[WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก 53 บทที่ 3 การล้างแค้นของสีชมพูและสีโศก – การแก้แค้นของฝาแฝด มัชฌิมบท

Now you are reading [WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก Chapter 53 บทที่ 3 การล้างแค้นของสีชมพูและสีโศก - การแก้แค้นของฝาแฝด มัชฌิมบท at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ฉันไม่รู้หรอก”

 

สิ่งที่ออกมาจากปากของท่านโนอะนั้น เป็นคำพูดที่ตอบอย่างไม่ไยดีเลย

 

“ม- ไม่รู้…”
“นี่ พวกเธอน่ะ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?”
“เข้าใจผิด งั้นเหรอครับ?”
“ฉันไม่ได้มีความแค้นเคืองอะไรกับชาย 2 คนนั้น ไม่สิ บางทีก็น่าจะมีความรู้สึกแง่ลบกับออร์เกอร์อยู่บ้างล่ะนะ แต่ฉันไม่มีความแค้นต่อ 2 คนนั้นเหมือนอย่างที่พวกเธอมี แล้วทำไมพวกเธอถึงได้มาถามขอคำแนะนำจากคนนอกอย่างฉันกันล่ะ?”
“ต- แต่ว่า พวกคุณเป็นคนจับตัวท่านพ่อกับท่านพี่มานี่เจ้าคะ”
“อ้า นั่นสินะ แต่ที่เราทำแบบนี้ไปก็เพื่อแลกกับความเชื่อใจจากพวกเธอ ที่จริง ในตอนที่เราจับตัวพวกนั้นมา และลากตัวมาไว้ตรงหน้าพวกเธอ พวกเธอก็มีหน้าที่ต้องทำตามเงื่อนไขที่ตั้งเอาไว้แล้วนะ เชื่อใจพวกเราไง แต่ว่า ตราบใดที่พวกเธอยังไม่ยอมปลดปล่อยความคิดที่จะล้างแค้นพ่อและพี่ของตัวเองออกมา ชีวิตใหม่ของพวกเธอก็จะไม่มีวันได้เริ่มขึ้น เพราะแบบนั้น เราถึงได้รอ”

 

ใช่ เงื่อนไขที่พวกเขาให้กับเราไว้คือ [ทำลายตระกูลกิฟท์ แล้วเอาตัวเคานต์กิฟท์กับออร์เกอร์มาให้พวกเราแบบเป็นๆ]

ซึ่งนั่นน่ะสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

แต่ว่า ท่านโนอะก็ยังรอคอยเพื่อให้การแลกเปลี่ยนจนสมบูรณ์ จนกว่าฝาแฝดจะตัดสินชะตาของพ่อและพี่ชายของตัวเอง ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ได้ประโยชน์สูงสุด

 

“ฉันคิดว่าพวกเธอจะได้ข้อสรุปจบในไม่กี่วัน แต่นี่พวกเธอให้ฉันรอมา 1 สัปดาห์เต็มๆ แล้วนี่ยังอยากจะให้ฉันมาตัดสินใจว่าจะทำยังไงดีอีกงั้นเหรอ? ฉันจะพูดซ้ำอีกครั้งนะ ฉันไม่รู้หรอก มันเกินมือฉันแล้ว”
“อุ…”
“เรื่องต้องรอน่ะ ฉันไม่เกี่ยงหรอก ถ้ามันแปลว่าเมื่อเวลาผ่านไปแล้วฉันจะได้ความไว้ใจจากพวกเธอ นั่นก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม การเข้าไปยุ่มย่ามกับการล้างแค้นของคนอื่นน่ะ ฉันไม่มีทางยอมรับได้เด็ดขาด”

 

ท่านโนอะเดินเข้าไปหาฝาแฝดคู่นั้น ก่อนจะโน้มตัวลงไปหาสายตาของทั้ง 2 คน และพูดต่อ

 

“ทำไมถึงต้องฝากให้คนอื่นช่วยล้างแค้นแทนตัวเองด้วยล่ะ”

 

ท่านว่าแบบนั้นพร้อมกับวางมือลงบนหัวของฝาแฝดทั้งคู่เบาๆ

 

“งานของพวกฉันน่ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับพวกเธอแล้วล่ะที่จะต้องคิดเองและจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ไม่มีอะไรจะเสียเปล่าไปมากกว่าการปล่อยให้เรื่องสำคัญไปอยู่ในมือคนอื่นแล้ว”

 

ท่านโนอะลุกขึ้นยืน และกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมกับที่ท่านเพิ่งลุกออกไปเมื่อครู่นี้

 

“แต่ก็ จริงสินะ ฉันขอให้คำแนะนำอะไรพวกเธอซักอย่างก็แล้วกัน”
“คำแนะนำ?”
“พวกเธอเคยได้ยินคำพูดที่ว่า [การแก้แค้นนั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด] มั้ย? ฉันน่ะ เกลียดคำพูดนี้มากเลย”

 

ท่านโนอะเหลือบมามองที่ฉันกับสแตแวบนึง ก่อนที่ท่านจะว่าต่อ

 

“ไม่คิดยังงั้นเหรอ? พวกเธอต้องเผชิญกับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม แต่คนที่กระทำก็ไม่ถูกลงโทษ ทำไมคนที่ต้องทนรับสถานการณ์พรรค์นั้นถึงต้องเป็นเหยื่อด้วยล่ะ? ถ้าทำไปแล้วไม่ได้อะไรกลับมา งั้นก็แปลว่าพวกเธอไม่ต้องเป็นอันทำอะไรเลยหรือไง?”

 

ฉันลองคิดดูซักหน่อย

[การแก้แค้นนั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด] ประโยคแสนซ้ำซากที่เห็นอยู่ถมเถตามนิยายหรือละครแนวสืบสวนสอบสวนในชาติก่อนของฉัน

เหมือนท่านโนอะเลย ฉันเองก็ไม่เข้าใจความหมายของการอ้างแบบนั้นเลยซักนิด

ถ้าฉันเห็นด้วยกับประโยคนั้น งั้นก็แปลว่าในชาติก่อน ที่ฉันฆ่าตัวตายเพื่อแก้แค้นพ่อแม่ตัวเองก็เป็นสิ่งที่ผิดน่ะสิ

การที่เหยี่อจะโหยหาต้องการล้างแค้นคนที่ทรมานตัวเองน่ะ มันผิดตรงไหนเหรอ?

อย่างที่เด็กสาวปีศาจโดนพวกมนุษย์เผาหมู่บ้านของตัวเองจนไม่เหลือ การที่ต้องการจะล้างแค้นคืนด้วยการฆ่าล้างมนุษย์ให้ไม่เหลือซากมันผิดตรงไหนกัน?

 

“ฉันไม่รู้ว่าที่บ้านหลังนั้น พวกเธอต้องทนกับการปฏิบัติแบบไหนมาบ้างหรอกนะ แต่อย่างน้อยที่สุด มันต้องหนักหนาสาหัสพอที่จะทำให้พวกเธอรู้สึกโกรธและเคียดแค้นมากพอที่จะทำให้พวกเธอพร้อมจะจัดการลงมือกับครอบครัวของตัวเองได้เลยแน่นอน”
“ม- มันก็จริง แต่ว่า ถึงยังไง เพราะอะไรซักอย่าง ก็เลยทำไม่ลง…”
“ไม่ว่ายังไง นั่นก็คือพี่กับพ่อของพวกเราอยู่ดี จะให้จัดการกับครอบครัวของตัวเอง ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม มันก็-”
“พวกเธอเคยบอกไปแล้วก่อนหน้านี้ พวกเธอมีความรู้สึกว่า ‘ทำไปแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา?’ สินะ ถ้าเธอลังเลกับการแก้แค้นล่ะก็ คนส่วนใหญ่ก็จะใช้ความรู้สึกนั้นเป็นการอ้างเหตุผลให้ตัวเองเท่านั้นแหละ”

 

ท่านโนอะใช้คำพูดตรงๆ ห้วนๆ ที่ต่างจากตามปกติกับฝาแฝด

 

“ถ้าพวกเธอรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ตั้งแต่ต้นแล้วล่ะก็ พวกเธอคงไม่ต้องการจะแก้แค้นตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ขอฉันพูดให้พวกเธอเข้าใจชัดๆ หน่อยแล้วกัน เพราะสิ่งที่พวกเธอปรารถนา สงครามกลางเมืองถึงได้เกิด ผู้คนมากมายต้องล้มตาย คิดจริงๆ เหรอว่าพวกเธอสามารถถอยกลับได้น่ะ? เชื่อจริงๆ เหรอว่าพวกเธอเองจะยกโทษให้พ่อกับพี่ของตัวเองได้ แล้วกลับไปอยู่ร่วมกันอย่างครอบครัวอบอุ่นน่ะ?”
“ม- ไม่มีทางคิดแบบนั้นเด็ดขาดเจ้าค่ะ! ไม่ใช่กับครอบครัวพรรค์นั้นแน่!”
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมพวกเธอไม่จัดการซะล่ะ? ทำไมถึงไม่โหยหาการล้างแค้น? ทำไมถึงยังลังเลอยู่อีก?”
“เรื่องนั้นมัน-”
“ให้ฉันบอกพวกเธอมั้ยว่าทำไม มันเป็นเพราะว่าพวกเธอกลัวไงล่ะ”
“ก- กลัว?”

 

ทั้งโอโตฮะทั้งโอรันดูจะสับสนกัน

 

“พวกเธอน่ะถูกขังกันมานาน ไม่รู้เรื่องโลกภายนอกกันเลย แล้วก็ไม่รู้เลยว่าชีวิตอื่นๆ นอกจากคนที่พวกเธอมีนั้นน่ะเป็นยังไงกัน เพราะแบบนั้นเธอถึงได้ลังเลที่จะฆ่าครอบครัวของตัวเอง มันเหมือนกับว่าพวกเธอเคียดแค้นพี่และพ่อของเธอเองนะ แต่ความเป็นจริงแล้ว พวกเธอกำลังพึ่งพาพวกเขาอยู่ต่างหาก”
“ม- ไม่ใช่นะ!”
“มันใช่เลยล่ะ เธอรู้เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติอย่างโหดร้ายที่พวกเธอต้องเจอนั่นมันเพราะการมีเส้นผมชั้นต่ำใช่มั้ย? คฤหาสน์หลังนั้นที่ถึงจะกดขี่พวกเธอมาตลอดแต่ก็ยังให้สิ่งจำเป็นขั้นต่ำให้พอยังมีชีวิตอยู่กับพวกเธอ ตอนนี้ก็หายไปแล้ว สายสัมพันธ์ที่พวกเธอมีกับพี่และพ่อของตัวเองโดยไม่รู้ตัว เศษซากที่ยังหลงเหลือจากอดีตน่ะ มันยังมีอยู่นะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย”
“ให้ฉันพูดใหม่ก็ได้นะ ตอนนี้น่ะ พวกเธอก็แค่กลัวการเริ่มต้นชีวิตใหม่เท่านั้นเอง เพราะพวกเธอไม่รู้อะไรเลยนอกเสียจากสถานการณ์ในตอนนี้ของตัวเอง พวกเธอเลยไม่สามารถตั้งเป้าหมายไปให้ไกลกว่านี้ได้ เพราะนั่นแหละพวกเธอถึงลงมือฆ่าพี่กับพ่อของตัวเองไม่ได้ พวกเธอถึงจัดการถอนรากถอนโคนรากเหง้าสาเหตุที่ทำให้พวกเธอไม่กล้าเริ่มต้นชีวิตใหม่กันไม่ได้ซักที”

 

ท่านโนอะส่งคำแนะนำให้ฝาแฝดอย่างตรงไปตรงมา ตรงขนาดที่มันเหมือนจะเป็นการตำหนิทั้งคู่อย่างรุนแรงมากกว่าแล้ว

ถึงมันจะรุนแรงไปหน่อยสำหรับคำชี้แนะ แต่คำพูดของท่านโนอะก็กระแทกใจทั้งคู่เข้าอย่างจังเลย

 

“แล้ว เราควรจะทำอะไรล่ะ… จะบอกว่าเราน่าจะกลับๆ ไปอยู่ในห้องขังที่ไม่ต่างจากคุกนั่นซะ ไม่ต้องขอให้พวกคุณช่วยหรือไง!?”
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นเลยนะ”
“แต่สิ่งที่พวกคุณกำลังสื่อมันคือแบบนี้เลยต่างหาก!”
“ผิดแล้ว”
“แล้วมันจะแปลว่าอะไรได้!?”

 

โอโตฮะกรี๊ดลั่น จนโอรันต้องรีบเข้ามาหยุดเธอเอาไว้

ท่านโนอะเอนกลับมาพิงที่พนักเก้าอี้โดยที่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

 

“สิ่งที่น่าทึ่งของพวกเธอ 2 คนน่ะ ก็คือความมุ่งมั่นที่ตัดสินใจจะฝ่าออกมาจากสถานการณ์แบบนั้น”
“เอ๊ะ…?”
“ที่ฉันจะหมายถึงก็คือ พวกเธอก็เหลือแค่ก้าวสุดท้ายแล้วเพื่อจะได้เป็นอิสระ แต่ยังไม่ได้ก้าวออกไปเท่านั้นเอง แม้ว่าจะมีความช่วยเหลือจากพวกฉันก็ตาม ถึงฉันจะใช้คำพูดแรงๆ แต่พวกเธอก็มาถึงจุดที่เกือบจะแยกตัวออกมาเป็นเอกเทศกันอยู่แล้วนี่”

 

ในโลกที่ฉันอยู่เมื่อชาติก่อน มีสิ่งที่เรียกว่า ‘บันจีจัมป์’ อยู่ด้วย

มันเป็นกิจกรรมแปลกๆ ที่เราจะมัดเชือกเอาไว้รอบตัวเอง แล้วก็โดดลงมาจากที่สูงๆ เทียบมันกับสถานการณ์ตอนนี้ก็ได้นะ อาจจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น

ตอนนี้ทั้งคู่ติดอุปกรณ์นิรภัยไว้แล้วเรียบร้อย ห่างจากขอบเหวที่จะกระโดดอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น

ปกติ คนทั่วๆ ไปคงไม่คิดแม้แต่จะทำเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ทั้ง 2 คนน่ะได้ตัดสินใจจะโดดแล้ว

และเป้าหมายของพวกเขาจะสำเร็จได้ ก็ต้องอาศัยความกล้าอีกนิดหน่อยเท่านั้น

 

“ฉันเข้าใจนะ ความกลัวที่จะต้องเจอกับโลกใบใหม่ แต่การที่ได้ลองเผชิญกับมันแล้วต้องเสียดายที่เลือกแบบนั้น มันก็ยังดีกว่ามาเสียดายที่ไม่ได้ลองทำมันเลย พวกเธอไม่คิดแบบนั้นเหรอ?”
“…!”
“แต่ก็นะ ถ้าพวกเธอกลัวกันจริงๆ ก็เป็นอันว่าข้อตกลงของเราจบลงตรงนี้ พวกฉันทำในสิ่งที่ควรจะทำไปเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น เชื่อใจฉันสิ”
“เอ๋…!?”
“อ่า ค- คือว่า”
“ฉันพูดแบบนี้ตามความเชื่อใจนั้นนะ”

 

ท่านโนอะมองดูที่ทั้ง 2 คนพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ราวกับว่าทั้งคู่เป็นรุ่นน้องตัวปัญหา

 

“ถ้าพวกเธอกลัวที่ต้องเดินบนเส้นทางใหม่นั้นล่ะก็ พวกฉันจะคอยช่วยพวกเธอเอง คอยเดินไปด้วยกัน คอยส่องแสงให้เห็นทางข้างหน้า ขอสัญญาเลยว่าฉันจะทำให้ชีวิตต้องคำสาปที่พวกเธอต้องก่นด่ามันเป็นร้อยๆ ครั้งนั่น กลายเป็นชีวิตที่ดีขึ้นเป็นร้อยๆ เท่าได้แน่นอน”

 

ท่านพูดเรื่องที่แสนจะเย่อหยิ่งอย่างการให้สัญญาเรื่องชีวิตของคนอื่นได้ด้วยความมั่นใจที่อยู่เต็มอกอย่างไม่มีความลังเลเลย

 

“อ- อา…?”
“อ- อะไรกัน นี่น่ะ…”

 

ทั้งโอโตฮะทั้งโอรันต่างก็ร้องไห้ออกมาแบบไม่ทันรู้สึกตัวเลย

นี่แหละ จุดแสดงความเจ้าเล่ห์ของท่านโนอะเลยล่ะ

ไม่ว่าคำพูดจะเย่อหยิ่งขนาดไหน หรือโลภมากขนาดไหน การอยู่กับท่านกลับทำให้รู้สึกเชื่อว่าเรื่องที่ท่านว่านั้นสามารถสำเร็จได้อย่างง่ายๆ เลย

 

“ท่านโนอามารี… งดงามถึงขนาดนี้ มาตลอดเลยอย่างนั้นเหรอ…?”
“อาระ ต่อให้จะเป็นแค่คำเยินยอ ฉันก็ยินดีนะ ขอบใจจ้ะ”

 

โอโตฮะได้พูดออกมาแบบนั้น ส่วนโอรันก็เหม่อมองท่านโนอะอย่างไม่ละสายตา

ดูเหมือนตอนนี้ ทั้ง 2 คนจะได้ ‘เห็น’ ท่านโนอะจริงๆ เป็นครั้งแรกแล้วสินะ

อย่างแท้จริง อย่างตั้งใจ

เพราะแบบนี้ไง เสน่ห์ของท่านโนอะที่มีแต่เหล่าผู้มีพรสวรรค์ที่ครอบครองเวทมนตร์หายากเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าใจได้ ถึงได้น่าดึงดูดแบบนี้น่ะ

 

“ถ้าพวกเธออยู่กับฉันล่ะก็ ฉันสัญญาว่าชีวิตของพวกเธอนับจากนี้จะเป็นชีวิตอันแสนวิเศษอย่างแน่นอน”

 

ท่านโนอะค่อยๆ เดินเข้าไปหาทั้ง 2 คน เหมือนอย่างตอนที่ท่านกุมหัวใจของฉันและสแตเลย

 

“ฉะนั้น มากับฉันสิ เติมเต็มความฝันของฉันไปพร้อมกับฉัน”
““…””

“โอโตฮะ โอรัน มาเป็นของฉันซะ”

 

แล้วท่านก็ยื่นมือออกไป

เท่าที่ฉันรู้ ไม่มีเหล่าผู้มีเส้นผมชั้นต่ำคนไหนเลยที่เมื่อเจอคำพูดแสนหวานเหล่านี้เข้าไปแล้วจะไม่ไขว้เขว

เพราะนั่นแหละ ที่ทำให้ทั้งฉันทั้งสแตยังโดนทำให้ไขว้เขวอยู่เลย

 

หลังจากที่น้ำตาไหลพรากอยู่พักนึง โอโตฮะกับโอรันก็เหม่อมองที่ท่านโนอะอยู่ซักพัก

ก่อนจะคว้ามือของท่านเอาไว้อย่างเบามือ

 

โน้ตจากผู้แต่ง : >>การที่เหยี่อจะโหยหาต้องการล้างแค้นคนที่ทรมานตัวเองน่ะ มันผิดตรงไหนเหรอ?
อย่างที่เด็กสาวปีศาจโดนพวกมนุษย์เผาหมู่บ้านของตัวเองจนไม่เหลือ การที่ต้องการจะล้างแค้นคืนด้วยการฆ่าล้างมนุษย์ให้ไม่เหลือซากมันผิดตรงไหนกัน?

สำหรับใครที่สนใจงานแบบนี้ ฉันมีงานแต่งยูริเรื่องแรกชื่อ “การกวาดล้างมนุษยชาติของเจ้าหญิงแวมไพร์กับอดีตผู้กล้า (転生吸血姫と元勇者、人類を蹂躙する : Tensei Kyuuketsu Hime to Moto Yuusha, Jinrui o Juurin Suru)” ด้วยนะ ถ้าชอบล่ะก็ ลองไปดูกันได้เลย

นี่มันแอบตรงเกินไปมั้ยนะ?

 

TN: อ้อ ไม่เลยครับอาจารย์ ไหนๆ อาจารย์ก็ขายแล้ว ผมก็ถือโอกาสขายด้วยเลยแล้วกันครับ 555

บังเอิญดีที่ไม่ใช่แค่ผลงานนิยายยูริแรกที่อาจารย์แต่ง แต่ก็เป็นผลงานนิยายแปลชิ้นแรกของผมด้วยเหมือนกันครับ สำหรับพี่ๆ ผู้อ่านที่สนใจแล้วยังไม่เคยได้ลองชิมดอกลิลลี่ดอกนี้ล่ะก็ เชิญเลยครับกับเรื่อง “การกวาดล้างมนุษยชาติของเจ้าหญิงแวมไพร์กับอดีตผู้กล้า (転生吸血姫と元勇者、人類を蹂躙する : Tensei Kyuuketsu Hime to Moto Yuusha, Jinrui o Juurin Suru)” หาได้ในเว็บแมวนี่เลย ^^

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด