You Cannot Afford To Offend My Woman ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ! 169

Now you are reading You Cannot Afford To Offend My Woman ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ! Chapter 169 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

GG บทที่ 169 – รีดไถเงิน

เจ้าสำนักฟ่างที่เงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง กลับมาส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง “ไอ้นักพรตตาถั่ว ฉันจะสับแกให้เป็นชิ้นๆ”

พูดมาได้ยังไงว่าเธอกับผู้วิเศษแห่งความตายเป็นคู่รักกัน สงสัยจะตาบอดแน่ๆ

ผู้วิเศษแห่งความตายพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์ด้วยมือข้างเดียว และหันหน้าจอให้เจ้าสำนักฟ่างดู : ไอ้หมอนี่ท่าทางมีตังค์อยู่นะ ปล้นเงินมันก่อน แล้วค่อยฆ่าทีหลังก็ไม่สาย

เจ้าสำนักฟ่างที่พยายามสะบัดให้หลุดจากการกอดของอีกฝ่าย มีท่าทีใจเย็นลง ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วพูดขึ้นว่า “ปล่อยฉันก่อนสิ”

ผู้วิเศษแห่งความตายปล่อยมือจากเอวของเจ้าสำนักฟ่าง ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเนื้อหนังของมนุษย์จะนุ่มนิ่มดีขนาดนี้

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเหตุใดมนุษย์เพศหญิงจึงได้รับความเคารพอย่างสูง แม้แต่เขาเองก็ต้องยอมรับว่าชื่นชมในความนุ่มนิ่มนี้ไม่น้อย โดยเฉพาะในยามที่ได้นอนอยู่ไม่ห่างจากเจ้าสำนักฟ่างทุกคืนๆ ดูเหมือนผู้วิเศษแห่งความตายจะรู้แล้วว่าการตกหลุมรักคืออะไร

ฝ่ายเจ้าสำนักฟ่างก็กำลังบอกตัวเองว่า เธอไม่ได้ทำตามคำสั่งของผู้วิเศษแห่งความตาย แต่เธอทำเพื่อตัวของเธอเอง เธอต้องทำเพื่อให้ได้ชีวิตที่มีความเป็นส่วนตัวกลับคืนมา

คิดได้ดังนั้น เจ้าสำนักฟ่างก็หันหน้าไปทางนักพรตหนุ่ม และคำรามเสียงดัง “มีเงินอยู่เท่าไหร่ส่งมาให้หมด!”

นักพรตหนุ่มคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกฆ่าตายแน่นอน ไม่คิดเลยว่าคู่รักปีศาจคู่นี้มีเจตนาเพียงแค่อยากรีดไถเงินเขาเท่านั้น

“ท่านผีสาว ข้ามีติดตัวอยู่เท่านี้จริงๆ” นักพรตหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ในนั้นมีเงินอยู่เพียงแค่ 20 หยวน เรียกว่ามีน้อยกว่าเจ้าสำนักฟ่างเสียอีก

สีหน้าของเจ้าสำนักฟ่างแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน

“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ เดี๋ยวนี้ใครเขาใช้เงินสดกันบ้าง โอนเข้ามาในวีแชทสิ!” เธอคำรามด้วยความดุร้าย

สุดยอดไปเลยแฮะ เดี๋ยวนี้แม้แต่ภูตผีวิญญาณร้ายก็รู้จักปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ถึงขนาดมีวีแชทไว้ใช้งานด้วย นักพรตหนุ่มคิดว่าตนเองประเมินวิญญาณเหล่านี้ต่ำไปจริงๆ

“ไอ้โครงกระดูกผี ใจคอจะไม่มาช่วยกันเลยหรือไง!” เจ้าสำนักฟ่างหันหน้าไปตะโกนใส่ผู้วิเศษแห่งความตาย

นักพรตหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเขาถูกวิญญาณร้ายรุมเล่นงานพร้อมกันถึงสองตน เห็นทีชีวิตคงรอดผ่านคืนนี้ไปไม่ได้อีกแล้ว

“ท่านผีสาว อันตัวข้าเองนี้ก็เป็นขอทานเหมือนกัน เดี๋ยวนี้มีผีให้จับน้อยเหลือเกิน ส่วนใหญ่จะมีพวกมือปราบผีเก่งๆ มาจับตัดหน้าไปหมดแล้ว คนจับผีปลายแถวอย่างข้า มีเงินไม่มากหรอกนะ” นักพรตหนุ่มพยายามร้องขอความเห็นใจ การปรับตัวให้ทันยุคสมัยเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยสำหรับเขา

“ฮึ! ไม่ต้องมาทำตัวน่าสงสาร เลิกเล่นลิ้นและโอนเงินมาได้แล้ว!”

ทำตัวน่าสงสาร…หัวใจของนักพรตหนุ่มตกไปอยู่ที่ตาตุ่มด้วยความหมดหวัง

เมื่อจัดการแอดเจ้าสำนักฟ่างเป็นเพื่อนในวีแชทเรียบร้อยแล้ว เจ้าสำนักฟ่างก็พูดว่า “ก่อนอื่น โอนมาเลย 10,000 หยวน”

ตอนนี้ แม้แต่ภูตผีก็รู้แล้วว่าวีแชทสามารถโอนเงินได้วันละไม่เกิน 10,000 หยวนเท่านั้น

ผู้วิเศษแห่งความตายดูยอดเงิน 10,000 หยวนที่ถูกโอนเข้ามาอย่างมีความสุข หลังจากนั้น จึงพิมพ์ข้อความว่า : ฆ่าได้เลย

เจ้าสำนักฟ่างยกมือขึ้นเตรียมลงมือ

“ท่านผีสาว วันพรุ่งนี้ข้าจะโอนให้อีก 10,000 หยวนก็แล้วกันนะ” นักพรตหนุ่มละล่ำละลักออกมา ไม่ว่าจะเสียเงินเท่าไหร่ สิ่งสำคัญที่สุดคือรอดชีวิตไปได้ก็พอแล้ว

ผู้วิเศษแห่งความตายกำลังมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

แต่สำหรับเจ้าสำนักฟ่าง มีเพียงการฆ่าคนเท่านั้นที่จะทำให้เธอใจสงบลงได้

แต่เงินกำลังจะหมุนไป เงินต้องถูกใช้จ่ายในทุกๆ วัน

ผู้วิเศษแห่งความตายโอบกอดเจ้าสำนักฟ่างไว้อีกครั้งหนึ่ง ขัดขวางไม่ให้เธอลงมือ

นักพรตหนุ่มได้แต่จ้องมองผู้ที่เขาเข้าใจว่าเป็นวิญญาณร้ายสองตนตรงหน้า เสื้อคลุมของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ตอนนี้ชายหนุ่มไม่รู้แล้วว่าโครงกระดูกผีใจดีเกินไป หรือวิญญาณผีสาวดุร้ายเกินไปกันแน่

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะไปฆ่ามัน! ให้ตายเถอะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” เจ้าสำนักฟ่างพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากอ้อมกอดของผู้วิเศษแห่งความตาย เธอถึงกับจับกระดูกแขนของเขามากัดด้วยซ้ำ

ผู้วิเศษแห่งความตายถอนหายใจ หญิงคนนี้บ้าไปแล้วหรือไง ดูเหมือนเขาจะต้องใช้ทักษะพิเศษที่ไม่ได้ใช้มาเนิ่นนานเสียแล้ว ตอนนี้ต้องทำให้เจ้าสำนักฟ่างหมดสติไปก่อนจะเป็นการดีที่สุด

ทักษะที่ผู้วิเศษแห่งความตายกำลังจะใช้ก็คือ…

จุมพิตมรณะ!

ผู้วิเศษแห่งความตายกระทำการจูบเป็นครั้งที่สองในชีวิต ดวงตาที่สวยงามของเจ้าสำนักฟ่างเบิกกว้างมองดูเบ้าตาที่ว่างเปล่าของหัวกระโหลกเบื้องหน้า หลังจากนั้น เธอก็หลับตาลง หมดสติไปทันที

นักพรตหนุ่มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองอย่างมีความหวัง

“พี่ชาย ช่วงนี้เงินขาดมือใช่ไหม?” นักพรตหนุ่มลองถามหยั่งเชิง

ผู้วิเศษแห่งความตายกอดร่างของเจ้าสำนักฟ่างพร้อมกับพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์ไปด้วย : มีอะไรจะพูด ก็ว่ามา

“ก่อนหน้านี้ผู้น้อยผ่านไปที่โรงเก็บไวน์ และได้ยินมาว่าจะมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นในซานย่า และน่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้ได้เงินเยอะทีเดียว” ถึงจะได้ยินมาไม่ชัดเจนนัก แต่ใจความโดยรวมก็ประมาณนี้

ผู้วิเศษแห่งความตายพิมพ์ข้อความว่า : “จริงหรือเปล่า?”

เพื่อเอาตัวรอดในยามนี้ ถึงไม่จริง นักพรตหนุ่มก็ต้องบอกว่าจริงเอาไว้ก่อน

“พี่ชาย ข้าจะกล้าโกหกท่านได้อย่างไร”

ผู้วิเศษแห่งความตายนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในเมื่อเป็นเรื่องสำคัญ ข้อมูลก็น่าจะมีมูลค่าล้ำค่า และเขาก็จะทำเงินได้ก้อนโต ไม่มีเหตุผลใดที่จะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปเลย

:ลองโกหกสิ เจ้าได้ตายแน่! – ผู้วิเศษแห่งความตายพิมพ์ข้อความไว้แบบนั้น และด้วยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียว ร่างของทั้งสามคนที่อยู่ในสวนสาธารณะ ก็หายวับไปปรากฏตัวอยู่ในเมืองซานย่าทันที

ผู้วิเศษแห่งความตายสามารถเดินทางไปได้ในพริบตา ในขณะที่เย่ฮัวต้องรอขึ้นเครื่องบินวันพรุ่งนี้

ตอนนี้ พวกของเย่ฮัวรับประทานอาหารมื้อดึกจนอิ่มหนำ และกำลังเดินกลับบ้านมาด้วยกัน

“ที่รักคะ ฉันอิ่มจังเลย…” ชิงหยาพูดพลางกอดแขนเย่ฮัว หลังจากปรับความเข้าใจกันได้แล้ว ชิงหยาก็กลับมาทำตัวเป็นเด็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่ฮัวอีกครั้ง

เย่ฮัวลูบหัวของชิงหยาเบาๆ “ใครบอกให้คุณกินเยอะขนาดนั้นล่ะ”

“แน่นท้องไปหมดแล้วเนี่ย”

“จีจี้ก็อิ่มเหมือนกันค่ะ”

ทันใดนั้น ก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากระดับเอวของพวกเขา คล้ายกับว่าเธอก็อยากมีส่วนร่วมในบทสนทนานี้ด้วย

นี่คือผู้เจริญอาหารสามคน แน่นอนว่าถ้าหน้าตาดีก็จะเรียกว่าผู้เจริญอาหาร แต่ถ้าหน้าตาน่าเกลียด ก็มักจะถูกเรียกว่าคนตะกละตะกลามอย่างไม่มีข้อแม้

เมื่อกลับเข้าสู่ห้องนอน หลังจากได้กินดื่มจนอิ่มหนำแล้ว ชิงหยาก็หลับสนิทรวดเดียวไปจนถึงรุ่งเช้า

เช้าวันรุ่งขึ้น

อากาศดี แสงแดดไม่แรงมาก เหมาะสำหรับการเดินทาง

เย่ฮัวลืมตาขึ้นและก้มมองหน้าอกตัวเองเป็นสิ่งแรก ดูเหมือนว่าชิงหยาจะไม่มีปัญหาเรื่องการนอนน้ําลายไหลให้รบกวนใจอีกแล้ว

“ตื่นได้แล้วคุณ”

“งื่อ”

“ตื่นได้แล้ว” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับขยับแขนภรรยา

“รีบตื่นทำไมคะ ยังเช้าอยู่เลย กว่าเครื่องจะออกก็ตอนบ่ายนู่นแน่ะ”

“ผมจะไปซื้ออาหารเช้าให้คุณไง” เย่ฮัวเป็นคนที่รักษาสัญญาเสมอ เมื่อเขาให้สัญญาอะไรไว้แล้ว เขาก็จะต้องทำให้ได้

ชิงหยากอดเย่ฮัวเอาไว้แน่น “ไม่เอา เดี๋ยวฉันไปซื้อเองก็ได้”

เย่ฮัวไม่มีทางเลือกอื่นอีก นอกจากอุ้มชิงหยาเข้าห้องน้ำ และบังคับให้เธอล้างหน้าแปรงฟัน

“พี่ชิงคะ ทำไมสองคนนั้นเสียงดังกันจังเลย” เย่จีจี้ที่นอนอยู่บนเตียงถามด้วยความไม่เข้าใจ

ชิงหยูตงตื่นแล้ว เธอลุกขึ้นมาพูดงัวเงียว่า “เป็นแบบนี้ประจำแหละ”

“เฮ้อ” เย่ฮัวเดินสูบบุหรี่ออกมาจากที่พัก เดินตรงเข้าไปในซอย

“แพนเค้กสอง ไข่ทอดกับไส้กรอกอย่างละหนึ่ง” เย่ฮัวยืนอยู่หน้าร้านขายอาหารเช้าและตะโกนสั่งป้าเจ้าของร้าน

เมื่อป้าเจ้าของร้านได้ยินเข้า ก็ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มว่า “เดี๋ยวนี้เชื่อฟังเมียแล้วเหรอจ๊ะ”

เย่ฮัวถึงกับพูดอะไรไม่ออก

“ไม่ต้องเขินหรอกน่าพ่อหนุ่ม เชื่อฟังเมียเป็นเรื่องที่ดีจะตายไป ไม่เห็นมีอะไรน่าอายสักหน่อย”

เพราะว่าป้าเจ้าของร้านพูดมากอย่างนี้ไงล่ะ เขาถึงไม่อยู่กินที่ร้านนี้สักที!

ป้าเจ้าของร้านทำแพนเค้กต่อไปอย่างอารมณ์ดี “คุณน่ะน่าจะยิ้มให้มากกว่านี้หน่อยนะ ป้าเห็นแต่ละวันทำหน้าอะไรก็ไม่รู้ โดยเฉพาะตอนที่อยู่กับเมีย”

“ไม่ใช่เรื่องของป้าสักหน่อย” เย่ฮัวพูดเสียงเบา

ป้าเจ้าของร้านทำหน้าไม่พอใจ และการโต้แย้งก็เปิดฉากขึ้น

ตอนนั้นชิงหยาเห็นว่าเย่ฮัวหายออกมานานยังไม่กลับไปสักที ด้วยความเป็นห่วง เธอจึงเดินมาตามและพบว่าเย่ฮัวกำลังยืนโต้เถียงอยู่กับป้าเจ้าของร้านขายอาหารเช้าพอดี

“เย่ฮัว ทำอะไรอยู่เนี่ย” ชิงหยาเดินเข้าไปหาด้วยความสงสัย

เย่ฮัวดึงตัวเธอเข้าไปกอดและพูดว่า “เมียผม ผมต้องใหญ่กว่าอยู่แล้ว”

ป้าเจ้าของร้านพูดอะไรไม่ออกอีก สามีภรรยาคู่นี้ไม่กี่วันก่อนยังเห็นทะเลาะกันอยู่เลย เอาไว้ทะเลาะกันอีกคราวหน้า อย่ามาให้ช่วยอีกก็แล้วกัน

ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ชิงหยาก็รู้จักนิสัยของเย่ฮัวเป็นอย่างดี เธอส่งเสียงหัวเราะ ก่อนที่จะยุติการโต้เถียงที่เกิดขึ้น ด้วยการเป็นฝ่ายขอโทษขอโพยป้าเจ้าของร้านเสียเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด