Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2943 ก้มหัวขอโทษเสีย!

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2943 ก้มหัวขอโทษเสีย! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เราทำเช่นนี้มันจะโหดร้ายไปหรือไม่?” ชายชราผมขาวนั้นกล่าวขึ้นมา

เขาก็คือมหาจักรพรรดิล้ำหมิงเจียนจากแดนวิญญาณเหนือ

หญิงชราอีกคนตอบกลับมา “มันจะโหดร้ายอะไรกัน? ก็แค่พวกร่างวิญญาณกึ่งอมตะไม่กี่คน ได้ตายเพื่อท่านบู๋เมี่ยนั้นนับว่าเป็นเกียรติของพวกมันแล้ว! ที่สำคัญใครที่ได้รับกำเนิดเต๋าวิญญาณกลับออกมานั้นมันคงนับได้ว่าเป็นคนที่ได้รับโชคอย่างมหาศาล! พวกมันคงก้มหัวขอบคุณเราแทบไม่ทัน!”

ซานหยางนั้นหัวเราะกล่าวขึ้น “หากคนเรานั้นไม่กดดันตัวเองให้มาก พวกมันก็คงจะไม่รู้ถึงขีดจำกัดของตัวเองได้ ภายใต้สถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้มันคงช่วยผลักพวกมันไปได้อีกไกล! เพราะหากไม่ได้พวกมันก็คงเป็นเราที่ต้องไป! ศิษย์น้องหยุนหนีเองก็คงคิดเช่นเดียวกัน?”

หยุนหนีนั้นยืนเงียบปล่อยให้ซานหยางต้องยิ้มแห้งๆ ขึ้นมาอย่างขุ่นเคืองในใจ

การปิดผนึกเจดีย์เจ็ดสีนั้นมันเป็นสิ่งที่แดนทั้งห้าตกลงกันมาตั้งแต่ต้น

เพื่อที่จะหาตัวเจ้าโลกบู๋เมี่ยนั้นแค่เสียผู้มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะไปไม่กี่คนมันจะนับเป็นอะไรได้?

แต่จู่ๆ มันก็มีรอยยิ้มหนึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงชรา “ศิษย์น้องหยุนหนี เจ้าเด็กนี่หรือที่เจ้าตั้งความหวังไว้? นี่แค่กลองที่เจ็ดมันก็แตกสลายลงไปแล้ว ดูท่าร่างวิญญาณของมันคงไม่อาจจะรับพลังกลองได้อีกต่อไปแล้ว!”

หยุนหนีนั้นยังคงยืนนิ่งราวกับว่าไม่ได้ยินอะไร

หญิงชรารู้สึกเหมือนคำด่าว่าของตัวเองนั้นได้ไหลไปกับลมทำให้ไม่พอใจขึ้นมาอีก

นางจึงได้กล่าวขึ้นเย้ยหยันต่ออย่างไม่สนใจท่าทางของหยุนหนีใดๆ “เก้ากลอง เจ็ดระฆัง ไอ้เด็กนี่มันคงไม่รอดระดับแรกไปได้เสียด้วยซ้ำ! มีปัญญาแค่นี้ก็คิดจะเข้าไปผสานกับคลื่นกำเนิด? น่าขันนัก!”

มหาจักรพรรดิล้ำหมิงเจียนนั้นยิ้มกล่าวขึ้นมา “ดูท่าครั้งนี้ศิษย์น้องหยุนหนีนั้นจะมองผิดไปแล้วจริงๆ! ไอ้เด็กคนนี้มันเป็นได้แค่ก้อนดินที่ไร้ค่าใดๆ เท่านั้น!”

การถูกหยุนหนีให้ค่าขนาดนั้นมันย่อมจะทำให้ยอดคนทั้งหลายจับตามอง

แต่ใครจะไปคิดเล่าว่าเย่หยวนนั้นกลับสุดแสนอ่อนแอ ดูเก่งแค่ภายนอก?

อย่าว่าแต่เอาไปเทียบกับหวางเฉียนเลย แค่เทียบกับไป๋ชุยซานที่มาด้วยกันจากแดนวิญญาณตะวันออกนั้นมันยังไม่อาจเทียบได้

ซานหยางนั้นยิ้มกล่าวขึ้น “แม้ว่ามันจะเป็นการบังคับแต่การต้องหาร่างวิญญาณกึ่งอมตะจากห้าดินแดนนั้นมันก็เป็นเรื่องยาก แต่ดูท่าแล้วคนที่จะได้ผสานคลื่นกำเนิดมันคงไม่ใช่ใครนอกจากตัวหวางเฉียนแล้ว”

หญิงชรานั้นกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ซานหยาง เฒ่าคนนี้ไม่ชอบน้ำเสียงของเจ้าเลยจริงๆ! จั่วเลิงแห่งแดนวิญญาณตะวันตกของเราเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหวางเฉียนหรอก!”

ตึง!

เสียงระฆังที่สามดังขึ้นมา!

ร่างของหวางเฉียนนั้นแตกสลายลงไปทันที!

พวกเขาเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายนั้นกลับไม่อาจจะทนรับมันไว้ได้อีกแล้ว

ผู้มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะบางคนนั้นแข็งแกร่งจนถึงเป็นมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์แล้วก็มี

เพียงแค่ว่าพลังของกลองสนธยาระฆังอรุณนั้นมันก็แตกต่างกันไปตามพลังของผู้รับด้วย

หากเป็นมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์ ก็จะต้องรับพลังระดับมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์

หากเป็นจักรพรรดิเที่ยงก็จะต้องรับพลังระดับจักรพรรดิเที่ยงไป

เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ได้นานนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการมีพลังบ่มเพาะสูง มันวัดกันที่ระดับของร่างวิญญาณกึ่งอมตะทั้งสิ้น

การที่หวางเฉียนทนมาได้จนถึงตอนนี้มันได้แสดงชัดเจนแล้วว่าเขานั้นแข็งแกร่งแค่ไหน

แต่ว่าตอนนี้คนรอบๆ ตัวเขามันเริ่มหายไปมากขึ้นเรื่อยๆ

พวกเขาคงได้ตายลงสิ้นแล้ว

“ให้ตายสิ! คลื่นกำเนิดมันอยู่ที่ใดกัน! หากยังหามันไม่เจอแล้วพลังของกลองสนธยาระฆังอรุณก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราจะได้ตายกันหมดแน่!” หวางเฉียนนั้นเริ่มกังวลใจขึ้นมา

เจดีย์เจ็ดสีนี้มันแบ่งออกเป็นเจ็ดชั้นและแต่ละชั้นนั้นก็มีเสี้ยวคลื่นกำเนิดอยู่

ต้องหาเสี้ยวพลังให้ครบทั้งเจ็ดชิ้นเท่านั้นถึงจะสามารถมีสิทธิเข้าไปผสานกับคลื่นกำเนิดได้

แต่แค่ระดับแรกมันก็สุดแสนจะยากเช่นนี้แล้ว

สีหน้าของเขานั้นมันเหยเกอย่างถึงที่สุด

ระดับแรกนั้นมันไม่ได้นับว่าใหญ่โตใดๆ ด้วยการร่วมมือของคนนับร้อยเช่นนี้มันย่อมจะหาได้จนครบถ้วนในเวลาไม่นาน

แต่พวกเขานั้นกลับไม่พบแม้แต่เงาของเสี้ยวคลื่นกำเนิด

เรื่องนี้มันทำให้คนทั้งหลายแทบจะบ้าไป

“ตอนนี้ร่างวิญญาณของข้าเริ่มพังทลายลงแล้ว ไอ้เจ้าเด็กเย่หยวนนั้นมันคงตายไปแล้วแน่นอน!”

หวางเฉียนนั้นนึกถึงเย่หยวนขึ้นมาและอดไม่ได้ที่จะกลับมายังจุดที่เย่หยวนเคยอยู่

เขานั้นพบว่าเย่หยวนนั้นไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว

แน่นอนล่ะว่าคงตายไปแล้วจริง!

หวางเฉียนจึงยิ้มสะใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

แต่ไม่นานเขาก็ต้องเปลี่ยนมันเป็นรอยยิ้มแห้งๆ แทน

‘ข้าจะไปแข่งกับคนตายเพื่อ? อีกไม่นานข้าเองก็คงตายเหมือนกัน!’

แน่นอนว่าสิ่งที่บรรพบุรุษบู๋เมี่ยทิ้งไว้นั้นมันย่อมจะหาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว!

‘ขออภัยด้วยบรรพบุรุษบู๋เมี่ย หวางเฉียนนั้นไร้ความสามารถนัก!’

“อ่าว พี่หวาง? ยังมาทำอะไรอยู่ตรงนี้เล่า? ดูร่างวิญญาณของท่านแทบจะแตกสลายอยู่แล้วนี่ หากยังไม่รีบไปหาอาจารย์เย่ ท่านคงได้ตายแน่แล้ว!” ตอนนั้นเองที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทักหวางเฉียนจากด้านหลัง

เมื่อหวางเฉียนหันไปมองเขาก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นคือเจิ้งหยูที่มาจากแดนวิญญาณกลางด้วยกัน เขาคนนี้ไม่ได้เก่งกาจมากมายใดๆ

ได้เห็นหน้าเจิ้งหยูนั้นหวางเฉียนจึงเบิกตากว้างขึ้นมา “เจิ้งหยู? เจ้า…เจ้ากลับทนอยู่ได้จนถึงตอนนี้หรือ?”

ในความคิดของเขานั้นเจิ้งหยูควรจะตายไปในหลายรอบก่อนแล้ว

เจิ้งหยูหัวเราะขึ้นมา “ข้าเองก็คิดว่าตัวเองคงตายแน่แล้วเช่นกัน แต่มันเพราะว่าอาจารย์เย่ช่วย! ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยฝีมือของตัวข้าเองข้าคงตายไปแล้วจริงๆ”

หวางเฉียนนั้นผงะไปทันทีที่ได้ยิน “อ…อาจารย์เย่? อาจารย์เย่ที่ไหนกัน? หือ? ร่างของเจ้า…”

เขานั้นได้พบว่าร่างวิญญาณของเจิ้งหยูนั้นมันดูหนักแน่นขึ้นกว่าแต่ก่อน!

มันหนักแน่นขึ้นกว่าก่อนจะเข้ามาในเจดีย์เจ็ดสีด้วยซ้ำ

หากให้พูดแล้วกลองสนธยาระฆังอรุณมันดังขึ้นมาจนถึงสามระฆังแล้ว ต่อให้จะยังรอดมันก็ต้องปางตาย!

“นี่มัน…เรื่องบ้าอะไรกัน?”

เจิ้งหยูยิ้มกว้างขึ้นมาทันที “อ่า อาจารย์เย่ท่านนั้นคือเย่หยวนแห่งแดนวิญญาณตะวันออก! ท่านผู้นี้คือผู้ที่เข้าใจความหมายแฝงของกลองสนธยาระฆังอรุณและบอกถึงวิธีที่จะใช้มันในการฝึกฝนร่างวิญญาณกึ่ง อมตะของเรา จึงทำให้เราจึงรอดพ้นจากหายนะมาได้! ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเราทั้งหลายนั้นมันคงได้ตายลงสิ้นในระดับแรกนี้แล้ว!”

หวางเฉียนนั้นเบิกตากว้างขึ้นมาจ้องมองดูหน้าเจิ้งหยูอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “เจ้าจะบอกว่าใช้กลองสนธยาระฆังอรุณ.. เพื่อฝึกร่างวิญญาณกึ่งอมตะ? นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

เจิ้งหยูยิ้มกว้างขึ้นมา “ใช่แล้ว เดิมทีมันก็ไม่มีใครคิดทำได้แต่อาจารย์เย่ท่านบอกว่าบรรพบุรุษบู๋เมี่ยสร้างของเช่นนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นสมบัติสืบทอดมันย่อมจะไม่ใช่เพื่อสังหารแต่เพื่อฝึกฝนแน่แล้ว! กลองสนธยาระฆังอรุณนั้นมันมีพลังรุนแรงล้ำ แต่แท้จริงแล้วมันแฝงความลับไว้มากมายตราบเท่าที่เรารู้ถึงจุดต่างๆ เหล่านั้น มันก็สามารถใช้เพื่อการฝึกฝนร่างวิญญาณกึ่งอมตะของเราได้! ท่านดูร่างกายข้าตอนนี้สิ มันดูหนักแน่นกว่าก่อนเข้ามาอีกใช่หรือไม่?”

ตอนนี้หวางเฉียนนั้นแทบอยากจะกระอักเลือดขึ้นมา

เพราะนี่มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ากลองสนธยาระฆังอรุณมันกลับสามารถใช้ทำเช่นนี้ได้

ความคิดแรกหลังจากได้ยินของเขานั้นมันคือ ‘เหลวไหล!’

แต่ร่างของเจิ้งหยูนั้นมันเป็นหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธ

ตึง!

ในตอนนี้มันมีเสียงระฆังดังขึ้นมาอีกครั้ง! หวางเฉียนนั้นรู้สึกถึงแรงกระแทกต่อร่างกายนั้นจนแตกสลายลงไปทันที! หลังจากที่ผ่านความยากลำบากมากล้นนั้น ไปหวางเฉียนก็ค่อยๆ หลอมรวมร่างกลับมาได้ แต่เมื่อเขาหันไปมองเจิ้งหยูนั้นเขากลับต้องอ้าปากค้างขึ้นมา ร่างของเจิ้งหยูนั้นเองก็แตกสลายไปเช่นกัน แท้จริงแล้วมันแตกสลายละเอียดเสียยิ่งกว่าเขาอีก!

หมอกตรงหน้าของเขานั้นมันบางจนแทบไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ไม่นานร่างของเจิ้งหยูนั้นก็กลับมา หลอมรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง ที่สำคัญมันกลับยิ่งดูหนักแน่นกว่าก่อนหน้า!

เจิ้งหยูนั้นยิ้มให้หวางเฉียนด้วยท่าทางสงสาร “พี่หวาง อาจารย์เย่นั้นกำลังเดินทางไปทิศตะวันตกเฉียงเหนือและสั่งสอนเต๋าให้ทุกคนอยู่ ท่านเองก็รีบไปเถอะ! ข้ารู้ดีว่าท่านนั้นมีเรื่องอะไรกันมาก่อนกับอาจารย์เย่ แต่ว่าแค่กัดฟันก้มหัวขอโทษไปเสียเถอะ อาจารย์เย่นั้นท่านเป็นคนใจกว้างย่อมจะไม่เอาเรื่องท่านมากมายแล้ว! ดูสภาพร่างวิญญาณของท่านตอนนี้อย่างมากอีกไม่เกินสองระฆังท่านคงไม่อาจทนได้แล้ว! ตัวข้าเองนั้นก็แค่ทำตามที่อาจารย์เย่บอกมายังไม่ได้เข้าใจถึงวิธีการจนสามารถเอามาบอกต่อท่านได้ ท่านควรไปฟังอาจารย์เย่สอนเองจะดีกว่า เอาล่ะ! พูดกันต่อไปตรงนี้ก็เสียเวลาแล้ว ข้าขอตัวออกไปตามหาเสี้ยวคลื่นกำเนิดก่อนแล้ว”

พูดจบเจิ้งหยูก็เดินผ่านหน้าหวางเฉียนที่อ้าปากค้างอยู่ตรงนั้นไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2943 ก้มหัวขอโทษเสีย!

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2943 ก้มหัวขอโทษเสีย! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เราทำเช่นนี้มันจะโหดร้ายไปหรือไม่?” ชายชราผมขาวนั้นกล่าวขึ้นมา

เขาก็คือมหาจักรพรรดิล้ำหมิงเจียนจากแดนวิญญาณเหนือ

หญิงชราอีกคนตอบกลับมา “มันจะโหดร้ายอะไรกัน? ก็แค่พวกร่างวิญญาณกึ่งอมตะไม่กี่คน ได้ตายเพื่อท่านบู๋เมี่ยนั้นนับว่าเป็นเกียรติของพวกมันแล้ว! ที่สำคัญใครที่ได้รับกำเนิดเต๋าวิญญาณกลับออกมานั้นมันคงนับได้ว่าเป็นคนที่ได้รับโชคอย่างมหาศาล! พวกมันคงก้มหัวขอบคุณเราแทบไม่ทัน!”

ซานหยางนั้นหัวเราะกล่าวขึ้น “หากคนเรานั้นไม่กดดันตัวเองให้มาก พวกมันก็คงจะไม่รู้ถึงขีดจำกัดของตัวเองได้ ภายใต้สถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้มันคงช่วยผลักพวกมันไปได้อีกไกล! เพราะหากไม่ได้พวกมันก็คงเป็นเราที่ต้องไป! ศิษย์น้องหยุนหนีเองก็คงคิดเช่นเดียวกัน?”

หยุนหนีนั้นยืนเงียบปล่อยให้ซานหยางต้องยิ้มแห้งๆ ขึ้นมาอย่างขุ่นเคืองในใจ

การปิดผนึกเจดีย์เจ็ดสีนั้นมันเป็นสิ่งที่แดนทั้งห้าตกลงกันมาตั้งแต่ต้น

เพื่อที่จะหาตัวเจ้าโลกบู๋เมี่ยนั้นแค่เสียผู้มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะไปไม่กี่คนมันจะนับเป็นอะไรได้?

แต่จู่ๆ มันก็มีรอยยิ้มหนึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงชรา “ศิษย์น้องหยุนหนี เจ้าเด็กนี่หรือที่เจ้าตั้งความหวังไว้? นี่แค่กลองที่เจ็ดมันก็แตกสลายลงไปแล้ว ดูท่าร่างวิญญาณของมันคงไม่อาจจะรับพลังกลองได้อีกต่อไปแล้ว!”

หยุนหนีนั้นยังคงยืนนิ่งราวกับว่าไม่ได้ยินอะไร

หญิงชรารู้สึกเหมือนคำด่าว่าของตัวเองนั้นได้ไหลไปกับลมทำให้ไม่พอใจขึ้นมาอีก

นางจึงได้กล่าวขึ้นเย้ยหยันต่ออย่างไม่สนใจท่าทางของหยุนหนีใดๆ “เก้ากลอง เจ็ดระฆัง ไอ้เด็กนี่มันคงไม่รอดระดับแรกไปได้เสียด้วยซ้ำ! มีปัญญาแค่นี้ก็คิดจะเข้าไปผสานกับคลื่นกำเนิด? น่าขันนัก!”

มหาจักรพรรดิล้ำหมิงเจียนนั้นยิ้มกล่าวขึ้นมา “ดูท่าครั้งนี้ศิษย์น้องหยุนหนีนั้นจะมองผิดไปแล้วจริงๆ! ไอ้เด็กคนนี้มันเป็นได้แค่ก้อนดินที่ไร้ค่าใดๆ เท่านั้น!”

การถูกหยุนหนีให้ค่าขนาดนั้นมันย่อมจะทำให้ยอดคนทั้งหลายจับตามอง

แต่ใครจะไปคิดเล่าว่าเย่หยวนนั้นกลับสุดแสนอ่อนแอ ดูเก่งแค่ภายนอก?

อย่าว่าแต่เอาไปเทียบกับหวางเฉียนเลย แค่เทียบกับไป๋ชุยซานที่มาด้วยกันจากแดนวิญญาณตะวันออกนั้นมันยังไม่อาจเทียบได้

ซานหยางนั้นยิ้มกล่าวขึ้น “แม้ว่ามันจะเป็นการบังคับแต่การต้องหาร่างวิญญาณกึ่งอมตะจากห้าดินแดนนั้นมันก็เป็นเรื่องยาก แต่ดูท่าแล้วคนที่จะได้ผสานคลื่นกำเนิดมันคงไม่ใช่ใครนอกจากตัวหวางเฉียนแล้ว”

หญิงชรานั้นกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ซานหยาง เฒ่าคนนี้ไม่ชอบน้ำเสียงของเจ้าเลยจริงๆ! จั่วเลิงแห่งแดนวิญญาณตะวันตกของเราเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหวางเฉียนหรอก!”

ตึง!

เสียงระฆังที่สามดังขึ้นมา!

ร่างของหวางเฉียนนั้นแตกสลายลงไปทันที!

พวกเขาเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายนั้นกลับไม่อาจจะทนรับมันไว้ได้อีกแล้ว

ผู้มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะบางคนนั้นแข็งแกร่งจนถึงเป็นมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์แล้วก็มี

เพียงแค่ว่าพลังของกลองสนธยาระฆังอรุณนั้นมันก็แตกต่างกันไปตามพลังของผู้รับด้วย

หากเป็นมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์ ก็จะต้องรับพลังระดับมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์

หากเป็นจักรพรรดิเที่ยงก็จะต้องรับพลังระดับจักรพรรดิเที่ยงไป

เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ได้นานนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการมีพลังบ่มเพาะสูง มันวัดกันที่ระดับของร่างวิญญาณกึ่งอมตะทั้งสิ้น

การที่หวางเฉียนทนมาได้จนถึงตอนนี้มันได้แสดงชัดเจนแล้วว่าเขานั้นแข็งแกร่งแค่ไหน

แต่ว่าตอนนี้คนรอบๆ ตัวเขามันเริ่มหายไปมากขึ้นเรื่อยๆ

พวกเขาคงได้ตายลงสิ้นแล้ว

“ให้ตายสิ! คลื่นกำเนิดมันอยู่ที่ใดกัน! หากยังหามันไม่เจอแล้วพลังของกลองสนธยาระฆังอรุณก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราจะได้ตายกันหมดแน่!” หวางเฉียนนั้นเริ่มกังวลใจขึ้นมา

เจดีย์เจ็ดสีนี้มันแบ่งออกเป็นเจ็ดชั้นและแต่ละชั้นนั้นก็มีเสี้ยวคลื่นกำเนิดอยู่

ต้องหาเสี้ยวพลังให้ครบทั้งเจ็ดชิ้นเท่านั้นถึงจะสามารถมีสิทธิเข้าไปผสานกับคลื่นกำเนิดได้

แต่แค่ระดับแรกมันก็สุดแสนจะยากเช่นนี้แล้ว

สีหน้าของเขานั้นมันเหยเกอย่างถึงที่สุด

ระดับแรกนั้นมันไม่ได้นับว่าใหญ่โตใดๆ ด้วยการร่วมมือของคนนับร้อยเช่นนี้มันย่อมจะหาได้จนครบถ้วนในเวลาไม่นาน

แต่พวกเขานั้นกลับไม่พบแม้แต่เงาของเสี้ยวคลื่นกำเนิด

เรื่องนี้มันทำให้คนทั้งหลายแทบจะบ้าไป

“ตอนนี้ร่างวิญญาณของข้าเริ่มพังทลายลงแล้ว ไอ้เจ้าเด็กเย่หยวนนั้นมันคงตายไปแล้วแน่นอน!”

หวางเฉียนนั้นนึกถึงเย่หยวนขึ้นมาและอดไม่ได้ที่จะกลับมายังจุดที่เย่หยวนเคยอยู่

เขานั้นพบว่าเย่หยวนนั้นไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว

แน่นอนล่ะว่าคงตายไปแล้วจริง!

หวางเฉียนจึงยิ้มสะใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

แต่ไม่นานเขาก็ต้องเปลี่ยนมันเป็นรอยยิ้มแห้งๆ แทน

‘ข้าจะไปแข่งกับคนตายเพื่อ? อีกไม่นานข้าเองก็คงตายเหมือนกัน!’

แน่นอนว่าสิ่งที่บรรพบุรุษบู๋เมี่ยทิ้งไว้นั้นมันย่อมจะหาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว!

‘ขออภัยด้วยบรรพบุรุษบู๋เมี่ย หวางเฉียนนั้นไร้ความสามารถนัก!’

“อ่าว พี่หวาง? ยังมาทำอะไรอยู่ตรงนี้เล่า? ดูร่างวิญญาณของท่านแทบจะแตกสลายอยู่แล้วนี่ หากยังไม่รีบไปหาอาจารย์เย่ ท่านคงได้ตายแน่แล้ว!” ตอนนั้นเองที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทักหวางเฉียนจากด้านหลัง

เมื่อหวางเฉียนหันไปมองเขาก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นคือเจิ้งหยูที่มาจากแดนวิญญาณกลางด้วยกัน เขาคนนี้ไม่ได้เก่งกาจมากมายใดๆ

ได้เห็นหน้าเจิ้งหยูนั้นหวางเฉียนจึงเบิกตากว้างขึ้นมา “เจิ้งหยู? เจ้า…เจ้ากลับทนอยู่ได้จนถึงตอนนี้หรือ?”

ในความคิดของเขานั้นเจิ้งหยูควรจะตายไปในหลายรอบก่อนแล้ว

เจิ้งหยูหัวเราะขึ้นมา “ข้าเองก็คิดว่าตัวเองคงตายแน่แล้วเช่นกัน แต่มันเพราะว่าอาจารย์เย่ช่วย! ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยฝีมือของตัวข้าเองข้าคงตายไปแล้วจริงๆ”

หวางเฉียนนั้นผงะไปทันทีที่ได้ยิน “อ…อาจารย์เย่? อาจารย์เย่ที่ไหนกัน? หือ? ร่างของเจ้า…”

เขานั้นได้พบว่าร่างวิญญาณของเจิ้งหยูนั้นมันดูหนักแน่นขึ้นกว่าแต่ก่อน!

มันหนักแน่นขึ้นกว่าก่อนจะเข้ามาในเจดีย์เจ็ดสีด้วยซ้ำ

หากให้พูดแล้วกลองสนธยาระฆังอรุณมันดังขึ้นมาจนถึงสามระฆังแล้ว ต่อให้จะยังรอดมันก็ต้องปางตาย!

“นี่มัน…เรื่องบ้าอะไรกัน?”

เจิ้งหยูยิ้มกว้างขึ้นมาทันที “อ่า อาจารย์เย่ท่านนั้นคือเย่หยวนแห่งแดนวิญญาณตะวันออก! ท่านผู้นี้คือผู้ที่เข้าใจความหมายแฝงของกลองสนธยาระฆังอรุณและบอกถึงวิธีที่จะใช้มันในการฝึกฝนร่างวิญญาณกึ่ง อมตะของเรา จึงทำให้เราจึงรอดพ้นจากหายนะมาได้! ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเราทั้งหลายนั้นมันคงได้ตายลงสิ้นในระดับแรกนี้แล้ว!”

หวางเฉียนนั้นเบิกตากว้างขึ้นมาจ้องมองดูหน้าเจิ้งหยูอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “เจ้าจะบอกว่าใช้กลองสนธยาระฆังอรุณ.. เพื่อฝึกร่างวิญญาณกึ่งอมตะ? นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

เจิ้งหยูยิ้มกว้างขึ้นมา “ใช่แล้ว เดิมทีมันก็ไม่มีใครคิดทำได้แต่อาจารย์เย่ท่านบอกว่าบรรพบุรุษบู๋เมี่ยสร้างของเช่นนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นสมบัติสืบทอดมันย่อมจะไม่ใช่เพื่อสังหารแต่เพื่อฝึกฝนแน่แล้ว! กลองสนธยาระฆังอรุณนั้นมันมีพลังรุนแรงล้ำ แต่แท้จริงแล้วมันแฝงความลับไว้มากมายตราบเท่าที่เรารู้ถึงจุดต่างๆ เหล่านั้น มันก็สามารถใช้เพื่อการฝึกฝนร่างวิญญาณกึ่งอมตะของเราได้! ท่านดูร่างกายข้าตอนนี้สิ มันดูหนักแน่นกว่าก่อนเข้ามาอีกใช่หรือไม่?”

ตอนนี้หวางเฉียนนั้นแทบอยากจะกระอักเลือดขึ้นมา

เพราะนี่มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ากลองสนธยาระฆังอรุณมันกลับสามารถใช้ทำเช่นนี้ได้

ความคิดแรกหลังจากได้ยินของเขานั้นมันคือ ‘เหลวไหล!’

แต่ร่างของเจิ้งหยูนั้นมันเป็นหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธ

ตึง!

ในตอนนี้มันมีเสียงระฆังดังขึ้นมาอีกครั้ง! หวางเฉียนนั้นรู้สึกถึงแรงกระแทกต่อร่างกายนั้นจนแตกสลายลงไปทันที! หลังจากที่ผ่านความยากลำบากมากล้นนั้น ไปหวางเฉียนก็ค่อยๆ หลอมรวมร่างกลับมาได้ แต่เมื่อเขาหันไปมองเจิ้งหยูนั้นเขากลับต้องอ้าปากค้างขึ้นมา ร่างของเจิ้งหยูนั้นเองก็แตกสลายไปเช่นกัน แท้จริงแล้วมันแตกสลายละเอียดเสียยิ่งกว่าเขาอีก!

หมอกตรงหน้าของเขานั้นมันบางจนแทบไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ไม่นานร่างของเจิ้งหยูนั้นก็กลับมา หลอมรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง ที่สำคัญมันกลับยิ่งดูหนักแน่นกว่าก่อนหน้า!

เจิ้งหยูนั้นยิ้มให้หวางเฉียนด้วยท่าทางสงสาร “พี่หวาง อาจารย์เย่นั้นกำลังเดินทางไปทิศตะวันตกเฉียงเหนือและสั่งสอนเต๋าให้ทุกคนอยู่ ท่านเองก็รีบไปเถอะ! ข้ารู้ดีว่าท่านนั้นมีเรื่องอะไรกันมาก่อนกับอาจารย์เย่ แต่ว่าแค่กัดฟันก้มหัวขอโทษไปเสียเถอะ อาจารย์เย่นั้นท่านเป็นคนใจกว้างย่อมจะไม่เอาเรื่องท่านมากมายแล้ว! ดูสภาพร่างวิญญาณของท่านตอนนี้อย่างมากอีกไม่เกินสองระฆังท่านคงไม่อาจทนได้แล้ว! ตัวข้าเองนั้นก็แค่ทำตามที่อาจารย์เย่บอกมายังไม่ได้เข้าใจถึงวิธีการจนสามารถเอามาบอกต่อท่านได้ ท่านควรไปฟังอาจารย์เย่สอนเองจะดีกว่า เอาล่ะ! พูดกันต่อไปตรงนี้ก็เสียเวลาแล้ว ข้าขอตัวออกไปตามหาเสี้ยวคลื่นกำเนิดก่อนแล้ว”

พูดจบเจิ้งหยูก็เดินผ่านหน้าหวางเฉียนที่อ้าปากค้างอยู่ตรงนั้นไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2943 ก้มหัวขอโทษเสีย!

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2943 ก้มหัวขอโทษเสีย! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เราทำเช่นนี้มันจะโหดร้ายไปหรือไม่?” ชายชราผมขาวนั้นกล่าวขึ้นมา

เขาก็คือมหาจักรพรรดิล้ำหมิงเจียนจากแดนวิญญาณเหนือ

หญิงชราอีกคนตอบกลับมา “มันจะโหดร้ายอะไรกัน? ก็แค่พวกร่างวิญญาณกึ่งอมตะไม่กี่คน ได้ตายเพื่อท่านบู๋เมี่ยนั้นนับว่าเป็นเกียรติของพวกมันแล้ว! ที่สำคัญใครที่ได้รับกำเนิดเต๋าวิญญาณกลับออกมานั้นมันคงนับได้ว่าเป็นคนที่ได้รับโชคอย่างมหาศาล! พวกมันคงก้มหัวขอบคุณเราแทบไม่ทัน!”

ซานหยางนั้นหัวเราะกล่าวขึ้น “หากคนเรานั้นไม่กดดันตัวเองให้มาก พวกมันก็คงจะไม่รู้ถึงขีดจำกัดของตัวเองได้ ภายใต้สถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้มันคงช่วยผลักพวกมันไปได้อีกไกล! เพราะหากไม่ได้พวกมันก็คงเป็นเราที่ต้องไป! ศิษย์น้องหยุนหนีเองก็คงคิดเช่นเดียวกัน?”

หยุนหนีนั้นยืนเงียบปล่อยให้ซานหยางต้องยิ้มแห้งๆ ขึ้นมาอย่างขุ่นเคืองในใจ

การปิดผนึกเจดีย์เจ็ดสีนั้นมันเป็นสิ่งที่แดนทั้งห้าตกลงกันมาตั้งแต่ต้น

เพื่อที่จะหาตัวเจ้าโลกบู๋เมี่ยนั้นแค่เสียผู้มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะไปไม่กี่คนมันจะนับเป็นอะไรได้?

แต่จู่ๆ มันก็มีรอยยิ้มหนึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงชรา “ศิษย์น้องหยุนหนี เจ้าเด็กนี่หรือที่เจ้าตั้งความหวังไว้? นี่แค่กลองที่เจ็ดมันก็แตกสลายลงไปแล้ว ดูท่าร่างวิญญาณของมันคงไม่อาจจะรับพลังกลองได้อีกต่อไปแล้ว!”

หยุนหนีนั้นยังคงยืนนิ่งราวกับว่าไม่ได้ยินอะไร

หญิงชรารู้สึกเหมือนคำด่าว่าของตัวเองนั้นได้ไหลไปกับลมทำให้ไม่พอใจขึ้นมาอีก

นางจึงได้กล่าวขึ้นเย้ยหยันต่ออย่างไม่สนใจท่าทางของหยุนหนีใดๆ “เก้ากลอง เจ็ดระฆัง ไอ้เด็กนี่มันคงไม่รอดระดับแรกไปได้เสียด้วยซ้ำ! มีปัญญาแค่นี้ก็คิดจะเข้าไปผสานกับคลื่นกำเนิด? น่าขันนัก!”

มหาจักรพรรดิล้ำหมิงเจียนนั้นยิ้มกล่าวขึ้นมา “ดูท่าครั้งนี้ศิษย์น้องหยุนหนีนั้นจะมองผิดไปแล้วจริงๆ! ไอ้เด็กคนนี้มันเป็นได้แค่ก้อนดินที่ไร้ค่าใดๆ เท่านั้น!”

การถูกหยุนหนีให้ค่าขนาดนั้นมันย่อมจะทำให้ยอดคนทั้งหลายจับตามอง

แต่ใครจะไปคิดเล่าว่าเย่หยวนนั้นกลับสุดแสนอ่อนแอ ดูเก่งแค่ภายนอก?

อย่าว่าแต่เอาไปเทียบกับหวางเฉียนเลย แค่เทียบกับไป๋ชุยซานที่มาด้วยกันจากแดนวิญญาณตะวันออกนั้นมันยังไม่อาจเทียบได้

ซานหยางนั้นยิ้มกล่าวขึ้น “แม้ว่ามันจะเป็นการบังคับแต่การต้องหาร่างวิญญาณกึ่งอมตะจากห้าดินแดนนั้นมันก็เป็นเรื่องยาก แต่ดูท่าแล้วคนที่จะได้ผสานคลื่นกำเนิดมันคงไม่ใช่ใครนอกจากตัวหวางเฉียนแล้ว”

หญิงชรานั้นกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ซานหยาง เฒ่าคนนี้ไม่ชอบน้ำเสียงของเจ้าเลยจริงๆ! จั่วเลิงแห่งแดนวิญญาณตะวันตกของเราเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหวางเฉียนหรอก!”

ตึง!

เสียงระฆังที่สามดังขึ้นมา!

ร่างของหวางเฉียนนั้นแตกสลายลงไปทันที!

พวกเขาเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายนั้นกลับไม่อาจจะทนรับมันไว้ได้อีกแล้ว

ผู้มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะบางคนนั้นแข็งแกร่งจนถึงเป็นมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์แล้วก็มี

เพียงแค่ว่าพลังของกลองสนธยาระฆังอรุณนั้นมันก็แตกต่างกันไปตามพลังของผู้รับด้วย

หากเป็นมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์ ก็จะต้องรับพลังระดับมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์

หากเป็นจักรพรรดิเที่ยงก็จะต้องรับพลังระดับจักรพรรดิเที่ยงไป

เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ได้นานนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการมีพลังบ่มเพาะสูง มันวัดกันที่ระดับของร่างวิญญาณกึ่งอมตะทั้งสิ้น

การที่หวางเฉียนทนมาได้จนถึงตอนนี้มันได้แสดงชัดเจนแล้วว่าเขานั้นแข็งแกร่งแค่ไหน

แต่ว่าตอนนี้คนรอบๆ ตัวเขามันเริ่มหายไปมากขึ้นเรื่อยๆ

พวกเขาคงได้ตายลงสิ้นแล้ว

“ให้ตายสิ! คลื่นกำเนิดมันอยู่ที่ใดกัน! หากยังหามันไม่เจอแล้วพลังของกลองสนธยาระฆังอรุณก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราจะได้ตายกันหมดแน่!” หวางเฉียนนั้นเริ่มกังวลใจขึ้นมา

เจดีย์เจ็ดสีนี้มันแบ่งออกเป็นเจ็ดชั้นและแต่ละชั้นนั้นก็มีเสี้ยวคลื่นกำเนิดอยู่

ต้องหาเสี้ยวพลังให้ครบทั้งเจ็ดชิ้นเท่านั้นถึงจะสามารถมีสิทธิเข้าไปผสานกับคลื่นกำเนิดได้

แต่แค่ระดับแรกมันก็สุดแสนจะยากเช่นนี้แล้ว

สีหน้าของเขานั้นมันเหยเกอย่างถึงที่สุด

ระดับแรกนั้นมันไม่ได้นับว่าใหญ่โตใดๆ ด้วยการร่วมมือของคนนับร้อยเช่นนี้มันย่อมจะหาได้จนครบถ้วนในเวลาไม่นาน

แต่พวกเขานั้นกลับไม่พบแม้แต่เงาของเสี้ยวคลื่นกำเนิด

เรื่องนี้มันทำให้คนทั้งหลายแทบจะบ้าไป

“ตอนนี้ร่างวิญญาณของข้าเริ่มพังทลายลงแล้ว ไอ้เจ้าเด็กเย่หยวนนั้นมันคงตายไปแล้วแน่นอน!”

หวางเฉียนนั้นนึกถึงเย่หยวนขึ้นมาและอดไม่ได้ที่จะกลับมายังจุดที่เย่หยวนเคยอยู่

เขานั้นพบว่าเย่หยวนนั้นไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว

แน่นอนล่ะว่าคงตายไปแล้วจริง!

หวางเฉียนจึงยิ้มสะใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

แต่ไม่นานเขาก็ต้องเปลี่ยนมันเป็นรอยยิ้มแห้งๆ แทน

‘ข้าจะไปแข่งกับคนตายเพื่อ? อีกไม่นานข้าเองก็คงตายเหมือนกัน!’

แน่นอนว่าสิ่งที่บรรพบุรุษบู๋เมี่ยทิ้งไว้นั้นมันย่อมจะหาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว!

‘ขออภัยด้วยบรรพบุรุษบู๋เมี่ย หวางเฉียนนั้นไร้ความสามารถนัก!’

“อ่าว พี่หวาง? ยังมาทำอะไรอยู่ตรงนี้เล่า? ดูร่างวิญญาณของท่านแทบจะแตกสลายอยู่แล้วนี่ หากยังไม่รีบไปหาอาจารย์เย่ ท่านคงได้ตายแน่แล้ว!” ตอนนั้นเองที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทักหวางเฉียนจากด้านหลัง

เมื่อหวางเฉียนหันไปมองเขาก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นคือเจิ้งหยูที่มาจากแดนวิญญาณกลางด้วยกัน เขาคนนี้ไม่ได้เก่งกาจมากมายใดๆ

ได้เห็นหน้าเจิ้งหยูนั้นหวางเฉียนจึงเบิกตากว้างขึ้นมา “เจิ้งหยู? เจ้า…เจ้ากลับทนอยู่ได้จนถึงตอนนี้หรือ?”

ในความคิดของเขานั้นเจิ้งหยูควรจะตายไปในหลายรอบก่อนแล้ว

เจิ้งหยูหัวเราะขึ้นมา “ข้าเองก็คิดว่าตัวเองคงตายแน่แล้วเช่นกัน แต่มันเพราะว่าอาจารย์เย่ช่วย! ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยฝีมือของตัวข้าเองข้าคงตายไปแล้วจริงๆ”

หวางเฉียนนั้นผงะไปทันทีที่ได้ยิน “อ…อาจารย์เย่? อาจารย์เย่ที่ไหนกัน? หือ? ร่างของเจ้า…”

เขานั้นได้พบว่าร่างวิญญาณของเจิ้งหยูนั้นมันดูหนักแน่นขึ้นกว่าแต่ก่อน!

มันหนักแน่นขึ้นกว่าก่อนจะเข้ามาในเจดีย์เจ็ดสีด้วยซ้ำ

หากให้พูดแล้วกลองสนธยาระฆังอรุณมันดังขึ้นมาจนถึงสามระฆังแล้ว ต่อให้จะยังรอดมันก็ต้องปางตาย!

“นี่มัน…เรื่องบ้าอะไรกัน?”

เจิ้งหยูยิ้มกว้างขึ้นมาทันที “อ่า อาจารย์เย่ท่านนั้นคือเย่หยวนแห่งแดนวิญญาณตะวันออก! ท่านผู้นี้คือผู้ที่เข้าใจความหมายแฝงของกลองสนธยาระฆังอรุณและบอกถึงวิธีที่จะใช้มันในการฝึกฝนร่างวิญญาณกึ่ง อมตะของเรา จึงทำให้เราจึงรอดพ้นจากหายนะมาได้! ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเราทั้งหลายนั้นมันคงได้ตายลงสิ้นในระดับแรกนี้แล้ว!”

หวางเฉียนนั้นเบิกตากว้างขึ้นมาจ้องมองดูหน้าเจิ้งหยูอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “เจ้าจะบอกว่าใช้กลองสนธยาระฆังอรุณ.. เพื่อฝึกร่างวิญญาณกึ่งอมตะ? นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

เจิ้งหยูยิ้มกว้างขึ้นมา “ใช่แล้ว เดิมทีมันก็ไม่มีใครคิดทำได้แต่อาจารย์เย่ท่านบอกว่าบรรพบุรุษบู๋เมี่ยสร้างของเช่นนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นสมบัติสืบทอดมันย่อมจะไม่ใช่เพื่อสังหารแต่เพื่อฝึกฝนแน่แล้ว! กลองสนธยาระฆังอรุณนั้นมันมีพลังรุนแรงล้ำ แต่แท้จริงแล้วมันแฝงความลับไว้มากมายตราบเท่าที่เรารู้ถึงจุดต่างๆ เหล่านั้น มันก็สามารถใช้เพื่อการฝึกฝนร่างวิญญาณกึ่งอมตะของเราได้! ท่านดูร่างกายข้าตอนนี้สิ มันดูหนักแน่นกว่าก่อนเข้ามาอีกใช่หรือไม่?”

ตอนนี้หวางเฉียนนั้นแทบอยากจะกระอักเลือดขึ้นมา

เพราะนี่มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ากลองสนธยาระฆังอรุณมันกลับสามารถใช้ทำเช่นนี้ได้

ความคิดแรกหลังจากได้ยินของเขานั้นมันคือ ‘เหลวไหล!’

แต่ร่างของเจิ้งหยูนั้นมันเป็นหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธ

ตึง!

ในตอนนี้มันมีเสียงระฆังดังขึ้นมาอีกครั้ง! หวางเฉียนนั้นรู้สึกถึงแรงกระแทกต่อร่างกายนั้นจนแตกสลายลงไปทันที! หลังจากที่ผ่านความยากลำบากมากล้นนั้น ไปหวางเฉียนก็ค่อยๆ หลอมรวมร่างกลับมาได้ แต่เมื่อเขาหันไปมองเจิ้งหยูนั้นเขากลับต้องอ้าปากค้างขึ้นมา ร่างของเจิ้งหยูนั้นเองก็แตกสลายไปเช่นกัน แท้จริงแล้วมันแตกสลายละเอียดเสียยิ่งกว่าเขาอีก!

หมอกตรงหน้าของเขานั้นมันบางจนแทบไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ไม่นานร่างของเจิ้งหยูนั้นก็กลับมา หลอมรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง ที่สำคัญมันกลับยิ่งดูหนักแน่นกว่าก่อนหน้า!

เจิ้งหยูนั้นยิ้มให้หวางเฉียนด้วยท่าทางสงสาร “พี่หวาง อาจารย์เย่นั้นกำลังเดินทางไปทิศตะวันตกเฉียงเหนือและสั่งสอนเต๋าให้ทุกคนอยู่ ท่านเองก็รีบไปเถอะ! ข้ารู้ดีว่าท่านนั้นมีเรื่องอะไรกันมาก่อนกับอาจารย์เย่ แต่ว่าแค่กัดฟันก้มหัวขอโทษไปเสียเถอะ อาจารย์เย่นั้นท่านเป็นคนใจกว้างย่อมจะไม่เอาเรื่องท่านมากมายแล้ว! ดูสภาพร่างวิญญาณของท่านตอนนี้อย่างมากอีกไม่เกินสองระฆังท่านคงไม่อาจทนได้แล้ว! ตัวข้าเองนั้นก็แค่ทำตามที่อาจารย์เย่บอกมายังไม่ได้เข้าใจถึงวิธีการจนสามารถเอามาบอกต่อท่านได้ ท่านควรไปฟังอาจารย์เย่สอนเองจะดีกว่า เอาล่ะ! พูดกันต่อไปตรงนี้ก็เสียเวลาแล้ว ข้าขอตัวออกไปตามหาเสี้ยวคลื่นกำเนิดก่อนแล้ว”

พูดจบเจิ้งหยูก็เดินผ่านหน้าหวางเฉียนที่อ้าปากค้างอยู่ตรงนั้นไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+