Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 414

Now you are reading Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ Chapter 414 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.414 – ความคิดบ้าๆ

 

“ราชาภูติ? ไม่ใช่หรอก ข้าน่ะเป็นผู้ฝึกดาบตะหาก”

 

กู่ฉิงซานตอบกลับ

 

แล้วในขณะนั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นความผันผวนที่เกิดขึ้นใต้ฝ่าเท้าของตน

 

เรือใหญ่ทั้งลำเริ่มที่จะปฏิเสธเขา

 

และในวินาทีต่อมา ฉากเรือใหญ่ก็เริ่มบิดเบือน ก่อนจะกลายเป็นเพียงระลอกคลื่นพัดหายไป

 

กู่ฉิงซานพบว่าตนเองได้กลับมายืนอยู่บนแท่นสังเวียนสูงของนรกทะเลเลือด

 

เมื่อคนตายจากนรกทะเลเลือดเห็นว่าเขาปรากฏตัวขึ้น ทั้งหมดก็จ้องมองเขาอย่างระมัดระวังและไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมา

 

กู่ฉิงซานโบกไม้เท้าแห่งการจองจำ ใช้พลังนำพาตนเองออกจากนรกทะเลเลือด

 

เมื่อมาถึงปากถ้ำทางเข้าสู่ปรภพ เขาก็ลดระดับลง และก้าวเดินออกไปอย่างช้าๆ

 

อาวุธแห่งปรภพมากมายกำลังรวมตัวกันอยู่ด้านนอก

 

และเมื่อเห็นเขา เหล่าสรรพวุธก็ระเบิดเสียงเฮดังลั่น!

 

“มันได้ผล!”

 

“เจ้าได้เป็นราชาภูติจริงๆ!”

 

“ท่านราชาภูติ! ท่านช่างร้ายกาจและสง่างามยิ่งนัก!”

 

พอได้ยินคำสรรเสริญ กู่ฉิงซานเผยรอยยิ้มแย้มบนใบหน้าออกมา

 

วิหคขาวบินมาวนรอบกายเขา เปล่งเสียงตะโกน “ใครจะไปคิดกันว่าเจ้าจะได้กลายเป็นราชาภูติ! โอ้สวรรค์ ข้าก็ต้องการที่จะเป็นราชาภูติด้วย!”

 

“อย่าทะนงตนไป เจ้าเป็นแค่กระบี่เท่านั้น” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวเตือน

 

“ไม่นะ ข้าเป็นนกต่างหาก” วิหคขาวจ้องอีกฝ่ายและกล่าว

 

“เอาล่ะๆ แม้ว่าเจ้าจะเป็นนก แต่ราชาภูติคือการดำรงอยู่ที่ทรงอำนาจของตลอดทั้งปรภพ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีรูปร่างอ่อนแอ หรือเป็นอะไรดั่งเช่นนกอย่างเจ้า” โล่พูดด้วยน้ำเสียงห้าวลึก

 

โล่ราวกับว่าตระหนักได้ถึงบางสิ่ง มันหันไปกล่าวกับกู่ฉิงซาน “ต้องขออภัยด้วย ที่ว่ามานั้นข้ามิได้อ้างอิงถึงเจ้าเลยนะ”

 

“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ” กู่ฉิงซานตอบอย่างไม่ใส่ใจ

 

แล้วในเวลานั้นเอง ดาบภิพและเช่าหยินก็ปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า เวียนว่ายรอบกายเขา

 

เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงมิให้ถูกตัดสิทธิ์จากการเข้าชิงตำแหน่งราชาภูติ ดาบทั้งสองจึงมิได้ตามเขาเข้าไปสู่นรกภูมิ

 

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่?”

 

เสียงหนักแน่นจริงใจของดาบพิภพดังขึ้น

 

“แน่นอน โชคดีจริงๆที่มีฉานนู่คอยช่วยเหลือข้า” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เช่าหยินเปล่งเสียงฉวัดเฉวียนคำหนึ่ง

 

“ใช่ๆ ข้าสบายดี” กู่ฉิงซานยิ้มให้เช่าหยิน

 

ด้วยการถอนกำลังจากโลกของทั้งสี่นรก ทำให้หัวใจที่ดิ่งลงหุบเหวของกู่ฉิงซานค่อยๆฟื้นคืนกลับมามั่นคงอย่างช้าๆ

 

ในที่สุด วิกฤตของโลกมนุษย์ก็จบลงเสียที

 

ภัยพิบัติจากนรกเยือกแข็งที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในชีวิตก่อนหน้า – ได้รับการแก้ไขโดยเขาแล้วในชีวิตนี้

 

อสูรกายและเผ่ามารในนรกก็ได้ถูกล้างบางไปจนสิ้น

 

ปัญหาเดียวที่เหลือก็คือหอกหลากสีที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงที่มาของมัน

 

เมื่อคิดถึงเรื่องของหอกหลากสี กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น

 

ยันต์ทองคำที่คอยปราบปรามมันได้ถูกตัวหอกทำลายสิ้นแล้ว และหอกอันน่าสะพรึงนี้ ย่อมไม่ยินยอมที่จะถูกพันธนาการอีกคราอย่างแน่นอน

 

อ่า ….

 

เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ปล่อยให้มันอยู่บนภูเขาล้อมเหล็กไปเสียล่ะ?

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ฉานนู่ ทำไมเราไม่ปล่อยหอกหลากสีทิ้งไว้เลยล่ะ มันจะได้ช่วยป้องกันการรุกรานของเผ่ามารไง เราสามารถทำเป็นไม่สนใจมันได้หรือไม่?”

 

ฉานนู่พอได้ฟัง ก็เห็นได้ชัดว่าตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง

 

เธอเอ่ยอย่างเร่งร้อนว่า “นั่นไม่ดีหรอก หากปล่อยให้มันอาละวาดต่อไป โลกปรภพ โลกมนุษย์ และโลกอื่นๆทั้งหกโลกก็จะถูกทำลายลงในไม่ช้า”

 

“ถูกทำลายลง!? เพราะเหตุใดกัน?” กู่ฉิงซานตกใจ

 

ฉานนู่พูดตอบ “เพราะปรภพ คือสถานที่ๆคอยรับคนตายจากทั้งหกโลก เรื่องนี้เจ้าไม่มีอะไรสงสัยใช่หรือไม่”

 

“ก็ไม่นะ” กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

“เช่นนั้นหากหอกหลากสียังคงอยู่ แล้วเมื่อวิญญาณจากโลกทั้งห้าที่เหลือถูกส่งมายังปรภพ พวกเขาก็จะไม่สามารถเข้าสู่สายธารแห่งการหลงเลือนได้ ฉะนั้นการที่พวกเขาจะได้เข้าสู่นรกคงมิต้องกล่าวถึง”

 

“เจ้ากำลังจะบอกว่าพวกเขาจะถูกจัดการโดยหอกหลากสีเสียก่อนอย่างงั้นหรือ?”

 

“ถูกต้อง”

 

“งั้นมันก็ไม่ควรจะเป็นปัญหานี่ เพราะยังไงซะ ถ้าคนตายถูกฆ่า พวกเขาก็แค่กลับไปหลับไหลในนรก แล้วสุดท้ายก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งอยู่ดี”

 

“พวกเขายังไม่ได้เข้าสู่นรก ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่ายังมิได้รับการยอมรับจากนรก ดังนั้นกฏเกณฑ์แห่งนรกจึงไม่สามารถใช้ได้กับพวกเขา”

 

“นั่นหมายความว่า หากพวกเขาถูกฆ่าลง ก็จะไม่สามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้ใช่ไหม?”

 

“ใช่ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ในระยะยาว วิญญาณของทุกคนที่เสียชีวิตลงก็จะถูกสังหารโดยหอกหลากสี วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของหกวิถีก็จะถูกทำลายลง และโลกทั้งหกก็จะค่อยๆล่มสลายไปอย่างช้าๆ”

 

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะเป็นปัญหาถึงเพียงนี้ ดูท่าแล้วข้าคงได้กระทำการผิดพลั้งไปสินะ”

 

“ในช่วงเวลาก่อนหน้า การกระทำของเจ้านับว่าเป็นแผนการที่ดีที่สุดแล้ว การที่มันจะจบลงแบบนี้ล้วนเป็นเรื่องของโชคชะตาทั้งสิ้น” ดาบพิภพแสดงความคิดเห็น

 

กู่ฉิงซานก้มหน้าลง มิได้สนใจกับคำกล่าวของดาบพิภพ

 

“เราต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหานี้ มิเช่นนั้นโลกปรภพนี่แหละ ที่จะเป็นโลกแรกที่ล่มสลายลง” ฉานนู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล

 

“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นปัญหาจริงๆ ขอข้าลองไตร่ตรองก่อนสักครู่นะ” กู่ฉิงซานงึมงำ

 

บังเกิดความเงียบขึ้นในบริเวณโดยรอบ

 

เหล่าสรรพวุธยังคงเงียบ เพราะกลัวว่าจะเป็นการรบกวนความคิดของเขา

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

กู่ฉิงซานก็ถอนหายใจยาวออกมา

 

“หอกหลากสีสามารถสังหารเทพได้ และอสูรกายก็เช่นกัน ดังนั้นข้าจึงวางอุบายใช้มันต่อกรกับเผ่ามาร แต่บอกตามตรงว่าข้าเองก็คิดไม่ออกเลยจริงๆถึงวิธีที่จะกำจัดมัน” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช่วยไม่ได้

 

ฉานนู่กลายเป็นร้อนรนแล้ว

 

“นายน้อย โปรดพยายามขบคิดหาหนทางด้วยเถอะ ท่านจะต้องมีวิธีอย่างแน่นอน”

 

เธอกัดฟันกล่าว “ในความเป็นจริงแล้ว จุดสำคัญที่สุดและปัญหาสุดท้ายของเรื่องราวทั้งหมด ก็คือการจัดการกับหอกหลากสีนี่แหละ ได้โปรดช่วยเหลือโลกปรภพด้วย!”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะลองคิดดูนะว่ามันจะมีหนทางใดบ้าง”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยรับคำ

 

นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดที่เกี่ยวข้องกับหกโลก ดังนั้นเขาจึงมิกล้าที่จะละความสนใจ

 

เขานั่งอยู่บนขอบปากทางเข้าถ้ำนรก ริเริ่มขบคิดอย่างจริงจัง

 

แต่หอกหลากสีเป็นอาวุธที่แสนจะทรงพลานุภาพ เป็นพลังอำนาจที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน

 

นอกเหนือไปจากภูเขาล้อมเหล็กแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดสามารถต้านทานมันได้อีกเลย

 

แม้จะอยู่ห่างออกไปหลายลี้ แต่หอกก็สามารถสังหารอสูรกายได้ในกระบวนท่าเดียว

 

แล้วอาวุธเช่นนั้น เขาจะสามารถหาวิธีใดมารับมือกับมันได้อย่างไรกัน!

 

ผ่านไปนาน

 

กู่ฉิงซานตริตรอง ขบคิดถึงทุกสิ่งที่เขาพอจะทำได้แล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของทางออก

 

แม้ว่าไม้เท้าแห่งการจองจำจะครอบครองพลังอันน่าสะพรึง แต่ด้วยอำนาจของมันที่มุ่งเป้าอยู่แต่กับนรก ดังนั้นจึงไม่สามารถส่งผลกระทบใดๆต่อตัวหอกหลากสีได้

 

ตำแหน่งของหอกหลากสีวางอยู่บนยอดของภูเขาล้อมเหล็ก

 

ภูเขาล้อมเหล็ก …

 

กู่ฉิงซานจู่ๆก็ย้อนระลึกได้ถึงคำอธิบายของดาบขุนเขาเทวะหกโลกาได้ในทันใด

 

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา มีสี่พลังศักดิ์สิทธิ์ : อมตะ แหกกฏ ทรงปัญญา และสุดท้าย ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา

 

อมตะ แหกกฏ และทรงปัญญา เขาได้รับรู้ถึงความสามารถของพวกมันไปแล้ว

 

ขณะที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา – ภูเขาศักดิ์สิทธิ์นี่คงจะหมายถึงภูเขาล้อมเหล็กแน่ๆ

 

เช่นนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์นี้มีความสามารถใดกัน?

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ฉานนู่ เจ้าสามารถควบคุมภูเขาล้อมเหล็กได้หรือไม่?”

 

“นั่นเป็นไปไม่ได้ ภูเขาล้อมเหล็กจะไม่สามารถูกควบคุมโดยพลังอำนาจใดๆ เพราะมันจักต้องคอยต้านทานลมแห่งทัณฑ์โกลาหลจากภายนอก”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็รู้สึกสงสัยเป็นพิเศษ

 

หากในกรณีนั้น แล้วเจ้า ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา’ นี่มันมีประโยชน์อะไร?

 

ความสัมพันธุ์ระหว่างเขาและฉานนู่ยังคงซับซ้อน มิได้เป็นเจ้าของกันและกันโดยสมบูรณ์ แต่ละฝ่ายยังคงอยู่ในช่วงทำความคุ้นเคยกันและกันอยู่

 

หากตนเองบุ่มบามที่จะเอ่ยถามถึงความสามารถของอีกฝ่าย มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะทำลายความไว้ใจซึ่งกันและกันที่พึ่งก่อร่างขึ้นมา

 

มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเป็นอย่างมาก ที่จะเอ่ยทวงถามถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ของจิตอาร์ติแฟคของอีกฝ่าย

 

ขณะที่กู่ฉิงซานไม่รู้ว่าสมควรจะต้องทำสิ่งใด ฉานนู่ก็ริเริ่มเอ่ยออกมาด้วยตนเอง “ในเมื่อเจ้าถามถึงจุดนี้ เช่นนั้นข้าจะอธิบายให้ฟังก็แล้วกัน”

 

“ตัวข้าเกิดมาจากกฏเกณฑ์ของภูเขาล้อมเหล็ก และมีเพียงแค่เฉพาะบางช่วงเวลาเท่านั้น ที่ข้าจะสามารถควบคุมภูเขาล้อมเหล็กได้”

 

“แล้วบางช่วงเฉพาะที่ว่านั่นคือเวลาใด?”

 

“เมื่อตลอดทั้งโลกปรภพถูกทำลาย , ปรภพถือกำเนิดขึ้นใหม่ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญ”

 

“ยุคแห่งการถือกำเนิดใหม่ของโลกปรภพได้ผ่านพ้นไปแล้ว(ช่วงยุคอุตสาหกรรมเครื่องจักรปรภพ)  ดังนั้นเราจึงไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อีกต่อไป”

 

เพื่อที่จะที่ทำให้มันชัดเจน ฉานนู่จึงพยายามอธิบายอย่างอดทนในเวลานี้ “และในคำที่ว่าโลกปรภพทั้งหมดถูกทำลาย ภูเขานี้ก็จยกตัวขึ้นจากพื้นดิน ละทิ้งโลกปรภพและไปยังโลกอื่นๆอีกห้าโลกในหกวิถี เพื่อคอยปกปักษ์พวกเขาจากสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลต่อไป”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “เช่นนั้นก็เหลือเพียงการเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์แห่งโลกปรภพอย่างมีนัยสำคัญสินะ มันหมายความว่าอย่างไรกัน?”

 

“ก็ถ้าตลอดทั้งโลกปรภพเกิดการเปลี่ยนแปลง เจ้าก็จะมีโอกาสใช้ข้าให้เปลี่ยนแปลงภูเขาล้อมเหล็กได้”

 

“ตลอดทั้งโลกปรภพเกิดการเปลี่ยนแปลง?”

 

“ใช่ แต่ไม่ใช่การถือกำเนิดใหม่ มิใช่การทำลาย และข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามันจะเป็นไปในรูปแบบใด”

 

พร้อมกับคำอธิบายของฉานนู่ ในอากาศที่ว่างเปล่าภายใต้วิสัยทัศน์เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน หลากหลายเส้นแสงหิ่งห้อยที่ร้อยเรียงไปด้วยตัวอักษรเล็กๆก็เด้งเตือนขึ้นมาทันใด

 

“คุณได้เรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่สี่ของดาบขุนเขาเทวะหกโลกา : ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา”

 

“คุณได้เรียนรู้คุณสมบัติของดาบขุนเขาเทวะหกโลกาโดยสมบูรณ์”

 

“ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ดาบที่โลกต้องสักการะ ว่ากันว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะจากปรภพ”

 

“ดาบเล่มนี้ คือดาบที่แสดงให้เห็นถึงกฏเกณฑ์อันยิ่งใหญ่ของภูเขาล้อมเหล็กแห่งปรภพ”

 

สี่พลังศักสิทธิ์ของดาบขุนเขาเทวะหกโลกา อมตะ แหกกฏ ทรงปัญญา และภูเขาสักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกาได้ปรากฏสู่สายตาของกู่ฉิงซาน

 

“ ‘อมตะ’ : ทุกกฏเกณฑ์ในโลกทั้งสิบ ทุกๆพลังอำนาจจะมิอาจทำลายดาบเล่มนี้ลงได้”

 

“ ‘แหกกฏ’ : ทุกกฏเกณฑ์จากตลอดทั้งหมื่นโลกาจะไม่อาจส่งผลกระทบต่อดาบเล่มนี้”

 

“ ‘ทรงปัญญา’ : ด้วยการอนุญาตของคุณ ฉานนู่จะสามารถเรียนรู้ทักษะและประสบการณ์ต่อสู้ทั้งหมดของคุณได้ และเธอจะสามารถใช้ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาเพื่อต่อสู้ให้คุณ หรือต่อสู้เคียงข้างกันกับคุณ”

 

“ ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา’ : ยามเมื่อสามช่วงเวลาสำคัญแห่งปรภพ – ถือกำเนิดใหม่ , เกิดการเปลี่ยนแปลง และถูกทำลาย ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาจะสามารถควบคุมภูเขาล้อมเหล็กได้”

 

กู่ฉิงซานจ้องมองดูบรรทัดสุดท้าย ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา’ อย่างเงียบๆ

 

เขาดูราวกับกำลังลังเล และไม่มั่นใจเล็กน้อย

 

พอฉานนู่เห็นว่าเขามิได้เอ่ยสิ่งใดอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวต้องเอ่ยถามออกมา “เจ้าคิดว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่?”

 

“ข้าต้องการที่จะรู้สักหนึ่งคำถาม หากหอกหลากสียังคงอยู่บนภูเขาล้อมเหล็ก หกโลกก็จะถูกทำลายลงอย่างช้าๆ เรื่องนี้แน่ใจจริงๆหรือไม่?”

 

“จริงสิ ตะขอเกี่ยววิญญาณ เจ้าเล่าคิดเห็นเช่นไร?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณตอบว่า “หอกหลากสีทรงพลังเกินไป มันจะหยุดทุกชีวิตที่จะเข้าสู่สังสารวัฏ และสังสารวัฏก็คือกฏเกณฑ์สำคัญของหกวิถี”

 

มันกล่าวเสริมว่า “เมื่อกฏสำคัญแห่งสังสารวัฏพังทลาย ทั้งหกโลกก็จะค่อยๆล่มสลายลงอย่างช้าๆ”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

เขาก้มหัวลงและจมลงสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง

 

เหล่าจิตอาร์ติแฟคต่างหันไปมองกันและกัน ก่อนจะสลับมามองกู่ฉิงซานที่ก้มหน้าลง หลับตาทั้งสองข้าง ทั้งคนทั้งร่างจมหายไปอยู่ในห้วงความคิด

 

ผ่านไปนาน

 

ได้ยินแค่เพียงเสียงของกู่ฉิงซานที่เอ่ยพึมพำออกมาอย่างนุ่มนวล “ปรภพไม่ได้มีเทพวิญญาณ หากปล่อยทิ้งไว้ ไม่ช้าก็เร็วต่อจากนี้มันก็จะถูกเผ่ามารกลับมาทำลายลงอีกครั้ง”

 

“หากปรภพถูกทำลายลงอีกครั้ง คราวนี้มันจะเป็นปัญหาใหญ่”

 

ฉานนู่เอ่ยเสริม “มันมิใช่เพียงเท่านั้นน่ะซี เนื่องจากมันสามารถนำหอกหลากสีมายังที่นี่ได้ เช่นนั้นหากปล่อยให้พวกมันมีเวลาเตรียมการมากพอ บางทีพวกมันอาจจะมีวิธีพิเศษบางอย่างที่จะสามารนำหอกหลากสีกลับมาใช้งานได้อีกครั้งก็ได้”

 

จริงด้วยสิ บางที เผ่ามารอาจจะมีวิธีกู้คืนอาวุธอันน่าสะพรึงกลัวนี้ก็ได้

 

แล้วถ้าหากหอกหลากสีถูกโยนลงไปในโลกมนุษย์ล่ะก็ …

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทันใดนั้นทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานก็รู้สึกไม่สบายใจ กระสับกระส่ายอย่างฉับพลัน

 

เขาพยายามอย่างดีที่สุดในการขบคิดอย่างหนัก และเป็นเวลานาน จนในที่สุด ความคิดบ้าบิ่นก็ผุดเข้ามาในหัวใจของเขา

 

“หากเป็นในกรณีนั้น มันคงจะดีกว่า … ”

 

จู่ๆเขาก็ถอนหายใจออกมา และยกมือขึ้นกุมหน้าผากตนเอง

 

“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าเป็นอะไรไปหรือ?” ฉานนู่เร่งเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานตอบ “เปล่าหรอก แต่ข้ามีความคิดบางอย่างขึ้นมาแล้วน่ะซี ทว่ามันบ้ามากจริงๆ”

 

“ความคิดอะไร? ตราบใดที่มันสามารถรับมือกับหอกหลากสีได้ แน่นอนว่าข้าย่อมจะช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มกำลัง” ฉานนู่กล่าวอย่างเฉียบขาด

 

“เช่นนั่นโปรดบอกข้ามา ว่า ‘แหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้า’ของโลกปรภพอยู่ที่ใด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด