสถห้าดาวและมีพลังจิตที่รุนแรงมากกว่าหลายต่อหลายเท่าแต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังไม่อาจเทียบเคียงได้เมื่อต้องมายืนอยู่ต่อหน้าเย่หยวน

เพราะการประลองโอสถเช่นนี้มันมีกฎห้ามใช้พลังคลื่นจิตโจมตีฝ่ายตรงข้ามตรงๆ มีแต่ต้องใช้เศษพลังจิตที่ได้ใช้ในการหลอมไปกดดันคู่ต่อสู้เท่านั้น

ไม่เช่นนั้นแล้วหากเทียบกันแค่เรื่องปริมาณคลื่นพลังจิตจอมเทพโอสถหกดาวย่อมสามารถทำลายจอมเทพโอสถห้าดาวลงได้อย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าด้วยความเป็นเย่หยวนแม้อีกฝ่ายจะคิดใช้การโจมตีโดยตรงเช่นนั้นมันก็ย่อมไม่มีผลใดๆ

เพราะด้วยไข่มุกสยบวิญญาณแล้วการกระทำเช่นนั้นมันย่อมไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย

เมื่อเย่หยวนสามารถรักษาสังเวียนไว้ได้อีกครั้งและกำลังจะเดินจากไปก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งตัวขึ้นมาบนสังเวียน

เขาเป็นชายวัยกลางคนในชุดสีดำ สายตาที่เขามองดูเย่หยวนนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความดูถูกจากก้นบึ้งของจิตใจ

ชายวัยกลางคนผู้นั้นกล่าวขึ้น “เจ้าคือเย่หยวน?”

เย่หยวนไม่รู้จักอีกฝ่ายและดูท่าเขาก็คงไม่ได้มาดีแน่ จึงเลือกที่จะเดินลงสังเวียนไปโดยไม่คิดสนใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

ชายวัยกลางคนผู้นั้นขมวดคิ้วแน่นก่อนจะขยับร่างมาปิดทางเย่หยวนไว้ “ข้าถามเจ้าอยู่ เจ้าหูหนวกหรือ?”

ทางฝั่งกรรมการเองก็ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกล่าว “ยู่หยิง เจ้ามาที่สังเวียนจิตม่วงนี้ด้วยเหตุใด? เจ้าคิดจะมาก่อเรื่องหรือ? หรือว่าเจ้าลืมกฎของศาลาโอสถสวรรค์ไปแล้ว”

“ยู่หยิง! ที่แท้นั่นคือยู่หยิง!”

“น่ากลัวนัก! นี่คือยอดฝีมือที่ติดห้าอันดับของขั้นเกล็ดดำ ว่ากันว่าเขานั้นขึ้นอาณาจักรเต๋ามาได้ตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อนแล้ว!”

“ดูท่าการมาครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่! เท่านี้ก็คงมีอะไรสนุกๆ ให้ดูชมแล้ว”

เมื่อกรรมการคนนั้นเปิดปากพูดเหล่าผู้ชมทั้งหลายก็แตกตื่นกันขึ้นทันที

ดูท่าแล้วยู่หยิงผู้นี้คงมีชื่อเสียงไม่น้อยทำให้คนทั้งหลายต้องเคยได้ยินชื่อมาก่อน

เพราะขั้นเกล็ดดำนั้นมันแตกต่างจากจิตม่วง แต่ละคนนั้นล้วนเป็นยอดคนชื่อสะท้านที่นานทีปีหนจะปรากฏตัวออกมาทำให้ผู้คนที่ได้รู้จักหน้าตาของพวกเขาเองก็มีไม่มาก

ตอนนี้เมื่อกรรมการผู้นั้นกล่าวชื่อยู่หยิงออกมาพวกเขาทั้งหลายย่อมต้องแตกตื่นกัน

สงสัยก็เพียงว่าเหตุใดยู่หยิงจึงได้มาหาเรื่องเย่หยวนเช่นนี้

ยู่หยิงกล่าวขึ้น “หวางเจียน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า! ข้าย่อมรู้กฎของศาลาโอสถสวรรค์ดี ไม่ต้องให้เจ้ามาสอน”

กรรมการหวางเจียนผู้นี้เองก็เป็นหนึ่งในนักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำเช่นกัน เขาเองก็มีตำแหน่งที่สูงส่งไม่น้อย

แต่ก็ยังไม่อาจเทียบเคียงใดๆ กับยู่หยิงได้

ยู่หยิงจ้องมองดูเย่หยวนอย่างร้อนแรง “เด็กน้อย ข้าได้ยินมาว่าเจ้านั้นดูถูกโถงวาโยขจีของเราว่าแม้จะเป็นผู้อาวุโสก็ไม่มีค่าไปพบเจ้าหรือ?”

ยู่หยิงเองก็เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของโถงวาโยขจี!

ได้ยินชื่อของโถงวาโยขจีเย่หยวนก็ได้แต่ขมวดคิ้ว

เขานั้นไม่เคยพูดจาเช่นนั้นออกไป และนอกจากที่บ้านตระกูลเจียงแล้วเขาเองก็ไม่ได้ไปยุ่งกับโถงวาโยขจีอีกเลย

เย่หยวนคิดถึงหน้าของเจียงหัวขึ้นมาได้ทันที เพียงแค่ว่าเจียงหัวนั้นเป็นแค่ผู้ช่วยของเจียงหยวนมีหรือที่คนเช่นนั้นจะเรียกนักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำมาจัดการกับเขาได้?

ดูท่าแล้วปัญหามันน่าจะมาจากตัวเจียงหยวนเอง!

ไม่นานนักเย่หยวนก็เริ่มคาดเดาเรื่องราวได้ออก

เพียงแค่ว่าเขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเจียงหยวนผู้นั้นถึงได้ถูกคนใช้ปั่นหัวได้ง่ายๆ เช่นนั้น

เมื่อเห็นว่าเย่หยวนไม่พูดทางยู่หยิงก็กล่าวขึ้นด้วยท่าทางสุดจะทน “เจ้าคิดว่าไม่พูดแล้วจะหนีรอดไปได้หรือ?”

เย่หยวนมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะตอบไป “หากข้าบอกว่าข้าไม่เคยพูดเช่นนั้นเจ้าจะเชื่อหรือ?”

ยู่หยิงยิ้มออกมา “เจ้าคนขลาดที่ไม่กล้ายอมรับสิ่งที่ทำ! ด้วยพลังฝีมือของเจ้านี้เจ้าก็กล้ามาท้าทายโถงวาโยขจีเรา?”

เย่หยวนมองดูยู่หยิงพร้อมพูดอย่างเย็นเยือก “เอาล่ะ นับเสียว่าข้าท้าทายพวกเจ้าโถงวาโยขจีแล้วกัน แล้วเจ้าจะทำอะไร?”

เย่หยวนรู้ดีว่าเรื่องราวนี้มันมีความเข้าใจผิดอยู่ไม่น้อย แต่ท่าทางนี้ของยู่หยิงมันช่างขัดใจเขาได้เสียจริงๆ

เพราะอีกฝ่ายนั้นแค่เชื่อว่าเขาไปท้าทายโถงวาโยขจีและไม่คิดรับฟังคำพูดของเขาแม้แต่น้อย เช่นนั้นก็นับว่าท้าทายไปแล้วกัน!

เพราะแค่นักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำ เย่หยวนนั้นไม่ได้คิดจริงจังใดๆ ด้วย

ยู่หยิงหัวเราะลั่น “ช่างเป็นเด็กที่โอหัง! เจ้าคิดว่าแค่ชนะมาเพียงเล็กน้อยแล้วตัวเองจะเก่งกาจมากหรือ? ข้าขอบอกเลยนะว่าเมื่อเจ้าไปถึงขั้นเกล็ดดำแล้วเจ้าจะได้รู้ว่าตัวเองนั้นอ่อนแอเพียงใด!”

เย่หยวนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “สังเวียนเกล็ดดำ? ในสายตาของข้าแล้วมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก!”

อวดดี!

ช่างอวดดีเสียเหลือเกิน!

ตอนนี้แม้แต่เหล่าผู้ชมทั้งหลายก็ได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างมึนงง

คำพูดจาแสนอวดดีเช่นนั้นเย่หยวนกลับกล้าพูดออกมาจริงๆ!

เพราะแท้จริงแล้วตั้งแต่เข้าสังเวียนทองมาเย่หยวนก็ไม่เคยจะเอาจริงในการหลอมโอสถเลย

เหล่านักหลอมโอสถนั้นต่างคิดอยากหาประสบการณ์จากเย่หยวน และเย่หยวนก็ไม่ได้ปิดบังความรู้ใดๆ และหลายๆ ครั้งยังถึงขั้นช่วยแนะนำอีกฝ่ายด้วย

การทำเช่นนั้นมันย่อมทำให้โอสถของเขาไม่ได้มีคุณภาพที่สูงมากนัก เขาแค่รักษาไว้ไม่ให้มันตกจากขั้นเทวะก็เท่านั้น

แต่เพราะเรื่องนี้หลายต่อหลายผู้คนเลยคิดไปว่ายิ่งโอสถระดับความยากสูงขึ้น ฝีมือของเย่หยวนก็เริ่มแสดงขีดจำกัดออกมาไม่ได้เก่งกาจเหมือนก่อนหน้าแล้ว

แต่แน่นอนว่าสุดท้ายเขาก็ยังเก่งกาจที่สุด

การหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ความยากหกหรือเจ็ดนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เหล่านักหลอมโอสถสวรรค์จิตม่วงจะหลอมมันไปได้ถึงขั้นเทวะ

เพราะฉะนั้นเหล่าคนทั้งหลายจึงคิดว่าคำพูดของเย่หยวนนี้มันอวดอ้างตัวจนเกินไปหน่อย

ตอนนี้แม้แต่หวางเจียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเขาเองก็อยู่ในระดับที่ดูถูกนี้ด้วย

“ฮ่าๆ สังเวียนเกล็ดดำมันก็ไม่เท่าไหร่? เด็กน้อย เจ้ามันช่างอวดตัวจนลืมตาย! ในเมื่อเจ้ากล้าดูถูกสังเวียนเกล็ดดำแล้วเจ้าจะกล้ารับคำท้าของข้าหน่อยหรือไม่?” ยู่หยิงหัวเราะลั่น

เย่หยวนมองดูเขาพร้อมกล่าวขึ้น “เจ้าจะว่าอะไรก็ว่ามา ข้าพร้อมรับทั้งสิ้น”

“ได้ เช่นนั้นเจ้าและข้ามาประลองโอสถกัน หากเจ้าแพ้เจ้าจงออกจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวไปและอย่าได้เข้ามาในศาลาโอสถสวรรค์อีกในชีวิตนี้!” ยู่หยิงบอก

“หากเจ้าแพ้เล่า?” เย่หยวนยิ้มขึ้นมาอย่างชั่วร้าย

“ข้า? ไม่มีทางใดที่ข้าจะแพ้อยู่แล้ว! หากแพ้ข้าเองก็จะไปจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวนี้และไม่เหยียบเข้ามาในศาลาโอสถสวรรค์อีกในชีวิตนี้!” ยู่หยิงบอกออกมาอย่างไม่มีความลังเลใดๆ

เมื่อหวางเจียนได้ยินเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องขึ้นด้วยใบหน้าซีดขาว

คนทั้งสองนี้เป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากยิ่ง เป็นตัวตนที่จะค้ำจุนศาลาโอสถสวรรค์ได้ในอนาคตและอาจจะถึงขั้นเป็นผู้อาวุโสของศาลาโอสถสวรรค์ได้

การเสียคนใดคนหนึ่งไปมันย่อมทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่ศาลาโอสถสวรรค์

“ไม่นะ! ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ด้วยกันทั้งสิ้น! พวกเจ้าอย่าได้ทำร้ายกันด้วยวิธีนี้!” หวางเจียนบอก

แต่เย่หยวนกลับยิ้มตอบ “ได้ ข้าตกลง!”

………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1930 ข้าตกลง

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1930 ข้าตกลง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในสังเวียนจิตม่วงตอนนี้กำลังมีสองคลื่นพลังพุ่งทะยานใส่กันอย่างดุเดือด

หนึ่งนั้นเป็นคลื่นพลังที่กว้างใหญ่เหมือนมหาสมุทรราวกับไร้สิ้นสุด อีกฝ่ายนั้นอ่อนแอเบาบางอย่างมากเมื่อเทียบกัน

แต่ทว่าคลื่นพลังที่เบาบางนั้นมันกลับหนักแน่นไม่ว่าจะมีคลื่นมรสุมซัดใส่เท่าใดมันก็ไม่คิดจะหวั่นไหวแม้แต่น้อย

ทางฝั่งที่มีพลังรุนแรงกว่านั้นกลับเป็นฝ่ายที่มีเหงื่อไหลหยดลงกลางหน้าผากส่วนทางฝ่ายที่เบาบางกว่านั้นมันกลับตั้งมั่นเหมือนต้นสนที่ไม่สนลม

‘หลอม!’

เย่หยวนร้องขึ้นเริ่มการหลอมโอสถ!

หลี่ต้าชิงได้แต่ถอนหายใจยาวก่อนจะก้มหัวลงแก่เย่หยวน “ขอบคุณน้องเย่ที่ช่วยแนะนำ หลี่ผู้นี้ของยอมแพ้”

หลี่ต้าชิงนั้นเป็นยอดฝีมืออันดับสามของระดับจิตม่วง เขาเป็นถึงจอมเทพโอสถหกดาว

แต่สุดท้ายแล้วเขาก็พ่ายให้แก่เย่หยวน

เย่หยวนเองก็ยกมือขึ้นคารวะตอบ “ข้าไม่กล้าแนะนำใดๆ เราแค่แลกเปลี่ยนความรู้กันก็เท่านั้น พี่หลี่มีพลังฝีมือที่เหนือล้ำเก่งกาจจนใกล้ขึ้นถึงอาณาจักรเต๋าแล้ว อีกแค่ก้าวเดียวท่านก็คงสามารถขึ้นไปถึงอาณาจักรเต๋าได้และจะพัฒนาตัวเองไปอย่างมหาศาล!”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ทางฝ่ายหลี่ต้าชิงก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นดีใจขึ้น “ได้การชี้แนะนี้จากน้องเย่มันช่างเหมาะเจาะเวลา หลี่คนนี้เริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างและคงสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรเต๋าได้แน่ในครานี้!”

เย่หยวนยิ้มตอบกลับ “เช่นนั้นข้าก็ขอแสดงความยินดีกับพี่หลี่ล่วงหน้าด้วย!”

เมื่อชนะศึกนี้ไปมันก็เท่ากับว่าเย่หยวนนั้นชนะในสังเวียนจิตม่วงนี้มาได้ถึงแปดสิบศึกแล้ว ตอนนี้เขาแค่ต้องการอีกยี่สิบศึกก็จะสามารถเลื่อนขึ้นไปยังขั้นเกล็ดดำได้

ชัยชนะอันรวดเร็วนี้ของเย่หยวนไม่อาจมีอะไรมาหยุดได้

แม้เหล่าจอมเทพโอสถหกดาวทั้งหลายนั้นจะเก่งกาจกว่าจอมเทพโอสถห้าดาวและมีพลังจิตที่รุนแรงมากกว่าหลายต่อหลายเท่าแต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังไม่อาจเทียบเคียงได้เมื่อต้องมายืนอยู่ต่อหน้าเย่หยวน

เพราะการประลองโอสถเช่นนี้มันมีกฎห้ามใช้พลังคลื่นจิตโจมตีฝ่ายตรงข้ามตรงๆ มีแต่ต้องใช้เศษพลังจิตที่ได้ใช้ในการหลอมไปกดดันคู่ต่อสู้เท่านั้น

ไม่เช่นนั้นแล้วหากเทียบกันแค่เรื่องปริมาณคลื่นพลังจิตจอมเทพโอสถหกดาวย่อมสามารถทำลายจอมเทพโอสถห้าดาวลงได้อย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าด้วยความเป็นเย่หยวนแม้อีกฝ่ายจะคิดใช้การโจมตีโดยตรงเช่นนั้นมันก็ย่อมไม่มีผลใดๆ

เพราะด้วยไข่มุกสยบวิญญาณแล้วการกระทำเช่นนั้นมันย่อมไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย

เมื่อเย่หยวนสามารถรักษาสังเวียนไว้ได้อีกครั้งและกำลังจะเดินจากไปก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งตัวขึ้นมาบนสังเวียน

เขาเป็นชายวัยกลางคนในชุดสีดำ สายตาที่เขามองดูเย่หยวนนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความดูถูกจากก้นบึ้งของจิตใจ

ชายวัยกลางคนผู้นั้นกล่าวขึ้น “เจ้าคือเย่หยวน?”

เย่หยวนไม่รู้จักอีกฝ่ายและดูท่าเขาก็คงไม่ได้มาดีแน่ จึงเลือกที่จะเดินลงสังเวียนไปโดยไม่คิดสนใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

ชายวัยกลางคนผู้นั้นขมวดคิ้วแน่นก่อนจะขยับร่างมาปิดทางเย่หยวนไว้ “ข้าถามเจ้าอยู่ เจ้าหูหนวกหรือ?”

ทางฝั่งกรรมการเองก็ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกล่าว “ยู่หยิง เจ้ามาที่สังเวียนจิตม่วงนี้ด้วยเหตุใด? เจ้าคิดจะมาก่อเรื่องหรือ? หรือว่าเจ้าลืมกฎของศาลาโอสถสวรรค์ไปแล้ว”

“ยู่หยิง! ที่แท้นั่นคือยู่หยิง!”

“น่ากลัวนัก! นี่คือยอดฝีมือที่ติดห้าอันดับของขั้นเกล็ดดำ ว่ากันว่าเขานั้นขึ้นอาณาจักรเต๋ามาได้ตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อนแล้ว!”

“ดูท่าการมาครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่! เท่านี้ก็คงมีอะไรสนุกๆ ให้ดูชมแล้ว”

เมื่อกรรมการคนนั้นเปิดปากพูดเหล่าผู้ชมทั้งหลายก็แตกตื่นกันขึ้นทันที

ดูท่าแล้วยู่หยิงผู้นี้คงมีชื่อเสียงไม่น้อยทำให้คนทั้งหลายต้องเคยได้ยินชื่อมาก่อน

เพราะขั้นเกล็ดดำนั้นมันแตกต่างจากจิตม่วง แต่ละคนนั้นล้วนเป็นยอดคนชื่อสะท้านที่นานทีปีหนจะปรากฏตัวออกมาทำให้ผู้คนที่ได้รู้จักหน้าตาของพวกเขาเองก็มีไม่มาก

ตอนนี้เมื่อกรรมการผู้นั้นกล่าวชื่อยู่หยิงออกมาพวกเขาทั้งหลายย่อมต้องแตกตื่นกัน

สงสัยก็เพียงว่าเหตุใดยู่หยิงจึงได้มาหาเรื่องเย่หยวนเช่นนี้

ยู่หยิงกล่าวขึ้น “หวางเจียน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า! ข้าย่อมรู้กฎของศาลาโอสถสวรรค์ดี ไม่ต้องให้เจ้ามาสอน”

กรรมการหวางเจียนผู้นี้เองก็เป็นหนึ่งในนักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำเช่นกัน เขาเองก็มีตำแหน่งที่สูงส่งไม่น้อย

แต่ก็ยังไม่อาจเทียบเคียงใดๆ กับยู่หยิงได้

ยู่หยิงจ้องมองดูเย่หยวนอย่างร้อนแรง “เด็กน้อย ข้าได้ยินมาว่าเจ้านั้นดูถูกโถงวาโยขจีของเราว่าแม้จะเป็นผู้อาวุโสก็ไม่มีค่าไปพบเจ้าหรือ?”

ยู่หยิงเองก็เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของโถงวาโยขจี!

ได้ยินชื่อของโถงวาโยขจีเย่หยวนก็ได้แต่ขมวดคิ้ว

เขานั้นไม่เคยพูดจาเช่นนั้นออกไป และนอกจากที่บ้านตระกูลเจียงแล้วเขาเองก็ไม่ได้ไปยุ่งกับโถงวาโยขจีอีกเลย

เย่หยวนคิดถึงหน้าของเจียงหัวขึ้นมาได้ทันที เพียงแค่ว่าเจียงหัวนั้นเป็นแค่ผู้ช่วยของเจียงหยวนมีหรือที่คนเช่นนั้นจะเรียกนักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำมาจัดการกับเขาได้?

ดูท่าแล้วปัญหามันน่าจะมาจากตัวเจียงหยวนเอง!

ไม่นานนักเย่หยวนก็เริ่มคาดเดาเรื่องราวได้ออก

เพียงแค่ว่าเขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเจียงหยวนผู้นั้นถึงได้ถูกคนใช้ปั่นหัวได้ง่ายๆ เช่นนั้น

เมื่อเห็นว่าเย่หยวนไม่พูดทางยู่หยิงก็กล่าวขึ้นด้วยท่าทางสุดจะทน “เจ้าคิดว่าไม่พูดแล้วจะหนีรอดไปได้หรือ?”

เย่หยวนมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะตอบไป “หากข้าบอกว่าข้าไม่เคยพูดเช่นนั้นเจ้าจะเชื่อหรือ?”

ยู่หยิงยิ้มออกมา “เจ้าคนขลาดที่ไม่กล้ายอมรับสิ่งที่ทำ! ด้วยพลังฝีมือของเจ้านี้เจ้าก็กล้ามาท้าทายโถงวาโยขจีเรา?”

เย่หยวนมองดูยู่หยิงพร้อมพูดอย่างเย็นเยือก “เอาล่ะ นับเสียว่าข้าท้าทายพวกเจ้าโถงวาโยขจีแล้วกัน แล้วเจ้าจะทำอะไร?”

เย่หยวนรู้ดีว่าเรื่องราวนี้มันมีความเข้าใจผิดอยู่ไม่น้อย แต่ท่าทางนี้ของยู่หยิงมันช่างขัดใจเขาได้เสียจริงๆ

เพราะอีกฝ่ายนั้นแค่เชื่อว่าเขาไปท้าทายโถงวาโยขจีและไม่คิดรับฟังคำพูดของเขาแม้แต่น้อย เช่นนั้นก็นับว่าท้าทายไปแล้วกัน!

เพราะแค่นักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำ เย่หยวนนั้นไม่ได้คิดจริงจังใดๆ ด้วย

ยู่หยิงหัวเราะลั่น “ช่างเป็นเด็กที่โอหัง! เจ้าคิดว่าแค่ชนะมาเพียงเล็กน้อยแล้วตัวเองจะเก่งกาจมากหรือ? ข้าขอบอกเลยนะว่าเมื่อเจ้าไปถึงขั้นเกล็ดดำแล้วเจ้าจะได้รู้ว่าตัวเองนั้นอ่อนแอเพียงใด!”

เย่หยวนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “สังเวียนเกล็ดดำ? ในสายตาของข้าแล้วมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก!”

อวดดี!

ช่างอวดดีเสียเหลือเกิน!

ตอนนี้แม้แต่เหล่าผู้ชมทั้งหลายก็ได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างมึนงง

คำพูดจาแสนอวดดีเช่นนั้นเย่หยวนกลับกล้าพูดออกมาจริงๆ!

เพราะแท้จริงแล้วตั้งแต่เข้าสังเวียนทองมาเย่หยวนก็ไม่เคยจะเอาจริงในการหลอมโอสถเลย

เหล่านักหลอมโอสถนั้นต่างคิดอยากหาประสบการณ์จากเย่หยวน และเย่หยวนก็ไม่ได้ปิดบังความรู้ใดๆ และหลายๆ ครั้งยังถึงขั้นช่วยแนะนำอีกฝ่ายด้วย

การทำเช่นนั้นมันย่อมทำให้โอสถของเขาไม่ได้มีคุณภาพที่สูงมากนัก เขาแค่รักษาไว้ไม่ให้มันตกจากขั้นเทวะก็เท่านั้น

แต่เพราะเรื่องนี้หลายต่อหลายผู้คนเลยคิดไปว่ายิ่งโอสถระดับความยากสูงขึ้น ฝีมือของเย่หยวนก็เริ่มแสดงขีดจำกัดออกมาไม่ได้เก่งกาจเหมือนก่อนหน้าแล้ว

แต่แน่นอนว่าสุดท้ายเขาก็ยังเก่งกาจที่สุด

การหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ความยากหกหรือเจ็ดนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เหล่านักหลอมโอสถสวรรค์จิตม่วงจะหลอมมันไปได้ถึงขั้นเทวะ

เพราะฉะนั้นเหล่าคนทั้งหลายจึงคิดว่าคำพูดของเย่หยวนนี้มันอวดอ้างตัวจนเกินไปหน่อย

ตอนนี้แม้แต่หวางเจียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเขาเองก็อยู่ในระดับที่ดูถูกนี้ด้วย

“ฮ่าๆ สังเวียนเกล็ดดำมันก็ไม่เท่าไหร่? เด็กน้อย เจ้ามันช่างอวดตัวจนลืมตาย! ในเมื่อเจ้ากล้าดูถูกสังเวียนเกล็ดดำแล้วเจ้าจะกล้ารับคำท้าของข้าหน่อยหรือไม่?” ยู่หยิงหัวเราะลั่น

เย่หยวนมองดูเขาพร้อมกล่าวขึ้น “เจ้าจะว่าอะไรก็ว่ามา ข้าพร้อมรับทั้งสิ้น”

“ได้ เช่นนั้นเจ้าและข้ามาประลองโอสถกัน หากเจ้าแพ้เจ้าจงออกจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวไปและอย่าได้เข้ามาในศาลาโอสถสวรรค์อีกในชีวิตนี้!” ยู่หยิงบอก

“หากเจ้าแพ้เล่า?” เย่หยวนยิ้มขึ้นมาอย่างชั่วร้าย

“ข้า? ไม่มีทางใดที่ข้าจะแพ้อยู่แล้ว! หากแพ้ข้าเองก็จะไปจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวนี้และไม่เหยียบเข้ามาในศาลาโอสถสวรรค์อีกในชีวิตนี้!” ยู่หยิงบอกออกมาอย่างไม่มีความลังเลใดๆ

เมื่อหวางเจียนได้ยินเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องขึ้นด้วยใบหน้าซีดขาว

คนทั้งสองนี้เป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากยิ่ง เป็นตัวตนที่จะค้ำจุนศาลาโอสถสวรรค์ได้ในอนาคตและอาจจะถึงขั้นเป็นผู้อาวุโสของศาลาโอสถสวรรค์ได้

การเสียคนใดคนหนึ่งไปมันย่อมทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่ศาลาโอสถสวรรค์

“ไม่นะ! ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ด้วยกันทั้งสิ้น! พวกเจ้าอย่าได้ทำร้ายกันด้วยวิธีนี้!” หวางเจียนบอก

แต่เย่หยวนกลับยิ้มตอบ “ได้ ข้าตกลง!”

………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+