Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2946 ไร้ยางอายเพื่อมีชีวิตรอด!

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2946 ไร้ยางอายเพื่อมีชีวิตรอด! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นี่มัน… มันคือเย่หยวน? เขากลับยังไม่ตาย?”

“หรือว่านี่ข้าจะหลอนไปแล้ว? ดูอย่างไรเขาก็ถูกเผาไหม้สิ้นไปแล้วแท้ๆ!”

“เดี๋ยวนะ เขาไม่ตายจริงๆ! หรือบางที…เขาอาจจะเข้าใจแล้ว!”

คำพูดสุดท้ายนั้นมันดังออกมาจากปากของไป๋ชุยซาน

ด้วยประสบการณ์จากชั้นแรกมานั้นไป๋ชุยซานย่อมจะรู้สึกได้ว่าเย่หยวนคงเข้าใจอะไรแล้วแน่ๆ!

การฟื้นคืนชีพของเย่หยวนนั้นมันต้องเกี่ยวข้องอะไรกับสมบัติสืบทอดของชั้นนี้แน่ๆ!

ในทะเลเพลิงนั้นเย่หยวนหันมามองหน้าพวกเขาและทำให้หวางเฉียนต้องตัวสั่นขึ้น

เพราะคนที่พูดเย้ยเมื่อสักครู่มันมีแค่เขาเท่านั้น!

เขานั้นร้องดีใจเหมือนหากว่าเย่หยวนตายแล้วตัวเองจะได้กลายเป็นเจ้าโลกไป

แต่ตอนนี้เขากลับไม่อาจหัวเราะได้อีกแล้ว

“เจ้าหวังให้ข้าตายขนาดนั้นแล้วหากตอนนี้ข้ามีวิธีผ่านชั้นนี้ไปเจ้าจะยังอยากฟังหรือไม่?” เย่หยวนนั้นหันมาถามหยางเฉียนด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยือก

หวางเฉียนนั้นรู้สึกเหมือนเป็ดที่ถูกจับขึ้นเขียง ไม่อาจจะตอบกลับอะไรไปได้แม้แต่คำเดียว

‘ข้าจะฟังหรือไม่?’

จะฟังหรือไม่ฟัง?

ฟังแล้วก็คงรอดชีวิตไปได้ แต่หน้าตาชื่อเสียงคงไม่เหลือชิ้นดี

แต่หากไม่ฟังแล้วเขาก็ต้องตายลงอย่างแน่นอน

ดังนั้นหน้าตาชื่อเสียงใดๆ…มันก็คงไม่มีค่าแล้วเช่นกัน

น่าอับอายนัก!

ทำไมถึงต้องไปปากดีเช่นนั้นด้วย?

“หวางเฉียนนั้นเก่งกาจแค่ไหนกัน! เขานั้นมีเต๋าของตัวเองไม่ต้องไปฟังอาจารย์เย่ท่านพูดอะไรหรอก!”

“ใช่ๆ! อาจารย์เย่นั้นแค่เข้าใจเต๋าเหมือนดั่งแมวตาบอดที่เดินไปชนหนูเข้าเท่านั้น มันมิใช่เรื่องยิ่งใหญ่ใดๆ ปรมาจารย์หวางนั้นคงไม่ต้องมาฟังคนระดับนี้หรอก”

“มันว่าอย่างไรนะ? อาจารย์เย่แค่โชคดีและไม่มีค่าจะเอาไปเทียบกับตัวมัน? หวางเฉียน แค่สิ่งที่อาจารย์เย่ท่านเข้าใจได้นั้นมันจะไปมีค่าอะไรในสายตาของหวางเฉียนมันกัน?”

หวางเฉียนนั้นอับอายอย่างมากและคับแค้นใจจนแทบอยากตายลง

เขานั้นพบว่าตัวเองนั้นได้กลายเป็นเป้าหมายศัตรูร้ายของทุกผู้คนไป

ก่อนหน้านี้เขาเองก็ปากมากเกินไปจริงๆ ทำให้คนทั้งหลายไม่พอใจขึ้นมา

ตอนนี้โลกภายนอกนั้นได้ติดทางออกจากเจดีย์เจ็ดสีไปสิ้นเชิงแล้ว

ตอนนี้สิ่งที่คนทั้งหลายหวังนั้นมันก็แค่การรอดชีวิตกลับออกไป

ส่วนเรื่องเสี้ยวคลื่นกำเนิดใดๆ นั้นมันเป็นแค่เป้าหมายรองไปแล้ว

แต่เขานั้นกลับพูดอย่างไม่คิดถึงเรื่องนี้

แถมในใจยังมีแต่ความอิจฉาริษยาโง่เง่า ทำให้ตัวเองกลายเป็นศัตรูของทุกผู้คนไป

คำพูดของคนทั้งหลายนั้นเป็นการปิดข้ออ้างใดๆ ของเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว!

อึดอัดนัก!

แต่อีกด้านนั้นตัวไป๋ชุยซานก็ไม่อาจทนรอได้อีกต้องถามเย่หยวนขึ้น “เย่หยวน รีบๆ ว่ามาเถอะ! ที่นี่มันคืออะไรกันแน่? ข้านั้นจะทนความร้อนนี้ไม่ไหวแล้ว!”

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ข้าคิดว่าข้านั้นเริ่มเข้าใจความหมายของร่างวิญญาณอมตะแล้ว!”

ไป๋ชุยซานนั้นผงะไปทันทีที่ได้ยิน “ความหมายของร่างวิญญาณอมตะ? แน่นอนว่ามันก็คือความอมตะฆ่าไม่ตายไม่ใช่หรือ!”

เย่หยวนส่ายหัวออกมาด้วยรอยยิ้ม “บนโลกหล้านี้มันจะมีสิ่งใดที่เป็นอมตะได้แท้จริง? แม้ว่าเจ้าโลกนั้นจะเหนือล้ำสวรรค์ไปแค่ไหนแต่พวกเขาก็ตายลงได้เช่นกัน! ร่างวิญญาณอมตะนั้นมิใช่สิ่งที่ฆ่าสังหารไม่ตาย เพียงแค่เรานั้นถูกชื่อของมันหลอกลวงให้คิดไปทางนั้นแล้ว!”

คนทั้งหลายที่ได้ยินนั้นต่างหูตั้งขึ้นมาด้วยความสงสัย

พวกเขานั้นรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะได้ยินความลับที่ยิ่งใหญ่ล้น

แม้แต่หวางเฉียนเองก็ยังอดหูตั้งไม่ได้

ส่วนอีกด้านนั้นมันมีหลายคนที่จ้องมองสภาพของเขาในตอนนี้ด้วยความสมเพช

หวางเฉียนนั้นพบว่าเย่หยวนไม่ได้คิดไล่เขาไปไหนแต่อย่างใด

เพราะฉะนั้นเขาก็จะไม่ไป

เพื่อจะอยู่รอดแล้ว คนเราต้องหน้าด้านหน้าทนเข้าไว้!

ไม่ว่าจะอย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ไม่มีหน้าตาชื่อเสียงใดๆ เหลือแล้ว!

หวางเฉียนนั้นรู้สึกโล่งใจขึ้นมาไม่น้อยเมื่อคิดได้เช่นนั้น

แน่นอนว่าคนที่หน้าไม่อายนั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด!

‘ทำตัวหน้าไม่อายนี่มันสุดยอดไปเลย!’

มันราวกับว่าอากาศรอบๆ ตัวนั้นปลอดโปร่งโล่งสบาย

“สภาพหมอกของเรานั้นเกิดขึ้นจากความโกลาหล และร่างวิญญาณของเราเองก็เป็นร่างแห่งความโกลาหลเช่นกัน! มันเป็นแบบเดียวกับเหล่ายอดฝีมือที่เกิดขึ้นจากความโกลาหลที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิดนั้น! แต่พวกเรานั้นก็แตกต่างจากพวกเขาอยู่ไม่น้อย…”

“หมายความว่าเรานั้นมีสิทธิ์สูงมากที่จะไปถึงระดับเจ้าโลกได้หรือ?” เสียงคนถามขึ้นมา

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “แน่นอน! ที่สำคัญเรายังมีความได้เปรียบที่พวกเขาไม่มีด้วย!”

หลังจากหยุดมองหน้าคนทั้งหลายไปพักหนึ่งเย่หยวนก็พูดอธิบายต่อ “ยอดฝีมือทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาจากโกลาหลนั้นเกิดขึ้นมาพร้อมพลังแค่บางด้านของความโกลาหล แต่ว่าร่างหมอกของเรานี้มันไม่มีรูปร่างไม่มีความตายตัว พวกเรานั้นสามารถเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ในโลกหล้า! เราสามารถกลายเป็นสายฟ้าที่รุนแรง! เราสามารถกลายเป็นแผ่นดินที่หนักแน่น! เราสามารถกลายเป็นเพลิงร้อนที่แผดเผา!”

“เหมือนอย่างชั้นนี้! มันก็คือการบอกให้เรานั้นกลับสู่ฟ้าดินกลายร่างหมอกตัวเองให้เป็นเพลิงเผาทำลายทุกสิ่งอย่าง! ข้าว่าหากเราบ่มเพาะสิ่งนี้ไปจนถึงที่สุดแล้วบางทีมันอาจจะขึ้นไปเทียบเคียงกับระดับของเจ้าโลกเหยียนเฉินได้ทีเดียว และสามารถเผาไหม้ทุกสิ่งอย่างได้ด้วยฝ่ามือเดียว!”

เจ้าโลกเหยียนเฉินนั้นเป็นเจ้าโลกที่แข็งแกร่งมีชื่อเสียงลือลั่น

เขานั้นสามารถควบคุมเพลิงได้ดั่งใจนึกและมีการโจมตีที่รุนแรงไม่น้อยหน้าใครในทุกสวรรค์!

ต่อให้จะเป็นเจ้าโลกด้วยกัน มันก็ไม่แน่อาจจะทำอะไรเขาได้แม้แต่น้อย!

เมื่อคนทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็รู้สึกจุกขึ้นมาในอกทันที

เพราะแค่คิดมันก็น่าตื่นเต้นแล้ว!

แต่หวางเฉียนนั้นยังคงไม่ยอมแพ้และเถียงกลับมา “หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดนั้นจริงพวกเราเหล่าผู้มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะนั้นหากบ่มเพาะให้ถึงที่สุดแล้วก็คงสามารถต่อต้านได้แม้แต่เจ้าโลกหรือ?”

เมื่อเขาพูดขึ้นมาแน่นอนว่ามันจะมีสายตาไม่เป็นมิตรมากมายมองใส่

“หวางเฉียน ไม่พูดมันก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ!”

“ฮ่าๆ เก่งมากนักไม่ไปคิดหาวิธีเอาเองเล่า?”

“พูดมากอีกข้าจะซัดหน้าเจ้าให้ตายลงไปตรงนี้เลย!”

คำพูดสุดท้ายนั้นมันเป็นคำจากปากไป๋ชุยซาน

เพราะตอนนี้เขามั่นใจในตัวเองอย่างมากล้น

แต่ว่าหวางเฉียนนั้นกลับไม่คิดสนใจคำของคนทั้งหลาย

เมื่อตัดสินใจว่าจะทำตัวหน้าไม่อายแล้วมันก็ย่อมจะไม่คิดสนใจใดๆ อีก

‘ข้าจะหน้าด้านอยู่ตรงนี้เจ้าจะทำอะไรข้าได้?’

แต่เย่หยวนที่ได้ยินนั้นต้องยิ้มตอบกลับไป “ตามที่ข้าอธิบายไปนั้นมันก็คงเป็นเช่นที่เจ้าว่า! เพียงแค่ว่าต่อให้เราจะบรรลุเจ้าโลกแต่การจะฝึกเต๋าใดหรือว่าหลายๆ เต๋าให้ไปถึงที่สุดพร้อมบ่มเพาะให้ถึงเจ้าโลกนั้นมันก็คงมิใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แล้วแน่นอน”

เมื่อหวางเฉียนได้ยินเขาก็ต้องกล่าวเย้ยขึ้น “อ่าว? พูดมาเสียเป็นมั่นเป็นเหมาะ! แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรจะยืนยันเรื่องนี้ได้!”

ชั่วร้าย!

ปากสุนัข!

คนทั้งหลายนั้นเริ่มไม่พอใจจนปล่อยคลื่นพลังวิญญาณออกมาแล้ว

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “หากข้าเดาไม่ผิดแล้วชั้นต่อๆ ไปเองมันก็คงไม่ต่างจากชั้นที่สองนี้ มันต้องเป็นการฝึกให้เราได้แปลงร่างกายเป็นรูปแบบอื่นแน่นอน!”

เมื่อหวางเฉียนได้ยินเขาก็ต้องหัวเราะลั่นขึ้นมา “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าโลกบู๋เมี่ยหรืออย่างไร? เจ้าพูดอะไรมันก็คือความจริงแล้ว? หากชั้นหลังๆ มาไม่ได้เป็นเช่นที่เจ้าว่าเจ้าจะทำอย่างไร?”

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “เช่นนั้น…ข้าก็จะสังหารเจ้าลงเสีย!”

หวางเฉียนนั้นต้องหุบปากลงทันที

เพราะตอนนี้คำสั่งเดียวจากเย่หยวนนั้นมันคงทำให้คนนับร้อยเข้ารุมโจมตีเขารอบด้านแน่

เขาเก่ง!

เขามั่นใจแต่ก็ไม่ได้หลงตัวเองถึงขั้นนั้น!

แค่การที่เย่หยวนปล่อยให้เขาได้ยืนฟังคำอธิบายนี้มันก็ถือว่าเป็นคุณมากแล้ว

จากนั้นเย่หยวนก็เริ่มสอนวิธีการเปลี่ยนร่างเป็นเปลวไฟ

เขานั้นสอนให้คนทั้งหลายได้เข้าใจถึงการดึงและเปลี่ยนร่างหมอกให้กลายเป็นไฟ

แม้ว่ามันอาจจะดูง่ายแต่ความยากของมันนั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าการรับมือกับกลองสนธยาระฆังอรุณมากนัก

บางคนที่มากพรสวรรค์หน่อยก็สามารถทำได้ในการลองแค่ไม่กี่ครั้ง

บางคนก็ยังไม่อาจเข้าใจได้

และบางคนที่ไม่ค่อยฉลาดก็ถึงขั้นถูกทะเลเพลิงนั้นแผดเผาไหม้ลงไป

ไป๋ชุยซานนั้นมีพรสวรรค์ เขาสามารถทำได้ในเวลาไม่นาน

หวางเฉียนเองก็เก่งกาจล้ำเหนือยิ่งกว่าไป๋ชุยซาน เขาจึงทำได้เช่นกัน

เขานั้นพยายามเปลี่ยนแปลงเพิ่มพูนพลังของเพลิงเพื่อจะเอาชนะเย่หยวนลงให้ได้

แต่ว่าไม่นานจากนั้นประตูมิติสู่ชั้นที่สามมันก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าคนทั้งหลาย

พร้อมๆ กันเสี้ยวคลื่นกำเนิดที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเย่หยวน

และเขาก็เป็นคนแรกที่ถึงขั้นสุดอีกครั้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2946 ไร้ยางอายเพื่อมีชีวิตรอด!

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2946 ไร้ยางอายเพื่อมีชีวิตรอด! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นี่มัน… มันคือเย่หยวน? เขากลับยังไม่ตาย?”

“หรือว่านี่ข้าจะหลอนไปแล้ว? ดูอย่างไรเขาก็ถูกเผาไหม้สิ้นไปแล้วแท้ๆ!”

“เดี๋ยวนะ เขาไม่ตายจริงๆ! หรือบางที…เขาอาจจะเข้าใจแล้ว!”

คำพูดสุดท้ายนั้นมันดังออกมาจากปากของไป๋ชุยซาน

ด้วยประสบการณ์จากชั้นแรกมานั้นไป๋ชุยซานย่อมจะรู้สึกได้ว่าเย่หยวนคงเข้าใจอะไรแล้วแน่ๆ!

การฟื้นคืนชีพของเย่หยวนนั้นมันต้องเกี่ยวข้องอะไรกับสมบัติสืบทอดของชั้นนี้แน่ๆ!

ในทะเลเพลิงนั้นเย่หยวนหันมามองหน้าพวกเขาและทำให้หวางเฉียนต้องตัวสั่นขึ้น

เพราะคนที่พูดเย้ยเมื่อสักครู่มันมีแค่เขาเท่านั้น!

เขานั้นร้องดีใจเหมือนหากว่าเย่หยวนตายแล้วตัวเองจะได้กลายเป็นเจ้าโลกไป

แต่ตอนนี้เขากลับไม่อาจหัวเราะได้อีกแล้ว

“เจ้าหวังให้ข้าตายขนาดนั้นแล้วหากตอนนี้ข้ามีวิธีผ่านชั้นนี้ไปเจ้าจะยังอยากฟังหรือไม่?” เย่หยวนนั้นหันมาถามหยางเฉียนด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยือก

หวางเฉียนนั้นรู้สึกเหมือนเป็ดที่ถูกจับขึ้นเขียง ไม่อาจจะตอบกลับอะไรไปได้แม้แต่คำเดียว

‘ข้าจะฟังหรือไม่?’

จะฟังหรือไม่ฟัง?

ฟังแล้วก็คงรอดชีวิตไปได้ แต่หน้าตาชื่อเสียงคงไม่เหลือชิ้นดี

แต่หากไม่ฟังแล้วเขาก็ต้องตายลงอย่างแน่นอน

ดังนั้นหน้าตาชื่อเสียงใดๆ…มันก็คงไม่มีค่าแล้วเช่นกัน

น่าอับอายนัก!

ทำไมถึงต้องไปปากดีเช่นนั้นด้วย?

“หวางเฉียนนั้นเก่งกาจแค่ไหนกัน! เขานั้นมีเต๋าของตัวเองไม่ต้องไปฟังอาจารย์เย่ท่านพูดอะไรหรอก!”

“ใช่ๆ! อาจารย์เย่นั้นแค่เข้าใจเต๋าเหมือนดั่งแมวตาบอดที่เดินไปชนหนูเข้าเท่านั้น มันมิใช่เรื่องยิ่งใหญ่ใดๆ ปรมาจารย์หวางนั้นคงไม่ต้องมาฟังคนระดับนี้หรอก”

“มันว่าอย่างไรนะ? อาจารย์เย่แค่โชคดีและไม่มีค่าจะเอาไปเทียบกับตัวมัน? หวางเฉียน แค่สิ่งที่อาจารย์เย่ท่านเข้าใจได้นั้นมันจะไปมีค่าอะไรในสายตาของหวางเฉียนมันกัน?”

หวางเฉียนนั้นอับอายอย่างมากและคับแค้นใจจนแทบอยากตายลง

เขานั้นพบว่าตัวเองนั้นได้กลายเป็นเป้าหมายศัตรูร้ายของทุกผู้คนไป

ก่อนหน้านี้เขาเองก็ปากมากเกินไปจริงๆ ทำให้คนทั้งหลายไม่พอใจขึ้นมา

ตอนนี้โลกภายนอกนั้นได้ติดทางออกจากเจดีย์เจ็ดสีไปสิ้นเชิงแล้ว

ตอนนี้สิ่งที่คนทั้งหลายหวังนั้นมันก็แค่การรอดชีวิตกลับออกไป

ส่วนเรื่องเสี้ยวคลื่นกำเนิดใดๆ นั้นมันเป็นแค่เป้าหมายรองไปแล้ว

แต่เขานั้นกลับพูดอย่างไม่คิดถึงเรื่องนี้

แถมในใจยังมีแต่ความอิจฉาริษยาโง่เง่า ทำให้ตัวเองกลายเป็นศัตรูของทุกผู้คนไป

คำพูดของคนทั้งหลายนั้นเป็นการปิดข้ออ้างใดๆ ของเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว!

อึดอัดนัก!

แต่อีกด้านนั้นตัวไป๋ชุยซานก็ไม่อาจทนรอได้อีกต้องถามเย่หยวนขึ้น “เย่หยวน รีบๆ ว่ามาเถอะ! ที่นี่มันคืออะไรกันแน่? ข้านั้นจะทนความร้อนนี้ไม่ไหวแล้ว!”

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ข้าคิดว่าข้านั้นเริ่มเข้าใจความหมายของร่างวิญญาณอมตะแล้ว!”

ไป๋ชุยซานนั้นผงะไปทันทีที่ได้ยิน “ความหมายของร่างวิญญาณอมตะ? แน่นอนว่ามันก็คือความอมตะฆ่าไม่ตายไม่ใช่หรือ!”

เย่หยวนส่ายหัวออกมาด้วยรอยยิ้ม “บนโลกหล้านี้มันจะมีสิ่งใดที่เป็นอมตะได้แท้จริง? แม้ว่าเจ้าโลกนั้นจะเหนือล้ำสวรรค์ไปแค่ไหนแต่พวกเขาก็ตายลงได้เช่นกัน! ร่างวิญญาณอมตะนั้นมิใช่สิ่งที่ฆ่าสังหารไม่ตาย เพียงแค่เรานั้นถูกชื่อของมันหลอกลวงให้คิดไปทางนั้นแล้ว!”

คนทั้งหลายที่ได้ยินนั้นต่างหูตั้งขึ้นมาด้วยความสงสัย

พวกเขานั้นรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะได้ยินความลับที่ยิ่งใหญ่ล้น

แม้แต่หวางเฉียนเองก็ยังอดหูตั้งไม่ได้

ส่วนอีกด้านนั้นมันมีหลายคนที่จ้องมองสภาพของเขาในตอนนี้ด้วยความสมเพช

หวางเฉียนนั้นพบว่าเย่หยวนไม่ได้คิดไล่เขาไปไหนแต่อย่างใด

เพราะฉะนั้นเขาก็จะไม่ไป

เพื่อจะอยู่รอดแล้ว คนเราต้องหน้าด้านหน้าทนเข้าไว้!

ไม่ว่าจะอย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ไม่มีหน้าตาชื่อเสียงใดๆ เหลือแล้ว!

หวางเฉียนนั้นรู้สึกโล่งใจขึ้นมาไม่น้อยเมื่อคิดได้เช่นนั้น

แน่นอนว่าคนที่หน้าไม่อายนั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด!

‘ทำตัวหน้าไม่อายนี่มันสุดยอดไปเลย!’

มันราวกับว่าอากาศรอบๆ ตัวนั้นปลอดโปร่งโล่งสบาย

“สภาพหมอกของเรานั้นเกิดขึ้นจากความโกลาหล และร่างวิญญาณของเราเองก็เป็นร่างแห่งความโกลาหลเช่นกัน! มันเป็นแบบเดียวกับเหล่ายอดฝีมือที่เกิดขึ้นจากความโกลาหลที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิดนั้น! แต่พวกเรานั้นก็แตกต่างจากพวกเขาอยู่ไม่น้อย…”

“หมายความว่าเรานั้นมีสิทธิ์สูงมากที่จะไปถึงระดับเจ้าโลกได้หรือ?” เสียงคนถามขึ้นมา

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “แน่นอน! ที่สำคัญเรายังมีความได้เปรียบที่พวกเขาไม่มีด้วย!”

หลังจากหยุดมองหน้าคนทั้งหลายไปพักหนึ่งเย่หยวนก็พูดอธิบายต่อ “ยอดฝีมือทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาจากโกลาหลนั้นเกิดขึ้นมาพร้อมพลังแค่บางด้านของความโกลาหล แต่ว่าร่างหมอกของเรานี้มันไม่มีรูปร่างไม่มีความตายตัว พวกเรานั้นสามารถเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ในโลกหล้า! เราสามารถกลายเป็นสายฟ้าที่รุนแรง! เราสามารถกลายเป็นแผ่นดินที่หนักแน่น! เราสามารถกลายเป็นเพลิงร้อนที่แผดเผา!”

“เหมือนอย่างชั้นนี้! มันก็คือการบอกให้เรานั้นกลับสู่ฟ้าดินกลายร่างหมอกตัวเองให้เป็นเพลิงเผาทำลายทุกสิ่งอย่าง! ข้าว่าหากเราบ่มเพาะสิ่งนี้ไปจนถึงที่สุดแล้วบางทีมันอาจจะขึ้นไปเทียบเคียงกับระดับของเจ้าโลกเหยียนเฉินได้ทีเดียว และสามารถเผาไหม้ทุกสิ่งอย่างได้ด้วยฝ่ามือเดียว!”

เจ้าโลกเหยียนเฉินนั้นเป็นเจ้าโลกที่แข็งแกร่งมีชื่อเสียงลือลั่น

เขานั้นสามารถควบคุมเพลิงได้ดั่งใจนึกและมีการโจมตีที่รุนแรงไม่น้อยหน้าใครในทุกสวรรค์!

ต่อให้จะเป็นเจ้าโลกด้วยกัน มันก็ไม่แน่อาจจะทำอะไรเขาได้แม้แต่น้อย!

เมื่อคนทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็รู้สึกจุกขึ้นมาในอกทันที

เพราะแค่คิดมันก็น่าตื่นเต้นแล้ว!

แต่หวางเฉียนนั้นยังคงไม่ยอมแพ้และเถียงกลับมา “หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดนั้นจริงพวกเราเหล่าผู้มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะนั้นหากบ่มเพาะให้ถึงที่สุดแล้วก็คงสามารถต่อต้านได้แม้แต่เจ้าโลกหรือ?”

เมื่อเขาพูดขึ้นมาแน่นอนว่ามันจะมีสายตาไม่เป็นมิตรมากมายมองใส่

“หวางเฉียน ไม่พูดมันก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ!”

“ฮ่าๆ เก่งมากนักไม่ไปคิดหาวิธีเอาเองเล่า?”

“พูดมากอีกข้าจะซัดหน้าเจ้าให้ตายลงไปตรงนี้เลย!”

คำพูดสุดท้ายนั้นมันเป็นคำจากปากไป๋ชุยซาน

เพราะตอนนี้เขามั่นใจในตัวเองอย่างมากล้น

แต่ว่าหวางเฉียนนั้นกลับไม่คิดสนใจคำของคนทั้งหลาย

เมื่อตัดสินใจว่าจะทำตัวหน้าไม่อายแล้วมันก็ย่อมจะไม่คิดสนใจใดๆ อีก

‘ข้าจะหน้าด้านอยู่ตรงนี้เจ้าจะทำอะไรข้าได้?’

แต่เย่หยวนที่ได้ยินนั้นต้องยิ้มตอบกลับไป “ตามที่ข้าอธิบายไปนั้นมันก็คงเป็นเช่นที่เจ้าว่า! เพียงแค่ว่าต่อให้เราจะบรรลุเจ้าโลกแต่การจะฝึกเต๋าใดหรือว่าหลายๆ เต๋าให้ไปถึงที่สุดพร้อมบ่มเพาะให้ถึงเจ้าโลกนั้นมันก็คงมิใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แล้วแน่นอน”

เมื่อหวางเฉียนได้ยินเขาก็ต้องกล่าวเย้ยขึ้น “อ่าว? พูดมาเสียเป็นมั่นเป็นเหมาะ! แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรจะยืนยันเรื่องนี้ได้!”

ชั่วร้าย!

ปากสุนัข!

คนทั้งหลายนั้นเริ่มไม่พอใจจนปล่อยคลื่นพลังวิญญาณออกมาแล้ว

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “หากข้าเดาไม่ผิดแล้วชั้นต่อๆ ไปเองมันก็คงไม่ต่างจากชั้นที่สองนี้ มันต้องเป็นการฝึกให้เราได้แปลงร่างกายเป็นรูปแบบอื่นแน่นอน!”

เมื่อหวางเฉียนได้ยินเขาก็ต้องหัวเราะลั่นขึ้นมา “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าโลกบู๋เมี่ยหรืออย่างไร? เจ้าพูดอะไรมันก็คือความจริงแล้ว? หากชั้นหลังๆ มาไม่ได้เป็นเช่นที่เจ้าว่าเจ้าจะทำอย่างไร?”

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “เช่นนั้น…ข้าก็จะสังหารเจ้าลงเสีย!”

หวางเฉียนนั้นต้องหุบปากลงทันที

เพราะตอนนี้คำสั่งเดียวจากเย่หยวนนั้นมันคงทำให้คนนับร้อยเข้ารุมโจมตีเขารอบด้านแน่

เขาเก่ง!

เขามั่นใจแต่ก็ไม่ได้หลงตัวเองถึงขั้นนั้น!

แค่การที่เย่หยวนปล่อยให้เขาได้ยืนฟังคำอธิบายนี้มันก็ถือว่าเป็นคุณมากแล้ว

จากนั้นเย่หยวนก็เริ่มสอนวิธีการเปลี่ยนร่างเป็นเปลวไฟ

เขานั้นสอนให้คนทั้งหลายได้เข้าใจถึงการดึงและเปลี่ยนร่างหมอกให้กลายเป็นไฟ

แม้ว่ามันอาจจะดูง่ายแต่ความยากของมันนั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าการรับมือกับกลองสนธยาระฆังอรุณมากนัก

บางคนที่มากพรสวรรค์หน่อยก็สามารถทำได้ในการลองแค่ไม่กี่ครั้ง

บางคนก็ยังไม่อาจเข้าใจได้

และบางคนที่ไม่ค่อยฉลาดก็ถึงขั้นถูกทะเลเพลิงนั้นแผดเผาไหม้ลงไป

ไป๋ชุยซานนั้นมีพรสวรรค์ เขาสามารถทำได้ในเวลาไม่นาน

หวางเฉียนเองก็เก่งกาจล้ำเหนือยิ่งกว่าไป๋ชุยซาน เขาจึงทำได้เช่นกัน

เขานั้นพยายามเปลี่ยนแปลงเพิ่มพูนพลังของเพลิงเพื่อจะเอาชนะเย่หยวนลงให้ได้

แต่ว่าไม่นานจากนั้นประตูมิติสู่ชั้นที่สามมันก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าคนทั้งหลาย

พร้อมๆ กันเสี้ยวคลื่นกำเนิดที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเย่หยวน

และเขาก็เป็นคนแรกที่ถึงขั้นสุดอีกครั้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2946 ไร้ยางอายเพื่อมีชีวิตรอด!

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2946 ไร้ยางอายเพื่อมีชีวิตรอด! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นี่มัน… มันคือเย่หยวน? เขากลับยังไม่ตาย?”

“หรือว่านี่ข้าจะหลอนไปแล้ว? ดูอย่างไรเขาก็ถูกเผาไหม้สิ้นไปแล้วแท้ๆ!”

“เดี๋ยวนะ เขาไม่ตายจริงๆ! หรือบางที…เขาอาจจะเข้าใจแล้ว!”

คำพูดสุดท้ายนั้นมันดังออกมาจากปากของไป๋ชุยซาน

ด้วยประสบการณ์จากชั้นแรกมานั้นไป๋ชุยซานย่อมจะรู้สึกได้ว่าเย่หยวนคงเข้าใจอะไรแล้วแน่ๆ!

การฟื้นคืนชีพของเย่หยวนนั้นมันต้องเกี่ยวข้องอะไรกับสมบัติสืบทอดของชั้นนี้แน่ๆ!

ในทะเลเพลิงนั้นเย่หยวนหันมามองหน้าพวกเขาและทำให้หวางเฉียนต้องตัวสั่นขึ้น

เพราะคนที่พูดเย้ยเมื่อสักครู่มันมีแค่เขาเท่านั้น!

เขานั้นร้องดีใจเหมือนหากว่าเย่หยวนตายแล้วตัวเองจะได้กลายเป็นเจ้าโลกไป

แต่ตอนนี้เขากลับไม่อาจหัวเราะได้อีกแล้ว

“เจ้าหวังให้ข้าตายขนาดนั้นแล้วหากตอนนี้ข้ามีวิธีผ่านชั้นนี้ไปเจ้าจะยังอยากฟังหรือไม่?” เย่หยวนนั้นหันมาถามหยางเฉียนด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยือก

หวางเฉียนนั้นรู้สึกเหมือนเป็ดที่ถูกจับขึ้นเขียง ไม่อาจจะตอบกลับอะไรไปได้แม้แต่คำเดียว

‘ข้าจะฟังหรือไม่?’

จะฟังหรือไม่ฟัง?

ฟังแล้วก็คงรอดชีวิตไปได้ แต่หน้าตาชื่อเสียงคงไม่เหลือชิ้นดี

แต่หากไม่ฟังแล้วเขาก็ต้องตายลงอย่างแน่นอน

ดังนั้นหน้าตาชื่อเสียงใดๆ…มันก็คงไม่มีค่าแล้วเช่นกัน

น่าอับอายนัก!

ทำไมถึงต้องไปปากดีเช่นนั้นด้วย?

“หวางเฉียนนั้นเก่งกาจแค่ไหนกัน! เขานั้นมีเต๋าของตัวเองไม่ต้องไปฟังอาจารย์เย่ท่านพูดอะไรหรอก!”

“ใช่ๆ! อาจารย์เย่นั้นแค่เข้าใจเต๋าเหมือนดั่งแมวตาบอดที่เดินไปชนหนูเข้าเท่านั้น มันมิใช่เรื่องยิ่งใหญ่ใดๆ ปรมาจารย์หวางนั้นคงไม่ต้องมาฟังคนระดับนี้หรอก”

“มันว่าอย่างไรนะ? อาจารย์เย่แค่โชคดีและไม่มีค่าจะเอาไปเทียบกับตัวมัน? หวางเฉียน แค่สิ่งที่อาจารย์เย่ท่านเข้าใจได้นั้นมันจะไปมีค่าอะไรในสายตาของหวางเฉียนมันกัน?”

หวางเฉียนนั้นอับอายอย่างมากและคับแค้นใจจนแทบอยากตายลง

เขานั้นพบว่าตัวเองนั้นได้กลายเป็นเป้าหมายศัตรูร้ายของทุกผู้คนไป

ก่อนหน้านี้เขาเองก็ปากมากเกินไปจริงๆ ทำให้คนทั้งหลายไม่พอใจขึ้นมา

ตอนนี้โลกภายนอกนั้นได้ติดทางออกจากเจดีย์เจ็ดสีไปสิ้นเชิงแล้ว

ตอนนี้สิ่งที่คนทั้งหลายหวังนั้นมันก็แค่การรอดชีวิตกลับออกไป

ส่วนเรื่องเสี้ยวคลื่นกำเนิดใดๆ นั้นมันเป็นแค่เป้าหมายรองไปแล้ว

แต่เขานั้นกลับพูดอย่างไม่คิดถึงเรื่องนี้

แถมในใจยังมีแต่ความอิจฉาริษยาโง่เง่า ทำให้ตัวเองกลายเป็นศัตรูของทุกผู้คนไป

คำพูดของคนทั้งหลายนั้นเป็นการปิดข้ออ้างใดๆ ของเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว!

อึดอัดนัก!

แต่อีกด้านนั้นตัวไป๋ชุยซานก็ไม่อาจทนรอได้อีกต้องถามเย่หยวนขึ้น “เย่หยวน รีบๆ ว่ามาเถอะ! ที่นี่มันคืออะไรกันแน่? ข้านั้นจะทนความร้อนนี้ไม่ไหวแล้ว!”

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ข้าคิดว่าข้านั้นเริ่มเข้าใจความหมายของร่างวิญญาณอมตะแล้ว!”

ไป๋ชุยซานนั้นผงะไปทันทีที่ได้ยิน “ความหมายของร่างวิญญาณอมตะ? แน่นอนว่ามันก็คือความอมตะฆ่าไม่ตายไม่ใช่หรือ!”

เย่หยวนส่ายหัวออกมาด้วยรอยยิ้ม “บนโลกหล้านี้มันจะมีสิ่งใดที่เป็นอมตะได้แท้จริง? แม้ว่าเจ้าโลกนั้นจะเหนือล้ำสวรรค์ไปแค่ไหนแต่พวกเขาก็ตายลงได้เช่นกัน! ร่างวิญญาณอมตะนั้นมิใช่สิ่งที่ฆ่าสังหารไม่ตาย เพียงแค่เรานั้นถูกชื่อของมันหลอกลวงให้คิดไปทางนั้นแล้ว!”

คนทั้งหลายที่ได้ยินนั้นต่างหูตั้งขึ้นมาด้วยความสงสัย

พวกเขานั้นรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะได้ยินความลับที่ยิ่งใหญ่ล้น

แม้แต่หวางเฉียนเองก็ยังอดหูตั้งไม่ได้

ส่วนอีกด้านนั้นมันมีหลายคนที่จ้องมองสภาพของเขาในตอนนี้ด้วยความสมเพช

หวางเฉียนนั้นพบว่าเย่หยวนไม่ได้คิดไล่เขาไปไหนแต่อย่างใด

เพราะฉะนั้นเขาก็จะไม่ไป

เพื่อจะอยู่รอดแล้ว คนเราต้องหน้าด้านหน้าทนเข้าไว้!

ไม่ว่าจะอย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ไม่มีหน้าตาชื่อเสียงใดๆ เหลือแล้ว!

หวางเฉียนนั้นรู้สึกโล่งใจขึ้นมาไม่น้อยเมื่อคิดได้เช่นนั้น

แน่นอนว่าคนที่หน้าไม่อายนั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด!

‘ทำตัวหน้าไม่อายนี่มันสุดยอดไปเลย!’

มันราวกับว่าอากาศรอบๆ ตัวนั้นปลอดโปร่งโล่งสบาย

“สภาพหมอกของเรานั้นเกิดขึ้นจากความโกลาหล และร่างวิญญาณของเราเองก็เป็นร่างแห่งความโกลาหลเช่นกัน! มันเป็นแบบเดียวกับเหล่ายอดฝีมือที่เกิดขึ้นจากความโกลาหลที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิดนั้น! แต่พวกเรานั้นก็แตกต่างจากพวกเขาอยู่ไม่น้อย…”

“หมายความว่าเรานั้นมีสิทธิ์สูงมากที่จะไปถึงระดับเจ้าโลกได้หรือ?” เสียงคนถามขึ้นมา

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “แน่นอน! ที่สำคัญเรายังมีความได้เปรียบที่พวกเขาไม่มีด้วย!”

หลังจากหยุดมองหน้าคนทั้งหลายไปพักหนึ่งเย่หยวนก็พูดอธิบายต่อ “ยอดฝีมือทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาจากโกลาหลนั้นเกิดขึ้นมาพร้อมพลังแค่บางด้านของความโกลาหล แต่ว่าร่างหมอกของเรานี้มันไม่มีรูปร่างไม่มีความตายตัว พวกเรานั้นสามารถเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ในโลกหล้า! เราสามารถกลายเป็นสายฟ้าที่รุนแรง! เราสามารถกลายเป็นแผ่นดินที่หนักแน่น! เราสามารถกลายเป็นเพลิงร้อนที่แผดเผา!”

“เหมือนอย่างชั้นนี้! มันก็คือการบอกให้เรานั้นกลับสู่ฟ้าดินกลายร่างหมอกตัวเองให้เป็นเพลิงเผาทำลายทุกสิ่งอย่าง! ข้าว่าหากเราบ่มเพาะสิ่งนี้ไปจนถึงที่สุดแล้วบางทีมันอาจจะขึ้นไปเทียบเคียงกับระดับของเจ้าโลกเหยียนเฉินได้ทีเดียว และสามารถเผาไหม้ทุกสิ่งอย่างได้ด้วยฝ่ามือเดียว!”

เจ้าโลกเหยียนเฉินนั้นเป็นเจ้าโลกที่แข็งแกร่งมีชื่อเสียงลือลั่น

เขานั้นสามารถควบคุมเพลิงได้ดั่งใจนึกและมีการโจมตีที่รุนแรงไม่น้อยหน้าใครในทุกสวรรค์!

ต่อให้จะเป็นเจ้าโลกด้วยกัน มันก็ไม่แน่อาจจะทำอะไรเขาได้แม้แต่น้อย!

เมื่อคนทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็รู้สึกจุกขึ้นมาในอกทันที

เพราะแค่คิดมันก็น่าตื่นเต้นแล้ว!

แต่หวางเฉียนนั้นยังคงไม่ยอมแพ้และเถียงกลับมา “หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดนั้นจริงพวกเราเหล่าผู้มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะนั้นหากบ่มเพาะให้ถึงที่สุดแล้วก็คงสามารถต่อต้านได้แม้แต่เจ้าโลกหรือ?”

เมื่อเขาพูดขึ้นมาแน่นอนว่ามันจะมีสายตาไม่เป็นมิตรมากมายมองใส่

“หวางเฉียน ไม่พูดมันก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ!”

“ฮ่าๆ เก่งมากนักไม่ไปคิดหาวิธีเอาเองเล่า?”

“พูดมากอีกข้าจะซัดหน้าเจ้าให้ตายลงไปตรงนี้เลย!”

คำพูดสุดท้ายนั้นมันเป็นคำจากปากไป๋ชุยซาน

เพราะตอนนี้เขามั่นใจในตัวเองอย่างมากล้น

แต่ว่าหวางเฉียนนั้นกลับไม่คิดสนใจคำของคนทั้งหลาย

เมื่อตัดสินใจว่าจะทำตัวหน้าไม่อายแล้วมันก็ย่อมจะไม่คิดสนใจใดๆ อีก

‘ข้าจะหน้าด้านอยู่ตรงนี้เจ้าจะทำอะไรข้าได้?’

แต่เย่หยวนที่ได้ยินนั้นต้องยิ้มตอบกลับไป “ตามที่ข้าอธิบายไปนั้นมันก็คงเป็นเช่นที่เจ้าว่า! เพียงแค่ว่าต่อให้เราจะบรรลุเจ้าโลกแต่การจะฝึกเต๋าใดหรือว่าหลายๆ เต๋าให้ไปถึงที่สุดพร้อมบ่มเพาะให้ถึงเจ้าโลกนั้นมันก็คงมิใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แล้วแน่นอน”

เมื่อหวางเฉียนได้ยินเขาก็ต้องกล่าวเย้ยขึ้น “อ่าว? พูดมาเสียเป็นมั่นเป็นเหมาะ! แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรจะยืนยันเรื่องนี้ได้!”

ชั่วร้าย!

ปากสุนัข!

คนทั้งหลายนั้นเริ่มไม่พอใจจนปล่อยคลื่นพลังวิญญาณออกมาแล้ว

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “หากข้าเดาไม่ผิดแล้วชั้นต่อๆ ไปเองมันก็คงไม่ต่างจากชั้นที่สองนี้ มันต้องเป็นการฝึกให้เราได้แปลงร่างกายเป็นรูปแบบอื่นแน่นอน!”

เมื่อหวางเฉียนได้ยินเขาก็ต้องหัวเราะลั่นขึ้นมา “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าโลกบู๋เมี่ยหรืออย่างไร? เจ้าพูดอะไรมันก็คือความจริงแล้ว? หากชั้นหลังๆ มาไม่ได้เป็นเช่นที่เจ้าว่าเจ้าจะทำอย่างไร?”

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “เช่นนั้น…ข้าก็จะสังหารเจ้าลงเสีย!”

หวางเฉียนนั้นต้องหุบปากลงทันที

เพราะตอนนี้คำสั่งเดียวจากเย่หยวนนั้นมันคงทำให้คนนับร้อยเข้ารุมโจมตีเขารอบด้านแน่

เขาเก่ง!

เขามั่นใจแต่ก็ไม่ได้หลงตัวเองถึงขั้นนั้น!

แค่การที่เย่หยวนปล่อยให้เขาได้ยืนฟังคำอธิบายนี้มันก็ถือว่าเป็นคุณมากแล้ว

จากนั้นเย่หยวนก็เริ่มสอนวิธีการเปลี่ยนร่างเป็นเปลวไฟ

เขานั้นสอนให้คนทั้งหลายได้เข้าใจถึงการดึงและเปลี่ยนร่างหมอกให้กลายเป็นไฟ

แม้ว่ามันอาจจะดูง่ายแต่ความยากของมันนั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าการรับมือกับกลองสนธยาระฆังอรุณมากนัก

บางคนที่มากพรสวรรค์หน่อยก็สามารถทำได้ในการลองแค่ไม่กี่ครั้ง

บางคนก็ยังไม่อาจเข้าใจได้

และบางคนที่ไม่ค่อยฉลาดก็ถึงขั้นถูกทะเลเพลิงนั้นแผดเผาไหม้ลงไป

ไป๋ชุยซานนั้นมีพรสวรรค์ เขาสามารถทำได้ในเวลาไม่นาน

หวางเฉียนเองก็เก่งกาจล้ำเหนือยิ่งกว่าไป๋ชุยซาน เขาจึงทำได้เช่นกัน

เขานั้นพยายามเปลี่ยนแปลงเพิ่มพูนพลังของเพลิงเพื่อจะเอาชนะเย่หยวนลงให้ได้

แต่ว่าไม่นานจากนั้นประตูมิติสู่ชั้นที่สามมันก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าคนทั้งหลาย

พร้อมๆ กันเสี้ยวคลื่นกำเนิดที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเย่หยวน

และเขาก็เป็นคนแรกที่ถึงขั้นสุดอีกครั้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+